คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รอยแค้นที่ฝังลึก
“ว้ายยย....ไอ้นนท์...... ไอ้ลูกกาฝาก.....แก......ออกไปไกลๆลูกหนูของฉันเลยนะ....แกคิดจะทำร้ายลูกฉันใช่มั้ย บอกมาเดี๋ยวนี้ ไอ้ตัวอิจฉา ไม่งั้น แกได้ตายคามือฉันแน่” เสียงแหลมสูงของประมุขแห่งวังไพศาลศักดิ์ดังขึ้นมาท่วมทั้งห้องโถงใหญ่ ทำให้บรรดาสาวใช้กำนัลวิ่งแตกตื่นออกมา โดยเฉพาะแม่นมอายุเก่าแก่ของวังที่ออกจะดูหวั่นวิตกมากที่สุด
ภาพที่สาวใช้ทั้งหลายนั้นเห็นก็คือ ประมุขของพวกหล่อนกำลังกระชากดึงแขนของเด็กชายตัวเล็กขึ้นมาจนลอยจากพื้น ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งกำลังจะฟาดลงที่หน้าของเขา
“นนท์ขอโทษครับแม่เล็ก นนท์แค่อยากจะมาเล่นกับน้อง....ฮือๆๆ.....” ภัทรานนท์ตอบกลับผู้เป็นแม่เลี้ยงเสียงสั่นปนกับร้องไห้ ยกมือขึ้นไหว้แสดงความกลัวให้หล่อนนึกสงสาร แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงแววตาเกรี้ยวกราดเต็มไปด้วยเพลิงโทสะส่งมาให้เขา ไร้ซึ้งความปราณีใดๆ
“อย่าค่ะ...คุณท่านข๋า อย่าทำคุณชายเลยนะคะ อิฉันขอ...ถ้าจะทำให้ทำอิฉันแทนเถอะค่ะ” พริ้มพิลัย แม่นมของเด็กชายพูดขึ้น รีบเข้ามาโอบกอดร่างของคุณชายตัวเล็กของหล่อนไว้ไม่ให้โดนฝ่ามือของผู้เป็นแม่เลี้ยง
“งั้นเหรอ นังพิลัย ได้....” ทันทีที่พูดจบ คุณหญิงก็ลงมือทั้งตบ ทั้งตีใส่ร่างพริ้มพิลัยอย่างหนำใจ
พริ้มพิลัยได้แต่กอดรัดนายน้อยเอาไว้แน่น น้ำตาซึมออกมาเพราะความเจ็บปวดระคนกับเวทนาสงสารเด็กชายที่อยู่ภายใต้ร่าง ส่วนภัทรานนท์นั้นตัวสั่นระริกเพราะความกลัวสุดขีด ได้แต่หลับตาร้องไห้อยู่อย่างนั้น สาวใช้ที่ยืนมองอยู่ได้แต่ร่ำไห้จ้องมองดูความทารุนนั้น แต่ก็มิอาจให้ความช่วยเหลืออะไรได้เลย เพราะไม่เช่นนั้นต้องถูกเฉดหัวส่งออกไปจากวังนี้แน่ๆ
“ไปเลยนะ....แกพาไอ้เด็กกาฝากนี้ไปไกลๆฉันเลย.....ป๊ายยยย” คุณหญิงทิพย์นภาตะหวาดใส่ทั้งสองเมื่อลงมือตบตีจนเหนื่อยหมดแรง
“ไปเถอะค่ะคุณชาย” เสียงสั่นเครือของแม่นมเอ่ยขึ้นทันทีที่ถูกปล่อยโอกาสให้มีชีวิตรอดไปอีกวัน พริ้มพิลัยก็รีบประคองคุณชายภัทรานนท์ออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างทุลักทุเล
“แกมันน่าจะตายไปพร้อมๆกับแม่ของแกตั้งแต่วันนั้นแล้ว.......ไอ้กาฝาก......” เสียงของคุณหญิงทิพย์นภาดังขึ้นมาตามหลังทั้งสองอย่างดุดัน แสดงถึงความเกรียวโกรธเกลียดชังเด็กชายยิ่งนัก
และประโยคนั้นเองที่มันดังก้องอยู่ในสมองของภัทรานนท์ให้จดจำจนยากที่จะลืมได้เลยในชีวิตนี้ มันบอกให้รู้ว่า ตอนนี้ เขาไม่มีค่าสำหรับโลกใบนี้ ไม่มีค่าในไพศาลศักดิ์ เหมือนส่วนเกินที่ไม่มีตัวตน เขาเจ็บปวดหดหู่ใจยิ่งนักเวลาที่เห็นแม่เลี้ยงโอบกอดผู้มีศักด์เป็นน้องสาว แต่เขาไม่เคยได้รับเลย
“คุณหนูเจ็บมากมั้ยคะ......ไม่ต้องกลัวนะคะ ต่อไปนี้นมจะอยู่ปกป้องคุณหนูไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวเลย” หญิงวัยกลางเอ่ยขึ้นเบาๆให้กำลังใจเจ้านานน้อยด้วยน้ำเสียงที่หม่นหมองเมื่อมาส่งภัทรานนท์ที่ห้องนอน สุดห้วงหัวใจหล่อนนั้นเวทนาเด็กน้อยเหลือทน แม้ว่าจะพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจหล่อนไร้ซึ่งความมั่นใจว่าจะสามารถปกป้องเจ้านายของหล่อนไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพียงไม่กี่วันที่คุณหลวงผู้เป็นบิดาของเจ้านานน้อยได้จากไป แม่เลี้ยงใจร้ายอย่างคุณหญิงทิพย์นภาก็ออกลายเสียแล้ว
“นมครับ นนท์เป็นเด็กไม่ดีหรอฮะ ทำไมแม่เล็กต้องเกลียดนนท์ ตบตีนนท์ด้วย” คำถามจากร่างเล็กๆที่นอนอยู่บนเตียงกว้างเอ่ยขึ้นด้วยความเศร้าหมองไม่ต่างจากอีกฝ่าย
“คุณหนูอย่าคิดอย่างนั้นค่ะ.....คุณหนูเป็นเด็กดี เป็นทายาทเพียงคนเดียวของไพศาลศักดิ์ คุณหนูต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของทุกคนที่นี่ เหมือนอย่างที่คุณพ่อของคุณหนู....เคยเป็น” พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้น เน้นคำสุดท้ายด้วยความสะเทือนใจ เมื่อนึกไปถึงเจ้านายผู้จากไป แล้วหลังจากนั้น ดวงตาของหล่อนก็เหม่อลอยไปข้างหน้าเหมือนนึกอะไรอยู่ในใจบางอย่าง
“คุณหนูนอนเถอะค่ะ...ได้เวลาแล้ว พรุ่งนี้เราต้องสู้ต่อไป...หลับฝันดีนะคะ” พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ พร้อมกับขยับผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมร่างเล็กเพื่อป้องกันความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในห้อง
จนสุดท้าย เจ้านายตัวเล็กของหล่อนได้ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย หล่อนรับรู้เลยว่า ต้องเป็นเพราะโดนแม่เลี้ยงเล่นงานวันนี้เป็นแน่ หล่อนได้แต่พร่ำบ่นในใจทุกวันว่ามันเป็นเวรกรรมอะไรของเด็กชาย ที่ต้องมากำพร้าทั้งบิดาและมารดาในระยะเวลาประชิดกับแบบนี้ หล่อนไม่ไว้ใจคุณหญิงทิพย์นภาเลยแม้แต่นิด เพราะเรื่องการตายของคุณหญิงสร้อยมณี มารดาของภัทรานนท์ และเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้มีสิทธิ์รับมรดกทุกอย่างของคุณหลวง มันยังเป็นเรื่องค้างคาใจหล่อนอยู่ ซึ่งตอนนี้ทรัพย์สินทุกอย่างมันได้ตกทอดมาเป็นของภัทรานนท์แต่เพียงผู้เดียว มีหรือที่แม่เลี้ยงผู้ที่มีแต่ความอิจฉาริษยาโลภมากอย่างคุณหญิงทิพย์นภาจะปล่อยมันไปง่ายๆ
“ยังไงซะ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ฉันก็จะไม่ปล่อยแกทำอะไรคุณหนูได้หรอก...ไพศาลศักดิ์จะต้องมีทายาทเพียงคนเดียว คือ คุณหนูภัทรานนท์ ผู้นี้เท่านั้น....” พริ้มพิลัยพูดกับตัวเองด้วยแววตาที่เปล่งความหวัง ให้พลังกับตัวเอง สิ่งเดียวที่หล่อนต้องการคือ ความปลอดภัยของภัทรานนท์เท่านั้น
และพรุ่งนี้แล้วที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย....วันเปิดพินัยกรรมอย่างเป็นทางการ โดยทนายประจำตระกูลของคุณหลวง
............................................
“ฮัลโหลครับ....ตอนนี้ผมกำลังเดินทางไปที่ไพศาลศักดิ์แล้วครับ.....ครับคุณหญิงทิพย์นภา......ขอบพระคุณครับ.......ครับ......สวัสดีครับ” เสียงของทนายความเอ่ยขึ้นทางโทรศัพท์ และสิ้นสุดบทสนทนาไปในลำดับต่อมา
รถยนต์คันหรูที่ทนายความนั่งอยู่วิ่งตรงมาเรื่อยๆตามถนนสายทางหลวงที่จะไปยังจุดหมาย คือ วังไพศาลศักดิ์ แต่เมื่อในเวลาต่อมา ทนายความก็ต้องเอ่ยถามคนขับรถขึ้น
“เอ๊ะ!!! เดี๋ยวนะ นี่มันไม่ใช่ทางไปวังไพศาลศักดิ์นี่....มาผิดทางหรือเปล่า” เสียงของทนายความเอ่ยถามคนขับรถอย่างตื่นตระหนกเต็มที่ ในใจเขานั้นมันมีสังหรณ์แปลกๆยังไงไม่รู้
แต่ด้วยเพราะสัญชาตญาณมันบ่งบอกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีซะแล้ว จึงทำให้ทนายความต้องหาทางเอาตัวรอดไปให้ได้
“เดี๋ยวๆๆ.....โอ้ยๆๆ......ผมปวดป้องหนัก ทนไม่ไหวแล้ว จอดตรงข้างทางข้างหน้าให้ผมหน่อย....เร็วๆสิ” ทนายความลองใช้มุขเบื้องต้น
“อะไรกัน....เราใกล้จะถึงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ทนเอาหน่อยแล้วกัน” คนขับรถตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะสถานที่ตรงนี้อยู่ห่างจากชุมชนไม่ไกลมากนัก เขาต้องขับรถออกไปให้ห่างและเปลี่ยวกว่านี้ เพื่อทำตามแผนที่วางไว้
“ไม่ไหวแล้วนะ...จอดเดี๋ยวนี้เลย...ผมบอกให้จอดไง” ทนายความขึ้นเสียงพร้อมกับทำหน้าบูดเบี้ยวให้อีกฝ่ายเห็นและเข้าใจว่าเจ็บจริงๆไม่ได้โกหก
“เอ๊ะ!!!!...บอกว่า........” เมื่อทนไม่ไหว คนขับรถคนนั้นก็ต้องเหยียบเบรก หันหน้าดุเหี้ยมกลับมาตะคอกใส่ทนายความเพื่อให้เขาหยุดเรียกร้องสร้างความรำคาญเสียที แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบ เขาก็โดนกระเป๋าสีดำใบใหญ่หนากระแทกเข้ามายังหน้าของเขาอย่างจัง จนหน้าหงายไปด้านหลัง ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเจ็บและมึนหัวแทบหลุด
ฝ่ายทนายความเมื่อจัดการกับคบขับรถนักฆ่ามือปืนด้วยด้วยกระเป๋าใบใหญ่ที่ใส่พินัยกรรมเสร็จแล้ว ก็รีบถือโอกาสเปิดประตูรถออก แล้วรีบวิ่งเข้าไปในป่าข้างทางทันที พยายามเหลียวมองหาชาวบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่มีแม้แต่หมาแมวซักตัว
“เห้ยยย....หยุดนะ.....ถึงจะหนียังไง แกก็ไม่รอดหรอกน่า” เสียงของมือปืนคนนั้นร้องมาตามหลังเมื่อตั้งสติกลับคืนมาได้ เหลือเพียงความเจ็บเท่านั้น เขารีบวิ่งตามหลังทนายผู้เป็นเหยื่อมาติดๆ ในมือก็ยกปืนกระบอกสั้นขึ้นมาเล็งใส่ทนายความ แต่ลำบากตรงที่ป่าค่อนข้างรกและทนายคนนั้นก็วิ่งหลบหลีกเก่งเสียจริง
“หยุดให้โง่สิ........ถ้ากูหยุด กูก็ถูกมึงยิงตายสิ” เสียงทนายความร้องออกมา ใส่ตีนผีวิ่งอย่างสุดชีวิตไม่เหลียวหลัง แต่ในที่สุดก็เหมือนกับชะตาชีวิตของเขาจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ เมื่อทางข้างหน้ามีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยืนขวางอยู่ และสิ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงักเท้าเอาไว้อย่างกะทันหันก็คือ ปลายกระบอกปืนในมือชายคนนั้นเล็งตรงมาที่เขา ส่วนด้านหลังก็เป็นชายคนที่ขับรถพาเขามา เหลือเพียงทางเดียวก็คือ ทางด้านข้างที่เป็นลำธาร
เขาค่อยๆก้าวถอยเบี่ยงอย่างช้าๆมาทางลำธาร สายตาจ้องมองชายทั้งสองด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะก้าวเท้าอย่างไวทำท่าจะหนีต่อ แต่ก็ไม่ทันที่จะโดนชายคนที่สองลั่นไกปืนมาตรงร่างของเขา เสียงปืนดังลั่นสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ความเจ็บปวดตรงบริเวณฝั่งหน้าอกซ้ายในตอนแรกค่อยๆลดหายไป ทุกอย่างในสายตาและความคิดของเขาค่อยๆเลือนลาง และถูกความมืดมิดเข้าคลอบคลุม ก่อนจะดับวูบลงไปในที่สุด
ร่างของทนายความเอนตกลงไปในลำธารพร้อมกับกระเป๋าเอกสารค่อยๆไหลไปตามกระแสน้ำ ชายฉกรรจ์ทั้งสองทอดสายตามองไปยังร่างแน่นิ่งนั้น ที่เต็มไปด้วยสีแดงเดือดของเลือดสดๆแผ่ซ่านไปทั่วลำธารรอบๆร่างของเขา
“นานแล้วนะเนี่ย....ทำไมคุณทนายยังไม่มาอีกนะ....เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านี่.....หรือว่า....” พริ้มพิลัยบ่นพรึมพรำกับตัวเองเบาๆหน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งไปศาลศักดิ์ เดินไปมาอย่างรุ่มร้อนใจ ในใจรู้สึกหวิวๆยังไงชอบกล
จนเวลาล่วงเลยมาเกือบจะทั้งวัน จนถึงเวลาบ่ายก็ยังไม่มีวี่แววของทนายความเลย และสังหรณ์ของหล่อนก็เหมือนจะเป็นจริง เมื่อรถของตำรวจแล่นเข้ามายังตรงที่ๆหล่อนยืนอยู่
“สวัสดีครับ.....ผมมีข่าวจะมาแจ้งเหตุกับเจ้าของวังไพศาลศักดิ์ครับ” นายตำรวจยศสูงกล่าวเมื่อลงจากรถมาตามด้วยตำรวจอีกสองนาย พร้อมกับยกมือขึ้นทำความเคารพหล่อน
“เอ่ออ....ดิฉันเป็นแม่นมของคุณชายภัทรานนท์ ทายาทคนเดียวของไพศาลศักดิ์ค่ะ มีเรื่องอะไรหรือคะคุณตำรวจ” พริ้มพิลัยรีบแสดงตัวเพื่อต้องการทราบข่าว ว่ามันเป็นอย่างที่หล่อนคิดหรือไม่
“เมื่อประมาณช่วงเช้า มีคนโทรมาแจ้งเหตุกับทางตำรวจว่ามีการยิงทำร้ายกันแถวชายป่านอกชานเมือง และต่อมาเราสืบทราบว่าผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกอุ้มฆ่าเป็นทนายความของไพศาลศักดิ์ครับ” ทันทีที่อีกฝ่ายแนะนำตัว นายตำรวจคนนั้นก็เอ่ยเรื่องคดีความของเขา
“คุณพระช่วย!!!” พริ้มพิลัยอุทานออกมาโดยเร็วด้วยความสะเทือนใจกับสิ่งที่ได้ยิน ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“คือเราพบรถทะเบียนเลขที่นี้จอดทิ้งอยู่ข้างทาง" นายตำรวจพูดพร้อมกับยกเลขที่ป้ายทะเบียนรถขึ้นมาให้หล่อนดู กล่อนจะพูดต่อ
"เราสืบทราบมาว่าเป็นรถของไพศาลศักดิ์ เราคาดการณ์ว่าผู้ร้าย จะแฝงตัวเป็นคนขับรถเพื่อนำตัวเหยื่อมาสังหารตามแผน แต่พอจะกลับบังเอิญมีชาวบ้านละแวกนั้นออกมาพบเห็น คนร้ายก็เลยวิ่งหลบหนีไปได้ ทิ้งเพียงแต่รถเอาไว้ ทางเรากำลังดำเนินการติดตามหาตัวอยู่ และจากร่องรอยการเกิดเหตุ เราพบหยดเลือด แต่ไม่พบศพของเยื่อ เราคาดว่า คงจะโยนทิ้งลงลำธาร.........ยังไงเราก็จะขอข้อมูลเกี่ยวกับทนายความคนนี้หน่อยนะครับ เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม เผื่อจะมีข้อมูลที่จะใช้ในการดำเนินคดีต่อไป” นายตำรวจชี้แจงรายละเอียดแก่พริ้มพิลัย
“อ๋อ...ได้ค่ะ....เชิญด้านในเลยค่ะคุณตำรวจ” พริ้มพิลัยกล่าวเชิญและเดินนำนายตำรวจทั้งสามเข้ามาภายในห้องโถงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ไร้ซึ่งความหวังที่ตั้งไว้ ตอนนี้หล่อนคิดหาทางออกไม่ได้เลย ว่าจะช่วยนายน้อยของหล่อนอย่างไรดี
....................................
“ว่าไง.....ดีมาก....แกทำงานให้ฉันสำเร็จ ฉันจะตบรางวัลให้ตามที่ตกลงกันไว้....พรุ่งนี้ฉันจะส่งคนเอาเงินไปให้....อ้อ....อย่าลืมอีกงานที่ฉันสั่งล่ะ เอารูปไอ้ภัทรานนท์ ในสภาพนอนจมกองเลือดส่งมาให้ฉันเป็นการยืนยัน แล้วแกจะได้มากเป็นสองเท่า” น้ำเสียงเข้มพึงพอใจของคุณหญิงทิพย์มณีพูดผ่านไปยังสายโทรศัพท์ขณะที่กำลังจะเข้าห้องส่วนตัว แล้วตัดสายไป ยิ้มเยาะอย่างมีความสุขกับความสำเร็จของแผนที่หล่อนวาดหวังไว้ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง
“คุณหนู......ไม่.........โธ่ นังมารแม่มด ฆ่าได้แม่กระทั้งเด็ก” พริ้มพิลัยดวงตาเบิกกว้างตกใจอย่างสุดขีดกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่รอช้า หล่อนรีบเดินเข้าไปยังห้องของภัทรานนท์โดยเร็ว
หล่อนเก็บของที่จำเป็นของภัทรานนท์ใส่กระเป๋าขนาดกลาง ไม่ส่งเสียงรบกวนเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงจนกว่าจะถึงเวลา และในระหว่างที่รอเวลา หล่อนก็รีบไปจัดแจงหาทางหนีทีไล่ไว้ นั่นคือคนขับรถที่ไว้ได้ที่จะไปส่งหล่อนและภัทรานนท์ หลังจากนั้นเมื่อได้เวลา หล่อนก็กลับเข้ามายังห้องของเด็กชาย
“คุณหนูคะ....คุณหนู...ตื่นเถอะค่ะ....เราต้องไปแล้ว” เสียงกระซิบเบาๆของพริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นข้างๆใบหูของเด็กชายตัวเล็กที่กำลังหลับใหลในคืนนี้
“ว่าไงฮะนมพริ้ม.....คุณพ่อเรียกนนท์หรอ” เด็กชายลืมตาขึ้นมาเพียงครึ่งเดียว ทำหน้างัวเงียบ่งบอกได้เลยว่ายังตื่นไม่เต็มที่ ลืมไปว่าคุณพ่อได้สิ้นจากไปแล้ว
“โธ่คุณหนู....ปล่าวหรอกค่ะ.....คุณหนูลุกขึ้นมาแต่งตัวใส่เสื้อหนาๆนะคะ....เราต้องไปจากที่นี่กันแล้ว นมเก็บของให้เรียบร้อยแล้ว เร็วๆเถอะค่ะ” พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมกับเวรกรรมที่ต้องเผชิญ
“ทำไมกัน.....ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะฮะนม.....เกิดอะไรขึ้น” เด็กชายเอ่ยถามเพราะความสงสัย แต่ก็ทำตามที่แม่นมบอก
“เดี๋ยวนมจะเล่าให้ฟังทีหลังนะคะ ตอนนี้เราต้องรีบแล้ว เราจะช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เราจะไม่มีโอกาสรอดอีกเลย” พริ้มพิลัยตอบกลับแล้วรีบดึงมือของเจ้านายน้อยของหล่อนเดินออกมา
และเมื่อลงมาถึงหน้าประตูวัง ก็มีไอ้ชัย คบขับรถที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพริ้มพิลัยเปิดประตูรอรับหล่อนกับภัทรานนท์อยู่
ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนรถ ภัทรานนท์หันกลับไปทอดสายตามองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาอยู่มาตั้งแต่เกิด ที่ๆมีบิดา มารดา เหล่าบรรดานางรับใช้ทั้งหลายที่คอยดูแลเขา แต่บัดนี้ มันถึงเวลาที่เขาต้องเอ่ยคำลาความทรงจำทั้งหลายที่มีทั้งความสุข ความเศร้าที่เกิดขึ้นในที่นี้ นี่คือบ้าน บ้านที่มันเป็นของเขา แต่กลับมิอาจอยู่ร่วมกัน หยดน้ำตาเล็กๆของเด็กชายล่วงหล่นลงอาบแก้มของเขาเมื่อคิดต่อไปว่า....เขา...จะได้กลับมาหาความทรงจำ ไออุ่นความรักของบิดาและมาดา อีกหรือไม่...
พริ้มพิลัยมองมายังเด็กชายที่กำลังเอามือปาดน้ำตาตัวเองอยู่ด้วยความเวทนา...ก่อนจะมองไปยังตัวอาคารคฤหาสน์หลังใหญ่เบื้องหน้าด้วยความอาลัยเช่นกัน บ้าน ที่บัดนี้ได้กลายเป็นกองเพลิงมีแต่ลวดหนามอันตรายรายล้อมพร้อมที่จะเข่นฆ่าเจ้านายน้อยของหล่อนตลอดเวลา
หล่อนมั่นใจว่า ดวงวิญญาณของคุณหลวงและคุณหญิงสร้อยมณีต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่หล่อนทำ หวังแต่เพียงให้เจ้านายผู้มีพระคุณทั้งสองจะปกป้องคุ้มครองดูแลภัทรานนท์ให้แคล้วคลาดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม
“ตาชัย....แกขับให้เร็วๆหน่อยสิวะ.....ฉันรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้” พริ้มพิลัยพูดขึ้นน้ำเสียงกังวลขณะนั่งรถมาได้ระยะหนึ่ง ห่างจากตัวบ้านได้ประมาณ สิบกิโลได้ สำหรับหล่อนแล้วระยะทางแค่นี้มันยังไม่สามารถทำให้มั่นใจว่าทุกคนจะปลอดภัยดี หล่อนจ้องมองไปยังถนนข้างหน้า ระคนกับมองทางด้านหลังไปมาอย่างรุ่มร้อนใจ อ้อมแขนของหล่อนนั้นสวมกอดร่างเล็กๆที่สั่นเครือด้วยความกลัวของภัทรานนท์เอาไว้
แม้ว่าจะไม่ได้รับการชี้แจงใดๆจากแม่นมกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่เด็กชายอายุแปดขวบก็พอจะเดาได้ว่า....มันต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของเขาอย่างแน่นอน
“คุณหนูไม่ต้องกลัวนะคะ....เราจะปลอดภัย” พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นเบาๆกับภัทรานนท์
“ใจเย็นๆเถอะแม่พริ้ม ฉันขับเร็วที่สุดแล้วเนี่ย....เออ แล้วแกมั่นใจนะว่าคุณหญิงทิพย์ไม่รู้เรื่องบ้านเกิดของแกที่อยู่บ้านนอกที่เรากำลังพาคุณหนูไป น่ะ” ชัยเอ่ยขึ้นบอกพริ้มพิลัย สายตาคอยมองทั้งกระจกหน้า มองหลังและด้านข้างเพื่อความปลอดภัย
“มั่นใจสิ....ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร” พริ้มพิลัยตอบกลับ
“ถ้าแกมั่นใจก็ดี.....แต่ฉันกลัวคนอย่างคุณหญิงทิพย์น่ะสิ ฉลาดเป็นกรดถึงขนาดแย่งคุณหลวงมาจากคุณหญิงสร้อยมณีได้ เรื่องแค่นี้ ยังไงต้องสืบรู้จนได้” ชัยแสดงความคิดเห็น ทำให้มันยิ่งสร้างความกังวลให้แก่พริ้มพิลัยเพิ่มขึ้น
ทุกอย่างที่ชัยพูดมาทั้งหมด มันเป็นเรื่องราวที่ภัทรานนท์ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน เขาประจักษ์แก่ใจก็วันนี้นี่เอง มีน่า ทุกครั้งที่อยู่กับเขาตามลำพังสองคน เป็นต้องเห็นน้ำตาของผู้เป็นมารดาหล่นลงมาอาบแก้ม พร้อมกับดวงตาเศร้าสร้อยบ่งบอกความทุกข์ระทมที่เมื่อเขามองแล้ว ต้องรู้สึกหดหู่ใจตามยิ่งนัก แต่เขาไม่เคยเอ่ยถามมารดาเลย ด้วยเพราะความเป็นเด็ก
จนเมื่อรถหรูแล่นมาจนถึงเขตนอกตัวเมือง ที่บอกให้รู้ได้โดยรถที่เคยวิ่งพลุกพล่านนั้นได้หายไปจากถนนใหญ่ ซึ่งตอนนี้มีเพียงแสงไฟรถที่ภัทรานนท์นั่งอยู่ กับรถยนต์อีกคันที่อยู่ห่างไกลจากด้านหลัง นานๆทีเท่านั้นที่จะมีแสงไฟรถสวนมาจากถนนอีกฝั่งกับรถที่จะแซงผ่านไป
เมื่อรู้ว่าตัวเองได้ขับรถออกห่างจากตัวเมืองมาไกลแล้ว จึงได้ลดความเร็วลง เมื่อมองมายังกระจกมองหลังก็พบว่าผู้โดยสารของเขาได้หลับสนิททั้งคู่ แต่เมื่อละสายตาจากทั้งสองมองไปเบื้องหลังอีก ก็พบว่า รถยนต์คันที่อยู่ด้านหลังเขาในตอนแรกยังคงขับตามมา ซึ่งตามความจริงแล้ว เมื่อเขาลดความเร็ว รถคันนั้นต้องขับแซงไป แต่นี่กลับลดความเร็วตาม
ชัยเริ่มไม่แน่ใจ จึงเร่งความเร็วขึ้นและลดลงช้าๆเป็นระยะเพื่อลองดูว่ารถคันนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ผลที่ได้คือ มันทำตามทุกอย่างที่เขาทำ
“เวรแล้วไง....นังพริ้ม ตื่นได้แล้ว....นังพริ้ม” ชัยร้องตะโกนเสียงดัง เพื่อปลุกพริ้มพิลัย
“มีอะไรรึ...เราถึงแล้วหรือ” พริ้มพิลัยเอ่ยถามเมื่อได้สติ หลังจากหลับไปได้ระยะหนึ่ง ซึ่งเสียงของชัยมันก็ทำให้ภัทรานนท์ตื่นขึ้นมาเหมือนกัน
“ถึงบ้าอะไร....มีคนตามเรามาน่ะสิ” ชัยตอบเสียงดังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นเพื่อให้พ้นจากคันที่ตามมา ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาหนีมาหรือไม่
“อะไรนะ.....คุณพระช่วย....คุณท่านข๋า....คุณหลวง คุณหญิง...ช่วยคุณหนูด้วยนะคะ” พริ้มพิลัยพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเครือ ร่ำร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวและเป็นห่วงเจ้านายตัวเล็ก ที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาชาและหวั่นวิตกไม่ต่างจากผู้ใหญ่ทั้งสอง
“บ้าเอ๊ย....จับดีๆนะ....” ชัยร้องบอกคนทั้งสอง สายตาจ้องมองรถคันที่ตามหลังมาติดๆ โดยที่ไม่ทันมองทางแยกด้านหน้า
“ตาชัยระวังรถ!!!!!........” พริ้มพิลัยร้องตะโกนเสียงดังท่วมทั่วทั้งรถ เพราะทางแยกด้านหน้านั้นมีรถบรรทุกหกล้อกำลังวิ่งมาจากแยกทางด้านซ้าย
และนั่นมันทำให้ชัยหักพวกมาลัยหลบรถคันดังกล่าวจนสุด
รถที่ทั้งสามนั่งมานั้นได้เสียหลักคว่ำลงข้างทางทันที เสียงหวีดร้องของพริ้มพิลัยเป็นสิ่งสุดท้ายที่ภัทรานนท์ได้ยินในวินาทีนั้น แผ่นหลังทางด้านซ้ายของเด็กน้อยถูกกระแทกเข้ากับเศษกระจกรถที่แตกจนเป็นแผลลึก เลือดสีแดงสดไหลออกมาท่วมตัวเหมือนจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะหมดทั่วทั้งร่างของเขา
ภัทรานนท์หมดสติไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนจะมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนอยู่ข้างๆหู
“ไอ้หนู.....เห้ย....ทำใจดีๆไว้.....” เสียงของคนๆนั้นที่เป็นเสียงของผู้ชายเรียกเขาอีกครั้ง แต่เด็กน้อยกลับไม่สามารถเอ่ยพูดตอบโต้กับคนนั้นออกมาได้แต่อย่างใด แม้แต่จะขยับตัวก็ยังไม่มีเรี่ยวแรง ทุกส่วนเย็นชาไปหมด ลำดับต่อมาร่างของเขาก็ลอยขึ้นจากพื้นดิน
ในห้วงสติที่เหลืออยู่ เด็กน้อยคำนึงถึงบุคคลผู้ใหญ่ทั้งสองที่พาเขามา เขาจ้องมองไปยังรถที่พังยับแทบไม่เหลือซาก ไม่มีร่างของทั้งสองตามเขาออกมาเลย
ในใจของภัทรานนท์นั้นเดาทุกอย่างได้เลยว่า ผู้ใหญ่ทั้งสอง คงจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับมารดาของตน น้ำตาใสๆก็เอ่อคลอ และไหลรินออกมาในที่สุด เขากำลังจะร้องตะโกนเรียกชื่อพริ้มพิลัย แม่นมที่ชุบเลี้ยงเขามาเสมือนลูกแท้ๆ และคนที่เขารักเปรียบเสมือนมารดาคนที่สอง แต่ก็ถูกห้ามด้วยคนที่อุ้มเขาออกมา
“อย่า!!!..ไอ้หนู....อย่าส่งเสียงดัง พวกมันกำลังมา” เสียงของชายผู้มีพระคุณดังขึ้นเบาๆ พาเขาหลบลงหลับพุ่มไม้ใกล้ๆที่ๆรถเขาอยู่
ภัทรานนท์จ้องมองไปยังถนน เห็นรถยนต์ที่ตามเขามาในตอนแรก กับรถยนต์คุ้นตาอีกคันที่ตามมาทีหลัง เขาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นคนที่เดินลงมาจากรถคันที่สอง
คุณหญิงทิพย์นภายืนจ้องมองรถยนต์คันที่คว่ำพังยับอยู่ข้างทางด้วยรอยยิ้ม และหัวเราะสะใจกับสิ่งที่สมหวัง
“ทำให้มันไม่เหลือแม้แต่ซาก” เสียงของคุณหญิงเอ่ยขึ้นสั่งการกับชายฉกรรจ์อีกสองคน
“ครับ...” ชายอีกคนเอ่ยรับคำสั่ง มือเขาเล็งปืนมาที่รถคันที่เขานั่งมา พร้อมกับเหนี่ยวไกปืนปล่อยลูกกระสุนไปที่ใต้ท้องรถตรงถังน้ำมันพอดี และในวินาทีต่อมารถคันนั้นก็เกิดระเบิดบูมขึ้นเสียงดัง เปลวไฟลุกมอดไหม้จนรถเหลือแต่โคลงเหล็กให้เห็น
เด็กน้อยถึงกับร่ำร้องสะอึกอยู่ข้างใน ไม่มีแม่แต่เสียง และเรี่ยวแรงจะทำการใด ได้แต่จ้องมองรถที่แม่นมเขาอยู่มอดไหม้ลงไปในพริบตา เขาไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิตนี้ ทุกอย่างจบสิ้น ต่อไปเขาจะอยู่อย่างไร
“ลาก่อนนะ...ภัทรานนท์ ทายาทไพศาลศักดิ์...ผู้อาภัพ....ไม่นึกเลยว่าแกจะมีจุดจบเช่นเดียวกับแม่ของแก.....ฮ่าๆๆๆๆๆ” คุณหญิงทิพย์นภาหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ ด้วยความคิดที่ว่า ภัทรานนท์ได้อำลงจากโลกใบนี้แล้ว
เด็กน้อยเหลียวมองหญิงคนใจร้าย ผู้ที่ขึ้นชื่อว่า “ฆาตรกร” อย่างอาฆาตแค้น ความจริงทุกอย่างมันได้ประจักษ์แก่เขาแล้ววันนี้ เขาภาวนาแก่ใจตัวเองว่า
ภายภาคหน้าต่อไป....หากเขายังมีชีวิตอยู่.....
เขา....จะอยู่เพื่อจ้องเวรจองกรรม สร้างความหายนะให้แก่หล่อนคนนี้....จนกว่าหล่อนจะได้รับโทษอย่างสาสม....ครอบครัวของหล่อนจะต้องร้าวฉานเหมือนอย่างที่เขาโดนกระทำ...ด้วยฝีมือของหล่อน
จบตอนที่ 1 ครับผม.............แล้วมาเจอกันตอนที่สอง......^^
ความคิดเห็น