คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : 4 - ลูกชาย
COUPLE : TAO x SUHO
RATE : PG13
CATEGORY : Romantic , Comedy
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
4
‘บริษัท คิมJ’ เป็นบริษัทใหญ่ที่กุมอำนาจเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ภายใต้การดูแลของ ‘คิม มยองมุน’ นักธุรกิจขาใหญ่ที่ยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัทที่ถือหุ้นเป็นอันดับต้นๆของประเทศในแถบเอเชีย การบริหารของเค้าเฉียบขาดและไร้ช่องว่าง บริษัทคิมJ จึงเปรียบกับเป็นปราสาทที่มีป้อมปราการที่แข็งแรงและแข็งแกร่งตั้งอยู่รอบทิศทาง ยากที่บริษัทคู่แข่งจะตีตื้นขึ้นมาเทียบชั้นได้
ธุรกิจหลักๆของบริษัทคิมJ คือการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือว่าเป็นบริษัทเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ที่สามารถผลิตส่งออกขายสู่ต่างประเทศและได้ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สูงสุดที่สุด ปัจจุบันการบริหารบริษัทได้ถูกถ่ายโอนไปให้ ‘ลูกชาย’ ของคิมมยองมุนดูแลครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการบริษัททั้งที่พึ่งเข้ามาบริหารได้เพียงสองเดือน
‘อู๋อี้ฟานหรือคริส’ บุตรชายคนโตของคิมมยองคือบุคคลที่ถูกกล่าวถึงในข้างต้น การบริหารของเค้านับได้ว่าแทบไม่แตกต่างกับประธานใหญ่ ด้วยความนิมีนิสัยละเอียดและรอบคอบ จุดผิดพลาดเพียงเล็กๆเค้าสามารถพลิกแพลงมันให้กลับมาเป็นผลดีต่อบริษัทและสร้างรายได้มหาศาล บุคลิกเย็นชาและถือตัวนับเป็นที่คุ้นตาสำหรับพนักงานในบริษัท สร้างความยำเกรงและดูน่าเคารพนับถือ ท่าทางที่ยิ่งผยองและทะเยอทะยานก็สามารถทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรืองได้ไม่ต่างจากสมัยของผู้เป็นพ่อเลย
“ครับ เย็นนี้ผมจะเอาผลสรุปของไตรมาสสองไปให้คุณพ่อดูที่บ้านครับ ... ครับไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องที่บริษัทเดี๋ยวผมจัดการเอง คุณพ่อพักผ่อนเถอะครับ อย่าลืมกินยาตามที่คุณหมอจ่ายมาด้วยนะครับ ครับผมรักคุณพ่อนะครับ ครับ..สวัสดีครับ” ร่างสูงโปร่งยัดไอโฟนสีขาวเครื่องงามใส่ในกระเป๋าเสื้อสูทสีดำขลับ
วันนี้ประชุมช่วงเช้าทำให้เค้าปวดหัวเล็กน้อย การถกเถียงของพวกกรรมการบริษัทที่ไม่เห็นหัวเค้ายังดังก้องอยู่ในหู คนพวกนี้แก่แล้วแก่เลย แก่แต่หัวสมองไม่ได้พัฒนาไปตามอายุ มารยาทการประชุมหายไปทันทีเมื่อเห็นว่าฝ่ายตัวเองกำลังจะเสียเปรียบ กว่าจะสงบลงได้ก็นานเอาการ การประชุมนี้หวังว่าจะได้ผลสรุปอย่างรวดเร็วเลยต้องยืดเยื้อ กว่าจะเข้าถึงแก่นเนื้อหาการประชุมจริงๆก็ทำเอาเค้าเหนื่อยเหมือนกัน
ถึงจะบริหารบริษัทนี้มาแทนคุณพ่อของเค้ามาได้สองเดือนแล้วก็ตาม ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินเสียที หลายๆคนอาจจะได้ยินตามข่าวว่างานครึ่งหนึ่งถูกแบ่งมาให้เค้าบริหาร ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วต้องเป็นทั้งบริษัทต่างหากที่ถูกโอนมาให้เค้าบริหารคนเดียว น้องชายอีกสองคนที่ต้องดูแลก็ยังอ่อนประสบการณ์เกินไป ถึงแม้ว่าน้องคนรองยังหัวรั้นที่จะตามมาดูเค้าบริหารงานบ่อยๆซึ่งเค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนคนเล็กยังติดเรียน จึงไม่สามารถจะเข้ามาช่วยในจุดๆนี้ได้อยู่แล้ว
เดินคิดเรื่อยเปื่อยพักสมองมาซักพักก็มาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานส่วนตัว คริสไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในบริเวณนี้ แม้กระทั่งเลขาคนสนิทเองโต๊ะทำงานของเจ้าหล่อนก็ยังอยู่ไกลออกไปจากห้องของเค้ามากโข เค้าต้องการอยู่เงียบๆและเป็นส่วนตัว บริเวณห้องทำงานของคริสจึงเป็นสถานที่ ‘keep out’ ไปโดยปริยาย
ร่างสูงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้สำนักงานตัวโต ใบหน้าคมเรียวแหงนเงยขึ้นหวังบรรเทาอาการปวดล้าที่คอ ปิดเปลือกตาลงช้าๆผ่อนลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ เค้าควรจะงีบซักพักแต่คงจะทำไม่ได้หรอก เพราะยังมีงานที่ต้องเคลียร์อีกกองโต พอคิดได้ก็ลืมตาขึ้น เลือกที่จะโทรหาเลขาให้เอาแผ่นปลาสเตอร์บรรเทาปวดมาให้ดีกว่า
“ฮัลโหล คุณดาจอง ช่วยเอาแผ่นคลายปวดมาให้หน่อยสิ ผมปวดคอจะแย่ ขอแบบเย็นนะครับ” เค้าสั่งหญิงสาวเสร็จสรรพก็รีบวางหูโทรศัพท์และเลือกที่จะหลับตาพักผ่อนต่อ ถ้าดาจองเข้ามาก็คงจะเข้ามาปลุกเค้าเอง คงไม่มีใครกล้าเข้ามาหร...
“เฮีย!!!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจนอู๋ฟานตกใจแทบตกเก้าอี้ กี่รอบแล้วนะที่ไอ้น้องชายตัวแสบชอบโผล่มาแบบอลังการพร้อมกับเสียงแปดหลอดจนเกือบทำเค้าหูหนวกอยู่ตลอดเวลา
“เทา...บอกกี่รอบแล้วว่าให้เคาะประตูก่อนเข้ามา คนที่นี่เค้าอาจจะไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นที่อื่นเค้าจะว่าเอาได้นะ…” ทันทีที่ได้สติ คริสก็เอ่ยปากต่อว่าน้องชายทันที ส่วนคนที่ถูกว่าปาวๆน่ะหรอ...
“โธ่ นี่พี่หรือพ่อครับ บ่นเป็นหมีกินผึ้งเชียว แค่แวะมาทักทายน่ะวันนี้มันว่างๆ” เทาถือวิสาสะเดินไปนั่งตรงโซฟารับแขก ก่อนจะล้วงไอพอดทัชขึ้นมาเสียบหูฟังฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์หาได้สนใจคนเป็นพี่ที่นั่งโมโหที่โต๊ะทำงานแต่อย่างใด
‘ฮวางจื่อเทาหรือเทา’ นิสิตจบใหม่ไฟแรงจากคณะวิศวกรรมโยธา เค้าเลือกที่จะเรียนเน้นไปทางด้านการออกแบบวางแผนเพราะชอบการคิดคำนวณและการวิเคราะห์ ตอนที่จบมาแรกๆมีหลายบริษัทเกี่ยวกับการสร้างอาคารหลายแห่งติดต่อมา แต่เทาให้เหตุผลที่ว่า ต้องการเรียนต่อปริญญาโท ทุกบริษัทจึงล่าถอยไป แต่ก็คอยจับตาดูเค้าตลอดเวลา บริษัทบางแห่งถึงขั้นเสนอทุนให้เรียนต่อเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยทางบ้านของเทาเองก็มีเงินมากมายมหาศาลพอที่จะส่งตัวเองเรียนต่อไปถึงปริญญาเอก การที่มาเสนอทุนดีๆจึงถูกตัดไป
“แล้วมาทำไม? วันนี้ไม่มีเรียนรึไงฮวางจื่อเทา?”
“ผมบอกไปแล้วนี่น่าว่าวันนี้ผมว่าง นี่เฮียไม่ได้ฟังรึไงครับ?” เทาตอบ สองตายังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวละครใน PSP สองมือคอยกดปุ่มโจมตีและป้องกันศัตรูในเกมต่อสู้ที่กำลังต่อยสวนเค้ามา
“ว่างแล้วทำไมไม่อยู่บ้านดูแลพ่อ?”
“แม่เค้าก็อยู่ ผมอยู่ไปแล้วก็เป็นภาระเปล่าๆ” เทายักไหล่แต่ก็ยังไม่ละสายตาที่จับจ้องจอขนาดเล็กอยู่ ถึงว่าพ่อคนที่พูดถึงจะไม่ใช่พ่อของพวกเค้าจริงๆ แต่พวกเค้าก็รักและเคารพคิมมยองมุนมาก ตั้งแต่เล็กๆพวกเค้าต้องอาศัยอยู่ในบ้านคนใช้ที่แสนคับแคบและแออัด สองคนพี่น้องไม่กล้าที่จะเหยียบย่างเข้าไปในบ้านใหญ่เลยซักครั้ง สนามเด็กเล่นของพวกเค้ามีเพียงแค่สนามหญ้าหลังบ้านเล็กๆ สัตว์เลี้ยงแสนรู้อย่างเจ้ากังยูที่เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา
จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสามก็ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหญ่ เด็กๆทุกคนตื่นกลัวจะมีเพียงแต่อู๋ฟานที่ต้องทนฝืนตีหน้าเป็นไม่หวาดกลัวอะไรเพื่อให้น้องสบายใจ ภาพของเจ้านายแม่ที่แสนใจร้ายถูกลบเลือนไปเมื่อเจอมยองมุนตัวจริงๆ ชายวัยกลางคนบอกให้ทุกคนเรียกเค้าว่าพ่อ ซึ่งในวันนั้นเองพวกเค้าก็ได้รับรู้ว่าคำว่าพ่อมันอบอุ่นแค่ไหน เด็กๆวิ่งแจ้นเข้าไปกอดชายหนุ่มทันทีที่เค้าอ้าแขน ครอบครัวที่ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือดโดยตรง แต่ก็มีสายสัมพันธ์บางๆคล้องกันไว้
“ก็แล้วทำไมถึงไม่อยู่ช่วยดูแลพ่อเป็นเพื่อนแม่ล่ะ งานของแม่ก็เยอะพอแล้วนะ” นี่ขนาดเปิดเพลงเสียงดังแล้วนะ ทำไมเสียงต่ำๆทุ้มๆน่ารำคาญของเฮียยังทะลุเข้ามาได้อีก เด็กหนุ่มคิดในใจพลางส่ายหัวน้อยๆ...
“เอาน่าๆ ผมมาตากแอร์เล่นๆ เดี๋ยวรอสี่โมงว่าจะไปรับเซฮุนจากโรงเรียนด้วยเป็นไง เจ๋งใช่ป่ะ” อู๋ฟานไม่สนใจคำพูดของเทา ยกมือขึ้นดูนาฬิกาเรือนสวยที่ข้อมือ “บ่ายสามครึ่งแล้ว... รออีกแปปค่อยไปพร้อมพี่ก็ได้ นานๆจะได้เจอเจ้าตัวแสบซักที”
ร่างโปร่งถอนหายใจยาว เป็นจังหวะเดียวกับที่ดาจองเอาแผ่นคลายปวดมาให้พอดี หล่อนวางถาดที่มีแผ่นปลาสเตอร์ไว้ให้บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็ไม่วายจะส่งสายตาวิบวับไปให้เด็กหัวแดงที่นั่งเล่น PSP อยู่ คนที่โดนสายตาประหารก็ยกยิ้มอย่างพอใจ ลอบมองเรียวขาขาวสวยของอีกฝ่ายจนกระทั่งลับตา
“สามีหนึ่งลูกสอง ยังจะสนใจอยู่มั้ยล่ะ?” ร่างสูงกระแอมเบาๆก่อนเอ่ยขัดน้องชายจอมกะล่อนเพื่อเป็นการตักเตือน เรื่องบาปบุญคุณโทษเค้าเองไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ ต่อให้เครียดจากเรื่องงานขนาดไหน เค้าก็จะไม่ไปลงกับสตรีซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเพศแม่เด็ดขาด การผิดลูกผิดเมียคนอื่นถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับอู๋ฟาน เป็นผู้ชายที่มีความคิดผิดกับหน้าตาจริงๆ...
“ผัวเค้าไม่รู้เรามาเล่นชู้กัน~” เทาฮัมเป็นเพลงเบาๆอย่างอารมณ์ดี เค้าแค่ตลกร้ายไปเท่านั้นแหละ ภายในใจมันว่างเปล่า เรื่องรักๆใคร่ๆเค้าละเบื่อ ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่ไม่เคยมีความรัก แต่เพราะเคยมีต่างหากทำให้เค้าได้รู้ว่าการที่คนเราจะรักกันจริงๆมันช่างเหนื่อยและลำบาก ต้องคอยตามใจเสียซะทุกอย่าง แอบคิดในใจเหมือนกันนะว่ามีแฟนหรือมีลูก งอแงได้งอแงดี งอแงอยู่นั่นแหละ
“ตลกเถอะไอ้เด็กขอบตาดำ... -_-” คริสพูดจี้ปมเด็กหนุ่ม มือข้างหนึ่งคว้าเอาแผ่นปลาสเตอร์มาแปะที่คอเพื่อบรรเทาอาการปวดที่ต้นคอ ทันทีที่เนื้อของปลาสเตอร์สัมผัสผิวหนัง ความเย็นก็ซึมซับเข้าไปทุกอณู รู้สึกผ่อนคลายจนเผลอครางเสียงต่ำงึมงำอยู่ในลำคอ
“ว่าผมไปเถอะเฮียเงิงบาน หุบเงิงเหนื่อยมั้ยอยากจะเข้าไปช่วยเธอ~”
“รออีกแปปฮวางจื่อเทา... ฉันหายปวดคอเมื่อไหร่ฉันจะบีบคอนายเอาให้ตายคามือ”
“จะเป็นผีแล้วไปฟ้องแม่ ให้แม่มาตีเฮีย”
“-_-;;;…..” ไอ้เด็กปัญญาอ่อน นี่น่ะหรือบุคคลที่มีคนคอยแย่งให้เข้าไปร่วมงานด้วย พินาศแน่ๆบริษัทนั้น... อู๋ฟานผู้ยิ่งใหญ่ลอบคิดในใจคนเดียว เค้าไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับน้องมาก ไมเกรนจะขึ้น....
“เออเฮียผมลืมบอกไปเลย เห็นว่า ’ลูกชาย’ อีกคนเค้าจะกลับมาที่นี่” อู๋ฟานนิ่งเงียบ เค้าพอจะรู้มาบ้างนิดหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน คุณนายใหญ่พี่หอบลูกชายหนีไปเพราะปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างแม่ของเค้ากับพ่อ แรกๆแม่เล่าให้ฟังว่าพ่อทำใจรับไม่ได้ จนแม่เองสัญญาว่าจะทำหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณหญิงที่หนีไป พ่อถึงเริ่มใจอ่อนและยอมรับในตัวแม่ อาการซึมเศร้าหายไป ทุกอย่างกลับมาดีขึ้น จนทั้งสองคนให้กำเนิดเซฮุนออกมา เป็นเครื่องยืนยันว่าความรักระหว่างเจ้านายและอดีตคนใช้กำลังเบ่งบาน
ราวกับต้นรักที่เติบโตบนเส้นทางบาป...
ย่าห์~ อันยองอาเซโย!! ในที่สุด! ผมก็ถึงโซลแล้วครับทุกคน ตอนแรกผมกะจะออกตั้งแต่เที่ยงแล้วล่ะครับ แต่เพราะว่าคนที่ไร่พากันอาลัยอาวรณ์ชวนกินข้าวก่อน ไหนจะกล่าวลากันน้ำหูน้ำตาแทบท่วมทุ่ง ก็ปาไปเกือบบ่าย เป็นอันว่ารถรอบแรกผมก็ตกไป ผมต้องรออีกสองชั่วโมงกว่าจะได้รถนั่งไปโซล กว่าจะมาถึงได้ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว...
กระเป๋าเสื้อผ้าที่แม่แพ็คมาให้ถูกวางลงข้างๆตัว ผมคิดว่าบางทีแม่อาจจะกลัวว่าผมไม่มีเสื้ออะไรใส่ล่ะมั้งครับ ท่านเลยจัดเต็มมาซะจนแบกแทบไม่ขึ้น เล่นเอาไหล่ร้าวไปเลยทีเดียวล่ะแฟนเพลง T_T
ผมปาดเหงื่อเม็ดโตที่พากันหลั่งออกมาเพื่อระบายความร้อนเนื่องจากความอับบนรถทัวร์ระหว่างเดินทาง จะว่าไปโซลนี่ผมก็ไม่ได้เหยียบมันมาหลายสิบปี ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและยุคสมัย ป้ายดาราสาวที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ครีมยี่ห้อดังส่งยิ้มให้ผมพร้อมถือครีมที่เจ้าหล่อนโฆษณา จะว่าสวยก็สวย จะว่าน่ากลัวก็น่ากลัว คิดดูสิครับถ้าคุณเดินเมาๆมาตอนกลางคืนแล้วเจอเธอยิ้มให้
แทบสร่างเลยล่ะครับผมว่า ...
“บรื๋อ~ ขนลุกแฮะ ... เอว่าแต่บริษัทนี่มันอยู่ที่ไหนเนี่ย” ผมหยิบเอากระดาษที่แม่วาดแผนที่ไว้ให้ขึ้นมาดู ถึงโซลจะเป็นเพียงเมืองหลวงเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้เล็กจนผมสามารถเดินก้าวเดียวแล้วจะถึงบริษัทของพ่อได้เลยนี่น่า ผมเพ่งมองแผนที่ที่แม่เขียนไว้อีกที ต้องขึ้นจากป้ายตรงนี้ถัดไปอีกสี่ป้าย แล้วเดินตามทางเดินไปอีกประมาณสองร้อยเมตรก็ถึงหน้าบริษัทพอดี เฮ้อยุ่งยากจัง! -_-
ระหว่างที่กำลังยืนรอรถเมล์อยู่นั้น ก็มีรถแท๊กซี่คันหนึ่งขับมาจอดตรงหน้า กระจกฝั่งคนนั่งเลื่อนลงจนเผยให้เห็นหน้าชายชราท่าทางใจดีที่เป็นคนขับ “ไปไหนหนู ขึ้นมาสิเดี๋ยวลุงไปส่ง”
ผมขมวดคิ้วเป็นปม อะไรกัน รถในเมืองมันมีบริการส่งถึงที่ด้วยหรอเนี่ย ผมเดินเข้าไปใกล้ๆรถ ก่อนโน้มตัวก้มลงคุยกับคนที่อยู่ในรถ “เอ่อ... คือผมจะไปบริษัท คิมJ น่ะครับ คุณลุงพอจะรู้ทางมั้ย?”
“อ๋อ... รู้สิ! เส้นทางในโซลน่ะลุงไปตระเวนมาหมดแล้ว แทบว่าทุกซอกทุกมุมเลยละ!” ชายชรายิ้มโชว์ฟันซี่เหลืองๆ ผมเดาคร่าวๆว่าคงเป็นเพราะบุหรี่ที่เหน็บอยู่ตรงที่ใส่ของฝั่งคนขับคงเป็นต้นเหตุให้เป็นฟันลุงแกกลายเป็นแบบนั้น -_-;
“อ่า งั้นรบกวนด้วยนะครับ” ผมก้มหัวปลกๆ ลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตไปเก็บที่ท้ายรถซึ่งลุงแกเองก็เปิดกระโปรงท้ายไว้รอแล้ว ผมจึงทำแค่ยกกระเป๋าวางให้เรียบร้อยแล้วปิดมันก่อนจะรีบเดินไปขึ้นนั่งที่นั่งข้างๆคนขับ
“หลับรอก็ได้เรา ลุงเห็นท่าทางเหนื่อยๆ ดูสิเหงื่อซ่กเชียว เอ้านี่ทิชชู่เช็ดเหงื่อก่อน” ลุงใจดียื่นกระดาษทิชชู่มาให้ผม ผมรับมันมาซับเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามใบหน้า ความร้อนจากข้างนอกเมื่อมาเจอกับแอร์ภายในรถทำให้ผมรู้สึกปวดหัวหน่อยๆเนื่องจากปรับสภาพร่างกายไม่ทัน
“งั้นต้องรบกวนด้วยนะครับ ผมขอตัวงีบซักแปป” ลุงแกไม่ตอบอะไรนอกเสียจากยิ้มและพยักหน้าให้ เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงตัดสินใจเอาหัวพิงกับกระจกรถแล้วรีบงีบทันที...
เสียงลมหายใจของเด็กหนุ่มที่ผ่อนเข้าออกตามจังหวะคล้ายเสียงกรนทำให้ชายชรามั่นใจว่าเด็กหนุ่มหลับไปแล้ว หึหึ วันนี้มันลาภลอยหรืออะไรกันนะ สวรรค์ถึงส่งเหยื่อมาเป็นเด็กบ้านนอกท่าทางใสซื่อแบบนี้ จะว่าโง่ก็ไม่อยากจะว่าเท่าไหร่ ขืนมันฉลาดขึ้นมาก็แย่สิ เงินที่จะได้จากการโกงมิเตอร์คงต้องชวดไปแน่ๆ
เดี๋ยววันนี้ลุงจะพาทัวร์โซลเองไอ้หนู!
.
.
.
“หนูๆ ตื่นได้แล้ว ถึงบริษัทแล้ว” ผมรู้สึกถึงแรงหนักๆมาตบบริเวณแก้ม ผมค่อยๆลืมตาขึ้นเพราะความแสบมันแล่นริ้วไปทั่วแก้มข้างที่โดนสัมผัส ผมยกมือขึ้นมาขยี้ตา ปรับสภาพการมองรอบข้างให้ชัด ป้ายขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรพิมพ์อย่างชัดเจนที่เขียนว่า ‘KIMJ’ ทำให้ผมรู้ตัวว่ามาถึงที่หมายแล้ว
“อ่า... ขอโทษครับ ... พอดีผมเพลียนิดหน่อย”
“เลิกแพล่มได้แล้ว จ่ายค่ารถมา” ถ้อยคำหยาบคายที่ผมไม่คิดว่าจะลุงใจดีคนนี้จะพูดออกมาถูกพ่นใส่หน้าผม อะไรเนี่ยแค่นี้ทำไมต้องว่ากันด้วยหว่า -__-;
“เอ่อเท่าไหร่หรอครับ...” ผมเลิกสนใจคำพูดของลุง ก่อนจะหันไปหินเอากระเป๋าสตางค์ที่ใส่อยู่ในกางเกงยีนส์ขึ้นมาจ่ายเงิน
“หมื่นนึง จ่ายมา”
เฮ้ย!! อะไรนะ? ผมหูฝาดรึเปล่า? หมื่นนึงเลยหรอทำไมมันเยอะผิดปกติแบบนี้ล่ะ? จากที่ๆผมนั่งมามันควรจะรอคาประมาณสองสามพันเองไม่ใช่หรอ รู้งี้ผมยอมอดทนรอรถเมล์ดีกว่ามั้ยเนี่ย แต่ถึงจะพูดเถอะ ตอนนี้มันก็สายไปกว่าที่จะย้อนเวลากลับไปรอรถเมล์ได้แล้ว มัจจุราชหน้าเลือดในร่างลุงแก่ๆกำลังตีหน้าถมึงทึงรอเงินจากผมอยู่
“อย่ามาแต่เงียบสิไอ้หนู! จ่ายเงินมาซะ ถ้าไม่มีเงินฉันก็พาไปขึ้นโรงพัก!”
“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนสิลุงค่อยๆคุยกันดีๆก็ได้ เราก็คนกันเองเรื่องแบบนี้น่าจะพอลดกันได้...”
“ลดบ้าลดบออะไร! น้ำมันที่ฉันเสียไปมันคุ้มกับเงินที่ลดไปรึเปล่า จ่ายมาเลยนะอย่าได้คิดตุกติก” แงงง T[]T เวรกรรมอะไรของคิมจุนมยอนเนี่ย พึ่งเข้าเมืองมาได้ไม่นานก็โดนกรรโชกทรัพย์ซะแล้วหรอซวยชะมัดเลยหนูอยากกลับบ้านนน!
แต่สวรรค์ยังเห็นใจเทพบุตรเดินดินอย่างผม แผนชั่วๆ(?)ได้แวบขึ้นมาในสมองอีกครั้ง อาจจะหนีได้ไม่ไกล แต่ก็น่าจะเงื้อมมือของลุงแก่ๆคนนี้ได้ เอาวะ กระเป๋าเสื้อผ้าก็ช่างมัน ถึงบ้านใหญ่เมื่อไหร่ค่อยจัดการอีกที ส่วนวิธีนี้ก็ต้องรอลุ้นว่าจะสำเร็วรึเปล่า เป็นกำลังใจช่วยผมด้วยนะครับ! ‘w’;!
“เอางี้นะลุง... ผมพอมีติดตัวอยู่ในกระเป๋าเงินอ่ะ ลุงเอาไปให้หมดเลย” ผมยัดกระเป๋าสตางค์ใส่มือลุงแกไปเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะลุงแกเองก็ดูจะให้ความสนใจไม่น้อย จังหวะนี้แหละคิมจุนมยอน!
ผลัวะ!!
“เฮ้ย!!!! จะไปไหนวะ!! บ้าชิบ! ในกระเป๋าก็มีแต่ใบเสร็จ ไอ้เด็กบ้านี่หยุดนะเว้ย!!!”
ว๊ากๆๆๆๆ T[]T ไม่อยู่แล้วล่ะครับพี่น้อง ตอนนี้ผมรีบสับเกียร์หมาวิ่งหนีอีลุงมหาภัยที่ตะโกนด่าแหวๆแล้ววิ่งตามมาติดๆ ผมรีบวิ่งเข้าบริษัทที่อยู่ตรงหน้าในแทบทันที ท่ามกลางเสียงของยามที่ตะโกนร้องห้าม ก่อนจะวิ่งถือกระบองไม้คู่ใจเตรียมมาฟาดผมด้วย สรุปโดยสายตาอันเฉียบคมแล้ว ตอนนี้มีลุงมหาภัยไซโคกับพี่ยามวิ่งไล่ผมอยู่
ผมต้องรอด!!! I must alive!!! >:@
ผมหันหลังไปมองสองคนนั้นซึ่งดูท่าทีว่าจะเริ่มหยุดวิ่งและหอบกันตามอายุและสังขารแล้ว ตอนนี้แหละที่ผมควรจะหยุดวิ่งหนีแล้วหาที่หลบแทน พนักงานในบริษัทหลายคนดูตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าวิ่งเข้ามาในบริษัท จึงพากันจับกลุ่มกันซุบซิบนินทากันให้มันส์ปาก ไหนจะสายตาแปลกๆที่มองผมเป็นตัวประหลาดอีก ไม่คิดจะช่วยก็อย่าพูดมากกันได้มั้ยพวกนี้!
ป้ายห้องน้ำชายเด่นหราอยู่ตรงหน้าทำให้ผมเลิกสนใจเสียงนกเสียงกา เอาวะ! ที่นี่ก็ได้ พวกนั้นคงคิดว่าผมวิ่งไปออกหลังบริษัทแทน หวังว่าคงไม่ฉุกคิดขึ้นมาว่าผมไม่หลบอยู่ในห้องน้ำชายหรอกนะ T_T
แอ๊ด...
เสียงเพลงที่เปิดคลอพร้อมกับแอร์เย็นๆทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมาก ทำแบบนี้แล้วพนักงานเค้าไม่คิดจะมาแอบงีบกันในห้องน้ำบ้างรึไงนะ –w-; ถ้าผมเป็นพนักงานบริษัทของที่นี่คงจะแอบแวบมาหลับตอนที่เจ้านายเผลอ ผมเดินไปหยุดพักหายใจหน้ากระจกบานใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเอง ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ผมเผลอยกมือขึ้นลูบเงาสะท้อนในกระจกเบาๆ ต่อไปนายจะเจออะไรอีกนะจุนมยอน...
“เฮ้! นั่นนายจะทำอะไรน่ะ” ผมสะดุ้งโหยงมือที่กำลังลูบสัมผัสกระจกอยู่นั้นถูกชักกลับมาแนบลำตัวอย่างรวดเร็ว อีลุงมหาภัยมันรู้หรอว่าผมอยู่ที่นี่! แต่ทำไมสำเนียงมันถึงดูแปร่งๆแปลกๆแบบนี้...
“นายไม่ใช่คนของบริษัทนี่ เข้ามาได้ยังไง?”
ผมหันไปมองคนตรงหน้าไม่ละสายตา คนตรงหน้าดูเด็กกว่าผมนิดหน่อย ใบหน้าเรียวรีเป็นรูปไข่ ดวงตาเล็กและหางตาที่ชี้ขึ้นตอบรับกับคิ้วโก่ง ถุงใต้ตาที่ปูดโปนนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคความหล่อของหมอนี่เลยซักนิด จมูกเป็นสันสวยพร้อมกับริมฝีปากหยักลึกราวกับรูปสลักประติมากรรมชิ้นดีของเกลันเจโล
“นายควรจะเลิกจ้องฉันเหมือนกับเป็นพวกโรคจิตได้แล้วนะ ตอบคำถามฉันมาซักทีว่านายเป็นใครก่อนที่ฉันจะไปเรียกยามให้มาโยนนายออกไป”
เพล้ง! ทุกคนได้ยินเสียงอะไรแตกมั้ยครับ? -__- ไม่ต้องแปลกใจครับเพราะไอ้ความคิดที่ผมชมว่าไอ้หมอนี่เหมือนกับรูปปั้นที่สวยงามเมื่อครู่ ผมได้ทำการทุบทิ้งแล้วโยนทิ้งลงกองขยะไปแล้วเรียบร้อย =[]=!
“นายว่าใครโรคจิตห๊ะไอ้เด็กถุงใต้ตาเยอะกว่าคนปกติ!” เสียมารยาทที่สุดครับ! ไอ้หน้าแพนด้านี่หาว่าผมเป็นคนโรคจิต หน้าผมโรคจิตตรงไหนออกจะใสซื่อที่สุดอ่ะ ไอ้หมอนี่มันใส่ร้าย หน้าตาก็ดีนะไม่นึกว่าปากจะสุนัขขนาดนี้ -__-
“ทำไม ถุงใต้ตาฉันมันไปหนักส่วนไหนของร่างกายนายไม่ทราบ? เข้ามาในบริษัทคนอื่นแล้วยังจะมาแหกปากแว้ดๆแบบนี้มันใช่เรื่องซะที่ไหน” ว่าแล้วไอ้หน้าแพนด้านี่ก็ตรงเข้ามากระชากข้อมือผมอย่างแรง โอ๊ยไอ้นี่มันไปขุดเอาเรี่ยวแรงมาจากขุมไหนเนี่ย คำว่า ’เบาๆ’ น่ะสะกดเป็นรึเปล่า!!
“บริษัทคนอื่นที่ไหนวะ! ก็ฉันจะมาหาพ่อของฉันที่นี่ นายนั่นแหละเป็นใครเข้ามาก็มาหาว่าคนอื่นเป็นโรคจิตแล้วก็ถือวิสาสะมากระชากแขนฉันแบบนี้ไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมตะโกนใส่หน้าไอ้เด็กเปรตที่จับข้อมือผมแน่น มันมองหน้าผมนิ่ง เท้า “นายว่ายังไงนะ? นายบอกว่านายมาหาพ่องั้นหรอ?”
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องล่ะสิ กลับป่าไผ่ของนายไปได้แล้ว... โอ๊ย!!” แรงบีบที่ข้อมือทำเอาผมปวดแปลบ คนตรงหน้าคิดจะบีบให้กระดูกผมแหลกคามือเลยหรือไง ดวงตาที่ดุดันจ้องผมไม่ละสายตา ราวกับจะกลืนกินผมให้หมดทั้งตัวภายในคราวเดียว
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ตัดให้ขาดเลยฉับๆ ... แชปสี่ผ่านได้ด้วยดี! คอมเม้นไม่กระเตื้องเลยเบบี้ T_T ไรเตอร์รู้สึกเฟลนิดๆนะเนี่ย 55555555 แต่ก็ยังดีที่มีคนแวะเวียนเข้ามาอ่านบ้าง เอาละหนูซูโฮได้เจอกับหนูเทาแล้วนะ ดีใจกันรึเปล่า ฮี่ๆ =w= แต่ไรเตอร์แอบเสียดายหมอชรงแดอยู่น้อยๆนะ รู้สึกตัวเองโลภจัง 555555555555
1 คอมเม้น = 1 กำลังใจ ท้ายสุดนี้ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่านนะคะ ♥
ความคิดเห็น