ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟาโรห์ที่รัก ตอน จอมใจฟาโรห์

    ลำดับตอนที่ #21 : จุดจบของพระองค์หญิงแห่งราชวงศ์เก่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.1K
      8
      21 มี.ค. 56


         รุ่งอรุณวันใหม่ขึ้นกลางท้องฟ้าส่องสว่างให้อียิปต์ตื่นจากการหลับใหลมาตลอดทั้งรัตติกาล วังหลวงซึ่งเตรียมการไว้ดีแล้ว เหล่าบรรดาขุนนางล้วนแต่งกายด้วยเครื่องประดับอาภรณ์ที่ดูดีที่สุดเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของตนเอง ส่วนภริยาของเหล่าขุนนางก็ขนเครื่องประดับมาประโคมแต่งกันอย่างสุดฤทธิ์ ต่างมายืนรออยู่ยังลานที่จัดพิธีอภิเษกสมรสครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เครื่องหอม กำยานและรากไม้หอมถูกจุดขึ้นในเตาถ่านควันสีขาวอันนุ่มนวลลอยไปทั่ววิหารหลวงแห่งองค์สุริยเทพราห์ พระราชครูยังทรงเป็นอัมพาตขยับไปไหนมิได้ ได้แต่ทรงนอนอยู่บนเตียงหินอ่อนในตำหนักของพระองค์ โดยมีเหล่านักบวชผู้น้อยและหมอหลวงดูแลอาการ แสงแดดสาดส่องยังใบหน้าทำให้พระราชครูลืมตาขึ้นจากการนอน ดวงตาที่มีแต่ความกังวลที่มิอาจจะบอกผู้ใดได้ยังคงหนักหน่วงอยู่ในอกของพระราชครู นักบวชผู้น้อยเดินไปปิดดึงผ้าม่านปิดเพื่อบังแสงแดดมิให้ต้องกายพระราชครู พระราชครูทรงทำใจเพื่อมิให้อาการของตนแย่ไปมากกว่านี้ ทั้งๆที่พระองค์ทราบดีว่าสิ่งที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้เลย 

        พระพันปีหลังจากทรงสรงน้ำเสร็จ ก็ประพรมด้วยแป้งหอมที่ทำจากรากไม้หอม และน้ำกุหลาบอันหอมจากเอเชียกลาง ทรงแต่งพระพักตร์ด้วยแป้งผงละเอียด และทรงเขียนพระขนงดินสอจนทำให้ดวงเนตรคมชัดขึ้น ริมฝีพระโอษฐ์ก็ทาด้วยสีผึ้งสีแดงดุจกลีบกุหลาบ พระพันปีทรงเลือกผ้าอาภรณ์สีเหลืองดุจแสงอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณเป็นชุดผ้ายาวลาดพื้น นางกำนัลสวมวิดเกษาปลอมสีดกดำ ตามด้วยพระมาลารูปแม่เบี้ยของงูเห่าสีแดงเลือดหมู เครื่องประดับไม่ว่า ทับทรวง สร้อยพระศอ กำไล พระธำรงค์ นานาถูกนำออกมาจากหีบเก็บสมบัติทองคำ พระพันปีทรงถือไม้คทาว้าซ เซปเตอร์รูปเศียรอินทรีย์ทองคำประดับด้วยเม็ดทับทิมสีแดงเป็นดวงตาของคทา อันเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งซึ่งเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าราชวงศ์นี้เจริญด้วยสมบัติและความอุดมสมบูรณ์แห่งพืชพันธุ์ธัญหารที่มีเหลือกินเหลือใช้ พระพันปีในชุดเครื่องอาภรณ์เยื่องขัตตยนารีผู้สูงศักดิ์พร้อมอย่างเพรียงพร้อม พระองค์ทรงดำเนินไปยังลานพิธีแล้วทรงประดับบนบัลลังก์อันเป็นพระแท่นที่จัดไว้ดีแล้วสำหรับพระองค์ โดยมีเหล่านางกำนัลสาวๆรายล้อมนั่งกับพื้น และยืนเพื่อพัดวีถวาย พระพันปีทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างเป็นปลื้ม 

        "ลูกชายข้าจะได้แต่งงานแล้ว ข้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก"
      
        ภาพเบื้องล่างคือเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารในองค์ฟาโรห์มาอยู่ในงานอย่างเหนียวแน่น ลานพิธีคือลานกลางแจ้งที่เป็นช่วงทางระหว่างพระตำหนักของเหล่าเชื้อพระวงศ์และท้องพระโรงอันเป็นสถานที่ว่าราชการแผ่นดิน

        "ขบวนหลวงที่เราจัดไปรับพรพิงค์ตอนนี้เรียบร้อยหรือยัง" พระพันปีตรัสถามนางกำนัลคนสนิท

        "เรียบร้อยแล้วเพคะ ตอนนี้ได้เดินทางไปยังเจ้าสาวยังที่บ้านของนางแล้วเพคะ"

        "และส่วนองค์ฟาโรห์ทรงเรียบร้อยดีแล้วหรือไม่"

        "ตอนนี้องค์ฟาโรห์ทรงกำลังทรงฉลองพระองค์อยู่ที่พระตำหนักเพคะ"

         ------------------------------------------------------------------------------------

        ด้านทางองค์ฟาโรห์หนุ่มของเราหลังจากทรงสรงน้ำด้วยน้ำสะอาดที่ผสมน้ำหอมและดอกไม้นานาที่มีความเป็นสิริมงคล ด้วยพระองค์ทรงเป็นสมมติเทพเหล่าข้าราชบริพารที่รับภาระในการดูแลการสรงน้ำของพระองค์จำต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ น้ำสรงต้องพิเศษเหนือน้ำธรรมดาทั่วไป คือมีน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์จากการผ่านพิธีบรวงสรวงคงคาเทพฮาปิเพราะเชื่อว่าจะเป็นน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์อาบพลังแห่งเทพยดา เหล่าข้ารับใช้ก็จะกระโจมเป็นเสมือนมุ้งผ้าสีขาวคลุมรอบสระน้ำสรงเพื่อเป็นความเป็นส่วนพระองค์ ภายในพระตำหนักจะจุดกำยานหอมเพื่อเป็นการให้ความหอมนั้นแทรกซึมไปตามพระฉวีขององค์ฟาโรห์ เมื่อทรงสรงน้ำเสร็จแล้วทรงเช็ดพระวรกายจนแห้งปราศจากความชื่น พระวรกายของพระองค์ทรงหอมไปด้วยกลิ่นของดอกไม้นานาและเครื่องหอม พระฉวีผ่องใสขาวละเอียดดุจขนนกพิราบเพราะดอกไม้เหล่านั้นมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรบำรุงพระฉวี พระวรกายอันเปลือยเปล่าถูกห่มด้วยอาภรณ์ผ้าสีขาวปกปิดจนมิดชิด นางกำนัลนำเครื่องทรงออกจากโถงทองคำจำนวน 5 ใบ ซึ่งฝาโถงนั้นประดับด้วยหัวสัตว์ 5 ชนิด คือ แกะ สิงโต วัวตัวผู้ แมว และ  อินทรีย์ โถงทองคำถูกเปิดออกปรากฏเครื่องประดับจำนวนมากๆ อาทิ ทับทรวง สายพระศอ พระธำมรงค์ กำไล และอื่นๆ แลดูมากมายกว่าเครื่องประดับของสตรีเสียอีก พระองค์ทรงยืนนิ่งเพื่อให้เหล่านางกำนัลที่รู้ธรรมเนียมมาดีแล้วเป็นผู้จัดแต่งเครื่องฉลองพระองค์ เมื่อองค์ฟาโรห์ทรงเครื่องประดับอย่างงดงามแล้วเยี่ยงขัตติยบุรุษ พระมาลาทรงแม่เบี้ยสีทองถูกประดับบนพระเศียรและเครื่องประดับพระเศียรรูปหัวนกแร้งอันเป็นสัญลักษณ์ขององครักษ์เทพีเน็คคีเบ็ตได้ถูกนำขึ้นประดับบนพระมาลา หัวนกแร้งทองคำประดับด้วยเพชรไพลินสีน้ำเงินไม่ต่างดวงตาของเทพเจ้า มีไว้เพื่อเป็นเครื่องรางในการคุ้มครองพระองค์  สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ ไม้คทาสองด้าม คือ ไม้คทาด้ามงอ กับ ไม้คทานวดข้าว อันเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์ฟาโรห์เป็นเครื่องราชูปโภคที่ขาดมิได้ เพราะเป็นสิ่งยืนยันในความเป็นสมมติเทพ และทรงเป็นนายแห่งปศุสัตว์และกสิกรรม เพราะไม้คทาด้ามงอคือเครื่องมือไว้สำหรับต้อนสัตว์เข้าคอก ส่วนไม้คทานวดข้าวนั้นคือเครื่องมือของชาวนาในการนวดข้าวหรือจากเก็บเกี่ยวข้าวสำเร็จ องค์ฟาโรห์ทรงพร้อมแล้ว เหล่าข้าราชบริพารนำพาพระองค์ไปยังลานพิธี องค์ฟาโรห์ในเครื่องทรงยอมกษัติรย์ตามโบราณราชประเพณีทรงดำเนินผ่านผู้คน คนเหล่านั้นพากันสรรเสริญองค์ฟาโรห์   กันทั่วหน้า องค์ฟาโรห์หนุ่มรูปงามทรงขึ้นประทับยังพระแท่นหินอ่อนที่ปูด้วยผ้ากำมะหยีสีน้ำเงินเข้ม เหล่านักบวชพากันสวดสรรเสริญเสมือนสวดมนต์บูชาเทวรูปในวิหาร ด้วยความเป็นสมมติเทพองค์ฟาโรห์ทรงมิต่างไปจากเทพเจ้าเลยในความเชื่อของพวกเขา ที่อย่างเป็นไปด้วยดีเหลือเพียงเจ้าสาวเท่านั้นที่ยังมิได้ปรากฏบนลานพิธี 

        ขบวนหลวงออกจากคฤหาสน์คหบดีบาสท์ซิส พรพิงค์ในชุดเจ้าสาวที่ทรงเครื่องประดับอย่างงดงามมงกุฎอันเป็นของกำนัลจากเทพเจ้าทำให้นางมีราศี ชาวบ้านที่พบขบวนเจ้าสาวพากันสรรเสริญและอวยพรให้นางมีความสุข ขบวนเจ้าสาวเดินทางผ่านฝูงชนจำนวนมากที่ต่างพากันมาชื่นชมเจ้าสาว พรพิงค์โบยมือให้มหาชนทั้งหลายที่มารอคอยพบเธอ แต่ขบวนผ่านไปอย่างเรียบเร็วจนนางมิอาจจะสนทนาพูดคุยทักทายผู้ใดได้ วังหลวงอยู่ไม่ไกลใจเธอเต้นแรงเมื่อนึกถึงพระพักตร์ขององค์ฟาโรห์หนุ่ม 

        "ในที่สุด ฉันก็ได้เป็นของพระองค์ องค์ฟาโรห์ที่รัก...." 

        ชายแก่ในชุดดำอยู่ท่ามกลางมหาชน เขาคือพ่อมดดำซึ่งเป็นสาวกแห่งอธรรมเทพเช็ตแอบยิ้มอยู่อย่างมีเล่ห์สนัย พรพิงค์เห็นหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนและติดตา ดวงตาอันเลวร้ายนั้นทำให้นางถึงกับกลัวจนถึงขั้นหัวใจ นางหลบสายตานั้นพอหันไปมองอีกชายแก่ชุดดำนั้นก็หายไปแล้ว สิ่งที่ทำให้นางสังเกตุเขาได้นั้นเพราะชุดสีดำของเขาซึ่งในบรรดาผู้คนทั้งหลายล้วนแต่งด้วยชุดสีขาวหรือไม่ก็ชุดที่เป็นสีสันแห่งความเป็นสิริมงคลกันทั้งนั้น มีแต่ชายแก่นั้นเท่านั้นที่แต่งชุดสีดำ ภาพของเขาติดตานางจนนางคิดว่ามันคืออะไรกันแน่ จนขบวนเจ้าสาวมาถึงวังหลวง พรพิงค์ได้รับการต้อนรับจากข้าราชบริพารฝ่ายในให้นางพักในห้องรับรองสักพักด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางมาไกล พรพิงค์นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักพร้อมด้วยเชื้อพระวงศ์ที่เป็นผู้หญิงต่างเข้ามาชื่นชมในเจ้าสาวพระองค์ใหม่ หนึ่งในนั้นมีพระองค์หญิงแห่งราชวงศ์เก่าอยู่ด้วย แววพระเนตรของพระองค์ทรงไม่เป็นมิตรกับพรพิงค์เสียเลย และนางเองก็ไม่ทราบว่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์นางนั้นคือพระองค์หญิงพระมารดาแห่งอดีตพระคู่หมั้นขององค์ฟาโรห์ พระองค์หญิงมองพรพิงค์ด้วยสายพระเนตรที่เกลียดชัง พระองค์หญิงทรงกระทืบพระบาทอย่างรุนแรงแสดงถึงความไม่พอพระทัย เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เข้ามาพอดีพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์อันเป็นการแสดงไมตรีจิตอันดีงามให้แก่พรพิงค พรพิงค์ก็ยิ้มทรงมอบต่อเจ้าหญิง พระองค์หญิงทรงดึงเจ้าหญิงผู้เป็นพระธิดาออกจากห้องรับรองนั้น เป็นภาพที่สร้างความมึนงงให้แด่เหล่าเชื้อพระวงศ์และพรพิงค์เป็นอย่างมาก 

        "แม่หนู เจ้าช่างงดามเสียหรือเกิน หลังงานอภิเษกว่างๆมาสนทนากับข้าบ้างนะ" เชื้อพระวงศ์หญิงซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นพระองค์หญิงที่ทรงอาวุโสที่สูงในบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายตรัสกับพรพิงค์ 

       "ได้เพคะ" พรพิงค์ยิ้มอย่างเป็นมิตร 

        เจ้าหญิงทั้งหลายพากันชวนสนทนาถึงเหตุอันอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับพรพิงค์และมงกุฎดอกบัวที่กล่าวขานนั้นด้วย แต่แล้วนางกำนัลผู้ใหญ่นางหนึ่งก็เข้ามาในวงสนทนา 

        "ถึงเวลาแล้วเพคะ ขอเชิญเจ้าสาวเข้าพิธี" 

         เหล่าเจ้าหญิงทั้งหลายพากันตื่นเต้นแล้วค่อยพาพรพิงค์ออกไปจากห้องรับรอง เมื่อประตูถูกเปิดขึ้นแสงสว่างจากด้านนอกก็ส่องสว่างมาประทะกับหน้าของนาง นางหลับตาสนิทด้วยความแสบตาแต่เมื่อลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือลานโล่งกว้างที่มีพระแท่นบัลลังก์วางไว้ซึ่งมีองค์ฟาโรห์และพระพันปีทรงประทับอยู่ก่อนหน้าแล้ว พระพันปีทรงลุยดำเนินมาเบี้องหน้าพรพิงค์ 

        "ลูกสะใภ้เรา มาหาเราเถิด" 

         พรพิงค์ย่างก้าวไปจนถึงพระพันปี พระพันปีหันไปด้านข้าง นางกำนัลคนหนึ่งทูนกล่องทองคำเข้ามายังพระพันปีเมื่อเปิดออกเครื่องประดับที่งดงามโดยมีสายสร้อย และ ทับทรวง พระพันปีทรงหยิบสายสร้อยขึ้นแล้วสวดที่คอของพรพิงค์ 

        "สายสร้อยรูปดอกบัวนี้ เราตั้งใจสั่งทำเพื่อให้มันเข้ากับมงกุฏดอกบัว 5 สีนี้ ดอกบัวคือสัญลักษณ์แห่งความดีงาม เธอก็คือความดีงามที่เหล่าทวยเทพเลือกแล้วให้เป็นราชินีของลูกชายเรา" 

        สายสร้อยนั้นช่างแวววับจับตาอย่างงดงาม พระพันปีทรงทอดพระเนตรพินิจพิจารณาสักพักแล้วจึงทรงหยิบทับทรวงขึ้นมาแล้วสวมลงบนคอของนางอีก 

       "ทับทรวงนี้เป็นของสำคัญ เครื่องประดับที่บ่งบอกถึงความเป็นราชินีแห่งอียิปต์ ทับทรวงชิ้นนี้เราสั่งทำเป็นรูปปีกวิหคสวรรค์แห่งพระเทพีไอซิส เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เธอรักและภักดีต่อลูกชายเรา เสมือนพระเทพีไอซิสที่ทรงรักและภักดีต่อยมเทพโอซิริส" 

        พระพันปีจัดแต่งเครื่องประดับเจ้าสาวก็ปรากฏสายสร้อยอันหนึ่งปรากฏออกมาจากชุดอาภรณ์เจ้าสาวมันคือ จี้ดวงเนตรแห่งโอรสสวรรค์โฮรัส พระพันปีทรงปลื้มปิติ 

        "โอรสสวรรค์โฮรัสทรงเป็นเทพเจ้าต้นตระกูลแห่งราชวงศ์เรา ที่แท้เหล่าทวยเทพส่งเธอมาให้กับเราเป็นชอบแล้ว" 

        พระพันปีทรงอ้อบกอดพรพิงค์ "ขอฝากองค์ฟาโรห์ให้เธอช่วยดูแลเขาด้วยนะพรพิงค์ลูกสะใภ้ข้า" 

       "เพคะพระพันปี" พรพิงค์ถึงกับน้ำตาไหลด้วยความยินดีและปิติ 

        พระพันปีปล่อยร่างของพรพิงค์ นางมองไปยังเบื้องหน้า องค์ฟาโรห์ทรงยืนรอนางอยู่ในไม่กี่ก้าวเดิน พระองค์ทรงสง่างามมาก พระพักตร์อันคมคาย รอยแย้มพระโอษฐ์แสดงถึงความสุขอันล้นพ้น พรพิงค์เดินไปยังพระองค์สายลมพัดผ่านชายภูษาปลิวไสวไปตามแรงลมอย่างงดงามเสมือนผ้าแพรสวรรค์ของเหล่าเทพี มงกุฎดอกบัว5สีส่องประกายเล่นกับแสงแดดยามเช้า ทั้งตัวของพรพิงค์มีแต่แสงระยิบระยับด้วยเครื่องอัญมณีทั้งหลาย องค์ฟาโรห์ทรงยื่นพระหัตถ์มายังนาง พรพิงค์รับไว้เมื่อนางอยู่เบื้องพระพักตร์องค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ผู้เกรียงไกร 

        "ในที่สุดเจ้าของรองเท้าข้างนั้นก็คือเจ้า ราชินีของข้า" 

        "ชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิจหม่อมฉันในวันนั้น ก็คือพระสวามีของหม่อมฉัน" 

        องค์ฟาโรห์ในพระหัถต์ทรงถือกล่องไม้สลักใบจิ๋วไว้ พระองค์พอเปิดฝากล่องออกก็พบว่า มีแหวนทองเหลืองฝังเม็ดทับทิมสีชมพูแดงอยู่ภายใน องค์ฟาโรห์สวมแหวนหมั้นนั้นยังนิ้วนางข้างซ้ายของพรพิงค์ เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น เหล่าราชบริพารต่างร่ายรำและโปรยกลีบดอกไม้เป็นการอวยพรให้คู่บ่าว-สาว

        "แหวนวงนี้เป็นสิ่งแทนใจของข้าที่มีต่อเจ้า นิ้วนางข้างซ้ายเขาเชื่อกันว่ามีสายเลือดที่ต่อถึงหัวใจ เจ้าจะได้รักนางไม่ลืมเลือง"

        "หม่อมฉันขอภักดีและเทิดทูนพระองค์ตลอดชีวิตของหม่อมฉัน หม่อมฉันมิมีของที่สูงค่านักแต่ขอให้พระองค์ทรงรับมันไว้"

        พรพิงค์หยิบกล่องไม้สีเทาขึ้นมาภายในมีแหวนทองคำวงเล็กๆที่ไม่มีอัญมณีอะไรประดับเลย พรพิงค์สวมแหวนนั้นยังพระอนามิกาขององค์ฟาโรห์

        "ขอให้พระองค์ทรงรักและเอ็นดูหม่อมฉันตลอดสิ้นชีพของพระองค์เพคะ"

         องค์ฟาโรห์ทรงกุมมือของพรพิงค์ไว้จนแน่น แล้วทรงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า 

        "ข้าขอปฏิญาณต่อเทพเจ้าเบื้องบนสุราลัยว่าข้าจะภักดีต่อความรักของเราเหมือนความรักแห่งยมเทพโอซิริสกับพระเทพีไอซิสที่ภักดีต่อกันจนความตายมาพรากจาก"

         "ตราบใดที่คงคาเทพฮาปิยังทรงมีความกรุณาประทานลำน้ำไนล์อันชุ่มฉ่ำแก่อียิปต์อันหาประมาณมิได้ หม่อมฉันจะมอบถวายความรักและความภักดีนี้ให้แด่ฝ่าพระบาทตลอดกาล"
     
             เหล่ามหาชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในงานอภิเษกสมรสนี้ต่างตรบมือแสดงความชื่นชมและยินดีกันทั่วหน้า     

         องค์ฟาโรห์ทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างปิติพระพักตร์มีแต่ความสุขอันสุดประมาณ นักบวชผู้หนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางระหว่างพระองค์ทั้งสองที่แท้ก็คือพระราชครู แต่การปรากฏกายนั้นกลับสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนทั้งหลายแม้กระทั่งเหล่านักบวชเองก็ประหลาดใจ

        "พระราชครูข้าได้ข่าวว่าท่านป่วยมิใช่หรือ" องค์ฟาโรห์ตรัส

         "สงสัยองค์สุริยเทพราห์ พระเป็นเจ้าของหม่อมฉันทรงต้องการให้หม่อมฉันมาอวยพรให้พระองค์และพระราชินีพระองค์ใหม่นะซิพ่ะย่ะค่ะ อยู่ๆอาการป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง..."

        "ดีแล้วที่ท่านหายป่วย ดีเลยขอท่านโปรดทำพิธีแต่งงานให้กับเราทั้งสอง"

         ในมุมหนึ่งของเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่เบื้องล่าง "พระสวามีเพคะ ทำไมมันถึงแปลกๆอย่างนี้ละ ไหนว่าพระราชครูทรงเป็นอัมพาตอยู่มิใช่หรือ"

         "ก็นั้นนะซิ และอีกอย่างการที่จะทำลายอาถรรพ์ของอธรรมเทพเช็ตนั้นต้องมาจากพลังแห่งเทพเจ้าฝ่ายแสงสว่างอย่างพวกเราเท่านั้น"

          "หม่อมฉันชักจะไม่สบายใจเสียแล้วพระองค์"

          "เช่นนั้นเราเข้าไปใกล้ๆลานพิธีเถิด การปรากฏตัวของพระราชครูเช่นนี้มิเป็นเรื่องดีเป็นแน่"

         ชายหญิงทั้งสองซึ่งก็คือร่างมนุษย์แห่งคงคาเทพฮาปิกับองครักษ์เทพีเน็คคีเบ็ตก็ได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ร่างพิธีอภิเษกสมรส

          พระราชครูทรงเนรมิตถาดทองคำขึ้นเหนือมือทั้งสองซึ่งบนถาดน้ั้นมีจอกเหล้าองุ่นตั้งอยู่สองจอก

        "นี้อันใดกันพระราชครู งานอภิเษกสมรสไฉนจึงมีสุราเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย" องค์ฟาโรห์ตรัส

         พรพิงค์เมื่อสบตาพระราชครู นางก็ถึงกับตกใจเมื่อแววตาอันน่ากลัวนั้นเหมือนว่านางเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่นางนึกไม่ออกเสียแล้ว แววตาอันไม่เป็นมิตรของพระราชครูทำให้ความกลัวกัดกินลงไปถึงขั้วหัวใจของนาง 

        "ข้าแต่องค์ฟาโรห์ งานอภิเษกสมรสครั้งนี้ถือได้ว่าเรานั้นโชคดีได้ราชินีจากสามัญชนซึ่งมิเคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ และยังเป็นหญิงสาวที่เหล่าทวยเทพเลือกนางแล้วว่าให้นางเป็นราชินีแห่งอียิปต์ การดื่มสุราองุ่นระหว่างคู่บ่าว-สาวมันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความสนุกสนานแห่งพระนครพ่ะย่ะค่ะ"

       "ถึงข้าจะรู้สึกขัดใจไปบ้างเพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นในงานอภิเษกสมรสทุกๆงานก็ตาม แต่ข้ากับเจ้าสาวก็ขอรับไมตรีจิตนี้จากพระราชครู"

        องค์ฟาโรห์หันทอดพระเนตรยังพรพิงค์ "พิธีกรรมเพียงเล็กน้อย และมีความหมายเป็นมงคลต่ออาณาจักรขอเจ้าโปรดร่วมดื่มกับเราเถิด" 

        "เพคะพระองค์" 

        พระราชครูทรงมอบจอกเหล้าสุราองุ่นถวายแด่องค์ฟาโรห์แล้วมอบจอกเหล้าอีกจอกให้แก่พรพิงค์ ทั้งสองถือจอกเหล้าสุรานั้นไว้ น้ำสุราเปล่งเป็นสีม่วงแดงของสุราองุ่นกลิ่นหอมยั่วยวนใจ 

       "อันสุราองุ่น ยมเทพโอซิริสทรงเป็นผู้คิดผลิต เพื่อให้ชนทั้งหลายได้สนุกเพลิดเพลินคลายจากความทุกข์ และมีความสุขอันอิ่มเอม ข้าผู้เป็นพระราชครูแห่งวังหลวงขอให้องค์สุริยเทพราห์ ยมเทพโอซิริส พระเทพีไอซิส และโอรสสวรรค์โฮรัสผู้เป็นเทพเจ้าต้นตระกูลแห่งราชวงศ์ทรงสิริประทานพรอันเป็นมงคลให้แด่องค์ฟาโรห์และราชินีแห่งอียิปต์.... ทรงดื่มได้แล้วฝ่าพระบาท" 

        องค์ฟาโรห์ทรงยกจอกสุราดื่ม พรพิงค์ได้แต่มององค์ฟาโรห์โดยนางมิกล้าที่จะดื่มเพราะนางเองไม่ชอบของมึนเมาอยู่แล้ว 

       "พรพิงค์ดื่มเถิด มันไม่ทำให้เมามายอะไรนัก"

        พรพิงค์เชื่อตามที่องค์ฟาโรห์ตรัส นางยกจอกขึ้นหมายจะดื่มสุราองุ่นนี้ แต่แล้วรัศมีสีฟ้าอันเหมือนลูกบอลลูกเล่นๆถูกปามาจากที่ไหนมิอาจจะรู้ได้ มันถูกปามาโดนกับจอกเหล้าจนหลุดออกจากมือของพรพิงค์ร่วงหล่น เมื่อสุราองุ่นนั้นหกลงพื้นก็เกิดเป็นฟองฟู 

        "อะไรกันนี้ จอกเหล้าของราชินีข้ามียาพิษ...." องค์ฟาโรห์ทรงกริ้ว 

         คงคาเทพฮาปิกับองครักษ์เทพีเน็คคีเบ็ตขึ้นมายังพระลาน 

         "องค์ฟาโรห์ เขามิใช่พระราชครูตัวจริง และมันหมายจะสังหารราชินีของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ" ชายหนุ่มอันเป็นร่างมนุษย์แห่งคงคาเทพฮาปิกล่าว

        "เจ้าเป็นคนหรือปีศาจตนใดที่จะทำลายองค์ราชินีจงแสดงร่างที่แท้จริงออกมา" หญิงสาวอันเป็นร่างมนุษย์แห่งองครักษ์เทพีเน็คคีเบ็ตกล่าวพร้อมจี้มีดไปยังหอคอยของพระราชครูปลอม

        "ข้ายอมแล้ว องค์ฟาโรห์โปรดให้อภัยและเว้นชีวิตของข้าพระบาทด้วย"

         "เจ้าจงเปิดเผยตัวตนออก และจงเล่าความจริงว่าเหตุใดเจ้าจึงมาคิดสังหารราชินีของข้า" 

        พระราชครูเริ่มเปลี่ยนไป จากศีรษะที่โล้นและเครื่องอาภรณ์แห่งพระราชครูเรืองหายไปกลายเป็นชายแก่ในชุดสีดำ ผู้คนในงานล้วนตื่นตะลึง แม้แต่พระพันปียังทรงตกพระทัยจนแทบจะเป็นลม เหล่านางกำนัลช่วยกันพยาบาลพระองค์ 

        "ข้าพระบาทถูกว่าจ้างมาให้สังหารองค์ราชินีพรพิงค์เพราะว่า....." ไม่ทันใดลูกศรก็พุ่งปักยังอกของพ่อมดดำ มันเป็นลูกศรอาบยาพิษ พ่อมดดำดิ้นกับลานอย่างทุรนทุราย พ่อมดดำชี้ไปยังฝูงชน 

        "นางสั่งข้า.....นางคือ พระองค์หญิงแห่งราชวงศ์เก่า นางเคียดแค้นที่พระธิดาของนางมิได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์ เมื่อพระธิดามิได้เป็น พรพิงค์......ก็.......จะไม่ได้.....เช่นกัน.......อ่ะ.." พ่อมดดำสิ้นลมไปเสียแล้ว 

         "พระองค์หญิงแห่งราชวงศ์ จิตใจพระนางทำด้วยอะไรกัน" องค์ฟาโรห์ทรงกริ้ว "ทหารจับนางไว้ในข้อหาคิดทรยศสังหารองค์ราชินีแห่งอียิปต์" 


         
        พระองค์หญิงแห่งราชวงศ์เก่าทรงพระสรวลอย่างวิปลาสในพระหัตถ์ทรงถือคันธนูไว้ซึ่งมันช่างเป็นหลักฐานมัดตัวได้เป็นอย่างดีว่าผู้ที่ปลิดชีพพ่อมดดำคือพระองค์หญิงพระองค์เดียวเท่านั้น "แน่จริงก็เข้ามาจับข้าซิ ไอ้พวกทหารเลว ข้าจะได้ยิงลูกศรอาบยาพิษให้ตายเสีย" 

        เหล่านายทหารยังคงเกรงกลัวต่อลูกศรอาบยาพิษ แต่เพื่อความปลอดภัยขององค์ฟาโรห์และราชินีแห่งอียิปต์ ความภักดีมากล้นยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเองก็เข้าจู่โจมจับกุมพระองค์หญิง พระองค์หญิงทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างวิปลาสเหมือนคนวิปริตไปเสียแล้ว 

        "พระเทพีไอซิส พระองค์ทรงไม่ยุติธรรม ลูกสาวข้ามาก่อนนางพรพิงค์ หากเทพเจ้าไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ในวันนี้ลูกสาวข้าจึงจะได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์...." พอพระองค์หญิงตรัสไม่ทันใดพระองค์ทรงเอาลูกศรอาบน้ำพิษแทงเข้าที่พระอังสาด้านขวาของพระองค์ พิษจากลูกศรค่อยๆแทรกซึมไปตามพระกระแสโลหิตอย่างช้า ซึ่งส่งผลทำให้พระวรกายของพระองค์หญิงชาและหมดกำลัง พระองค์ทรงนั่งลงกับพื้นโดยไร้พิษสง เจ้าหญิงผู้เป็นพระธิดาทรงวิ่งเข้ากอดพระมารดา 

         "เสด็จแม่เพคะ ทำไมทรงกระทำเช่นนี้เพคะ"

         "มันไม่ยุติธรรมเลย มันไม่ยุติธรรม ลูกแม่บ้านของเราครอบครัวของเราพยายามมาหลายชั่วอายุคนที่จะพยายามกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเฉกเช่นในอดีต ความหวังของเราคือเจ้า แต่มันต้องพังทลายเมื่อนางพรพิงค์และเหล่าเทพเจ้ากลั่นแกล้งเรา"

       "ไม่หรอกเพคะ มันเป็นความโชคดีต่างหากเพคะ"

       "ความโชคดีบ้าบออะไรของเจ้า"

        "เสด็จแม่เพคะ เราอยู่กันอย่างสงบเราพ้นวงจรอุบาทว์นั้นมานานแล้ว วงจรแห่งอำนาจ หากเรากลับไปอยู่ในวงจรนั้นอีก เราจะต้องถูกเขามาแย่งชิงอำนาจของเราไปอีกเหมือนกับสิ่งที่เกิดกับครอบครัวของเราในอดีตนะเพคะ เสด็จแม่กับลูกก็อยู่กันมาอย่างสุขสบายดีแล้วเราจะต้องไปยุ่งกับมันอีกทำไมเพคะ เสด็จแม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นแม่ยั่วเมือง หรือ ต้องสังหารองค์ฟาโรห์และให้ชู้ของตนเองคือมาเป็นฟาโรห์เหมือนกับบรรดาราชินีชั่วทั้งหลายเหล่านั้นหรือเพคะ เสด็จแม่ต้องการให้ลูกเมื่อตายไป ดวงคา ของลูกจะต้องถูกสาปแช่งมิสามารถไปปรภพได้นะเพคะ ดวงคาของลูกจะกลายเป็นวิญญาณบาปหรือเช่นไรเพคะ" เจ้าหญิงทรงพระกรรแสง พระองค์หญิงผู้เป็นมารดารู้สึกผิดไป ทรงจับพระพักตร์ของเจ้าหญิงแล้วทรงเช็ดน้ำพระเนตรให้แห้งหายไปจากพระพักตร์ของเจ้าหญิงน้อย 

        "ลูกของแม่ประเสริฐเสียจริง แม่ภูมิใจเจ้ามาก ขอความเมตตาต่อองค์ฟาโรห์อย่าได้ทำร้ายหน่อเนื้อเชื้อไขแห่งราชวงศ์เก่าเลยนะเพคะ ขอพระองค์ได้โปรดสงสารหม่อมฉันที่คิดสั้น มิได้ไตร่ตรองให้มันรอบคอบกว่านี้ อีกไม่นานพิษร้ายนั้นก็จะวิ่งเข้าสู่หัวใจของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะได้จากโลกนี้ไปเข้าเฝ้ายมเทพโอซิริสอย่างสงบเพคะ" พระองค์หญิงทรงพระกรรแสงหนัก 

       "ขอให้สัจจาต่อพระองค์หญิง"

       "หม่อมฉันอโหสิกรรมให้พระองค์หญิงเพคะ ขอให้ดวงคาของพระองค์หญิงกลายเป็นดวงคาที่บริสุทธิ์พ้นจากการพันธนาจากนรกภูมิเพคะ" พรพิงค์กล่าวด้วยจิตเมตตาต่อวินาทีสุดท้ายของพระองค์หญิง 

      "ขอบพระทัยมากเพคะ องค์ราชินีพรพิงค์ หม่อมฉันเข้าใจแล้วว่าเหตุไฉนเหล่าทวยเทพจึงเลือกสรรให้พระองค์มาเป็นราชินีของพวกเรา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ" พระองค์หญิงหยาดน้ำพระเนตรหยาดสุดท้ายไหลรินเปลือกตาเริ่มปิดลง ลมหายใจครั้งสุดเริ่มเดินทางมาถึงสุดท้ายก็ทรงสวรรคตเสียแล้ว เจ้าหญิงทรงพระกรรแสงอย่างหนักด้วยความสูญเสียพระมารดา เจ้าหญิงน้อยไม่เหลือผู้ใดอีกแล้ว

        พรพิงค์เดินเข้ายังเจ้าหญิงแล้วปลอบเจ้าหญิงให้คลายความเศร้า พระพันปีทรงดำเนินลงมาจากพระลานมาสู่บริเวณที่มีร่างอันไร้วิญญาณของพระองค์หญิงหลับอยู่ 

        "โธ่ พระองค์หญิง ไม่น่าเลย...." พระพันปีทรงพระกรรแสงด้วยความเศร้า ทุกคนต่างเศร้าสลดใจต่อการจากไปของพระองค์หญิงแห่งราชวงศ์เก่า วอทองคำถูกนำเข้ามาเพื่อนำร่างของพระองค์หญิงออกไปจากบริเวณที่จัดงานพิธี 

           รัศมีสีทองก็ปรากฏบนพระลานอันเป็นที่ประกอบพระราชพิธี หญิงสาวในชุดเครื่องทรงดุจเทพีมีรัศมีเรืองอร่ามไปทั่วร่าง 

         "พระเทพีไอซิส...." พรพิงค์กล่าวด้วยความดีใจ 

        "พรพิงค์ เจ้าพูดอะไรนะ" พระพันปีตรัสกับพรพิงค์ 

         "ผู้มีรัศมีนั้นคือ พระเทพีไอซิสเพคะ"

         "จริงหรือ โอ้องค์เทพเจ้าทรงเสด็จมา โอ้เป็นบุญของเราเหลือเกิน" 

           พระเทพีไอซิสทรงแย้มพระโอษฐ์ยิ่งทำให้ทรงสิริโฉมงดงาม "เรายินดีที่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี พรพิงค์ได้เป็นราชินีแห่งอียิปต์ตามประสงค์แห่งเราแล้ว เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่าอย่าได้ทรงโศกเศร้าไปเลย การตายของพระมารดาถือได้ว่าทรงกระทำไปเพื่อความรักที่มีต่อลูก และมันย่อมเป็นกฎแห่งธรรมชาติที่เที่ยงแท้ ต่อไปอาณาจักรอียิปต์จะเจริญรุ่งเรือง "

         เหล่าผู้คนทั้งหลายพากันสรรเสริญเป็นบทสวด เหล่านักบวชที่ยังอยู่ในพิธีพากันสวดมนต์เป็นการบูชา "พระราชครูผู้ทรงเป็นหัวหน้าแห่งนักบวชทั้งหลายจะหายจากอาการอัมพาต และจะมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงข้าขอให้มันจนสัมฤทธิ์ผล" พระเทพีไอซิสประทานพรแด่พระราชครู เหล่านักบวชพากันปลื้มปิติ เสียงดนตรีบรรเลงประโคมอย่างไพเราะ 

        "หม่อมฉันองค์ฟาโรห์แห่งพื้นพิภพของนมัสการพระเทพีแห่งสวรรค์ ขอให้พระองค์ทรงสถิตสถาพรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งราชวงศ์และพสกนิกรชาวอียิปต์ทั้งปวงเทอญพระองค์ "

        "องค์ฟาโรห์ผู้สืบเชื้อสายมาจากโอรสแห่งข้า ข้าจะไม่ทิ้งราชวงศ์นี้ไปไหนเพราะพวกเจ้าทั้งหลายเปรียบเสมือนลูกหลานของข้าเช่นกัน ข้าต้องกลับไปสู่สรวงสวรรค์แล้ว คงคาเทพฮาปิและองครักษ์เทพีเน็คคีเบ็ตจะกลับพร้อมกับเราหรือไม่"

        หนุ่มสาวผู้นั้นซึ่งเป็นร่างมนุษย์ได้จำแลงกลับคืนสู่ร่างแห่งเทพเจ้าดั้งเดิม แล้วทรงปรากฏขึ้นเคียงข้างพระเทพีไอซิส

        "เมื่อพรพิงค์ปลอดภัยแล้ว ภารกิจของเราก็จบสิ้นลง ข้าขอประทานพรให้องค์ฟาโรห์และองค์ราชินีทรงมีความสุขมีพระโอรส-ธิดาเต็มบ้านมีพระนัดดาเต็มเมือง ครองรักจนนิจนิรันดร์" คงคาเทพฮาปิกล่าว
      
         "ขอองค์ฟาโรห์และองค์ราชินีทรงนำพาอียิปต์สู่ความเจริญรุ่งเรือง และพรพิงค์ราชินีที่โลกต้องจดจำว่าเป็นราชินีที่มีเทพเจ้าช่วยเหลือมากที่สุดในประวัติศาสตร์" องครักษ์เทพีเน็คคีเบ็ตกล่าวเสร็จแล้วก็ทรงแย้มพระสรวล รัศมีทองอร่ามจากพระวรกายของพระเทพีไอซิสก็ปกคลุมรอบเทพเจ้าทั้งสามพระองค์แล้วลอยขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน มหาชนทั้งหลายพากันโห่ร้องไชโยเป็นการส่งเสด็จกลับของเทพเจ้า

         องค์ฟาโรห์อ้อบกอดพรพิงค์ไว้แล้วทรงมองดูดวงรัศมีสีทองนั้นเลืองหายไปกับตา 
    พรพิงค์กลายเป็นราชินีแห่งอียิปต์อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงงานอภิเษกสมรสจะเกิดเหตุมีคนเสียชีวิตขึ้นในงานซึ่งเป็นลางอันเป็นอัปมงคล แต่การปรากฏกายของเทพเจ้าทั้งสามพระองค์ทำให้ชาวอียิปต์กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสด็จมาประทานพรสมรสแด่องค์ฟาโรห์กับองค์ราชินีและอาณาจักรอียิปต์ให้กลายเป็นมหาธานีที่ยิ่งใหญ่ ชาวประชาทั้งหลายเป็นสุขใจและมีความหวังอย่างยิ่งว่าพรพิงค์เมื่อเป็นราชินีแล้วจะทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง 

         ต่อมาร่างของพระองค์ก็ถูกทำเป็นมัมมี่ ใส่พระศพไว้ในโลงพระศพทองคำ เจ้าหญิงทรงคอยดูอยู่ห่างๆโดยมีองค์ฟาโรห์และพรพิงค์อยู่เคียงข้าง โลงพระศพของพระองค์หญิงถูกจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติเจ้านายฝ่ายในมุ่งไปสู่สุสานหลวงในเขตทะเลทรายจนถึงสุสานหลวงทรงสามเหลี่ยม มันคือ พีระมิดที่เก็บพระศพของบรรดาเชื้อพระวงศ์ พรพิงค์เข้าไปภายในพร้อมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ไม่กี่คน เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่าทรงพระกรรแสงตลอดทาง จนถึงห้องเก็บพระศพที่ประดับประดาด้วยสมบัติจำนวนมากมายซึ่งเชื่อว่าสมบัติเหล่านี้ดวงคาจะได้นำไปใช้ในโลกหน้า โลงพระศพถูกวางท่ามกลางสมบัติมากมาย เช่น เครื่องอุปโภคที่ทำจากทองคำ  อย่างภาชนะทองคำ เครื่องงประดับอัญมณีมากมายถูกบรรจุเก็บไว้ในหีบทองคำหลายตั้ง ผ้าไหมแพรพรรณจำนวนหลายพับ หุ่นรูปคนรับใช้ทองคำทั้งชายและหญิงหลายตัวถูกวางเรียงรายไว้เพื่อให้เป็นข้าทาสบริวารของพระองค์หญิงในโลกหน้า เชื้อพระวงศ์ซึ่งเป็นเด็กชายและเด็กหญิงสี่คนนำโถงทองคำอันที่เป็นที่เก็บอวัยวะภายในของพระองค์หญิงมาวางไว้ในตำแหน่งนักบวชบอก บอกโถงมีรูปเทพเจ้า 4 พระองค์ เสมือนเป็นผู้พิทักษ์โถงอวัยวะภายในของพระองค์หญิง เช่น องครักษ์เทพีเน็คคีเบ็ต นางพญางูวัดเจ็ตแห่งดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ พระเทพีไอซิส และ พระเทพีเนปทีส ด้วยเป็นเทพีเจ้าที่ปกป้องอวัยวะภายในของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิง นักบวชร่ายคาถาสวดบูชาเทพยดาแห่งแสงสว่างและเทพยดาแห่งปรโลกอันมียมเทพโอซิริสเป็นใหญ่ ให้คุ้มครองดวงคาแห่งพระองค์หญิงไปยังตลอดลำน้ำแห่งความตายจนไปถึงอาณาจักรแห่งผู้วายชนม์ พรพิงค์ในฐานะคนจากยุคปัจจุบันช่างเป็นความโชคดีที่ทำให้นางได้มาเห็นพิธีกรรมอันน่าพิศวงเช่น การทำมัมมี่และการเก็บพระศพของบรรดาเชื้อพระวงศ์ภายในสุสานหลวงที่มีสถาปัตยกรรมทรงสามเหลี่ยมเช่นนี้ เมื่อพิธีกรรมเสร็จไปได้ด้วยดี นักบวชเดินนำออกไป บรรดาเชื้อพระวงศ์รวมถึงนางด้วยก็ต้องออกจากที่นี้เพราะมันจะกลายเป็นห้องปืดตายเพื่อมิให้รบกวนการพักผ่อนของพระองค์หญิงผู้วายชนม์ 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×