คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1 - ครอบครัว
COUPLE : TAO x SUHO
RATE : PG13
CATEGORY : Romantic , Comedy
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
1
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกคิดมากเรื่องแบบนี้ซักที ผมบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีสิ!! อย่ามาเซ้าซี้ได้มั้ย!!” เด็กน้อยก้มหน้าเงียบนิ่ง ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ดวงตากลมโตสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ด้วยอายุที่ยังไม่ถึงสิบขวบ แต่กลับต้องมาเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรงบนโต๊ะอาหารที่อยู่ๆก็ปะทุขึ้น มันก็ยากเหลือเกินที่จะพยายามไม่ร้องไห้ต่อหน้าพ่อและแม่ แค่นี้ก็วุ่นวายพอแล้ว... เค้าคิดแบบนั้น
“คุณอย่ามาโกหกกันได้มั้ย! นี่คิดว่าฉันโง่มากนักหรอที่จะไม่รู้เลยว่าคุณแอบกกใครเอาไว้! แต่จะว่าฉันโง่ก็ได้นะ... เพราะฉันดันโง่มองข้ามนังคนใช้ตัวดีนั่น!” จุนมยอนเผลอเงยหน้ามอง ‘คิมยองอึน’ ผู้เป็นมารดาแวบหนึ่ง แววตาที่เกรี้ยวโกรธและเต็มไปด้วยไฟโทสะตวัดมองไปทางคนใช้สาว ‘อู๋เฟ่ยเทียน’ เมื่อถูกจ้องก็หลุบตาต่ำไม่กล้ามองหน้าผู้เป็นเจ้านาย ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นภายในจิตใจเจ้าหล่อนเงียบๆ ..
ไม่ใช่ว่าหล่อนยอมคุณชายผู้มักมากในกาม ไม่ใช่ว่าหล่อนรักเค้า หล่อนมีครอบครัวมีลูกแล้ว...
แต่เพราะความเมา มันทำให้คนดีๆคนหนึ่งแปดเปื้อนและถูกตราหน้าเป็นอีตัว
“ฉันไม่คิดเลย ไม่คิดเลยซักนิดว่าพวกแกทั้งสองคนจะหักหลังฉัน!” น้ำเสียงของยองอึนเริ่มสะดุดและขาดห้วง ในหัวใจเต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บช้ำถึงที่สุด สุดท้ายแล้วน้ำตาอุ่นๆก็ไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวย ทุกคนในห้องอาหารเงียบกริบ ยองอึนเช็ดน้ำตาลวกๆอย่างใจร้อน หล่อนเดินอ้อมโต๊ะไปหาลูกชายที่นั่งเงียบอยู่ จูงกึ่งกระชากเค้าไปจากโต๊ะอาหาร ตอนนี้เธอไม่เหลือใครแล้ว ในหัวสมองมันว่างเปล่า หูรับรู้แต่เพียงเสียงสะอื้นไห้ของผู้เป็นลูกชายที่ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บที่ถูกมารดาลากออกมา
เจ็บ.... เจ็บเหลือเกิน
ทำไมคนที่เธอรักถึงต้องทำแบบนี้กับเธอด้วย!....
“ค..คุณแม่ฮะ... ผมเจ็บมือ.. ฮึก ผมเจ็บ”
เสียงเล็กๆของเด็กน้อยไม่ได้ทำให้เพลิงแค้นที่สุมอยู่ในอกมอดไหม้ไปเลย เมื่อถึงห้องนอนก็คว้าเอาเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นโยนใส่กระเป๋า ทำไม! ทำไมทุกคนถึงทำกับหล่อนแบบนี้! คนที่เคยไว้ใจอย่าเฟ่ยเทียนเองก็ด้วย หล่อนเห็นเธอเป็นอะไร ความเอ็นดูและเมตตาของเธอไม่ได้แทรกซึมเข้าไปในหัวสมองหรือต่อมศีลธรรมเลยหรืออย่างไร
“อย่าร้องสิเด็กดีของแม่ การร้องไห้มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกรู้มั้ย ถึงลูกร้องไห้ไปมือลูกก็ไม่หายเจ็บใช่มั้ย? ถูกหรือเปล่า” ถึงปากจะพร่ำสอนบอกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนว่าให้หยุดร้อง แต่ตัวเองกลับปล่อยโฮออกมาราวกับเขื่อนแตก นี่แหละนะที่เค้าว่าสอนคนอื่นได้แต่ทำตามที่ตัวเองสอนไม่ได้
เสื้อลายการ์ตูนแบทแมนตัวสุดท้ายของลูกชายถูกยัดใส่กระเป๋าเดินทางใบโต และเตรียมจะยกลงมาจากเตียง เป็นช่วงจังหวะเดียวกับร่างของผู้เป็นสามีที่เดินขึ้นมาตามพอดี เมื่อคุณคิมเห็นเข้าก็รีบปรี่เข้าไปดึงตัวภรรยาพร้อมทั้งกระชากกระเป๋าเสื้อผ้าออกจากมือของหญิงสาวทันที ตามมาด้วยเฟ่ยเทียนที่ตรงเข้ามาโอ๋เจ้าชายน้อยที่ยืนสะอึกสะอื้นอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง มือนุ่มของหญิงสาวลูบไปตามรอยแดงที่คุณนายคิมได้ทำไว้ พลางลูบหัวปลอบประโลมให้เด็กชายหยุดร้อง
“แก!! ออกไปห่างๆจากตัวลูกชายฉันนะ เสนียด!!” คำสบถหยาบคายพรั่งพรูออกมาจากปากยองอึนทำเอาเฟ่ยเทียนสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบคลายกอดและออกห่างจากคิมจุนมยอน ภาพคนที่แสนอ่อนโยนและโอบอ้อมอารีได้หายตายจากไปแล้ว เหลือเพียงภาพของผู้หญิงที่จิตใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น...
“คุณมันบ้าไปแล้ว! มีสติหน่อยสิ นี่ต่อหน้าลูกนะ คุณพูดจาแบบนี้ได้ยังไง!”
เพียะ!
เสี้ยวหน้าคมหันไปตามแรงตบ คุณชายใหญ่นิ่งงัน ความชาแล่นริ้วไปทั่วแก้มชั่วขณะก่อนจะแทนที่ด้วยความแสบร้อนแทน เค้าตกใจมาก... เพราะตัวของเค้าเอง ทำให้ภรรยาที่น่ารักและใจดี ที่พร้อมเป็นที่ปรึกษาเวลาที่เค้ารู้สึกท้อแท้กับงานที่บริษัท รอยยิ้มที่เป็นยาชั้นดีที่บรรเทาอาการเหนื่อยล้ายามกลับมาจากการทำงานแสนหนักของลูกชาย ภาพของครอบครัวสุขสันต์ที่มีเพียงพ่อแม่ลูกกลับถูกสุราและอารมณ์ชั่วขณะทำลายจนป่นปี้..
คุณคิมแทบยืนไม่ติดพื้น เค้าเซถอยห่างออกมาจากร่างของภรรยา มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบแก้มหยาบเบาๆ ยามที่เนื้อสัมผัสเนื้อมันช่างเจ็บปวด แต่ไม่ได้เจ็บปวดที่ร่างกาย มันกลับเจ็บปวดที่ใจต่างหาก…
“ยังมีน้ำหน้ามาพูดดีอีกนะ คนอย่างคุณน่ะ..คนอย่างคุณ! …” คุณนายคิมสะอื้นตัวโยน ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกก็ตาม ผู้หญิงคนอื่นอาจจะรับได้ อาจจะคิดว่าแค่ครั้งเดียวมันจะเป็นอะไรไป แต่แค่ครั้งเดียวที่ทุกคนปล่อยเลยไปนี่แหละ มันกลับทำให้เกิดครั้งต่อไปเรื่อยๆ เพราะความไม่รู้จักพอของผู้ชาย!!
“พอกันที ฉันทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ฉันรังเกียจ ฉันขยะแขยง…” ร่างโปร่งของหญิงสาวคว้าเอากระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบโตเดินหลบออกมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะจูงลูกชายไปด้วย หล่อนเดินไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองหญิงโฉดชายชั่วที่อยู่เบื้องหลัง ชีวิตต้องมีต่อไป ปัญหาครอบครัวไม่ทำให้ชีวิตของเธอกับลูกชายจบสิ้นไปซะทีเดียว เธอยังมีจุนมยอน จุนมยอนยังต้องเดินต่อไป...
“คุณแม่จะไปที่ไหนหรอ ฮึก..” จุนมยอนหยุดร้องไห้ได้ซักพักแล้ว เค้ายืนมองมารดายัดกระเป๋าใส่ท้ายรถทั้งน้ำตา ในหัวของเด็กน้อยได้แต่ถามซ้ำไปซ้ำมา ทำไมพ่อต้องทำร้ายแม่ ทำไมพ่อต้องต้องทำแม่ร้องไห้?
“เราจะไปให้ไกลจากที่นี่ …” หล่อนพูดเสียงแผ่วหลังจากปิดกระโปรงท้ายรถ ก่อนเดินมานั่งยองๆตรงหน้าเค้า เช็ดคราบน้ำตาที่เลอะเปรอะพวงแก้มใสของลูกชายออกอย่างเบามือ “เราจะไปต่างจังหวัด ไปปลูกต้นไม้ ไปสูดอากาศบริสุทธิ์กันนะคะ” หล่อนว่าพลางลูบหัวทุยๆของลูกชายไปด้วย
“ผม..ผมอยากปลูกต้นไม้ต้นใหญ่ๆเลยฮะ!” เด็กน้อยพูดเสียงใส ผู้เป็นแม่ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา รวบตัวจุนมยอนมากอดแน่น คนที่เป็นกำลังใจสุดท้ายของเธอมีแค่จุนมยอนคนเดียวเท่านั้น เธอไม่เหลือใครแล้ว เจ้าเด็กน้อยเริ่มส่งเสียงงอแงเนื่องจากเริ่มหายใจไม่ออก คุณนายคิมคลายอ้อมกอดแน่นออก ก่อนจะอุ้มลูกชายไปนั่งบนเบาะหน้าในรถเก๋งคันงาม
“หลับซะนะคะเด็กดี ถึงเมื่อไหร่เดี๋ยวคุณแม่จะปลุก แล้วเราจะมาช่วยกันปลูกต้นไม้ต้นใหญ่ๆอย่างที่ลูกอยากปลูก...” จุนมยอนพยักหน้าหงึกหงัก หลับตาตามที่แม่บอก วาดฝันแบบเด็กๆว่าจะได้ปลูกต้นไม้ต้นใหญ่ๆอย่าที่พูด สัมผัสสุดท้ายที่ได้รับคือความอุ่นร้อนบริเวณแก้ม ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิทไป....
ก๊อกๆ
“จุนมยอนอา~ ตื่นได้แล้วลูก” เสียงหวานนุ่มของผู้เป็นแม่ดังแว่วในหูผม อะไรกัน~ นี่มันยังตีห้าเองนะ จุนรู้ จุนสัมผัสได้ จุนญาณทิพย์....
“โถ่อีกนิดนะครับแม่ ขออีกห้านาทีแล้วผมสัญญาว่าจะรีบลุกไปอาบน้ำ” ผมพูดว่าพลางมุดผ้าห่มนอนต่อ อีกห้านาทีจริงๆนะครับทุกคน! -_- ห้านาทียกกำลังห้านะ โฮะๆ
“ดื้อจริงๆเลยนะ ลูกใครเนี่ยหื้ม...” ผมได้ยินเพียงเสียงประตูเปิดออก ดวงตาสองข้างยังปิดสนิทภาวนาให้พระอินทร์มารับไปเข้าเฝ้าซักที แต่ก็ได้แค่คิดแหละครับ เพราะอยู่ๆผ้าห่มผืนหนาก็ถูกกระชากออกพร้อมกับนิ้วเรียวเล็กของแม่ที่ตรงมาหยิกที่หูผมในแทบทันทีที่ไร้ผ้าห่มคลุมตัว อ๊ากกก!!
“โอ๊ยแม่ๆๆๆ! T_T เบาๆหน่อยสิผมเจ็บนะ!” แม่ถอนหายใจพรืดก่อนจะปล่อยมืออกจากหูของผม แง ป่านนี้แดงไปหมดแล้วมั้งเนี่ย แม่ผมหยิกทีนี่กะจะเอาให้เนื้อหลุดติดมือไปด้วยเลยนะเนี่ย!
“ตาสว่างรึยังล่ะเจ้าตัวแสบ! บอกดีๆไม่ยอมตื่นก็ต้องเจอแบบนี้แหละ” คุณแม่ผู้น่ารักเปิดฉากต่อว่าหลังจากที่วิญญาณนางมารร้ายสิง =_=; ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาเป็นสิบกว่าปีแล้วก็ตาม แม่ของผมก็ยังคงความสวยและสาวเอาไว้ไม่เปลี่ยน ยกเว้นเพียงแต่ริ้วรอยตามวัยและผิวหนังที่นุ่มนิ่มขึ้นเพราะไขมันน้อยๆ แต่ถามว่าชอบมั้ย ชอบที่สุดเลยล่ะครับ~
“โอ้โห สว่างจนแทบอยากจะกลับไปนอนอีกรอบเลยล่ะครับ” ผมยิ้มแป้นแล้นให้แม่ เด็จแม่เองก็ยิ้มตอบผมเช่นเดียวกัน แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนหรือบริสุทธิ์ใจหรอกนะครับ เพราะผมรู้ตัวดีว่าจะต้องโดนอะไรต่อจากนี้...
ป๊อก!
“อ่าวคุณซูโฮ ไปทำอะไรมาน่ะครับ หน้าผากนี่แดงเถือกเลย” ลุงบงกีถามยิ้มๆ ในขณะที่มองผมที่นั่งลูบเหม่งตัวเองด้วยความปวด จะไม่ให้ปวดได้ไงล่ะ ก็คุณแม่ตัวดีผมเล่นดีดมะกอกกลางเหม่งผมเข้าให้กะโหลกร้าวแล้วมั้งจุนมยอนเอ๋ย..
“อ่อ คือผมเดินชนประตูน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก ^^;” ผมเลือกที่จะพูดปดไป ขืนบอกว่า ‘ก็เจ้านายลุงมาดีดหน้าผากผมเพราะผมไม่ยอมตื่นนอนมาทำงาน’ ก็อายแย่น่ะสิครับ รู้แล้วก็จุ๊ๆไว้นะ! -_-+
“เอ~ แต่ลุงว่ามันดูเหมือนรอยอะไรเล็กๆมากระแทกแรงๆเลยนะ เพราะมันแดงเป็นวงเล็ก ส่วนรอบๆนี่คงเป็นเพราะคุณซูโฮไปถู…” โถ่ลุงบงกีครับ นี่จะวิเคราะห์ตั้งสมมุติฐานไปทำเป็นโปรเจ็คงานรอยแดงบนหน้าผากของคิมจุนมยอนเลยมั้ยครับลุง -_-
“ฮ่าๆ~ ช่างหน้าผากเถอะครับ ว้าว~ วันนี้สตรอเบอรี่แดงน่ากินมากเลยนะครับ คงส่งขายได้เยอะอยู่” ผมพูดเบี่ยงประเด็นไปที่สตรอเบอรี่แทนก่อนที่ลุงขี้สงสัยจะถามอะไรไปมากกว่านี้ –w-;
ทุกคนคงจะสงสัยว่าผมทำงานอะไรใช่มั้ยล่ะครับ ^_^ ตั้งแต่ผมย้ายออกมาจากบ้านใหญ่หลังจาก ‘เหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำ’ นั่น คุณแม่ของผมหรือคุณคิมยองอึนสตรีเหล็กในดวงใจผมก็บินมาอยู่ที่จังหวัดชุงช็องแทน เรามาเริ่มต้นใหม่กับการปลูกสตรอเบอรี่ขาย คุณแม่ท่านเองก็มีไร่ของตัวเองล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากคุณยายที่เสียไปท่านเคยทำไร่สวนมาก่อน แต่เนื่องจากต้องแต่งงาน เลยต้องย้ายไปอยู่กับคุณคิมที่โซลแทน ไร่จึงเป็นที่โล่งว่างเปล่า มีแต่ทุ่งหญ้าโล่งเตียนเขียวขจี
ท่านปรับปรุงบ้านไร่ให้กลายเป็นไร่สตรอเบอรี่กว้างใหญ่ และยังปลูกพืชผักอย่างอื่นไปด้วย เพื่อส่งออกในช่วงที่หมดหน้าของผลไม้ส่งออกหลักอย่างสตรอเบอรี่ครับ คุณแม่ต้องอดทนมากในช่วงแรกเนื่องจากเศรษฐกิจและสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ทำให้ในช่วงแรกพืชผักพากันเน่าตาย แต่แม่เองก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะมีผมแม่ถึงยังต้องสู้ต่อไป จนถึงทุกวันนี้ ไร่สตรอเบอรี่ของเราก็มีแต่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ไหนจะรายได้ที่ได้จากการส่งออกอีก เราทั้งสองคนจึงอยู่กันอย่างมีความสุข และมีเงินพอทีจะช่วยเหลือคนงานชาวไร่ได้อีกหลายร้อยชีวิต
ชีวิตของผมเองตั้งแต่เล็กพอจำความได้จนถึงปัจจุบันนี้สิริอายุได้ยี่สิบสามปีก็เป็นเพื่อนร่วมชีวิตกับสตรอเบอรี่มานานนม อาศัยอยู่กับกลิ่นหอมสดชื่นของมัน ตอนเด็กๆผมต้องตามแม่ออกไปดูการทำงานทุกครั้งเพราะระแวงที่จะต้องอยู่บ้านเงียบๆคนเดียว จึงได้เห็นกรรมวิธีการปลูกต่างๆจนกระทั่งการดูแลรักษา จนกระทั่งเรียนจบมหาลัยมา ผมเลยผันตัวเป็นคนดูแลทางด้านการรักษาทั่วไป คอยไล่ดูที่ละไร่ไปเรื่อยๆ ถามว่าเหนื่อยมั้ย ผมก็เหนื่อยนะ แต่ความสุขใจที่ได้อยู่กับมันมันมากกว่า กลบความเหนื่อยไปจนหมดเลยล่ะครับ
“น่ากินจังเลย ขอจิ๊กซักลูกได้มั้ยครับ แฮะๆ...” คนงานที่อยู่บริเวณนั้นพากันหัวเราะเมื่อเห็นผมทำหน้าหื่นกระหายกับผลไม้ตรงหน้า ผมเด็ดสตรอเบอรี่ลูกโตมัน มันแดงสดแล้วดูฉ่ำเป็นพิเศษเมื่อผมเด็ดมันมาจากต้น คุณป้าคนงานยื่นขวดน้ำมาให้ล้างให้สะอาด ผมขอบคุณและรับมาล้างๆถูๆมันพอประมาณ ผมกลืนน้ำลายเอื้อก ก่อนจะกัดกร้วมไปนี่เนื้อแน่นของมันทันที
รสชาติหวานอมเปรี้ยวซึมเข้าไปในต่อมรับรสของผม ผมเคี้ยวเนื้อสตรอเบอรี่กรุบกรับ เสียงของเสี้ยนเล็กๆรอบผมมันแตกยามผมที่เคี้ยวมันทีละนิด อ่าห์~ รู้สึกมีความสุขจังเลยครับ อยากจะซื้อกลับบ้านซักสองกล่อง... เฮ้ยแต่เดี๋ยว -__-; ผมจะซื้อทำไมในเมื่อผมเป็นเจ้าของสวนเนี่ย!
“ดูทำหน้าเข้าสิคะ อย่างกับไม่เคยชิมงั้นแหละ” เสียงคุณป้าคนเดิมเอ่ยขึ้นติดตลก ตามด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้นของบรรดาป้าๆลุงๆที่กำลังเก็บสตรอเบอรี่อยู่ โถ่~ ก็มันอร่อยจริงๆนี่น่า อยากจะแบ่งปันความอร่อยให้ทุกคน แต่แบ่งปันได้แค่ทางสีหน้าเท่านั้นเอง._.
“แหม -3- ก็มันอร่อยจริงนี่น่าป้า เอางี้ครับ เดี๋ยวทุกคนแบ่งใส่ถุงกลับบ้านไปฝากหลานๆที่บ้านแล้วกันนะ ผมอยากให้เด็กๆได้ลองกินดู อยากให้ทุกคนได้กินผลไม้ของไร่เรา มัวแต่กินแต่ลูกอมที่มีแต่น้ำตาล เดี๋ยวฟันผุแย่” ผมว่าพลางยิ้มยิงฟันด้วย อวดโชว์ฟันขาวพอๆกับสีผิวให้ทุกคนได้เชยชม เป็นไงๆ ถึงกับอึ้งเลย~ =w=
“โอ๊ย แสบตาแล้วค่ะคุณซูโฮ ฮ่าๆ~” ผมหัวเราะตามหลายๆคน ตั้งแต่ลงมาดูงานที่ไร่เนี่ย ผมเล่นอะไรก็โดนแซะกลับหน้าหงายตลอดเลยนะครับโถ่ สงสัยวันนี้ดวงไม่ขึ้นแฮะ -__-;;
ผมขอตัวลาทุกคนกลับขึ้นบ้านพัก หลังจากใช้เวลาเดินตรวจตราตามแปลงสตรอเบอรี่มานับหลายไร่ เหนื่อยเอาการเหมือนกันครับ ถึงจะแค่สอบถามอีกทีจากคนที่คอยดูแลแปลงนั้นๆ บ้างก็แวะคุยกับลุงป้าๆที่ตั้งใจทำงานกัน ไม่ให้พวกเค้าเครียดหรือเบื่อกับการที่ต้องนั่งเฝ้าคอยดูแลเจ้าต้นสตรอเบอรี่ทั้งวัน เป็นผมผมคงเบื่อแย่ นั่งคอยรดน้ำ ดูว่ามีหนอนหรือวัชพืชขึ้นมารึเปล่า ชีวิตอย่าหยุดนิ่งจงวิ่งต่อไปทาเคชิ!
“กลับมาแล้วครับคุณแม่~ ย่าห์.. เหนื่อยมากๆเลย เย็นนี้มีอะไรกินครับหม่าม๊า~” ผมถอดหมวกแก๊ปกับเสื้อโค้ชตัวหนาพาดไว้ที่เก้าอี้ในห้องรับแขก บ้านดูเงียบผิดปกติไปนะ ปกติเวลาผมตะโกนเสียงดังแบบนี้แม่คงจะเดินออกมาจากครัวในชุดผ้ากันเปื้อนสีส้มลายทาง ตามด้วยเสียงบ่นที่ว่าผมชอบทำเสียงดังจนน่ารำคาญ แต่นี้แม่ไปไหน?
“แม่ครับ~ อยู่ในนี้หรือเปล่า?” ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้องครัว แม่ไม่ได้อยู่ในนั้น มีเพียงเตาแก๊สที่ยังทำงาน ในหม้อยังมีซุปมิโสะเดือดปุดๆส่งกลิ่นหอมที่ตอนนี้เริ่มจะไหม้แล้ว ผมเดินตรงรี่ไปปิดแก๊ส ทุกอย่างในห้องครัวก็เหมือนกับแม่ผมกำลังทำค้างไว้ แต่ที่สนใจตอนนี้คือท่านหายไปไหนต่างหาก
ผมเริ่มใจไม่ดีเมื่อเดินหารอบบ้านก็ยังไม่เจอ ทั้งในห้องน้ำห้องครัวหรือแม้แต่ห้องนอนทุกห้องผมก็ไม่เว้น เหงื่อผมเริ่มแตกพลั่กผิดกับอากาศที่หนาวจัด ผมเป็นห่วงแม่เหลือเกิน แม่เองก็ใช่ว่าเป็นที่แข็งแรงด้วย ทั้งภูมิแพ้และไหนจะโรคแทรกซ้อนอีก ไม่เอานะ.. แม่อย่าแกล้งกันอย่างนี้…
ผมยืนหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่เคยรู้สึกว่าบ้านมันกว้างขนาดนี้มาก่อน น้ำตาผมเริ่มคลอหน่วงจนมองเห็นทุกอย่างมัวไปหมด จมูกเริ่มร้อนขึ้นมาดื้อๆ
อะไรกันจุนมยอน นี่ยี่สิบกว่าแล้วนะร้องเป็นเด็กๆไปได้...
“ฮึก ... แม่ครับแม่อยู่ไหน...” ผมเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างกับเด็กๆ ไม่มีอะไรต้องอายเมื่ออยู่ในบ้านเงียบๆแค่คนเดียว ผมเป็นคนติดแม่ตั้งแต่เด็กๆ การที่ต้องใช้ชีวิตกับแม่มาตั้งแต่เด็กกันสองคนทำให้ผมไม่อยากจะห่างแม่ไปไหน และทำใจรับไม่ได้เวลาที่แม่เป็นอะไรไป น้ำตาของผมเริ่มไหลทะลักออกมาอย่างกับเขื่อนแตก ทั้งบ้านได้ยินแค่เสียงร้องไห้สะท้อนดังทั่วทั้งบ้าน
“จุน..จุนมยอน....” เสียงครางหวิวดังผ่านสายลมมา ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมา ตะกี้มันเสียงแม่นี่ เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นเลยแม้แต่น้อย เสียงของแม่เหมือนจะขาดรอน ราวกับใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปล่งมันออกมา ผมเช็ดน้ำตาออกอย่างรีบร้อน เดินไปตามเรียกเรียกหาของแม่ที่เริ่มแผ่วลงทุกๆที
“แม่!!! แม่ครับ!!!” ผมแทบล้มทั้งยืน ทันทีที่ได้เห็นร่างของแม่นั่งหอบหายใจรวยรินพิงกับผนัง เลือดที่บริเวณหน้าผากยังไหลไม่หยุด ใบหน้าแล้วริมฝีปากของแม่ซีดเผือกและแห้งแตก ท่านยกยิ้มเล็กน้อยเมื่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงหน้า แม่ค่อยๆยกแขนที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ปากพร่ำเรียกแต่เชื่อผมไม่หยุด...
“จ...จุนมยอนของแม่ ..........”
ย๊า! จบแชปหนึ่งแล้วค่ะทุกคน โอยเอาไรเตอร์ปวดหัวไปรอบนึง เป็นไงมั่งสนุกมั้งคะฮือ T_T ไรเตอร์เองมัวแต่คุยกับเพื่อนเพลิน คุยไปแต่งไปเวลาก็ล่วงเลยมายันเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่ง 555555555 สนุกไม่สนุกติชมกันมาได้นะคะ แต่ยังไงก็อย่าลมเม้นให้กำลังใจกันด้วยล่ะ! อย่าลืมนะท่านผู้อ่านทุกคน รักนะจุ๊บๆ :D
© Tenpoints!
ความคิดเห็น