ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พิศวาสร้ายกลายรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : รอยแค้นที่ฝังลึก

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.พ. 56












    “ว้ายยย....ไอ้นนท์...... ไอ้ลูกกาฝาก.....แก......ออกไปไกลๆลูกหนูของฉันเลยนะ....แกคิดจะทำร้ายลูกฉันใช่มั้ย  บอกมาเดี๋ยวนี้  ไอ้ตัวอิจฉา  ไม่งั้น  แกได้ตายคามือฉันแน่”  เสียงแหลมสูงของประมุขแห่งวังไพศาลศักดิ์ดังขึ้นมาท่วมทั้งห้องโถงใหญ่  ทำให้บรรดาสาวใช้กำนัลวิ่งแตกตื่นออกมา  โดยเฉพาะแม่นมอายุเก่าแก่ของวังที่ออกจะดูหวั่นวิตกมากที่สุด

    ภาพที่สาวใช้ทั้งหลายนั้นเห็นก็คือ  ประมุขของพวกหล่อนกำลังกระชากดึงแขนของเด็กชายตัวเล็กขึ้นมาจนลอยจากพื้น  ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งกำลังจะฟาดลงที่หน้าของเขา

    “นนท์ขอโทษครับแม่เล็ก  นนท์แค่อยากจะมาเล่นกับน้อง....ฮือๆๆ.....”  ภัทรานนท์ตอบกลับผู้เป็นแม่เลี้ยงเสียงสั่นปนกับร้องไห้  ยกมือขึ้นไหว้แสดงความกลัวให้หล่อนนึกสงสาร  แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงแววตาเกรี้ยวกราดเต็มไปด้วยเพลิงโทสะส่งมาให้เขา  ไร้ซึ้งความปราณีใดๆ

    “อย่าค่ะ...คุณท่านข๋า  อย่าทำคุณชายเลยนะคะ  อิฉันขอ...ถ้าจะทำให้ทำอิฉันแทนเถอะค่ะ”  พริ้มพิลัย  แม่นมของเด็กชายพูดขึ้น  รีบเข้ามาโอบกอดร่างของคุณชายตัวเล็กของหล่อนไว้ไม่ให้โดนฝ่ามือของผู้เป็นแม่เลี้ยง

    “งั้นเหรอ  นังพิลัย  ได้....”  ทันทีที่พูดจบ  คุณหญิงก็ลงมือทั้งตบ  ทั้งตีใส่ร่างพริ้มพิลัยอย่างหนำใจ

     พริ้มพิลัยได้แต่กอดรัดนายน้อยเอาไว้แน่น  น้ำตาซึมออกมาเพราะความเจ็บปวดระคนกับเวทนาสงสารเด็กชายที่อยู่ภายใต้ร่าง  ส่วนภัทรานนท์นั้นตัวสั่นระริกเพราะความกลัวสุดขีด  ได้แต่หลับตาร้องไห้อยู่อย่างนั้น  สาวใช้ที่ยืนมองอยู่ได้แต่ร่ำไห้จ้องมองดูความทารุนนั้น  แต่ก็มิอาจให้ความช่วยเหลืออะไรได้เลย  เพราะไม่เช่นนั้นต้องถูกเฉดหัวส่งออกไปจากวังนี้แน่ๆ

    “ไปเลยนะ....แกพาไอ้เด็กกาฝากนี้ไปไกลๆฉันเลย.....ป๊ายยยย”  คุณหญิงทิพย์นภาตะหวาดใส่ทั้งสองเมื่อลงมือตบตีจนเหนื่อยหมดแรง

    “ไปเถอะค่ะคุณชาย”  เสียงสั่นเครือของแม่นมเอ่ยขึ้นทันทีที่ถูกปล่อยโอกาสให้มีชีวิตรอดไปอีกวัน  พริ้มพิลัยก็รีบประคองคุณชายภัทรานนท์ออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างทุลักทุเล

    “แกมันน่าจะตายไปพร้อมๆกับแม่ของแกตั้งแต่วันนั้นแล้ว.......ไอ้กาฝาก......”  เสียงของคุณหญิงทิพย์นภาดังขึ้นมาตามหลังทั้งสองอย่างดุดัน  แสดงถึงความเกรียวโกรธเกลียดชังเด็กชายยิ่งนัก

    และประโยคนั้นเองที่มันดังก้องอยู่ในสมองของภัทรานนท์ให้จดจำจนยากที่จะลืมได้เลยในชีวิตนี้  มันบอกให้รู้ว่า  ตอนนี้  เขาไม่มีค่าสำหรับโลกใบนี้  ไม่มีค่าในไพศาลศักดิ์  เหมือนส่วนเกินที่ไม่มีตัวตน  เขาเจ็บปวดหดหู่ใจยิ่งนักเวลาที่เห็นแม่เลี้ยงโอบกอดผู้มีศักด์เป็นน้องสาว  แต่เขาไม่เคยได้รับเลย


    “คุณหนูเจ็บมากมั้ยคะ......ไม่ต้องกลัวนะคะ  ต่อไปนี้นมจะอยู่ปกป้องคุณหนูไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวเลย”  หญิงวัยกลางเอ่ยขึ้นเบาๆให้กำลังใจเจ้านานน้อยด้วยน้ำเสียงที่หม่นหมองเมื่อมาส่งภัทรานนท์ที่ห้องนอน  สุดห้วงหัวใจหล่อนนั้นเวทนาเด็กน้อยเหลือทน  แม้ว่าจะพูดไปอย่างนั้น  แต่ในใจหล่อนไร้ซึ่งความมั่นใจว่าจะสามารถปกป้องเจ้านายของหล่อนไปได้ตลอดรอดฝั่ง  เพียงไม่กี่วันที่คุณหลวงผู้เป็นบิดาของเจ้านานน้อยได้จากไป  แม่เลี้ยงใจร้ายอย่างคุณหญิงทิพย์นภาก็ออกลายเสียแล้ว 

    “นมครับ  นนท์เป็นเด็กไม่ดีหรอฮะ  ทำไมแม่เล็กต้องเกลียดนนท์  ตบตีนนท์ด้วย”  คำถามจากร่างเล็กๆที่นอนอยู่บนเตียงกว้างเอ่ยขึ้นด้วยความเศร้าหมองไม่ต่างจากอีกฝ่าย

    “คุณหนูอย่าคิดอย่างนั้นค่ะ.....คุณหนูเป็นเด็กดี  เป็นทายาทเพียงคนเดียวของไพศาลศักดิ์  คุณหนูต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป  ต้องเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของทุกคนที่นี่  เหมือนอย่างที่คุณพ่อของคุณหนู....เคยเป็น”  พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้น  เน้นคำสุดท้ายด้วยความสะเทือนใจ เมื่อนึกไปถึงเจ้านายผู้จากไป  แล้วหลังจากนั้น  ดวงตาของหล่อนก็เหม่อลอยไปข้างหน้าเหมือนนึกอะไรอยู่ในใจบางอย่าง

    “คุณหนูนอนเถอะค่ะ...ได้เวลาแล้ว  พรุ่งนี้เราต้องสู้ต่อไป...หลับฝันดีนะคะ”  พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ  พร้อมกับขยับผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมร่างเล็กเพื่อป้องกันความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในห้อง

    จนสุดท้าย  เจ้านายตัวเล็กของหล่อนได้ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย  หล่อนรับรู้เลยว่า  ต้องเป็นเพราะโดนแม่เลี้ยงเล่นงานวันนี้เป็นแน่  หล่อนได้แต่พร่ำบ่นในใจทุกวันว่ามันเป็นเวรกรรมอะไรของเด็กชาย  ที่ต้องมากำพร้าทั้งบิดาและมารดาในระยะเวลาประชิดกับแบบนี้  หล่อนไม่ไว้ใจคุณหญิงทิพย์นภาเลยแม้แต่นิด  เพราะเรื่องการตายของคุณหญิงสร้อยมณี  มารดาของภัทรานนท์  และเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย  ผู้มีสิทธิ์รับมรดกทุกอย่างของคุณหลวง มันยังเป็นเรื่องค้างคาใจหล่อนอยู่  ซึ่งตอนนี้ทรัพย์สินทุกอย่างมันได้ตกทอดมาเป็นของภัทรานนท์แต่เพียงผู้เดียว  มีหรือที่แม่เลี้ยงผู้ที่มีแต่ความอิจฉาริษยาโลภมากอย่างคุณหญิงทิพย์นภาจะปล่อยมันไปง่ายๆ 

    “ยังไงซะ  เป็นตายร้ายดีอย่างไร  ฉันก็จะไม่ปล่อยแกทำอะไรคุณหนูได้หรอก...ไพศาลศักดิ์จะต้องมีทายาทเพียงคนเดียว  คือ  คุณหนูภัทรานนท์  ผู้นี้เท่านั้น....”  พริ้มพิลัยพูดกับตัวเองด้วยแววตาที่เปล่งความหวัง  ให้พลังกับตัวเอง  สิ่งเดียวที่หล่อนต้องการคือ ความปลอดภัยของภัทรานนท์เท่านั้น

    และพรุ่งนี้แล้วที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย....วันเปิดพินัยกรรมอย่างเป็นทางการ โดยทนายประจำตระกูลของคุณหลวง

     

    ............................................

     

    “ฮัลโหลครับ....ตอนนี้ผมกำลังเดินทางไปที่ไพศาลศักดิ์แล้วครับ.....ครับคุณหญิงทิพย์นภา......ขอบพระคุณครับ.......ครับ......สวัสดีครับ”  เสียงของทนายความเอ่ยขึ้นทางโทรศัพท์  และสิ้นสุดบทสนทนาไปในลำดับต่อมา

    รถยนต์คันหรูที่ทนายความนั่งอยู่วิ่งตรงมาเรื่อยๆตามถนนสายทางหลวงที่จะไปยังจุดหมาย  คือ  วังไพศาลศักดิ์  แต่เมื่อในเวลาต่อมา  ทนายความก็ต้องเอ่ยถามคนขับรถขึ้น

    “เอ๊ะ!!!  เดี๋ยวนะ  นี่มันไม่ใช่ทางไปวังไพศาลศักดิ์นี่....มาผิดทางหรือเปล่า”  เสียงของทนายความเอ่ยถามคนขับรถอย่างตื่นตระหนกเต็มที่  ในใจเขานั้นมันมีสังหรณ์แปลกๆยังไงไม่รู้

    “ทางนี้มันเป็นทางลัดครับ...คุณคงไม่เคยมา...ไม่ต้องกังวลหรอกครับ....เราถึงที่แน่นอน  ในอีกไม่ช้า”  เสียงของคนขับรถตอบกลังมาด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม  จ้องหน้าทนายความผ่านทางกระจกมองหลัง  โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้มองเห็นสายตาดุดันของเขา

    แต่ด้วยเพราะสัญชาตญาณมันบ่งบอกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีซะแล้ว  จึงทำให้ทนายความต้องหาทางเอาตัวรอดไปให้ได้

    “เดี๋ยวๆๆ.....โอ้ยๆๆ......ผมปวดป้องหนัก  ทนไม่ไหวแล้ว  จอดตรงข้างทางข้างหน้าให้ผมหน่อย....เร็วๆสิ”  ทนายความลองใช้มุขเบื้องต้น

    “อะไรกัน....เราใกล้จะถึงแล้ว  อีกนิดเดียวเท่านั้น  ทนเอาหน่อยแล้วกัน”  คนขับรถตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด  เพราะสถานที่ตรงนี้อยู่ห่างจากชุมชนไม่ไกลมากนัก  เขาต้องขับรถออกไปให้ห่างและเปลี่ยวกว่านี้  เพื่อทำตามแผนที่วางไว้

    “ไม่ไหวแล้วนะ...จอดเดี๋ยวนี้เลย...ผมบอกให้จอดไง”  ทนายความขึ้นเสียงพร้อมกับทำหน้าบูดเบี้ยวให้อีกฝ่ายเห็นและเข้าใจว่าเจ็บจริงๆไม่ได้โกหก

    “เอ๊ะ!!!!...บอกว่า........”  เมื่อทนไม่ไหว  คนขับรถคนนั้นก็ต้องเหยียบเบรก  หันหน้าดุเหี้ยมกลับมาตะคอกใส่ทนายความเพื่อให้เขาหยุดเรียกร้องสร้างความรำคาญเสียที  แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบ  เขาก็โดนกระเป๋าสีดำใบใหญ่หนากระแทกเข้ามายังหน้าของเขาอย่างจัง  จนหน้าหงายไปด้านหลัง  ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความเจ็บและมึนหัวแทบหลุด

    ฝ่ายทนายความเมื่อจัดการกับคบขับรถนักฆ่ามือปืนด้วยด้วยกระเป๋าใบใหญ่ที่ใส่พินัยกรรมเสร็จแล้ว  ก็รีบถือโอกาสเปิดประตูรถออก  แล้วรีบวิ่งเข้าไปในป่าข้างทางทันที  พยายามเหลียวมองหาชาวบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ  แต่กลับไม่มีแม้แต่หมาแมวซักตัว

    “เห้ยยย....หยุดนะ.....ถึงจะหนียังไง  แกก็ไม่รอดหรอกน่า”  เสียงของมือปืนคนนั้นร้องมาตามหลังเมื่อตั้งสติกลับคืนมาได้  เหลือเพียงความเจ็บเท่านั้น  เขารีบวิ่งตามหลังทนายผู้เป็นเหยื่อมาติดๆ  ในมือก็ยกปืนกระบอกสั้นขึ้นมาเล็งใส่ทนายความ  แต่ลำบากตรงที่ป่าค่อนข้างรกและทนายคนนั้นก็วิ่งหลบหลีกเก่งเสียจริง

    “หยุดให้โง่สิ........ถ้ากูหยุด  กูก็ถูกมึงยิงตายสิ”  เสียงทนายความร้องออกมา  ใส่ตีนผีวิ่งอย่างสุดชีวิตไม่เหลียวหลัง  แต่ในที่สุดก็เหมือนกับชะตาชีวิตของเขาจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้  เมื่อทางข้างหน้ามีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยืนขวางอยู่  และสิ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงักเท้าเอาไว้อย่างกะทันหันก็คือ  ปลายกระบอกปืนในมือชายคนนั้นเล็งตรงมาที่เขา  ส่วนด้านหลังก็เป็นชายคนที่ขับรถพาเขามา  เหลือเพียงทางเดียวก็คือ  ทางด้านข้างที่เป็นลำธาร

    เขาค่อยๆก้าวถอยเบี่ยงอย่างช้าๆมาทางลำธาร  สายตาจ้องมองชายทั้งสองด้วยความหวาดกลัว  ก่อนจะก้าวเท้าอย่างไวทำท่าจะหนีต่อ  แต่ก็ไม่ทันที่จะโดนชายคนที่สองลั่นไกปืนมาตรงร่างของเขา   เสียงปืนดังลั่นสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ  ความเจ็บปวดตรงบริเวณฝั่งหน้าอกซ้ายในตอนแรกค่อยๆลดหายไป  ทุกอย่างในสายตาและความคิดของเขาค่อยๆเลือนลาง  และถูกความมืดมิดเข้าคลอบคลุม  ก่อนจะดับวูบลงไปในที่สุด 

    ร่างของทนายความเอนตกลงไปในลำธารพร้อมกับกระเป๋าเอกสารค่อยๆไหลไปตามกระแสน้ำ  ชายฉกรรจ์ทั้งสองทอดสายตามองไปยังร่างแน่นิ่งนั้น  ที่เต็มไปด้วยสีแดงเดือดของเลือดสดๆแผ่ซ่านไปทั่วลำธารรอบๆร่างของเขา

     

    “นานแล้วนะเนี่ย....ทำไมคุณทนายยังไม่มาอีกนะ....เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านี่.....หรือว่า....”  พริ้มพิลัยบ่นพรึมพรำกับตัวเองเบาๆหน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งไปศาลศักดิ์  เดินไปมาอย่างรุ่มร้อนใจ  ในใจรู้สึกหวิวๆยังไงชอบกล

    จนเวลาล่วงเลยมาเกือบจะทั้งวัน  จนถึงเวลาบ่ายก็ยังไม่มีวี่แววของทนายความเลย  และสังหรณ์ของหล่อนก็เหมือนจะเป็นจริง  เมื่อรถของตำรวจแล่นเข้ามายังตรงที่ๆหล่อนยืนอยู่

    “สวัสดีครับ.....ผมมีข่าวจะมาแจ้งเหตุกับเจ้าของวังไพศาลศักดิ์ครับ”  นายตำรวจยศสูงกล่าวเมื่อลงจากรถมาตามด้วยตำรวจอีกสองนาย  พร้อมกับยกมือขึ้นทำความเคารพหล่อน

    “เอ่ออ....ดิฉันเป็นแม่นมของคุณชายภัทรานนท์  ทายาทคนเดียวของไพศาลศักดิ์ค่ะ  มีเรื่องอะไรหรือคะคุณตำรวจ”  พริ้มพิลัยรีบแสดงตัวเพื่อต้องการทราบข่าว  ว่ามันเป็นอย่างที่หล่อนคิดหรือไม่

    “เมื่อประมาณช่วงเช้า  มีคนโทรมาแจ้งเหตุกับทางตำรวจว่ามีการยิงทำร้ายกันแถวชายป่านอกชานเมือง  และต่อมาเราสืบทราบว่าผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกอุ้มฆ่าเป็นทนายความของไพศาลศักดิ์ครับ”  ทันทีที่อีกฝ่ายแนะนำตัว  นายตำรวจคนนั้นก็เอ่ยเรื่องคดีความของเขา

    “คุณพระช่วย!!!  พริ้มพิลัยอุทานออกมาโดยเร็วด้วยความสะเทือนใจกับสิ่งที่ได้ยิน  ท้ายที่สุดแล้ว  มันก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

    “คือเราพบรถทะเบียนเลขที่นี้จอดทิ้งอยู่ข้างทาง"  นายตำรวจพูดพร้อมกับยกเลขที่ป้ายทะเบียนรถขึ้นมาให้หล่อนดู  กล่อนจะพูดต่อ
                "เราสืบทราบมาว่าเป็นรถของไพศาลศักดิ์  เราคาดการณ์ว่าผู้ร้าย  จะแฝงตัวเป็นคนขับรถเพื่อนำตัวเหยื่อมาสังหารตามแผน  แต่พอจะกลับบังเอิญมีชาวบ้านละแวกนั้นออกมาพบเห็น  คนร้ายก็เลยวิ่งหลบหนีไปได้  ทิ้งเพียงแต่รถเอาไว้  ทางเรากำลังดำเนินการติดตามหาตัวอยู่  และจากร่องรอยการเกิดเหตุ  เราพบหยดเลือด  แต่ไม่พบศพของเยื่อ  เราคาดว่า  คงจะโยนทิ้งลงลำธาร.........ยังไงเราก็จะขอข้อมูลเกี่ยวกับทนายความคนนี้หน่อยนะครับ  เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม  เผื่อจะมีข้อมูลที่จะใช้ในการดำเนินคดีต่อไป”  นายตำรวจชี้แจงรายละเอียดแก่พริ้มพิลัย

    “อ๋อ...ได้ค่ะ....เชิญด้านในเลยค่ะคุณตำรวจ”  พริ้มพิลัยกล่าวเชิญและเดินนำนายตำรวจทั้งสามเข้ามาภายในห้องโถงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง  ไร้ซึ่งความหวังที่ตั้งไว้  ตอนนี้หล่อนคิดหาทางออกไม่ได้เลย  ว่าจะช่วยนายน้อยของหล่อนอย่างไรดี

    ....................................

     

    “ว่าไง.....ดีมาก....แกทำงานให้ฉันสำเร็จ  ฉันจะตบรางวัลให้ตามที่ตกลงกันไว้....พรุ่งนี้ฉันจะส่งคนเอาเงินไปให้....อ้อ....อย่าลืมอีกงานที่ฉันสั่งล่ะ  เอารูปไอ้ภัทรานนท์ ในสภาพนอนจมกองเลือดส่งมาให้ฉันเป็นการยืนยัน  แล้วแกจะได้มากเป็นสองเท่า”  น้ำเสียงเข้มพึงพอใจของคุณหญิงทิพย์มณีพูดผ่านไปยังสายโทรศัพท์ขณะที่กำลังจะเข้าห้องส่วนตัว  แล้วตัดสายไป  ยิ้มเยาะอย่างมีความสุขกับความสำเร็จของแผนที่หล่อนวาดหวังไว้  ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง

    “คุณหนู......ไม่.........โธ่  นังมารแม่มด  ฆ่าได้แม่กระทั้งเด็ก”  พริ้มพิลัยดวงตาเบิกกว้างตกใจอย่างสุดขีดกับสิ่งที่ได้ยิน  ไม่รอช้า  หล่อนรีบเดินเข้าไปยังห้องของภัทรานนท์โดยเร็ว

    หล่อนเก็บของที่จำเป็นของภัทรานนท์ใส่กระเป๋าขนาดกลาง  ไม่ส่งเสียงรบกวนเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงจนกว่าจะถึงเวลา  และในระหว่างที่รอเวลา  หล่อนก็รีบไปจัดแจงหาทางหนีทีไล่ไว้  นั่นคือคนขับรถที่ไว้ได้ที่จะไปส่งหล่อนและภัทรานนท์  หลังจากนั้นเมื่อได้เวลา  หล่อนก็กลับเข้ามายังห้องของเด็กชาย

    “คุณหนูคะ....คุณหนู...ตื่นเถอะค่ะ....เราต้องไปแล้ว”  เสียงกระซิบเบาๆของพริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นข้างๆใบหูของเด็กชายตัวเล็กที่กำลังหลับใหลในคืนนี้

    “ว่าไงฮะนมพริ้ม.....คุณพ่อเรียกนนท์หรอ”  เด็กชายลืมตาขึ้นมาเพียงครึ่งเดียว  ทำหน้างัวเงียบ่งบอกได้เลยว่ายังตื่นไม่เต็มที่  ลืมไปว่าคุณพ่อได้สิ้นจากไปแล้ว

    “โธ่คุณหนู....ปล่าวหรอกค่ะ.....คุณหนูลุกขึ้นมาแต่งตัวใส่เสื้อหนาๆนะคะ....เราต้องไปจากที่นี่กันแล้ว  นมเก็บของให้เรียบร้อยแล้ว  เร็วๆเถอะค่ะ”  พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมกับเวรกรรมที่ต้องเผชิญ

    “ทำไมกัน.....ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะฮะนม.....เกิดอะไรขึ้น”  เด็กชายเอ่ยถามเพราะความสงสัย  แต่ก็ทำตามที่แม่นมบอก

    “เดี๋ยวนมจะเล่าให้ฟังทีหลังนะคะ  ตอนนี้เราต้องรีบแล้ว  เราจะช้าไม่ได้  ไม่อย่างนั้น  เราจะไม่มีโอกาสรอดอีกเลย”  พริ้มพิลัยตอบกลับแล้วรีบดึงมือของเจ้านายน้อยของหล่อนเดินออกมา

    และเมื่อลงมาถึงหน้าประตูวัง  ก็มีไอ้ชัย  คบขับรถที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพริ้มพิลัยเปิดประตูรอรับหล่อนกับภัทรานนท์อยู่

    ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนรถ  ภัทรานนท์หันกลับไปทอดสายตามองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาอยู่มาตั้งแต่เกิด  ที่ๆมีบิดา  มารดา  เหล่าบรรดานางรับใช้ทั้งหลายที่คอยดูแลเขา  แต่บัดนี้  มันถึงเวลาที่เขาต้องเอ่ยคำลาความทรงจำทั้งหลายที่มีทั้งความสุข  ความเศร้าที่เกิดขึ้นในที่นี้  นี่คือบ้าน  บ้านที่มันเป็นของเขา  แต่กลับมิอาจอยู่ร่วมกัน  หยดน้ำตาเล็กๆของเด็กชายล่วงหล่นลงอาบแก้มของเขาเมื่อคิดต่อไปว่า....เขา...จะได้กลับมาหาความทรงจำ  ไออุ่นความรักของบิดาและมาดา  อีกหรือไม่...

    พริ้มพิลัยมองมายังเด็กชายที่กำลังเอามือปาดน้ำตาตัวเองอยู่ด้วยความเวทนา...ก่อนจะมองไปยังตัวอาคารคฤหาสน์หลังใหญ่เบื้องหน้าด้วยความอาลัยเช่นกัน  บ้าน  ที่บัดนี้ได้กลายเป็นกองเพลิงมีแต่ลวดหนามอันตรายรายล้อมพร้อมที่จะเข่นฆ่าเจ้านายน้อยของหล่อนตลอดเวลา

    หล่อนมั่นใจว่า  ดวงวิญญาณของคุณหลวงและคุณหญิงสร้อยมณีต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่หล่อนทำ  หวังแต่เพียงให้เจ้านายผู้มีพระคุณทั้งสองจะปกป้องคุ้มครองดูแลภัทรานนท์ให้แคล้วคลาดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้  ไม่ว่าอะไรก็ตาม

                “รีบไปกันเถอะ....อย่ารอช้าไปกว่านี้เลย....ไป  นังพริ้ม  พาคุณหนูขึ้นรถ  วันนี้ยังไงไอ้ชัยจะขอทำหน้าที่สุดท้ายตอบแทนพระคุณคุณหลวงกับคุณหญิง...ไป”  ชัยกล่าวขึ้นเบาๆท่ามกลางความมืด  หลังจากที่รอพริ้มพิลัยกับภัทรานนท์ขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว  ตัวเองก็รีบเดินกลับไปยังตำแหน่งคนขับโดยเร็ว  เหยียบคันเร่งออกไปจากที่ตรงนั้นโดยเร็ว

    “ตาชัย....แกขับให้เร็วๆหน่อยสิวะ.....ฉันรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้”  พริ้มพิลัยพูดขึ้นน้ำเสียงกังวลขณะนั่งรถมาได้ระยะหนึ่ง  ห่างจากตัวบ้านได้ประมาณ สิบกิโลได้  สำหรับหล่อนแล้วระยะทางแค่นี้มันยังไม่สามารถทำให้มั่นใจว่าทุกคนจะปลอดภัยดี  หล่อนจ้องมองไปยังถนนข้างหน้า  ระคนกับมองทางด้านหลังไปมาอย่างรุ่มร้อนใจ  อ้อมแขนของหล่อนนั้นสวมกอดร่างเล็กๆที่สั่นเครือด้วยความกลัวของภัทรานนท์เอาไว้

    แม้ว่าจะไม่ได้รับการชี้แจงใดๆจากแม่นมกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น  แต่เด็กชายอายุแปดขวบก็พอจะเดาได้ว่า....มันต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของเขาอย่างแน่นอน

    “คุณหนูไม่ต้องกลัวนะคะ....เราจะปลอดภัย”  พริ้มพิลัยเอ่ยขึ้นเบาๆกับภัทรานนท์

    “ใจเย็นๆเถอะแม่พริ้ม  ฉันขับเร็วที่สุดแล้วเนี่ย....เออ  แล้วแกมั่นใจนะว่าคุณหญิงทิพย์ไม่รู้เรื่องบ้านเกิดของแกที่อยู่บ้านนอกที่เรากำลังพาคุณหนูไป น่ะ”  ชัยเอ่ยขึ้นบอกพริ้มพิลัย  สายตาคอยมองทั้งกระจกหน้า  มองหลังและด้านข้างเพื่อความปลอดภัย

    “มั่นใจสิ....ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร”  พริ้มพิลัยตอบกลับ

    “ถ้าแกมั่นใจก็ดี.....แต่ฉันกลัวคนอย่างคุณหญิงทิพย์น่ะสิ  ฉลาดเป็นกรดถึงขนาดแย่งคุณหลวงมาจากคุณหญิงสร้อยมณีได้  เรื่องแค่นี้  ยังไงต้องสืบรู้จนได้”  ชัยแสดงความคิดเห็น  ทำให้มันยิ่งสร้างความกังวลให้แก่พริ้มพิลัยเพิ่มขึ้น

    ทุกอย่างที่ชัยพูดมาทั้งหมด  มันเป็นเรื่องราวที่ภัทรานนท์ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน  เขาประจักษ์แก่ใจก็วันนี้นี่เอง  มีน่า  ทุกครั้งที่อยู่กับเขาตามลำพังสองคน  เป็นต้องเห็นน้ำตาของผู้เป็นมารดาหล่นลงมาอาบแก้ม  พร้อมกับดวงตาเศร้าสร้อยบ่งบอกความทุกข์ระทมที่เมื่อเขามองแล้ว  ต้องรู้สึกหดหู่ใจตามยิ่งนัก  แต่เขาไม่เคยเอ่ยถามมารดาเลย ด้วยเพราะความเป็นเด็ก

    จนเมื่อรถหรูแล่นมาจนถึงเขตนอกตัวเมือง  ที่บอกให้รู้ได้โดยรถที่เคยวิ่งพลุกพล่านนั้นได้หายไปจากถนนใหญ่  ซึ่งตอนนี้มีเพียงแสงไฟรถที่ภัทรานนท์นั่งอยู่  กับรถยนต์อีกคันที่อยู่ห่างไกลจากด้านหลัง  นานๆทีเท่านั้นที่จะมีแสงไฟรถสวนมาจากถนนอีกฝั่งกับรถที่จะแซงผ่านไป

    เมื่อรู้ว่าตัวเองได้ขับรถออกห่างจากตัวเมืองมาไกลแล้ว  จึงได้ลดความเร็วลง  เมื่อมองมายังกระจกมองหลังก็พบว่าผู้โดยสารของเขาได้หลับสนิททั้งคู่  แต่เมื่อละสายตาจากทั้งสองมองไปเบื้องหลังอีก  ก็พบว่า  รถยนต์คันที่อยู่ด้านหลังเขาในตอนแรกยังคงขับตามมา  ซึ่งตามความจริงแล้ว  เมื่อเขาลดความเร็ว  รถคันนั้นต้องขับแซงไป  แต่นี่กลับลดความเร็วตาม

    ชัยเริ่มไม่แน่ใจ  จึงเร่งความเร็วขึ้นและลดลงช้าๆเป็นระยะเพื่อลองดูว่ารถคันนั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร  ผลที่ได้คือ  มันทำตามทุกอย่างที่เขาทำ

    “เวรแล้วไง....นังพริ้ม  ตื่นได้แล้ว....นังพริ้ม”  ชัยร้องตะโกนเสียงดัง  เพื่อปลุกพริ้มพิลัย

    “มีอะไรรึ...เราถึงแล้วหรือ”  พริ้มพิลัยเอ่ยถามเมื่อได้สติ  หลังจากหลับไปได้ระยะหนึ่ง  ซึ่งเสียงของชัยมันก็ทำให้ภัทรานนท์ตื่นขึ้นมาเหมือนกัน

    “ถึงบ้าอะไร....มีคนตามเรามาน่ะสิ”  ชัยตอบเสียงดังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก  เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นเพื่อให้พ้นจากคันที่ตามมา  ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาหนีมาหรือไม่

    “อะไรนะ.....คุณพระช่วย....คุณท่านข๋า....คุณหลวง  คุณหญิง...ช่วยคุณหนูด้วยนะคะ”  พริ้มพิลัยพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด  น้ำเสียงสั่นเครือ  ร่ำร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวและเป็นห่วงเจ้านายตัวเล็ก  ที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาชาและหวั่นวิตกไม่ต่างจากผู้ใหญ่ทั้งสอง

    “บ้าเอ๊ย....จับดีๆนะ....”  ชัยร้องบอกคนทั้งสอง  สายตาจ้องมองรถคันที่ตามหลังมาติดๆ  โดยที่ไม่ทันมองทางแยกด้านหน้า

    “ตาชัยระวังรถ!!!!!........” พริ้มพิลัยร้องตะโกนเสียงดังท่วมทั่วทั้งรถ  เพราะทางแยกด้านหน้านั้นมีรถบรรทุกหกล้อกำลังวิ่งมาจากแยกทางด้านซ้าย

    และนั่นมันทำให้ชัยหักพวกมาลัยหลบรถคันดังกล่าวจนสุด

    รถที่ทั้งสามนั่งมานั้นได้เสียหลักคว่ำลงข้างทางทันที  เสียงหวีดร้องของพริ้มพิลัยเป็นสิ่งสุดท้ายที่ภัทรานนท์ได้ยินในวินาทีนั้น  แผ่นหลังทางด้านซ้ายของเด็กน้อยถูกกระแทกเข้ากับเศษกระจกรถที่แตกจนเป็นแผลลึก  เลือดสีแดงสดไหลออกมาท่วมตัวเหมือนจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะหมดทั่วทั้งร่างของเขา

    ภัทรานนท์หมดสติไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง  ก่อนจะมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนอยู่ข้างๆหู 

    “ไอ้หนู.....เห้ย....ทำใจดีๆไว้.....”  เสียงของคนๆนั้นที่เป็นเสียงของผู้ชายเรียกเขาอีกครั้ง  แต่เด็กน้อยกลับไม่สามารถเอ่ยพูดตอบโต้กับคนนั้นออกมาได้แต่อย่างใด  แม้แต่จะขยับตัวก็ยังไม่มีเรี่ยวแรง  ทุกส่วนเย็นชาไปหมด  ลำดับต่อมาร่างของเขาก็ลอยขึ้นจากพื้นดิน

    ในห้วงสติที่เหลืออยู่  เด็กน้อยคำนึงถึงบุคคลผู้ใหญ่ทั้งสองที่พาเขามา  เขาจ้องมองไปยังรถที่พังยับแทบไม่เหลือซาก  ไม่มีร่างของทั้งสองตามเขาออกมาเลย 

    ในใจของภัทรานนท์นั้นเดาทุกอย่างได้เลยว่า  ผู้ใหญ่ทั้งสอง  คงจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับมารดาของตน  น้ำตาใสๆก็เอ่อคลอ  และไหลรินออกมาในที่สุด  เขากำลังจะร้องตะโกนเรียกชื่อพริ้มพิลัย  แม่นมที่ชุบเลี้ยงเขามาเสมือนลูกแท้ๆ  และคนที่เขารักเปรียบเสมือนมารดาคนที่สอง  แต่ก็ถูกห้ามด้วยคนที่อุ้มเขาออกมา

    “อย่า!!!..ไอ้หนู....อย่าส่งเสียงดัง  พวกมันกำลังมา”  เสียงของชายผู้มีพระคุณดังขึ้นเบาๆ  พาเขาหลบลงหลับพุ่มไม้ใกล้ๆที่ๆรถเขาอยู่

    ภัทรานนท์จ้องมองไปยังถนน  เห็นรถยนต์ที่ตามเขามาในตอนแรก  กับรถยนต์คุ้นตาอีกคันที่ตามมาทีหลัง  เขาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นคนที่เดินลงมาจากรถคันที่สอง

    คุณหญิงทิพย์นภายืนจ้องมองรถยนต์คันที่คว่ำพังยับอยู่ข้างทางด้วยรอยยิ้ม  และหัวเราะสะใจกับสิ่งที่สมหวัง

    “ทำให้มันไม่เหลือแม้แต่ซาก”  เสียงของคุณหญิงเอ่ยขึ้นสั่งการกับชายฉกรรจ์อีกสองคน

    “ครับ...”  ชายอีกคนเอ่ยรับคำสั่ง  มือเขาเล็งปืนมาที่รถคันที่เขานั่งมา  พร้อมกับเหนี่ยวไกปืนปล่อยลูกกระสุนไปที่ใต้ท้องรถตรงถังน้ำมันพอดี  และในวินาทีต่อมารถคันนั้นก็เกิดระเบิดบูมขึ้นเสียงดัง  เปลวไฟลุกมอดไหม้จนรถเหลือแต่โคลงเหล็กให้เห็น

    เด็กน้อยถึงกับร่ำร้องสะอึกอยู่ข้างใน  ไม่มีแม่แต่เสียง  และเรี่ยวแรงจะทำการใด  ได้แต่จ้องมองรถที่แม่นมเขาอยู่มอดไหม้ลงไปในพริบตา  เขาไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิตนี้  ทุกอย่างจบสิ้น  ต่อไปเขาจะอยู่อย่างไร

    “ลาก่อนนะ...ภัทรานนท์  ทายาทไพศาลศักดิ์...ผู้อาภัพ....ไม่นึกเลยว่าแกจะมีจุดจบเช่นเดียวกับแม่ของแก.....ฮ่าๆๆๆๆๆ”  คุณหญิงทิพย์นภาหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ  ด้วยความคิดที่ว่า  ภัทรานนท์ได้อำลงจากโลกใบนี้แล้ว

    เด็กน้อยเหลียวมองหญิงคนใจร้าย  ผู้ที่ขึ้นชื่อว่า  “ฆาตรกร”  อย่างอาฆาตแค้น  ความจริงทุกอย่างมันได้ประจักษ์แก่เขาแล้ววันนี้  เขาภาวนาแก่ใจตัวเองว่า

    ภายภาคหน้าต่อไป....หากเขายังมีชีวิตอยู่.....

    เขา....จะอยู่เพื่อจ้องเวรจองกรรม  สร้างความหายนะให้แก่หล่อนคนนี้....จนกว่าหล่อนจะได้รับโทษอย่างสาสม....ครอบครัวของหล่อนจะต้องร้าวฉานเหมือนอย่างที่เขาโดนกระทำ...ด้วยฝีมือของหล่อน







    จบตอนที่ 1 ครับผม.............แล้วมาเจอกันตอนที่สอง......^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×