คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ll THE WIZARD ll Chapter 5
THE WIZARD 5
ใต้แสงเงาไม้ภายในอาณาบริเวณโรงเรียนอันกว้างใหญ่ไพศาล กับสายลมที่พัดมาเอื่อยๆไม่ขาดสาย ส่งผลให้ร่างสูงที่กำลังขะมักเขม้นทำงานส่งศาสตราจารย์ผู้เป็นเจ้าของวิชาเพลิดเพลินไปกับบรรกายากาศโดยรอบได้อย่างน่าชื่นชม ผิดกับอีกคนที่ทำหน้าเบื่อโลกเสียยังไงอย่างนั้น ต่อให้อากาศดีแค่ไหนก็ไม่สามารถพัดพาใจของคนตัวเล็กให้เพลิดเพลินตามไปได้เลยแม้แต่น้อย
“น่าเบื่อชะมัด! วิชาศิลปะทำไมต้องเรียนด้วยเนี่ย เรียนมาตั้งแต่เกิดแล้ว” เสียงหวานโวยวายเมื่อรู้สึกไม่สนุกกับวิชาของศาสตราจารย์จอนจิน ซ้ำงานที่กำลังทำอยู่ก็ไม่คืบหน้าไปไหนเลย
“จะบ่นทำไมนักหนา แล้วเรียกให้มันถูกหน่อยมันไม่ใช่วิชาศิลปะ วิชาเขียนกรีกต่างหาก” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมทั้งส่ายหน้าไปมาที่คนหน้าหวานเอาแต่บนท่าเดียวแต่ไม่คิดจะลงมือทำงานเสียที แล้วนี่ก็ใกล้จะหมดเวลาที่ต้องส่งงานแล้ว
“ก็น่านแหละ แล้วมันต่างจากศิลปะตรงไหน?”
“ต่างกันทุกตรง แล้วนายก็ควรรีบทำได้แล้ว เดี๋ยวก็หมดเวลาก่อนหรอก มันแต่พูดมาก!” ไม่วายแค่ต่อว่า คริสยังยกมือหนาขึ้นตีหน้าผากคนตัวเล็กที่เอาแต่นอนกระดิกเท้าสบายใจโดยไม่รู้ว่างานที่ทำส่งในวันนี้เป็นคะแนนเก็บสะสม “โอ้ย! ตีฉันทำไมคริส เจ็บนะ” เลย์พูดไปก็ยู่หน้าไป พลางยกมือเล็กลูบไปบนหน้าผากที่ตอนนี้มันเริ่มขึ้นสีแดงจางๆเพราะฝ่ามือของใครอีกคน
“ก็ตีให้เจ็บไง แล้วจะลุกขึ้นมาทำงานได้สักทีรึยัง? คะแนนน่ะจะเอาไหม?”
“บ่นจริงๆเลย นี่เพื่อนหรือพ่อวะ?”
ถึงจะโวยวายไปบ้างแต่คนหน้าหวานก็ยอมลุกขึ้นมานั่งทำงานแต่โดยดี มือเล็กหยิบปากกาขนนกขึ้นก่อนจะจุ่มหมึกในขวดแก้วแล้วเริ่มสะบัดข้อมือเขียนภาษากรีกลงไปในกระดาษรายงานทันที หากแต่นั่นคริสที่มองดูอยู่ก็อึ้งไม่น้อย ทั้งๆที่เลย์ไม่ได้ตั้งใจเรียนเลยแต่กลับเขียนมันได้ดีกว่าเขาเสียอีก
“นายจำมันได้ยังไง?”
“ไม่รู้ มือมันไปเอง” เสียงหวานตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ก็เขาไม่รู้จริงๆนี่นา
“อย่ามาตลก!” คริสเริ่มเสียงแข็งเมื่อเขาคิดว่าคนตัวเล็กกวนประสาท แต่นั่นใครจะรู้ว่าเลย์ไม่ได้โกหก มันคือพรสวรรค์ที่เขาได้รับมาโดยที่ไม่รู้ตัว
คริสยังคงจับจ้องไปที่รูมเมทหน้าหวานไม่วางตา ผู้ชายผิวขาวที่ดูไม่มีอะไรดีเลยนอกจากหน้าตากลับมีบางอย่างที่น่าค้นหาซึ่งเขาเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
“ฉันไม่ได้ตลกนะ ก็แบบ...จะอธิบายยังไงอ่ะ...แบบว่า...”
เลย์อ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงให้คริสเข้าใจ ของแบบนี้มันออกมาจากจิตใต้สำนึกไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดได้
“แบบว่าอะไร?” คริสยังคงคาดคั้น ไม่รู้ว่าทำไมต้องอยากรู้เรื่องของอีกคนด้วย หากแต่คนตัวเล็กที่เอาแต่อ้ำอึ้งยิ่งทำให้เขาอย่างรู้เข้าไปใหญ่
“แบบว่า...แบบว่าไม่รู้อ่ะ ถ้านึกออกเดี๋ยวบอก ไปล่ะ” พูดเสร็จไม่รอช้าให้คริสได้ถามต่อ เลย์ก็เลือกที่จะวิ่งหนีไปส่งงานก่อนทันทีที่คริสจะรั้งไว้ ทำให้ร่างสูงได้แต่มองตามแผ่นหลังบางของเพื่อนหน้าหวานไปด้วยแววตาที่ฉายไปด้วยความสงสัย เลย์นับวันก็แปลกขึ้นทุกที ในเมื่ออยากรู้ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ ไม่ใช่ว่าอยากรู้เรื่องส่วนตัวของอีกคน หากแต่จะมีเรื่องไหนของคนตัวเล็กที่เขาไม่รู้อีกบ้าง
…THE WIZARD…
“โห้! คนเยอะอ่ะวันนี้” เสียงหวานบ่นอุบอิบเมื่อมาถึงที่แคนทีนของปราสาท เบื่อคนเยอะ เบื่อเสียงโหวกเหวกโวยวาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อหันไปหาอีกคนก็ได้รับสายตาเรียบนิ่งส่งกลับมาแทน
“หรือจะไม่กิน?”
“กินๆ หิวมากเลย”
เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานที่แว้บเข้ามาในสมองทำให้เลย์จำยอมต้องเออออไปกับคริสอย่างไม่มีข้อแม้ เขาไม่อยากให้คริสโกรธเหมือนเมื่อวานที่เขาไม่ยอมทานข้าว ถึงตอนนี้จะไม่หิวเลยก็ตามแต่ก็ต้องตอบตกลงไปเพื่อให้อีกคนสบายใจ
“เฮ้! คริสเลย์ทางนี้” เสียงตะโกนลั่นแคนทีนคงจะมีอยู่คนเดียวที่มี อภิสิทธ์ที่สุด คนที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบภายในเดอะวิซาร์ดแห่งนี้ ทำให้ทั้งคริสและเลย์จำต้องเดินไปตามเสียงเรียกและแรงโบกมือของอีกคน เพราะถ้าไม่รีบไปกลัวว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งแคนทีนแน่นอน
“ตะโกนทำไม? น่าอายชะมัด” คริสที่เดินเข้าไปนั่งเอ่ยต่อว่าบุคคลที่ตะโกนเรียกเขาเมื่อครู่ จนเขาและเลย์ต้องเป็นเป้าสายตาของคนทั้งแคนทีน ไม่ได้กลัวที่ว่าใครจะมองไม่ดี หากแต่ไม่ชอบให้ใครมองคนหน้าหวานที่เดินมาด้วยกันต่างหาก
“อ้าว! ถ้าไม่ตะโกนแล้วนายจะได้ยินไหมล่ะ?”
“เอ้อแม็ก! แม่โอนเงินมาให้แล้วนะเมื่อเช้า” เสียงทุ้มเอ่ยบอกคนเป็นพี่ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงร่วมโต๊ะกับพี่ชาย และไม่ลืมดึงชายเสื้อรูมเมทหน้าหวานให้นั่งลงข้างๆกันด้วย
“อื้ม” ชางมินพยักหน้าแค่นั้นก่อนจะหันไปหารุ่นน้องร่วมโต๊ะอีกสองคนที่นั่งเขี่ยข้าวอยู่นานสองนานแต่ไม่พูดไม่จากันเลยสักคำ
“หนิ! ไค ดีโอ นายจะไม่คุยกันจริงๆหรอ?”
“ไม่ครับ!” “ไม่ครับ!”
“โอ้ว ประสานเสียงเข้ากันดีจริงๆ” ชางมินว่าติดตลกพลางหันไปหาคริสกับเลย์ที่เพิ่งเข้ามาโดยไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ก่อนจะได้รับสายตาเป็นเชิงถามกลับจากน้องชายว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นเขาก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไม่รู้เช่นกัน เพราะตั้งแต่เข้ามานั่งทานข้าวในแคนทีนชางมินก็ยังไม่เห็นไคกับดีโอจะคุยกันเลยสักคำ และนั่นก็เป็นหน้าที่ของเลย์ที่สองหนุ่มมอบหมายให้
“ทำไมต้องเป็นฉัน?” เลย์กระซิบถามอย่างไม่เข้าใจพลางนิ้วชี้ก็ตวัดเขาหาตัวเองว่าทำไมเขาต้องทำหน้าที่นี้ด้วย
“นายน่าเชื่อถือสุดแล้ว” ชางมินเลือกที่จะให้กำลังใจรุ่นน้องหน้าหวานก่อนจะตบบ่าเล็กสองสามทีเป็นการฝากฝัง
“แต่รุ่นพี่เป็นพี่นะครับ”
“ฉันไม่เกี่ยวอ่ะ” พูดเสร็จชางมินก็ลอยหน้าลอยตาแล้วก้มหน้าทานข้าวต่อไป ไม่สนเลยว่าคนตัวเล็กจะรู้สึกยังไง ต่อให้ไคกับดีโอจะเป็นเพื่อนก็เถอะ หากแต่เขาก็ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปถามหรอกนะ เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัยเช่นกัน ใจดีสู้เสื้อคงเป็นคำที่คิดได้ในตอนนี้ แม้ภายในใจจะตุ้มๆต่อมๆก็ตาม
“ฮ...เฮ้ พวกนายเป็นอะไรอ่ะ? ยิ้มหน่อยดิ เครียดแบบนี้ระวังหน้าแก่ก่อนวัยนะ”
เหมือนจะได้ผลเมื่อทั้งไคและดีโอเงยหน้าขึ้นมามอง หากแต่เลย์กลับได้รับเพียงสายตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกจากทั้งสองที่ส่งมา ใบหน้าหวานมองซ้ายมองขวาเหมือนหาตัวช่วย แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อทั้งชางมินและคริสต่างเสมองไปทางอื่นโดยไม่สนใจเขาที่กำลังขอความช่วยเหลืออยู่เลยสักนิด ใจร้ายที่สุด
“………………”
“อุ้ย! ขอโทษนะ ฉันไม่ควรยุ่ง
เมื่อได้รับสายตาเย็นช้าของเพื่อนทั้งคู่ เลย์ก็ทำได้แค่ยิ้มแหยๆส่งไปให้ ก่อนจะลุกขึ้นเปลี่ยนไปนั่งอีกฝั่งของคริสทันที นั่นไม่แค่ได้รับสายตาจากไคและ ดีโอหากแต่ทั้งคริสและชางมินก็ส่งสายตาผิดหวังมาให้เขาเช่นกัน ก็อาส่าห์ฝากฝังซะดิบดี แต่ใครมันจะรู้ว่าคนตัวเล็กจะทำแบบนี้
“ไค ฉันขอคุยด้วยหน่อย” เมื่อเห็นว่าเลย์คงช่วยอะไรไม่ได้และชางมิน คงหวังพึ่งไม่ได้แน่ๆ คริสจึงเป็นฝ่ายออกปากเอง
“แต่...” ไม่ทันให้ไคได้ตอบโต้ คริสจึงรีบดึงคอเสื้อของเพื่อนสนิทให้ออกไปจากแคนทีนทันที ก่อนจะมานั่งที่ม้าหินอ่อนใต้เงาไม้หลังใหญ่ใกล้ๆแทน
“ฉันกินข้าวยังไม่อิ่มเลย นายลากฉันออกมาทำไมวะคริส?”
“นั่นเรียกว่ากินรึไง? เอาแต่นั่งเขี่ยข้าวไปมา”
“………………….”
“นายโกรธอะไรกับดีโอ?” ไม่อ้อมค้อม คริสจึงเอ่ยถามตรงๆออกไป ก็ที่ลากเพื่อนผิวเข้มมาก็เพื่อจุดประสงค์นี้ยังไงล่ะ อีกอย่างเขาก็เป็นห่วงความรู้สึกของดีโอที่ดูจะอึดอัดไม่น้อย นั่นก็เป็นการดีเสียอีกที่ฝั่งนั้นจะได้ให้เลย์จัดการเองเลย
“ไม่มีอะไรหรอก” เสียงเข้มตอบกลับพลันหลุบนัยน์ตาคมลงทันที ฉายแววพิรุธจนคริสก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ปกติ
“นายโกหก”
“โกหกอะไรเล่า ก็ไม่มีอะไรจริงๆ”
“เล่ามา”
“อ...เออๆ ฉันต้องยอมนายทุกทีเลยสินะคริส เฮ้อ!” ไคถอนหายใจออกมาเมื่อหมดหนทางที่จะหลีกเลี่ยงคำถามจากเพื่อนสนิท ไม่มีทางที่เขาจะรอดพ้นสายตาของคริสไปได้และเขาเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถปิดบังอะไรคริสได้เลย
“แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไง?”
“ก...ก็ไม่มีอะไรมาก ดีโอมันเอาหนังสือมาตีหน้าหล่อๆของฉันอ่ะ ฉันเลยโกรธ”
“หึ! เรื่องแค่นี้ก็เลยไม่คุยกัน? ฉันไม่เชื่อ” เสียงเรียบที่เอ่ยอย่างหนักแน่น เน้นย้ำได้ดีว่าคนผิวเข้มยังมีอะไรที่ปิดบังเขาอยู่ คริสไม่ใช่คนที่จะหลอกตาได้ง่ายๆ มองตาไคทีก็รู้ว่าเจ้าตัวน่ะยังไม่ได้พูดเข้าประเด็นเลยสักนิด
“ก็ที่ฉันโดนตีหน้าก็เพราะ....ก็เพราะ...ฉันไม่จูบมันก่อนอ่ะ”
“…………”
คริสนั่งฟังคำสารภาพจากเพื่อนสนิทอย่างเงียบๆ ไม่ได้แสดงอาการใดออกมา ใบหน้าหล่อที่เรียบนิ่งไม่อาจทำให้คนตรงหน้ารู้ได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
“หยุดเลยคริสอย่าเพิ่งต่อว่าฉัน ก็มันโมโหนี่หว่า ดีโอเอาแต่บ่นฉัน ฉันทำอะไรก็ผิดไปหมดทั้งๆที่ฉันก็เป็นเจ้าของห้องคนนึงเหมือนกันนะเว้ย!”
“แต่นายทำไม่ถูก”
“เออฉันรู้ แต่ก็ทำไปแล้วหนิ มันควบคุมตัวเองไม่ได้นี่นา”
คนผิวเข้มทำได้แค่ยอมรับความผิดที่เขาทำ ยอมรับว่ารู้สึกผิดจริงๆ หากแต่ก็โกรธไม่น้อยที่รูมเมทตัวเล็กปฏิบัติกับเขาเหมือนกับไม่อยากให้อยู่ใกล้ ซ้ำยังจู้จี้จุกจิกเวลาเขาทำห้องรกหรือเสียงดัง นั่นยิงเป็นสิ่งที่กระตุ้นต่อมอารมณ์โมโหของเขาได้เป็นอย่างดี
“ถ้านายเป็นลูกผู้ชายพอก็ไปขอโทษดีโอซะ เขาเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ แล้วฉันเดาได้เลยว่านั่นคงเป็นจูบแรกของดีโอ”
คริสยกมือขึ้นตบไหล่หนาของเพื่อนผิวเข้มเป็นเชิงปลอบใจ เมื่อเห็นว่าไครู้สึกผิดจริงๆกับการกระทำของตัวเอง แต่ในเมื่อทำไปแล้วก็ต้องกล้าที่จะรับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองได้ทำไว้เช่นกัน
“ก็ได้ๆ แต่ฉันขอทำใจก่อนนะ ยังไม่กล้าสู้หน้าว่ะ” ไคพูดเสร็จก็ก้มหน้าจนคางชิดอก ในเมื่อกระทำกับอีกคนแบบนั้นแล้วจะมีหน้าที่ไหนไปสู้กับเขาตรงๆ แค่นั่งทานข้าวตรงข้ามกันก็ยังไม่กล้าสบตารูมเมทตัวเล็กเลย
“เป็นแบบนี้ไม่ใช่นายเลยนะไค หึ!” ริมฝีปากเรียวยกยิ้มมุมปากเมื่อได้เห็นสีหน้าของเพื่อนรักในตอนนี้ สีหน้าที่มีแต่ความกังวลและขาดความมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็น คนอย่างไคไม่เคยเก็บเรื่องที่ผ่านมามาคิดให้รกสมอง
“ฉันขอร้องล่ะคริส นายอย่าหัวเราะแบบนี้ฉันขนลุก” พูดไปก็ลูบแขนตัวเองไป ถึงจะอยู่กับคริสมานาน รู้จักนิสัยใจคอของเพื่อนตัวสูงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่ชินกับเสียงหัวเราะแบบนี้เลยสักครั้ง
“ถ้างั้นฉันไปแล้วนะ แล้วเจอกันในคลาส”
“อื้อ”
คริสได้เดินจากไปแล้ว หากแต่คนที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่อย่างไคกลับคิดไม่ตกเลยว่าจะหาวิธีไหนไปขอโทษขอโพยรูมเมทตัวเล็กที่เขาได้ล่วงเกินไปเพื่อให้อภัยกับการกระทำของเขา อย่างที่คริสว่าดีโอเป็นลูกมีพ่อมีแม่ แล้วเขาก็ไม่สมควรไปทำแบบนั้นกับอีกคน ไม่ใช่ไม่สมควรหากแต่ไม่มีสิทธิ์แตะเนื้อต้องตัวเลยด้วยซ้ำ คิดมาถึงตรงนี้หัวใจก็ปวดหนึบเมื่อคำว่าไม่มีสิทธิ์มันยังวนเวียนภายในหัวเขาอยู่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปขอโทษอีกคนให้ได้
…THE WIZARD…
“เฮ้ย! จริงอ่ะดีโอ?” สีหน้าที่แสดงอาการตกใจของคนหน้าหวานทำเอา ดีโอถึงกับผงะไปเล็กน้อย เลย์ดูท่าจะตกใจกับเรื่องของดีโอมากกว่าเจ้าตัวเสียอีก
“เอ่อ...”
“ไคนะไค ถ้าเป็นฉันไม่ใช่แค่หนังสือแน่ๆ ฉันจะเอารองเท้าทาบหน้าเลยคอยดู”
เหมือนจะไม่เป็นผลเมื่อคริสฝากฝังให้เลย์มาเพื่อพูดให้ดีโอปรับความเข้าใจกับไค หากแต่คนตัวเล็กเอาแต่พูดเสี้ยมให้อีกคนทำอย่างเขาราวว่าเรื่องของดีโอเป็นเรื่องของเขาเสียเอง
“นายดูจริงจังกว่าฉันอีกนะเลย์” ดีโอที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟในตอนแรกอ่อนลงแล้ว ผิดกับอีกคนที่เมื่อได้รับรู้เรื่องที่เขาเล่ากลับเป็นฝ่ายโกรธแทนเสียดื้อๆ
“ได้ไงล่ะดีโอ นั่นมันจูบแรกนายนะ เป็นฉันไม่มีทางยอม อย่ายอมเชื่อฉัน!”
“ตอนแรกฉันก็โกรธนะ แต่พอเห็นนายฉันเริ่มหายโกรธละ”
“ดีโอ! นายจะยอมง่ายๆไม่ได้นะ เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน” เสียงหวานที่เอ่ยเจ้ยแจ้วกลายเป็นจุดสนใจของคนในแคนทีนได้เป็นอย่างดี คนตัวเล็กที่โกรธหน้าดำหน้าแดงเพราะเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองทำให้ ดีโอก็ยังหวั่นกลัวไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้นำพาเมื่อเลย์ยังเอาแต่ต่อว่าไคไม่หยุดทั้งๆที่ฟังความแค่ฝ่ายเดียว
“โอเคๆ ไม่ยอมก็ไม่ยอม”เป็นดีโอที่ถึงแม้จะหายโกรธไปแล้วบ้างแต่ก็ยอมเออออไปกับเพื่อนผิวขาวตรงหน้าแต่โดยดี กลัวว่าเลย์จะไม่ยอมหยุดแล้วสืบสามราวเรื่องให้มันยืดยาวกว่านี้
“ดีมาก เรื่องแบบนี้จะให้ใครเอาไปง่ายๆได้ไง ถ้ารักถ้าชอบกันก็ว่าไปอย่าง”
คำพูดที่คนหน้าหวานพูดออกไป ถึงไม่ได้คิดอะไรหากแต่คนที่ได้ฟังกลับรู้สึกเจ็บปวด จริงอย่างที่เลย์ว่า ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบแล้วทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ความสะใจงั้นหรือ พลันได้คิดหยาดน้ำสีใสก็เอ่อคลอที่รอบดวงตากลมโดยไม่รู้ตัว
“ดีโอเป็นอะไร?”
“ป...เปล่าหรอกเลย์ ฉันแค่แสบตาน่ะ สงสัยพริกในจานจะลอยเขาตาฉัน” ดีโอรีบยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองสองสามทีเพื่อปกปิดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา
“นายควรจะไปล้างมันนะ ให้ฉันพาไปห้องน้ำไหม?”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไม่เองดีกว่า นายนั่งรอคริสอยู่ที่นี่แหละเดี๋ยวฉันมา”
“อย่างนั้นก็ได้ รีบไปรีบมานะ”
“อื้อ”
ดีโอรีบปลีกตัวออกมาจากแคนทีนแล้วตรงไปยังห้องน้ำทันที เพราะเกรงว่าเพื่อนหน้าหวานจะทันได้เห็นน้ำตาที่มันไหลออกมาในตอนนี้เสียก่อน ดวงตากลมโตที่เคยเปล่งประกายสดใสกลับหดหู่เสียเต็มประดา หากแต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องร้องไห้ ทำไมต้องเสียใจ ทั้งๆที่ไม่ได้คิดอะไรกับคนผิวเข้มรูมเมทเลยสักนิด
นัยน์ตากลมจ้องเข้าไปยังกระจกภายในห้องน้ำเบื้องหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากแดงของตัวเองอย่างแผ่วเบาที่เมื่อคืนโดนคนใจร้ายอย่างเพื่อนร่วมห้องขโมยมันไปอย่างหน้าตาเฉย ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรทำไมต้องทำแบบนี้ เข้ามาทำให้เขาใจสั่นไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วยังไม่รู้จักรับผิดชอบอีก คิดได้แค่นั้นก่อนจะไล่ความคิดบ้าๆให้ออกไปจากหัวให้หมด ส่ายหน้าสองสามทีเพื่อให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น พลันมือเล็กก็ยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาให้เหือดแห้งไป
...หวังอะไรอยู่ดีโอ มันก็แค่ความสะใจ...
“ทำอะไรอยู่”
เสียงทุ้มของผู้เข้ามาใหม่ทำให้ใบหน้าที่ส่ายไปมาในตอนแรกต้องหยุดชะงักไปทันที ก่อนจะมองเข้าไปในกระจกเงาที่สะท้อนร่างของผู้เข้ามาเพื่อต้องการรับรู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร
“ค...ไค” เพียงแค่นั้นร่างทั้งร่างก็หันไปมองอีกคนด้วยความตกใจ
“ฉันถามว่านายกำลังทำอะไร แล้วทำไมต้องตกใจขนาดนั้น?” ร่างสูงของคนผิวเข้มที่ยืนกอดอกพิงประตูห้องน้ำอยู่เอ่ยถามเสียงเรียบ น้ำสียงที่คนฟังก็เดาอารมณ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งเข้ามาต้องการอะไรกันแน่
“มาเข้าห้องน้ำแล้วคิดว่ามาทำอะไรล่ะ” ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ถึงใจจะสั่นแต่ก็ไม่วายยังพูดกวนประสาทอีกคน ยอมรับว่าตอนแรกอ่อนลงบ้างแล้วแต่พอได้เห็นใบหน้าคมของคนที่ยืนพิงประตูอยู่นั้นพลันให้หวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืนจนรู้สึกโกรธขึ้นมาเสียเฉยๆ
“หึ! ก็นึกว่าอยากทำอย่างอื่น” รอยยิ้มมุมปากหากใครได้เห็นคงต้องหลงใหลไม่น้อย แต่ไม่ใช่กับคนตัวเล็กที่ตอนนี้ร่างกายสั่นเทาเพราะความกลัวเมื่อไคเริ่มย่างสามขุมเข้ามาหาช้าๆ
“ทำอะไรล่ะ? ฉันก็มาล้างหน้านี่ไง ออกไปไกลๆเลยไป”
“อ้อเหรอ ฉันก็คิดว่าอยากทำอย่างอื่นซะอีก”
“อย่ามาทะลึ่งกับฉันนะไค!”
“ใครทะลึ่ง? ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลยนะ นายคิดอะไรอยู่หื้ม?”
เมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าคมก็เผลอหลุดยิ้มออกมากับปฏิกิริยาน่ารักของอีกคน ดวงตากลมที่ไม่กล้าสบตากันตรงๆกับจมูกแดงๆที่ก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มายิ่งทำให้คนมองเคลิบเคลิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“ยิ้มอะไร?” เสียงหวานเอ่ยถามเมื่ออีกคนเอาแต่ยิ้มหากแต่ไม่พูดอะไรเสียที
“เปล่า” พูดแค่นั้นคนผิวเข้มก็ย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้คนตากลมช้าๆ
ดีโอถอยหลังกรูด้วยความกลัวจนสะโพกเล็กชนเข้ากับอ่างล้างหน้าจนไม่สามารถหนีไปไหนได้ มือหนาของอีกคนก็ยกขึ้นเท้ากับขอบอ่างคร่อมกายเล็กของเขาไว้อยู่ ทำให้ใบหน้าน่ารักต้องเบือนหนีหลบอีกคนที่อยู่ใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ
“ออกไปไกลๆเลย” มือเล็กผลักอกแกร่งของอีกคนให้ออกห่าง แต่ไม่เป็นผลเลยสักนิดเมื่อแรงที่มีใยจะสู้กับคนตรงหน้าได้
“จะให้ออกไปไหนล่ะ? ฉันเพิ่งเข้ามาเอง”
“อย่ามากวนประสาท ฉันไม่ตลกกับนายนะ” เสียงหวานบ่งบอกว่าร่างสูงตรงหน้าเริ่มทำให้เขารำคาญและไม่ตลกที่มาล้อเล่นกับหัวใจเขาแบบนี้ ทำเอาอีกคนต้องหุบยิ้มไปในทันที
“แล้วใครว่าฉันตลก?”
“อ...ออกไปเถอะฉันขอร้อง ทำแบบนี้มันดูไม่ดี”
เมื่อรู้สึกเหนื่อยคนตัวเล็กเลือกที่จะอ่อนลงและพูดในสิ่งที่ฟังแล้วน่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดเพื่อให้ไคหลีกทางให้เขา ไม่ได้เหนื่อยที่กายหากแต่เป็นหัวใจที่มักจะเต้นแรงทุกครั้งเมื่ออยู่กับคนผิวเข้มตรงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงและไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาตอนไหน
“แล้วมันดูไม่ดียังไง?”
“ก็ที่ทำแบบนี้ฉันไม่ชอบ ฉันคิดว่ามันไม่สมควร”
ไคชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินรูมเมทตัวเล็กเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งและหนักแน่น จนหัวใจที่เคยคิดว่ารู้ความเป็นตัวเองแล้วกลับปวดหนึบและหมดกำลังที่จะสู้ต่อ
“อะไรที่ไม่สมควรบอกฉันได้หรือเปล่า?” ถึงจะไม่อยากรู้คำตอบ แต่ก็เลือกที่จะถามเพื่อความมั่นใจว่าเขาเข้าใจความหมายมันไม่ผิด
“ก็ไม่สมควรตรงที่ฉันเป็นเพื่อนนายและฉัน...ไม่ใช่ของเล่นของใคร” พูดแค่นั้น ดีโอก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักกายหนาของคนตรงหน้าให้ออกห่างพลันเบือนกายออกจากการโอบกอดของอีกคนทันที ทำท่าจะเดินออกจากห้องน้ำไปเพื่อจะได้ไม่ต้องทนเห็นใบหน้าหล่อเหลานั่น ใบหน้าของคนที่ทำให้เขาเสียน้ำตา
“ฉันขอโทษ” เท้าเล็กที่กำลังเดินออกไปจากห้องน้ำชะงักไปเมื่ออีกคนเอ่ยประโยคที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา
“ขอโทษ? เรื่องอะไร?”
“ก็...เรื่องเมื่อวานที่ฉัน...”
“ช่างมันเถอะ ฉันลืมมันไปแล้ว”
ไม่ทันที่ไคจะได้พูดจบดีโอก็ขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาไม่อยากได้ยินไม่อยากรับรู้ว่าอีกคนจะพูดว่าอะไร เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันคือเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาอยู่ในตอนนี้ ถึงจะพูดกับอีกคนหากแต่คนตัวเล็กก็ไม่คิดจะหันไปคุยกันดีๆ เอาแต่ยืนหันหลังให้เพราะกลัวว่าคนผิวเข้มจะเห็นถึงความอ่อนแอของเขาที่มันฉายออกมาชัดเจนเกินไป
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจ? งั้น...ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องคิดมากกันทั้งสองฝ่าย แล้วก็อย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกล่ะ เพราะถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะไม่ใจเย็นเหมือนฉันก็ได้ อ้อ! แล้วอีกอย่าง ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบก็อย่าทำ จะทำอะไรก็ขอให้มันเกิดขึ้นจากความรักไม่ใช่ทำตามใจ คนอื่นเขาก็เสียใจเป็น”
พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนคนตัวเล็กจะปล่อยให้น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในตอนแรกไหลออกมาเป็นสายธาร พลันรีบเดินหนีจากไปในทันทีโดยไม่คิดจะฟังเสียงร้องเรียกของคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย ยากเหลือเกินกับการควบคุมเสียงที่สั่นเครือเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกคน และยากเหลือเกินกับการควบคุมการเต้นของหัวใจตัวเองที่มันเผลอไปกับเรื่องเมื่อวานเสียแล้ว
…THE WIZARD…
ความคิดเห็น