คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 3 - การจากลา
COUPLE : TAO x SUHO
RATE : PG13
CATEGORY : Romantic , Comedy
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
3
“แน่ใจนะครับว่าจะไม่ให้ผมขึ้นไปส่ง?” จงแดเลิกคิ้วถาม ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“ไม่เป็นไรครับ ผมรบกวนนายมาทั้งวันแล้ว ทั้งกาแฟที่ร้านแล้วไหนจะขนมของคุณแม่อีก เกรงใจจะแย่แล้ว” ผมพูดตามความรู้สึก ข้าวของในมือผมมีแต่ของกิน เพราะว่ามีเวรตอนดึกๆจงแดก็เลยว่างทั้งวัน บวกกับได้โยนเคสของคนไข้ไปให้กับพวก Extern หมดแล้ว หนุ่มแว่นคนนี้จึงพาเค้าตะลอนไปทั่วโรงพยาบาลแทน พาไปเดินดูเด็กๆพึ่งคลอดที่วอร์ดสูติฯ
ผมแอบเห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งยืนดูลูกของพวกเค้าในตู้อบด้วยล่ะครับ ทั้งสองคนกอดกันกลม สองมือสานกันแน่น คนเป็นมารดาก็ร้องไห้ด้วยความปิติในชุดคนไข้ของทางโรงพยาบาล ดูท่าว่าจะพึ่งคลอดได้ไม่กี่วัน ส่วนคนเป็นบิดาก็ก็ได้แต่กอดแล้วลูบกลุ่มผมดูนุ่มนั่นเบาๆ ดวงตาคลอหน่วงไปด้วยน้ำตา แวบนึงที่ผมเผลอมองเห็นเป็นร่างของพ่อกับแม่ที่ยืนกอดกัน หัวใจผมกระตุกวูบ รู้สึกปวดมวนท้องขึ้นมาชั่วขณะก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
“เปล่าครับ... สงสัยคงจะหน้ามืดนิดหน่อย”
ผมเลือกที่จะเงียบไว้ ผมไม่อยากป่าวประกาศให้ใครรับรู้มากนักว่าผมมันเป็นเด็กบ้านแตก พ่อแม่แยกทางกัน เหอะๆ -_- แต่ดูเหมือนจงแดเองก็จะรู้ถึงความผิดปกติตรงนี้ แต่เค้าก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก คงจะเกรงใจเพราะเราสองคนก็พึ่งจะรู้จักกันจริงๆจังๆเอง เค้าเลยไม่อยากจะก้าวก่ายประวัติส่วนตัวผมมาก จนเริ่มเย็นเค้าก็พาผมมาส่งที่หน้าตึกคนไข้ ซึ่งตอนนี้ร่างโปร่งก็กำลังอ้อนขอไปส่งผมข้างบนตึก ไม่ให้ขึ้นไปหรอกครับ –w- ขืนขึ้นไปละก็แม่ต้องแซวแน่ๆเลย
“ก็ได้ครับ...” จงแดเบ้หน้า ทำไมต้องชอบทำตัวน่ารักอยู่เรื่อยๆเลยนะ -//-.... “แต่ระวังนะครับ เค้าว่าตึกเนี้ย ผีเฮี้ยน....”
........ขอ-ถอน-คำ-พูด !!!! ใครบอกหมอนี่มันน่ารักฟะ!! อยู่โรงพยาบาลใครเค้าให้พูดเรื่องผี พูดเรื่องผีเดี๋ยวผีก็โผล่มาหรอก!(?) หมอนี่จงใจแกล้งผมให้กลัวใช่มั้ย? ต้องการจะไฝว้กับหนุ่มไร่สตรอเบอรี่ใช่มั้ย? นี่ถ้าไม่ติดว่าถือถุงขนมอยู่นะ จะจับฟัดแล้ว เอ๊ย! ไม่ใช่ๆ จับตีแล้ว บ้าจริงผมพูดอะไรของผมเนี่ย พูดเองเขินเองอีก -/-
“เอ้าๆ ดูทำหน้าเข้า สงสัยจะกลัวจริงๆแฮะ...” ร่างโปร่งหัวเราะร่วน สะใจล่ะสิ! ไอ้หมอบ้านี่ตอนแรกก็ดูน่ารักอยู่นะครับ ท่าทางที่ดูสุภาพและอ่อนโยนหายไปทันทีเลยล่ะหลังจากได้ใช้เวลาด้วยกันตลอดครึ่งวัน! แต่ถ้าจะน่ารักในอีกแง่นึงละก็.... พอๆเลิกแฉตัวเองครับ! –x-
“ไม่ต้องเลยนะหมอบ้า! พูดอะไรก็ไม่รู้ผมกลัวจริงๆนะครับ” สีหน้าผมตอนนี้คงบอกบุญไม่รับจริงๆ เวลาโพล้เพล้แบบนี้คนไข้หลายคนก็พากันขึ้นตึกพักผ่อนแล้ว ดังนั้นบรรยากาศรอบๆก็เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหวิวที่ลอยมาตามลมปนกับเสียงจักจั่นชวนขนลุกขนพองจนผมต้องยกแขนสองข้างมากอดๆถูๆ
“ฮ่าๆ ผมล้อเล่นน่า ผีที่ว่าหมายถึงผีแดงแมนยู อย่าลืมดูนะครับมาสี่ทุ่มJ” ผมอ้าปากค้าง ไอ้ผีที่บิ้วให้กลัวนี่คือผีบอล? อยากตายเป็นผีเฝ้าตึกสินะครับไอ้หมอคนนี้.......
“ตลกแล้วครับคุณหมอ อยากเป็นผีเฝ้าตึกมั้ยครับ -_-+”
“ไม่เอาดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นผีเฝ้าตึกอยากเป็นผีเฝ้าใจมากกว่า”
ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ก็โบกมือลาแล้วเดินกลับไปตึกใหญ่ ไม่มีการอยู่รอให้ผมได้พูดโต้ตอบเลยซักนิด ถึงความจริงแล้วความสุขที่มันค้ำคออยู่มันจะทำผมพูดไม่ออกก็เถอะ เพียงแค่วันเดียวคิมจงแดกลับทำให้ผมเป็นบ้าได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดผมอยู่นานวันเข้านี่คงไม่ต้องหลงรักเลยรึไง หรือว่า...
ผมจะรักเค้าไปแล้วนะ?
เฮ้ย! ไม่ได้ครับ! ผมไม่ได้รักเค้าซักหน่อย บ้าจริงเลยคิดอะไรของผมเนี่ย T_T ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าออกไปจากหัวสมอง หันหลังเดินขึ้นตึกไปหาเด็จแม่ที่พักผ่อนอยู่ชั้นบน ซึ่งผมได้คาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่า ถ้าถึงห้องเมื่อไหร่คงได้ยินเสียงแหลมๆของแม่โห่แซวแน่นอน จุนรู้ จุนเห็น จุนสัมผัสได้!
กริ๊ง~
ทันทีที่ผมประตูลิฟต์เปิดออกผมก็รีบเดินออกมาทันที ไอ้ผีแดงแมนยูมันยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดผม ถ้าอยู่ๆมันมาเตะบอลข้างหูผมละทำไง ผมไม่ช็อคตายเลยรึไงครับ อย่างเช่นรูนีย์โผล่มาเลี้ยงบอลข้างหลังผมทำนองเนี้ย คิดแล้วมันจะน่ากลัวหรือตลกดี
ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ ผมก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องแม่ผม ชายคนนั้นสวมเสื้อโค้ดตัวหนาสีเทาหม่น กางเกงยีนส์สีดำสนิทบวกกับใส่แว่นกันแดดสีดำเพื่ออำพรางใบหน้า พร้อมด้วยหมวกแก๊ปที่สวมใส่ผิดวิสัยของคนที่จะมาเยี่ยมคนป่วย ทันทีที่เค้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมผ่านแว่นนั่น ท่าทีของชายนิรนามก็ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆจนผมอดสงสัยไม่ได้
“นี่คุณ…” ยังไม่ทันได้ถามอะไร ผู้ชายคนนั้นก็เดินสวนมา แถมยังชนไหล่ผมออกไปอีก เจ็บนะ! ผมหันไปต่อว่าชายคนนั้นทางสายตา ไม่อยากจะส่งเสียงดังรบกวนคนไข้คนอื่นเค้า ผมยกมือลูบไหล่ข้างที่โดนชนอย่างเสียไม่ได้ เฮ้อ คนเราสมัยนี้ แค่คำว่าขอโทษก็พูดไม่เป็น ไม่รู้ว่ามันพูดยากนักรึไง กับแค่คำว่า ‘ขอโทษ’ สั้นๆเนี่ย
ผมเลิกสนใจผู้ชายคนที่ว่า เก็บมาคิดก็ปวดสมองครับ ให้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผมก้าวเดินต่อไปจนถึงห้องพัก พอเปิดประตูก็เห็นร่างของแม่กำลังก้มมองรูปๆหนึ่งอยู่ มือทั้งสองข้างสั่นเทาเล็กน้อย “แม่... เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
ผมดันประตูให้ปิดสนิทอย่างเบามือ เดินไปวางถุงขนมไว้บนตู้ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้างๆตู้เย็น ภายในห้องมีแต่เสียงกรอบแกรบของถุงพลาสติกสีดำที่ถูกันไปมา แม่ยังคงนั่งเงียบงันอยู่บนเตียงเหมือนเดิม “ผมเห็นมีผู้ชายคนนึงเข้ามาในห้องนี้ด้วย คนรู้จักหรือครับ?”
“พ่อของลูก เค้าเป็นพ่อของลูก...” สองมือของผมที่กำลังแกะขนมหยุดชะงัก ผมคงได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย? คนเมื่อครู่ที่ผมเจอตะกี้เป็นพ่อของผมงั้นหรอ?
“แล้วเค้ามาทำไม?”
“ทุกอย่างกำลังจะพังจุนมยอน พ่อของลูกเค้าต้องการความช่วยเหลือ...”
“จะพังหรืออะไรก็ช่างเค้าสิครับแม่!! ตอนที่พวกเราแทบเอาชีวิตไม่รอด เค้ายังไม่เห็นจะมาสนใจไยดีอะไรกับเราเลย!!” ผมตะคอกอย่างเหลืออด มือของผมกำหมัดแน่นพยายามสะกดอารมณ์โทสะที่กำลังจะปะทุขึ้น ภาพทุกอย่างย้อนกลับไปตอนที่ผมกับแม่สองคนอยู่กันด้วยความยากลำบาก ยืนกอดกันร้องไห้กับซากพืชที่ล้มตายเป็นจำนวนมากตรงหน้า ทำไมเวลานั้นพ่อไม่เข้ามาช่วย? หรือว่าตั้งแต่ที่เราสองคนพากันหนีออกมา พ่อก็ตัดขาดจากพวกเรา คิดว่าพวกเราเป็นเพียงแม่ลูกสองคนที่ไหนไม่รู้ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วก็จากหายไป?
พอถึงคราวตัวเองลำบาก ก็ดันมานึกถึงพวกเราทั้งสองคนที่เคยหมางเมิน กลับมาขอความช่วยเหลือกันหน้าด้านๆ แบบนี้มันจะเกินไปหน่อยมั้ง! “ต่อให้บริษัทพังหรือว่ากิจการทั้งหมดล้มละลาย มันไม่เกี่ยวกับเราอยู่แล้ว”
“ฟังแม่ก่อน....” น้ำเสียงของแม่แผ่วลงราวกับต้องการให้ผมใจเย็นลง ซึ่งมันก็ได้ผล ผมไม่ชอบให้แม่พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ น้ำเสียงที่เหมือนเหนื่อยอ่อนจนไม่มีแรงจะพูด เสียงของคนที่ไม่เข้มแข็ง...
“พ่อของลูกเป็นโรคมะเร็ง แต่ตอนนี้กำลังทำการรักษาอยู่ เพราะอาการยังไม่รุนแรง พ่อจึงต้องพักผ่อนร่างกาย งานที่บริษัทใหญ่ทั้งหมดจึงไม่มีคนดูแล เค้าต้องการลูก ต้องการลูกไปเป็นคนดูแล...”
ในตอนแรกผมอาจจะโกรธพ่ออยู่บ้าง แต่พอได้ยินคำว่ามะเร็ง ผมเองก็แอบในหายเสียไม่ได้ ผมจำหน้าของพ่อได้อย่างเลือนรางเนื่องจากความทรงจำวัยเด็กที่เกี่ยวกับพ่อมันน้อยเหลือเกิน
“ผมทำไม่ได้หรอก งานที่ไร่ก็ต้องการคนดูแลเหมือนกัน” ผมยกไร่ขึ้นมาอ้าง ผมไม่ต้องการกลับไปที่นั่น ถึงจะยกไร่ขึ้นมาอ้างก็เถอะ ความเป็นจริงที่เห็นๆกันอยู่คือแม่ไม่แข็งแรง แล้วถ้าผมไปใครจะดูแลแม่ งานในไร่ก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วยิ่งสภาพร่างกายของแม่อีก ผมไม่สามารถทิ้งมันไปได้หรอก งานที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็กๆ
“งานที่ไร่แม่มีคนงานอีกเป็นร้อยคอยช่วย แม่เคยดูแลมาก่อน เรื่องแค่นี้มันสบายมาก แม่อยากให้ลูกไป”
“ไม่ ผมไม่ไปเด็ดขาด” ผมปฏิเสธหัวชนฝา ผมไม่เคยบริหารงานบริษัท ที่ผ่านมาก็แค่เดินตรวจตราดูงานในไร่อากาศร้อนๆ จะให้ไปนั่งห้องแอร์เฉยๆรอเซ็นนู่นนี่แทน ผมทำไม่ได้หรอก
“แม่ขอเถอะนะ แค่ไปดูแลช่วงๆนึง เพราะลูกชายของเค้าเองก็ไม่ว่างมาดูแลตรงนี้ ต่างคนต่างติดงานติดเรียนกันหมด” คำว่าลูกชายทำเอาผมหูผึ่ง ใช่ ผมไม่เคยลืมหรอกว่าพ่อเคยไปร่วมก่อคดีฉาวกับใคร ผมจำได้แม่นยำ คนที่เปรียบเหมือนญาติสนิทของผมอีกคนหนึ่ง คนที่ให้ความไว้ใจทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนมันกลับตรงกันข้าม
“ทำไมต้องให้คนนอกอย่างผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย? ลูกชายเค้าก็มีเมียเค้าก็มี ช่วยกันเข้าไปสิ อย่างที่เคยช่วยกันหักหลังแม่ไง” ผมยอมรับว่าคำพูดผมอาจจะร้ายกาจไปบ้าง แต่สิ่งที่พูดมาก็ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองก่อนที่จะพูดต่อไป ผมยกยิ้มขึ้นมา แม่เองอดที่จะเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเสียไม่ได้ “ลูกยิ้มอะไรของลูก?”
“ก็ได้ครับ ถ้าผมไป...” ผมสูดหายใจลึกๆ ผ่อนลมออกมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างที่เคยทำ “ทุกอย่างของบ้านนั้นต้องเป็นของเรา ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งต้องถูกโอนมาที่ไร่ทันทีหลังจากที่พ่อหายดี”
แม่ส่ายหน้ารัวในทันที แววตาของแม่กลับมาแข็งกร้าว ผมเข้าใจดีว่าแม่ไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินตรงนั้น แต่ผมต้องการที่จะให้คนพวกนั้นได้เจ็บปวด อยากให้รับรู้รสชาติของการที่ต้องอยู่อย่างอยากลำบาก การที่เอามาเพียงครึ่งเดียวนั่นน้อยไปซะด้วยซ้ำ
“เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินตรงนั้น แค่ดูแลบริษัทแค่ช่วงเดียว พอพ่อหายดีเราก็จะกลับมาดูแลไร่ของเรา อยู่กินกันด้วยเงินของเราที่เราหามาได้เอง เงินของเค้า... เราจะไม่ไปยุ่งเด็ดขาด”
“ความจริงทุกๆอย่างมันเป็นควรเป็นของๆเรา! ถ้าพ่อไม่...” แม่ยกมือขึ้นห้ามให้ผมหยุดพูด ท่านลดมือลงหลังจากที่คิดว่าผมจะหยุดพูดได้แล้ว
“ซูโฮ... แม่อยากให้ลูกรู้ว่าแม่รักลูกมาก ... ถึงเราจะอยู่กันแค่สองคนก็ตาม อย่าไปสนกับแค่เงินทองไม่กี่วอนเลยลูก คนเราสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง...”
“ไม่ได้ครับแม่! ผมจะไม่ยอมเด็ดขาด ผมจะไม่ยอมให้คนที่ทรยศหักหลังเรามาเอาเงินของเราไปใช้เด็ดขาด!" คำพูดของผมประกาศกร้าว ณ ตรงนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาขัดความตั้งใจของผมได้ กล้ามาขอร้อง ผมก็กล้าให้ แต่ทุกอย่างต้องมีเงื่อนไขซึ่งผมได้เป็นคนกำหนดเท่านั้น
“ซูโฮ....” แม่พูดเพียงเท่านั้น ผมไม่ได้ยินเสียงของแม่พูดอะไรต่อไปอีกแล้ว ในหัวมีแต่คิดจะวางแผนและการแก้แค้น คอยดูนะครับ... สิ่งที่พวกนั้นทำกับแม่ผมไว้ เงินที่เคยเอาไปใช้จ่ายอย่างสะดวกสบาย ซักวันถ้ามันหายไปไม่เหลือแม้แต่แดงเดียว จะเป็นอย่างไง! แล้วเจอกัน!!
วันรุ่งขึ้น แม่กับผมก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย แม่อยู่ในชุดลำลองสมสัดส่วน เสื้อโปโลสีฟ้าครีม กับกางเกงขายาวสวมใส่สบายๆ เรื่องเมื่อคืนวานไม่มีใครพูดถึง เราสองคนยิ้มให้กันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็แหงล่ะสิ เมื่อคืนแม่เถียงกับผมจนเหนื่อย สุดท้ายก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ ‘อยากทำอะไรก็ทำ ระวังกรรมจะตามตัว’ คือคำสุดท้ายที่แม่บอกก่อนจะขอตัวนอนพักผ่อน
ผมมั่นใจเกินล้านเปอร์เซ็นว่าผมเองก็ทำบุญมาเยอะ ไม่งั้นชาตินี้คงไม่เกิดมาหล่อราวกับเทพบุตรอย่างนี้หรอก โฮะๆ ^O^
ผมได้พบกับหมอจงแดอีกครั้ง เค้าได้จ่ายยาและกำชับให้คุณแม่ระมัดระวังมากขึ้นกว่านี้ และควรมาเช็คอาการทุกๆเดือนถ้าเป็นไปได้ แถมยังแอบเตะขาผมใต้โต๊ะด้วย ไอ้หมอบ้านี่มันน่านัก - -...
ลุงบงกีเจ้าเก่าขับรถกระบะมารับที่โรงพยาบาล ผมแอบเห็นด้วยล่ะว่าตาของแกมีน้ำตาคลอรื้นๆ ไม่แปลกใจครับที่เห็นแบบนั้น เพราะทุกคนให้ความเคารพรักกับแม่ผมมาก ก่อนที่จะมาเป็นคนไร่คนสวนที่ไร่ของแม่ ทุกคนต่างผ่านวิกฤตร้ายๆมาแล้วทั้งสิ้น จนเมื่อแม่ของผมปรากฏตัวขึ้น ราวกับมีมือของนางฟ้ามาฉุดพวกเค้าขึ้นจากนรก ทุกคนกลับมามีงานทำ มีเงินเลี้ยงครอบครัว มีสวัสดิการที่ดี ทุกคนรักไร่และแม่ของผมมาก ดังนั้นการที่เห็นแม่ปลอดภัยและร่างกายที่แข็งแรงของแม่ออกมาจากโรงพยาบาลจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดจนเก็บกลั้นน้ำตาของความยินดีแทบไม่อยู่
ผมขอตัวอยู่คุยกับคุณหมอก่อน โดยอ้างว่าอยากจะคุยเรื่องอาการของแม่ แต่ใช่ว่าแม่จะเชื่อ ท่านรู้นั่นแหละว่าจุดประสงค์ของผมคืออะไร ก็เลยปล่อยให้อยู่ที่โรงพยาบาลก่อนที่ท่านจะขอตัวลากลับไร่ไป เพราะต้องไปสะสางงานที่ค้างไว้
“ขอบคุณคุณหมอมากเลยนะครับที่ดูแลแม่ผมเป็นอย่างดี แถมยังมาเตะขาผมอีก” ผมหยิกเข้าที่แขนของอีกคนแรงๆ จงแดทำหน้าเหยเก มืออีกข้างก็ดึงมือผมออกจากแขนอย่างรวดเร็ว พลางลูบๆรอยช้ำที่ผมได้ฝากเอาไว้ สมน้ำหน้า~
“ดูสิถ้าแขนผมเป็นอะไรขึ้นมาคงแย่...”
“ของฝากก่อนที่ผมจะไปจากที่นี่ไง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงเริงร่า ผิดกับจงแดเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไปจากที่นี่’ เค้าก็หยุดชะงักมือที่กำลังลูบแขน เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมช้าๆ “คุณจะไปไหน?”
“ก็ไปโซล พอดีผมมีงานต้องทำ... อ๊ะ! โอ๊ยผมเจ็บนะคุณเบาๆหน่อยสิ!” มือแกร่งทั้งสองข้างของจงแดตรงเข้ามาบีบไหล่ผมแน่น สายตาที่ซุกซนขี้เล่นมลายหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่าจนผมใจหาย
“ทำไมเมื่อวานไม่บอกผมว่าจะไป?” ไม่พูดเปล่า มือทั้งสองข้างบีบแน่นตามไปด้วยราวกับกำลังเค้นคำสารภาพจากนักโทษ ผมเบะหน้าด้วยความเจ็บปวด แต่จงแดก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่นิด
“โอ๊ย... คือผม... จงแดปล่อยผมก่อนแล้วฟังผมอธิบาย...” จงแดหยุดชะงักกึก เริ่มรู้แล้วว่าสิ่งที่ทำกับผมมันเกินไป มือทั้งของข้างที่บีบแน่นค่อยๆคลายออก น้ำเสียงแข็งกร้าวเจือสำนึกผิดเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ “ผมขอโทษ... ผมแค่ตกใจ”
“คือ...” โอ๊ย~ T_T ไม่มีแรงจะพูดเลยล่ะครับ ความเจ็บที่อีกคนมอบให้มันยังปวดร้าวไปทั่วไหล่ เห็นตัวเล็กๆทำไมแรงเยอะแบบนี้เนี่ย~ “คือผมต้องไปดูงานของพ่อที่โซล ท่านไม่สบายน่ะ แต่ผมไปแค่แปปเดียว แปปเดียวจริงๆนะครับ!”
หลังจากที่ฟังผมอธิบาย แววตาที่ดุดันก็คลายลง จงแดพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงเข้าใจ “ผมก็นึกว่าคุณจะหายไปอยู่ที่นั่นซะอีก...” ร่างโปร่งพูดอ้อมแอ้ม สายตาเลิ่กลั่กเสมองไปทางอื่นเวลาพูดไปด้วย ท่าทีแบบนี้แหละถึงจะเรียกว่าจงแดตัวจริง เอ๋อๆมึนๆ แต่อย่าให้โหดเถอะครับ ไม่งั้นผมได้เจ็บตัวแน่ๆ อย่างเมื่อกี้ไง ...T_T
“งั้น... ผมขอตัวกลับไร่ก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะครับ...” ผมส่งยิ้มสุดท้ายของวันนี้ให้เค้าก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกพักหนึ่ง หันหลังเดินจากไปเพื่อจะไปรอรถที่หน้าโรงพยาบาล ถามว่าใจหายมั้ย? หายนานแล้วครับตั้งแต่เมื่อคืน ผมเองก็ไม่ได้มัวแต่คิดแผนชั่วๆอยู่อย่างเดียวหรอกนะ -__- ผมแอบวิตกอยู่พักหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่ต้องกลับไร่ แล้วพอมามีปัญหาที่จะต้องไปเคลียร์ที่โซลอีก ผมยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ เพราะผมจะไม่ได้เจอจงแดอีกแล้ว ถ้าตัวยังอยู่ที่นี่อ่ะพอว่า ผมยังหาเรื่องแวบมาหาเค้าได้ แต่นี่ไปโซลเลยนะ....
“เดี๋ยวก่อนสิครับ!” เสียงร้องเรียกของของอีกคนทำให้ผมต้องหันไป จงแดวิ่งตามมาหยุดยืนใกล้ๆผม มือข้างหนึ่งเค้าฉุดมือของผมเอาไว้ บีบแน่นราวกับจะพิสูจน์ว่าผมยังไม่หายไปไหน “ผมขอ..ผมขอไปส่งนะ”
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง...” ตอนนี้รถปอร์เช่สีน้ำเงินของจงแดหยุดจอดที่หน้าไร่ผมแล้ว การที่เค้าไม่ได้เข้าไปส่งข้างในเพราะผมบอกว่าไม่อยากให้ลำบากตอนถอยรถกลับออกมา เพราะในไร่รถส่งสตรอเบอรี่ก็เต็มไปหมดแล้ว ถ้าขืนให้ปอร์เช่คันโตนี่เข้าไปอีกคัน ต้องมีการชนหรือสีกันแน่ๆ ถึงจะมั่นใจว่าจงแดไม่ใช่คนประมาท แต่ก็การที่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ไม่ใช่หรือ –w-
“ไม่เป็นไรครับ ...” มือทั้งสองข้างของเค้ายังกำพวงมาลัยแน่น แต่พอเค้าเห็นผมกำลังจะถอดสายคาดเบลท์ออก มืออุ่นข้างหนึ่งของหมอจงแดก็เอื้อมมากุมไว้ ผมมองหน้าเค้าด้วยความตกใจ อยู่ๆก็มาจับมือแบบนี้ ผม... ผมตั้งตัวไม่ทันนะ...
“ไม่ไปไม่หรอซูโฮ?” มือหยาบบีบเน้นเบาๆ จนผมรู้สึกได้ถึงน้ำเหงื่อที่ผุดพรายในมือจนเปียกแฉะ
“ไม่ได้หรอกครับ ผมต้อง...” คำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมากลืนลงคอหายไปหมด ทันทีที่ร่างโปร่งของจงแดโน้มตัวลงมาประกบริมฝีปากกับผม ไม่มีการรุกล้ำ เป็นเพียงสัมผัสอุ่นร้อนและความนุ่มนิ่มของริมฝีปากเล็กเรียวของเค้าที่มอบให้ผม
เราสองคนอยู่ค้างแบบนั้นเนิ่นนาน จนฝ่ายที่ผละออกมาก่อนคือเค้า จงแดพูดกับผมเบาๆ น้ำเสียงเข้มสั่นเทาน้อยๆ “หวังว่าเราจะเจอกันในเร็ววัน... โชคดีครับ”
“ค...ครับ โชคดีนะครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก ใบหน้าและจมูกของผมร้อนผะผ่าว ผมรีบย้ายตัวลงจากรถยนต์คันงามของเค้า น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนเริ่มคลอรื้นขึ้นมาเสียดื้อๆ มันหน่วงจนผมมองเห็นทางข้างหน้ามัวและเบลอไปหมด ผมรีบเดินดุ่มเข้าไร่อย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้เค้าเห็นน้ำตาของคนอ่อนแออย่างผม ผมจะร้องไห้ทำไมกัน แค่แปปเดียวเองที่ผมจะหายไป แค่แปปเดียวเองที่ผมต้องไปสะสางทุกอย่างแล้วจะรีบกลับมา แค่แปปเดียวเอง....
.
.
.
จงแดขับรถออกมาห่างไกลจากบริเวณไร่พอสมควร หมัดหนักๆถูกปลดปล่อยลงที่แตร มันส่งเสียงไปดังทุ่งกว้างไกล ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา ช่วงเวลาดีๆที่เค้าได้เจอกับจุนมยอนทำไมมันช่างสั้นเหลือเกิน ใจทั้งดวงมันเจ็บแปลบและรู้สึกปวดร้าวราวกับมีใครไปบีบมันไว้ …
“คุณแม่ผม... อาการเป็นยังไงบ้างครับหมอ?” น้ำเสียงหวานเล็กยังดังก้องในโสตประสาท...
“แล้วผมต้องเอ่อ... พาคุณแม่มาตรวจอะไรเพิ่มเติมอีกรึเปล่าครับ?” ท่าทางที่ดูงุ่มง่ามและเคอะเขินของอีกฝ่ายยังฉายชัดเจนในดวงตา...
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณจงแด...”
“ลาก่อนครับ... คุณซูโฮ....”
ย๊ากกกก ตัดจบแชปสามตัดให้ขาดเลยฉับๆๆ –w- เป็นยังไงบ้างคะ ตอนนี้ซูโฮของเรากำลังจะโกทูโซลแล้วนะ หลังจากเป็นเด็กไร่มานาน หลายๆคนอาจจะสงสัยอยู่บ้างว่าตกลงนี่มันฟิคเทาโฮหรือเฉินโฮ 5555555 ขอยืนยันตรงนี้ว่าเป็นเทาโฮอย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้วในใจลึกๆไรเตอร์เองก็แอบเชียร์เฉินโฮอยู่นะ #โดนตบ
เมื่อวานไรเตอร์ได้ไปงานฟิคที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์มาด้วยแหละค่ะ ตอนแรกคิดว่าบูทงานจะใหญ่นะ ที่ไหนได้เล็กมากเลย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคของไรเตอร์เท่าไหร่ 555555 ได้โปสเตอร์ชรงแดกับของจุกจิกมานิดหน่อย รวมๆก็สนุกมากเลยล่ะค่ะ อยากให้จัดแบบนี้อีก จะได้ไปแหกกระเป๋าเงินเล่น T_T
1 เม้น = 1 กำลังใจ เม้นน้อยมากจนเค้าใจหายเลยนะตัวเอง ._. แต่ยังไงก็ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่านนะคะ รักนะจุ๊บๆ ♥
ความคิดเห็น