คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 2 - หมอหนุ่ม
COUPLE : TAO x SUHO
RATE : PG13
CATEGORY : Romantic , Comedy
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
2
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมหยุดร้องไห้ไป เหลือเพียงคราบน้ำตาเกรอะกรังจนรู้สึกเหนียวแก้ม พยาบาลหลายคนเดินเข้าออกห้องผ่าตัดเป็นว่าเล่น แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมชื้นใจเลยซักนิด ทุกอย่างในโรงพยาบาลมันดูน่ากลัวไปซะหมด กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป กลัวว่าแม่จะจากผมไป ผมยังไม่พร้อมให้เกิดเรื่องแบบนั้น
มันนานเกินไปแล้วที่ผมนั่งจับเจ่าอยู่หน้าห้องผ่าตัด ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเลยซักนิด โรงพยาบาลขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ยื้อชีวิตของใครหลายๆคน แต่สำหรับผม มันก็เป็นสถานที่จบชีวิตของใครหลายๆคนเหมือนกัน
. เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณหมอในชุดผ่าตัดสีเขียวเรียบๆก้าวเดินออกมาจากห้องผ่าตัด ผมพยายามกลืนก้อนน้ำตาที่เกือบจะไหลออกมาลงคอเสียหมด สูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกสติ พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เอ่ยถามคุณหมอออกไป
“คุณแม่ผม... อาการเป็นยังไงบ้างครับหมอ?” ผมประคองมือที่สั่นระริกไว้อย่างอยากลำบาก อยากจะตะเบ็งเสียงแหกปากร้องไห้ออกมาดังๆ เตียงของแม่ถูกบุรุษพยาบาลและทีมพยาบาลเข็นสวนผมไปอีกทางตรงข้าม ผมแอบที่มองตามไปเสียไม่ได้ สีหน้าของแม่ดูมีสีเลือดขึ้นมานิดหน่อย เปลือกตาทั้งสองข้างปิดสนิท รอยแผลจากการที่ล้มหัวฟาดขอบอ่างน้ำยังดูสดและเด่นชัด ผมหันไปมองได้เพียงครู่เดียวก็ต้องรีบหันมาเผชิญหน้ากับคุณหมอต่อ
ผมอยากรู้คำตอบจากปากหมอใจจะขาด ความรู้สึกตอนนี้เหมือนผมกำลังดิ่งลงเหวที่มืดมิด คำตอบของหมอที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกมาเท่านั้นที่จะฉุดผมขึ้นมาจากเหวได้ หรือไม่มันก็อาจจะเป็นก้อนหินหนักๆที่ถ่วงผมให้จมสู่เบื้องล่างของหุบเหวให้เร็วขึ้น
“หมอต้องขอแจ้งญาติผู้ป่วยเลยนะครับว่าทางผู้ป่วยเป็นโรคฮีโมฟีเลียซึ่งเรียกง่ายๆว่าอาการที่เลือดออกเยอะเกินผิดปกติ ถ้ามีอาการฟกช้ำหรือมีบาดแผลเนี่ยเลือดจะหยุดไหลช้ากว่าคนปกติ ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยนี่เกิดอาการช็อคได้ง่าย” ผมก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าแม่เป็นอะไร แต่ทั้งๆที่รู้ ผมก็ยังปล่อยให้แม่ต้องบาดเจ็บ ลองคิดดูสิครับถ้าผมขึ้นบ้านช้ากว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม ความเป็นไปในไร่ ทุกอย่างจะสั่นคลอนหมด ...
“ตอนนี้ผู้ป่วยเองก็อยู่ในภาวะที่พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลก่อนซักสองสามคืนเพื่อดูอาการและให้เลือดทดแทนด้วย” คุณหมอหนุ่มยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มของเค้าทำให้ผมสบายใจขึ้นเล็กน้อยอย่างเสียไม่ได้
“ผมอยากให้คุณอย่าเป็นกังวลเลยนะครับ เพราะตัวคนไข้เองก็มารับการรักษาอยู่บ่อยๆ เพราะอาการของคนไข้เองก็ถือว่ายังรุนแรงน้อยอยู่ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแสดงอาการออกมานอกเสียจากต้องบาดเจ็บๆหนัก และอีกอย่างคนไข้เองก็ต้องการกำลังใจ ขืนคุณทำหน้าหมดอาลัยตายอยากแบบนี้เข้าไป คุณแม่ท่านจะไม่สบายใจเอานะครับ”
หมอหนุ่มมอบรอยยิ้มหวานละมุนให้ผมเป็นการส่งท้าย ก่อนจะขอตัวเดินเลี่ยงไปจัดการกับอีกเคสที่เข้ามาพอดี ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่กับพังทลายลงไปซะหมด ผมเผลอยกยิ้มน้อยๆขึ้นมา อ๊ะ! บ้าจริง นี่ผมยิ้มอะไรเนี่ย? บ้าที่สุดเลย ผมคงต้องยิ้มกับคำพูดของหมอสิ ไม่ใช่รอยยิ้มของหมอ ...
“คุณคงเป็นญาติของคุณยองอึนใช่มั้ยคะ?” เสียงเล็กเอ่ยถามขึ้นจนผมต้องหันหลังไปมองหลังจากที่แอบลอบมองตามหมอหนุ่มที่เดินออกไปจนลับตา พยาบาลหน้าหวานส่งยิ้มให้ผม “ไม่ทราบว่าต้องการเข้าพบคนไข้ตอนนี้เลยมั้ยคะ?”
“ครับ ตอนนี้เลย” ผมเผลอยิ้มออกมา คุณพยาบาลสาวหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นว่าท่าทีของผมดูลนราวกับเด็กเล็กๆ ผมไม่ได้ใส่ใจหรอกครับ ในหัวผมมีแต่แม่ ใครจะมองว่าผมตลกก็ช่าง การที่ผมห่างแม่เพียงไม่กี่ชั่วโมง และยิ่งเป็นชั่วโมงที่ชี้ถึงความเป็นความตายของแม่ ผมเองก็อดดีใจไม่ได้ แม่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ท่านตื่นขึ้นมา แล้วต่อว่าผมว่าเป็นเด็กขี้แย ผมก็ยอม
นางพยาบาลสาวพาผมเดินไปอีกตึก ตึกที่หล่อนพาผมเดินมานี้น่าจะเป็นตึกสำหรับพักฟื้นผู้ป่วยเกือบทั้งหมด ระหว่างทางผมแอบเห็นอากงอาม่าหลายท่านเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะของโรงพยาบาลบริเวณข้างๆตึกด้วย ทางโรงพยาบาลมีสถานที่แบบนี้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะการที่ต้องให้คนแก่อุดอู้อยู่เพียงแต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ หรือการที่ต้องทนฟังเสียงโหวกเหวกโวยวายน่ารำคาญของญาติคนไข้คนอื่นในห้องรวม มันดูน่าอึดอัดและน่าเบื่อที่สุด สู้ปล่อยให้คนไข้มาสูดอากาศบริสุทธิ์ นั่งพักผ่อนหย่อนใจริมสระน้ำกว้างใหญ่ยังจะดีซะกว่า
หล่อนพาผมขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นสาม ชั้นนี้ดูเงียบสงบผิดแผกจากบรรยากาศข้างล่างมาก แต่ก็พอรู้ว่าแต่ละห้องมีคนไข้นอนพักฟื้นอยู่เหมือนกัน ชั้นนี้คงจะเป็นชั้นของผู้ป่วยพิเศษ เพราะดูจากความสะอาดเรียบร้อย กลิ่นหอมที่แตกต่างจากตึกของวอร์ดศัลย์ที่ผ่านมา ชั้นนี้ผนังถูกทาเป็นสีเหลืองครีมอ่อนๆและสีเขียวเย็นๆสบายตา บนผนังก็มีการติดรูปภาพวิวทิวทัศน์สวยๆให้ได้ชมด้วย
“ถึงแล้วค่ะ ตอนนี้คนเองกำลังนอนพักผ่อนอยู่ อย่าส่งเสียงดังรบกวนนะคะ” เธอบิดลูกบิดประตูให้เปิดออกหลังจากที่เดินถึงห้องพักของแม่ผม บรรยากาศภายในห้องดูสงบ ได้ยินเพียงเสียงแอร์ครางหึ่งเบาๆคลอไป ผมมองเห็นร่างของแม่นี่นอนหลับอยู่บนเตียงของคนไข้ หน้าท้องของท่านยุบลงยวบยาบและพองขึ้นตามจังหวะการหายใจ น้ำตาที่ตอนแรกว่าจะกลั้นไว้ก็ไหลออกมาดื้อๆ
ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆร่างของแม่ที่ยังหลับไหลไม่ได้สติอยู่ ผมส่งมือของตัวเองที่สั่นเทาไปกุมมืออุ่นๆของผู้เป็นมารดา ผมนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยน ไม่ใช่น้ำตาที่มาจากความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาของความปิติยินดี ยินดีที่แม่ยังมีลมหายใจ ยินดีเหลือเกินที่แม่ยังคงไม่ทิ้งผมไป….
ถ้าแม่เป็นอะไรไป ผมคงไม่ให้อภัยตัวเอง...
“แม่ครับ...แม่ แม่ต้องรีบตื่นขึ้นมานะครับ พรุ่งนี้ผมจะเอาสตรอเบอรี่สดๆกับไก่ตุ๋นโสมร้อนๆที่แม่ชอบกินมาให้ แม่ต้องรีบตื่นมากินนะครับ...ฮึก....” น้ำตาของผมหยดเลอะเต็มมือนิ่มของแม่ สภาพหน้าตาของผมตอนนี้คงดูไม่ได้ น้ำหูน้ำตาน้ำมูกคงเลอะปนจนเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าคนตรงหน้าแล้ว
“ผมรักแม่นะครับ...”
“เบาเสียงทีวีหน่อยสิเจ้าตัวแสบ รู้ว่าชอบแต่ไม่ต้องเปิดดังขนาดนั้นก็ได้” ผมเบ้หน้าอย่างขัดใจเมื่อแม่บอกให้เบาเสียงทีวี อะไรกันผมก็แค่อยากดูบอลนี่น่า เสียงคนรายงานก็เบาซะเหลือเกิน กลัวพูดเสียงดังแล้วคนฟังหูแตกหรือไงนะ
“แม่ก็ดูคนรายงานสิ พูดงุ้งงิ้งมุ้งมิ้งอุ้งอิ้งคุ้งคิ้ง....”
“พอๆแม่รู้แล้ว! =_= อะไรมุ้งมิ้งงุ้งงิ้งของลูกฮะ? อ่ะๆงั้นเบาลงนิดเดียวก็พอ แล้วไม่ต้องไปนั่งจ้องใกล้ขนาดนั้น เดี๋ยวสายตาก็เสียหมด พอแก่ตัวลงแล้วจะลำบาก” แม่ผมบ่นกระปอดกระแปด ตอนนี้แม่ของผมอาการเริ่มดีขึ้นแล้วล่ะครับ เย่~ ท่านฟื้นตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว ตอนแรกก็ร้องจะกลับบ้าน อ้างว่าที่ไร่ไม่มีคนดูแล แต่เดี๋ยวก่อนๆคนที่ไปมาๆระหว่างโรงพยาบาลกับไร่ก็มีแต่ผมนะ มองข้ามหัวลูกชายคนนี้ไปได้ยังไง ย๊า! :@
“ได้ครับพี่ดีครับท่านรับทราบครับผม~” ผมตอบเนือยๆ พอฟื้นขึ้นก็บ่นเป็นต่อยหอยเลยนะครับแม่ผม ไอ้จะว่ารำคาญก็ไม่เชิงหรอก ดีซะอีก การที่แม่ยังพูดฉอดๆได้แบบนี้แสดงว่าแม่แข็งแรงขึ้นเยอะแล้ว ผมเองก็สบายใจไปด้วย ถึงจะเป็นการแสดงออกว่าแข็งแรงที่ดูน่ารำคาญไปบางที....
ก๊อกๆ
“ขออนุญาตเช็คความดันนะครับ” เสียงของหมอหนุ่มที่คุ้นเคยทำเอาผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความเคอะเขิน อะไรกันเนี่ยผมจะเขินทำไม =///= เจอหน้ากันเกือบทุกวันทำไมยังต้องเขินด้วยนะ ทั้งที่ผมกับเค้าก็ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย ก็แค่คุณหมอกับญาติคนไข้ แค่นั้นเอ๊ง....
แม่ลอบมองผมยิ้มๆ สายตาท่านบอกประมาณว่า ‘รู้นะว่าคิดอะไร’ พร้อมกับเอาศอกมากระทุ้งที่แขนผมเบาๆจนผมสะดุ้งโหยง จังหวะเดียวกับที่คุณหมอเดินยิ้มเข้ามา “แข็งแรงขึ้นเยอะนะครับคุณน้า”
“ฮ่าๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ยังรู้สึกเพลียอยู่หน่อยเลย แต่ไม่ใช่เพลียเพราะโรคนะคะ เพลียเพราะเจ้าลูกชายตัวดี...” ไม่ว่าเปล่ายังหันมามองผมอีก อะไรๆ ผมทำอะไรให้ถึงมาเพลียเนี่ย แค่ตอนกลางคืนชอบบ่นว่ากลัวผี ตื่นสายจนแม่ต้องลงจากเตียงมาปลุก แอบจิ๊กข้าวโรงพยาบาลของแม่มากินแค่นั้นเอง… ทำไมทุกคนทำหน้าแบบนั้นล่ะ ก็ข้าวที่นี่มันอร่อยนี่น่า อีกอย่างแม่ของผมเองก็กินไม่หมด ก็แค่จะช่วยกินให้มันหมดๆไป สงสารชาวนาตาดำๆที่เค้าต้องหลังขดหลังแข็งปลูกข้าวเฉยๆ จริงๆนะ!
“แหม ไม่หรอกครับ ลูกชายคุณน้าออกจะน่ารัก..เอ๊ย! ผมหมายถึงน่ารักที่นิสัยน่ะครับ” คำพูดทีเล่นทีจริงของคุณหมอทำผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งหน้า อะไรกัน... ทำไมหน้ามันรู้สึกร้อนๆนะ แอร์ก็ออกจะเย็น นี่ผมเป็นบ้าอะไรของผมเนี่ย ฮือ T///T
“อ่าแย่จัง... ผมมัวแต่ชวนคุยเรื่อยเปื่อยเลย ขออนุญาตนะครับ...” คุณหมอหยิบเครื่องวัดความดันพกพามาจากถาดของนางพยาบาลสาวที่ตามมาด้วย เค้าพันแถบผ้าพันแขนกับต้นแขนของแม่ จิ้มปุ่มบนหน้าจออะไรไม่รู้สองสามที “120/80 ความดันปกตินะครับคุณน้า”
ร่างโปร่งคว้าแฟ้มมาจดอะไรยุกยิก ก่อนจะปิดแฟ้มและส่งไปให้นางพยาบาลที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ตอนนี้คุณน้าพักผ่อนร่างกายได้ตามปกตินะครับ หรือถ้าอยากจะสูดอากาศบริสุทธิ์ก็ขอเชิญที่สวนสาธารณะของทางโรงพยาบาลด้านล่างข้างๆตึกได้เลย เอ่อ...ส่วนคุณจุนมยอน...”
“อ่า...ฮะ? ครับๆ” ผมมัวแต่เหม่อไปหน่อย กว่าจะรู้สึกตัวมืออุ่นๆของคุณหมอก็ทาบลงบนไหล่ของผม ร่างโปร่งดูจะขำน้อยๆกับท่าทีของผมเมื่อกี้ อ่า... คุณหมอจับไหล่ผมด้วยแหละ -///- ...
“หมอขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวหน่อยนะครับ ขอตัวลูกชายคุณน้าซักครู่นะครับ” แม่ผมพยักหน้าตอบเป็นเชิงตกลง พอคุณหมอหันหลังคล้อยไป แม่เองก็แอบยกนิ้วโป้งให้ผมด้วย ทำปากขมุบขมับแปลออกมาประมาณว่า ‘สู้ๆนะไอ้ลูกชาย!’
สู้อะไรของแม่เนี่ย!!!
“ผมคาดว่าอีกประมาณวันพรุ่งนี้ก็สามารถให้คุณน้ากลับไปพักผ่อนที่บ้านได้แล้วล่ะครับ” ผมกับคุณหมอเดินคุยเรื่อยเปื่อยมาจนถึงสวนสาธารณะที่ว่า เรามัวแต่คุยสัพเพเหระจนกว่าจะได้พูดถึงประเด็นสำคัญก็ถึงตรงม้านั่งในสวนแล้ว
“แล้วผมต้องเอ่อ... พาคุณแม่มาตรวจอะไรเพิ่มเติมอีกรึเปล่าครับ?” เสียงของผมดูตะกุกตะกักเล็กน้อยยิ่งต้องมานั่งใกล้ๆกับเขาแล้วยิ่งหนักกว่าเดิม เสียงหัวใจที่เต้นระรัวราวกับกลองยังดังก้องในหู กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆพอดีไม่แรงเกินทำให้สมองผมรู้สึกเบลอไปชั่วขณะ
“ก็มาเช็คอาการทุกๆเดือนนะครับ โรคนี้อันตราย หลายๆคนอาจจะคิดว่าการเลือดไหลไม่หยุดนี่อาจจะเป็นเฉพาะกับแผลใหญ่ๆ แต่ความจริงแล้วความรุนแรงของโรคนี้มันน่ากลัวกว่าที่คิดนะครับ บางทีภายนอกร่างกายอาจจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ภายในนี่สิน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า ถ้าเกิดเลือดมันไหลออกผิดที่ผิดทาง เท่ากับว่าแลกไปกับชีวิตของคนหนึ่งคนเลยนะครับ” ผมฟังคุณหมอหนุ่มบรรยายตาใสแป๋ว จนเค้าเองก็แอบหลุดหัวเราะมาเล็กน้อย หาว่าผมเหมือนเด็กที่กำลังฟังคุณครูเล่านิทานเลย เด็กที่ไหนจะหล่อได้ขนาดนี้ใช่มั้ยครับทุกคน! ตอบๆ!
“อ่าครับ... ว่าแต่คุณหมอทราบชื่อผมได้ไงหรอครับ?” อาจจะเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับที่กำลังคุยอยู่ซักเท่าไหร่ แต่ปากผมมันไวกว่าความคิดนี่น่า ถามอะไรออกไปหนอเรา...
“อ่อ...เอ้อ...ก็ ก็ตามแฟ้มประวัติคนไข้น่ะครับ...” หมอหนุ่มหัวเราะเสียงแห้ง เกาท้ายทอยแก้เขิน เขิน!! เขินงั้นหรอ!? “ผมทราบชื่อคุณแล้ว คุณไม่อยากจะทราบชื่อผมบ้างรึไง?”
เหมือนมีพลุหลายร้อยลูกระเบิดดังเปรี้ยงปร้างในหู ผมคงไม่ได้ฝาดใช่มั้ย?! ผมทราบชื่อคุณแล้ว คุณไม่อยากจะทราบชื่อผมบ้างรึไง? ประโยคนี้มันหมายความว่ายังไงครับ! นี่มันคือประโยคเชิญชวนกันรึเปล่า พระเจ้าจุนมยอนใกล้ตายอย่างสงบแล้ว T///T
“อ๊ะ..ฮ่าๆ... ว่าแต่คุณหมอชื่ออะไรหรอครับ?...” ผมพูดเสียงอู้อี้ในลำคอ ก็คนมันเขินนี่น่า ให้ทำไงได้ ผมยังไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกตอนนี้ผมคิดอะไรอยู่กันแน่ ผมแค่รู้สึกดีเวลาที่เค้ายิ้มให้ พูดด้วยน้ำเสียงหวานๆ นี่มันคือความรู้สึกอะไรกันแน่นะ แต่อย่าพึ่งไปคิดถึงเรื่องนั้นเลย ผมกำลังมีความรู้สึกดีๆให้ผู้ชายใช่มั้ยเนี่ย!
“จงแด... คิม จงแดครับ” รอยยิ้มที่เคยเจอครั้งแรกถูกส่งมาให้ผมอีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มที่ละมุนละไมสุดๆ เมื่อมาอยู่บนใบหน้าของจงแด ทำไมเค้าถึงน่ารักขนาดนี้นะครับทุกคน อยากจะตายคากองสตรอเบอรี่จริงๆ!
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณจงแด...”
“เรียกว่าจงแดก็ได้ครับ มีคุณแล้วมันรู้สึกห่างเหินแปลกๆ ว่ามั้ย?”
“งั้นคุณหมอเองก็ห้ามเรียกผมว่าคุณจุนมยอนนะ ให้เรียกว่าจุนมยอน หรือไม่ก็ซูโฮ....”
“ครับ ซูโฮ J”
ตั้งแต่ที่เราแนะนำตัวกันแบบเป็นทางการเรียบร้อย คุณหมอจงแดก็พาผมไปหาอะไรกินใต้ตึก จงแดพาผมไปซื้อกาแฟร้านเจ้าประจำของเค้า เจ้าของร่างเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอัดท่าทางใจดี เราสองคนได้กาแฟมาคนละแก้ว ของผมเป็นลาเต้รสหวานนิดๆขมหน่อยๆกลมกล่อมกำลังดี ส่วนของจงแดเองขอเป็นเอสเปรสโซรสเข้มสองช็อต เพราะเห็นว่าคืนนี้ต้องอยู่ดึกเนื่องจากเป็นเวรที่วอร์ดพอดี
เรื่องราวของนักศึกษาแพทย์นามว่าจงแดทำเอาผมรู้สึกทึ่ง ผมพึ่งรู้ว่าเค้าเป็นที่เก่งและกล้าแสดงออกมากๆ แรกๆเค้าเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปเป็นนิสิตแพทย์ที่จีนเค้ารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เนื่องจากต่างสถานที่และภาษาที่ต่างจากเราไป แต่ก็ยังโชคดีที่มีนักศึกษาแพทย์รุ่นพี่ที่เป็นคนเกาหลีไปเรียนด้วย เลยพอจะเอาชีวิตรอดได้อยู่บ้าง
จงแดเล่าว่าวันๆนึงมีเคสผู้ป่วยอาการปางตายมากมายหลายคน โรงพยาบาลที่นั่นแออัดกว่าของประเทศเรามากเนื่องจากจำนวนประชากรที่บาดเจ็บกับจำนวนของโรงพยาบาลที่มีมันไม่เสถียรกัน บางทีเค้าก็เคยแอบไปนั่งร้องไห้เงียบๆเพราะความเหนื่อยล้าจากการเรียนที่แสนหนัก ไหนจะภาพของผู้คนที่ล้มตายเพราะการช่วยเหลือที่ไม่ทันท่วงที แต่ก็ยังสู้มาได้จนจบ เค้ารู้สึกภูมิใจเหลือเกินเมื่อมาคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา สั่งสมทำให้เค้าเป็นหมอศัลย์มือดีของที่นี่
การใช้ภาษาจีนแบบงูๆปลาๆทำเอาเค้าเกือบสอบเป็นแพทย์ไม่ผ่าน แต่ด้วยความสามารถทางเทคนิคการแพทย์บวกกับความจำที่ดีเลิศมันก็หักล้างกันไป ก่อนจะกลับมาเป็นแพทย์ที่เกาหลีและอาศัยอยู่ในชุงช็องเพราะคิดว่าในโซลเองก็มีแพทย์ที่มีความสามารถเยอะแล้ว ควรจะแบ่งกระจายไปตามต่างจังหวัดบ้าง
“ว่าแต่คุณจุนมยอน เอ๊ย! ซูโฮเรียนทางด้านอะไรมาหรอครับ?”
“อ๋อ ผมจบมาจากคณะเกษตรศาสตร์น่ะครับ อยากจะใช้ความรู้ที่มีพัฒนาฟาร์มสตรอเบอรี่กับพวกพืชผักในไร่ให้ดีขึ้น จะได้มีผักผลไม้ที่สดใหม่ส่งกระจายไปทั่วทั้งประเทศรวมถึงต่างประเทศด้วย” ผมยิ้มน้อยๆ ความฝันของผมมีแค่นี้แหละครับ ผมเรียนเพื่อแม่ อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ที่มีอยู่ จึงเลือกเรียนสาขานี้นำมาพัฒนาไร่และฟาร์มของเราให้ถึงจุดสูงสุด
.
“ว่าแล้วก็อยากจะลองชิมสตรอเบอรี่ลูกโตๆจากไร่ของคุณจังเลยแฮะ~”
“ได้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะแพ็คหลายๆลังใส่รถบรรทุกมาให้เลยเอามั้ยครับ? -..-~”
“โห ถ้าแบบนั้นผมคงสำลักสตรอเบอรี่ตายแน่ๆเลย” เราสองคนหัวเราะครืน ไม่รู้ว่าวันนี้ผมหัวเราะเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวัน ยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมดแต่ก็ยังจะยิ้มอยู่ต่อไป อยากให้ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นนานๆเหลือเกิน โดยเฉพาะกับหมอหนุ่มน่ารักแบบนี้ ทั้งปีทั้งชาติจุนมยอนก็ยอมครับ! ^O^/
ย๊ากกก ! แชปสองเป็นอันจบลงแล้วค่ะ! ฮือ นักอ่านหายไปไหนคนเม้นหายไปไหนน้องน้อยใจนะพี่ชาย(?) แต่งด้วยความเมาสุดๆ ตัวของผู้แต่งไม่เคยเห็นเจอนะคะสำหรับผู้ที่เป็นโรคฮีโมฟีเลีย แต่พอไปอ่านตามบทความในเว็บไซต์ต่างๆที่ลงไว้ก็น่ากลัวเหมือนกันนะ เอาเป็นว่าคนที่ไม่ได้เป็นอะไรก็รักษาร่างกายให้แข็งแรง ส่วนคนที่เป็นโรคนี้ก็ขอให้ใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาทนะคะ 1 เม้น = 1 กำลังใจนะคะนักอ่านทุกท่าน ♥ ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ
ความคิดเห็น