ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลับคมขวาน : บูชายัญร้อยศพ

    ลำดับตอนที่ #4 : ชุมชนแออัด(40%)

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 52


                    สลัม...หรือที่เรียกกันในภาษาไพเราะว่าชุมชนแออัดนั้น ไม่ต่างอะไรไปกับเมืองร้างสักเท่าไรนัก ด้วยเหตุจากการก่อการร้ายของชาวสลัมเมื่อหลายปีก่อน...ซึ่งโดนรัฐบาลลงโทษอย่างไม่ปราณี...

     

                    มันกลายเป็นสถานที่แห่งความหวาดกลัว และสิ้นหวัง ผู้คนนับแสนคนเบียดอัดกันอยู่ภายในพื้นเท่าๆกับเมืองพัทยานี่ ทว่า พวกเขากลับซุกซ่อนตัวอยู่เพียงภายในบ้าน ไร้การติดต่อ สื่อสารกับภายนอกโดยสิ้นเชิง เป็นพื้นที่อันตราย ที่กฎหมายไม่สามารถควบคุมได้

     

                    ดังนั้น การเสียชีวิตของผู้คนที่นี่...จึงราวกับเป็นเพียงเม็ดทรายที่ปลิวหายไปในอากาศ...

     

    ปัง!!

     

                    เสียงกัมปนาทดังก้องขึ้นพร้อมๆกับประกายไฟจากปลายกระบอกปืนสีเงิน ซึ่งถูกจ่อเข้าที่รูหูของร่างอวบซึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้นที่หมดลมหายใจลงภายในพริบตา

     

                    เลนส์ลุกขึ้นยืน นำมือซ้ายล้วงเข้าไปภายในชุดแจ็กเกตดำสนิท คว้าเอาผ้าหนาสีหม่นผืนเล็กๆออกมาเช็ดของเหลวสีแดงสดบนแผ่นมือเปลือยข้างขวา และอาวุธปืนของเขา ก่อนจะนำมันกลับไปที่เดิม  

     

                เด็กหนุ่มเหลือบมองดวงตาลีบเล็กอันว่างเปล่าที่เคยจ้องตรงมาอย่างเคียดแค้นนั้นเล็กน้อย ก็จะเมินไปอย่างไม่สนใจ

     

                    ดวงตาหลายคู่จ้องมองมาที่เหตุการณ์ดังกล่าวครู่หนึ่งอย่างสนใจ ก่อนจะหลบสายตาไป เลนส์กระชับผ้าคลุมหน้าของเขาเล็กน้อย พร้อมกับเก็บอาวุธสีเงินกลับเข้าไปในซองติดเข็มขัดภายในแจ็กเกตของเขา เด็กหนุ่มล้วงเอาอุปกรณ์บางอย่าง ลักษณะคล้ายกับเพจเจอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง และกดปุ่มพิมพ์เป็นข้อความอย่างรวดเร็ว แล้วจึงส่งไปยังที่แห่งหนึ่งทันที

                   

                    เลนส์ เป้าหมายหมายเลข ๐๓ กำจัดแล้ว

     

                เมื่อเกิดเสียงปี๊ปหนึ่งเบาๆ อันเป็นสัญญาณบอกถึงการเสร็จสิ้นของขั้นตอนการส่ง เขาคลิกกดปุ่มไปมาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อเขาหยุด รูปภาพขนาดจิ๋วเช่นเดียวกับตัวอักษรกำกับไม่กี่ตัวแสดงอยู่บนหน้าจอเล็กๆนั้น

     

                    เลนส์ไล่อ่านอย่างรวดเร็ว จนหยุดที่ชื่อๆหนึ่ง

     

                    เขานึกทบทวนสถานที่ของมหานครกรุงเทพฯในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดอุปกรณ์จิ๋วนั้นลง เพื่อเก็บมันไว้ในที่เดิม แล้วจึงเดินจากไป โดยไม่เหลียวแลซากศพ ซึ่งเริ่มถูกรุมล้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมองร่างนั้นอย่างกระหาย ก่อนจะคุ้ยเอาสิ่งของมีค่าทุกชิ้นไป จนร่างเหลือเพียงเปลือยเปล่า....

     

                    หมายเลข ๓๒ ร้อยตำรวจเอก ธำมรงค์ สถิตยากาล
                       สถานะ            ยังมีชีวิต
    ( ลงทะเบียนสังหารโดย เลนส์ (๐๐๐๑๓) )

                       ตำแหน่งล่าสุด หน่วยที่ ๑๑ แขวงที่ ๓๑ เขตการปกครองมลทินานคร (ชุมชนแออัด)

     

     

                อากาศอันร้อนอบอ้าวนั้น โดยปกติไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตำรวจหน่อยสืบสวนพิเศษ ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีอย่างพวกเขา กระนั้น มันก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดี เมื่ออารมณ์ของนายตำรวจหนุ่ม ซึ่งไม่ใคร่จะสู้ดีนักอยู่แล้ว ให้คุกรุ่นยิ่งขึ้น

     

                แต่เขาก็ยังไม่สามารถหาที่ระบายได้ เพราะนายตำรวจชั้นผู้น้องทั้งสองคน เดินตามมาเงียบๆโดยไม่หาเรื่องกวนใจเจ้านายตนได้อย่างชาญฉลาด

     

                    พวกเขาทั้งสาม พึ่งผ่านด่านตรวจคนเข้าเขตมาอย่างยากเย็น ด้วยสายตาอันครบกริบของทหารรักษาการณ์ที่เข้มงวด และไร้ข้อแม้ใดๆ เล่นเอาพลตำรวจทั้งสอง ลุ้นแทบตายไม่ให้หัวหน้าของพวกเขาระเบิดอารมณ์ออกมา มิฉะนั้นคงไม่ดีแน่

                   

                    หลังจากผ่านด่านตรวจมา เป็นถนนเล็กๆโทรมๆ ที่สะอาดสะอ้านจนน่าประหลาดใจ โดยมีบ้านเรือนสามชั้น สร้างจากปูนซีเมนต์เป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกันทั้งหมด ทอดยาวไปไกล ถึงแม้นายตำรวจจะไม่รู้สึกอะไรเลย ด้วยอารมณ์หงุดหงิดบดบังเสียหมด แต่กับลูกน้องทั้งสองของเขานั้น ไม่ใช่

     

                    ดวงตาหลายสิบคู่คอยจ้องมองมาทางทั้งสามเป็นระยะๆจากมุมด้วยความรู้สึกที่หลากหลายโดยที่ไม่เห็นตัวของผู้มอง จนทำเอาขวัญแทบกระเจิง

     

                แต่แล้วทั้งสามก็ต้องชะงักลง เมื่อร่างของหญิงสาวนางหนึ่งในชุดคลุมสีเทาปกปิดทุกอส่วนของร่างกาย เว้นไว้เพียงดวงตาสีดำอันโกรธแค้นคู่หนึ่ง โผล่พรวดออกมาด้านหน้าของทั้งสาม นางยกนิ้วชี้ขวาขึ้นชี้ใบหน้าของนายตำรวจหนุ่ม ก่อนจะตะคอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ทว่ากลับดังกังวานอย่างพิศวง

     

                    เดรัจฉาน! เดรัจฉาน !เดรัจฉาน! เดรัจฉาน!”

     

                    นางกรีดร้องซ้ำไป ซ้ำมา ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง  นิ้วของนางสั่นราวกับโกรธแค้นชาวตรงหน้ามหาศาล

     

                    ทั้งสามทำอะไรไม่ถูก มีเพียงความอื้ออึง ตกตะลึงตรึงไว้กับที่ แม้กระทั่งผู้กองหนุ่มก็ลืมเลือนความหงุดหงิดก่อนหน้าไปเสียสิ้น

     

                    เดรัจฉาน! เดรัจฉาน! เด...ไม่! ปล่อยข้า!! จับพวกสัตว์นรกนี่สิ! จับมานนน!!!”

     

                    นางยังคงร้องโหยหวนอยู่เช่นนั้น จนกระทั่ง ร่างใหญ่ยักษ์ในชุดคลุมคล้ายกับของนางโผล่พรวดเข้ามาล็อคนางไว้ และหิ้วปีกนางหายลับไปภายในประตูบ้านในด้านขวา ซึ่งเปิด และปิดลงอย่างรวดเร็ว

     

                    ฟู่ว...นั่นมันอะไรกันครับนั่น...

     

                    ตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นมา พร้อมกับผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เช่นเดียวกับเพื่อนของเขา

     

                    มีเพียงร้อยตำรวจเอกธำมรงค์เท่านั้น ที่ติดใจสงสัยในสิ่งที่หญิงนางนั้นกระทำ เขานิ่งครุ่นคิดอย่างสงสัย โดยไม่สนใจอาการขนลุกเกรียวของลูกน้องทั้งสอง

     

                    แต่แล้วเขาก็สะบัดความคิดนั้นไป ก่อนจะก้าวเดินนำไปตามถนนตามเดิม

     

                    ...คงเป็นแค่คนบ้าล่ะมั้ง?....

     

     

                    หลังจากเดินฝ่าอากาศร้อนจัด ไร้สายลมโดยสิ้นเชิง และอุปสรรคจากการจ้องมองของสายตานับพันคู่ จนอดไม่ได้ที่จะขนลุกเกรียว ทั้งสามก็มาถึงหน้าประตูเหล็กกล้าสูงราวสองเมตรขนาดยักษ์บานหนึ่ง ซึ่งรอบด้านมีกำแพงที่คล้ายกับประตูมากเสียจนมองไกลๆแทบไม่ออก ต่างกันเพียงที่ประตูนั้นมีรอยช่องว่างเล็กๆ สำหรับระบบเปิด-เปิดเท่านั้น

                     

                    ทั้งสามเงยหน้าขึ้นมองกล้องทรงกลมเล็กๆที่เหนือบานประตู จุดสีแดงบนเลนส์เพ่งเล็งมาที่พวกเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงปี๊ปเบาๆ และเปลี่ยนเป็นสีเขียว จากนั้น ประตูขนาดยักษ์จึงค่อยๆเปิดทีละน้อย

     

                    ครึ่ก...ครึ่ก...ครึ่ก...ครึ่ก...

     

                    มันเปิดจนเพียงพอให้คนคนเดียวผ่านเข้าไปได้และหยุดลงสนิท ทำให้ชายทั้งสามต้องรีบก้าวเข้าไปภายใน

     

                    ประตูเหล็กกล้าปิดลงทันทีที่คนสุดท้ายผ่านเข้ามา พวกเขาจึงพบว่ากำลังอยู่ในสวนหย่อมที่มีเพียงพื้นหญ้าเขียวสดกว้าง และทางเดินทอดยาวไปยังสิ่งปลูกสร้างแบบตะวันตกหลังหนึ่ง ซึ่งแม้มองจากที่ไกลก็ยังเห็นเด่นชัดว่าเป็นลักษณะคล้ายโบสถ์ยุคสมัยศิลปะแบบโกธิค(Gothic)...

     

                    พวกเขาหันกลับไปมองทางกำแพง จึงพบว่า ตลอดแนวยาวนั้น บนกำแพงจะเว้นช่องทางเดินสำหรับคนไว้ตลอด ซึ่งมีทหารรักษาการณ์ในชุดเกราะพร้อมรบ อยู่ในราวทุกๆสิบเมตร พวกเขาต่างไม่สนใจในการมาของผู้มาใหม่ และยังคงตรวจบริเวณรอบนอกผ่านกล้องเล็กๆ ซึ่งฝังอยู่ภายในกำแพงทอดออกไปภายนอก แสดงเห็นถึงความชำนาญและประสบการณ์การรบซึ่งสั่งสมมาอย่างดี...

     

                    สวัสดีครับ

     

                    ทั้งสามซึ่งกำลังมองดูแนวกำแพงเพลินๆ ต้องสะดุ้งสุดตัวทันที เมื่อเสียงสุภาพและเป็นมิตรดังขึ้น ทำให้พวกเขาต้องรีบหันกลับไปทันที

     

                    จึงพบชายหนุ่มคนหนึ่ง อายุราว 30 ปี อยู่ในภายในชุดสูทพ่อบ้านเรียบหรู ผิวสีแทน และดวงหน้าพร้อมกับดวงตาที่คมกริบนั้นอาจทำให้ดูน่ากลัว ทว่า รอยยิ้ม และดวงตานั้น เป็นมิตรมากเสียจนทั้งสามอดจะชื่นชมชายหนุ่มผู้นี้ในใจไม่ได้

     

                    ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้งสาม ยกฝ่ามือขึ้นแตะวันทยหัตถ์รับคำทักทายนั้น ก่อนที่นายตำรวจหนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม

     

                    คุณคือ...?

     

                    ผมคือหัวหน้าพ่อบ้านประจำสถานที่แห่งนี้ครับ

     

                    ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล โดยที่รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหาย เขาโค้งลงเล็กน้อยเป็นเชิงแนะนำตัว

     

                    พวกคุณคงเป็น...ตำรวจผู้ติดต่อมาขอคุยกับท่านผู้ว่าในวันนี้ใช่ไหมครับ

     

                    โดยไม่รอให้นายตำรวจหนุ่มตอบกลับไป หัวพ่อบ้านผู้เป็นมิตร เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

     

                    เชิญทางนี้ครับ

     

                    และเขาก็กลับหลังหัน แล้วเดินนำไปตามทางเดินทรายนั้นด้วยท่าทางที่สง่างาม จนบุรุษทั้งสามรู้สึกระมัดระวังในท่าเดินของตนทันที

     

                    ระหว่างทางนั้น ผู้กองหนุ่มลอบมองไปรอบๆด้านอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้น ทำให้เขาประหลาดใจแกมสงสัยอย่างมาก

                   

                    ทำไมมีแต่พื้นหญ้าโล่งๆ? แล้วทหารพวกนั้น...ถึงจะเก่งกล้าเท่าไหร่ แต่หากโดนคนเป็นแสนลุยเข้ามาไม่น่าจะต้านไหวนะ...?

     

                ที่นี่มีกลไกอยู่มากมายครับ เราเคยถูกจู่โจมหลายต่อหลายครั้งในสิบปีมานี้ แต่ยังไม่เคยถูกเข้ายึดแม้แต่ครั้งเดียว...

     

                    เสียงที่ดังมาจากพ่อบ้าน ซึ่งเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังเดินอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ร้อยตำรวจเอกธำมรงค์สะดุ้งทันที มองไปยังชายตรงหน้าอย่างหวาดระแวง แต่กลับได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆและคำพูดไม่กี่กลับกลับมา

     

                    หึๆ...ผมแค่เดาน่ะครับ

     

     

     40%

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×