คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ll ERROR ll CHAPTER 7 [100%]
[KRISLAY & KAILU]
“ลู่หานพี่ขอโทษ”
ไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันหนตั้งแต่วันเกิดเรื่อง จงอินไม่ละความพยายามเลยแม้แต่ครั้งที่จะตามตื้อคนน่ารักที่มอบหัวใจไปให้ทั้งดวง รู้ว่าอีกคนใจแข็ง แต่จงอินก็พร้อมจะหลอมละลายให้อ่อนระทวย ทว่าถ้าคิดดูดีๆแล้ว ลู่หานจะอ่อนข้อให้เขาง่ายๆคงได้แต่ฝันไป
สองร่างที่นั่งเคียงข้างกันอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกไม่มีท่าทีว่าจะเข้าใจกันได้เลย ร่วมสามชั่วโมงเศษตั้งแต่จงอินมาหาลู่หานที่บ้านในวันหยุด ขอร้องทั้งแกมเว้าวอนก็แล้ว ถึงไม่แสดงออกว่าท้อใจแต่นั่นก็ไร้หนทางว่าจะคืนดีกันได้
“ไหนว่าผมสกปรกไม่หวงเนื้อหวงตัวไง แล้วมายุ่งกับคนสกปรกอย่างผมทำไมล่ะครับ?”
ใบหน้าน่ารักตีนิ่งเสียให้จงอินหัวใจหล่นไปกองรวมกันที่พื้น ม่านตากลมเหลือบมองเพียงนิดก็หันกลับไปไม่ไยดีเหมือนอย่างเคย
“เป็นใครเห็นแบบนั้นมันต้องเข้าใจผิดเป็นธรรมดา ไปกอดกับคนอื่นพี่เห็นพี่ก็หึงทั้งยังโมโห”
“ใครคนอื่น? พี่คริสไม่ใช่คนอื่น แค่นี้ก็ทำให้รู้แล้วว่าพี่ไม่เคยไว้ใจผม ไม่เคยมองกันในแง่ดีเลยสักครั้ง”
“แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะลู่หาน พี่โกรธพี่เลยพูดไปไม่คิด นายไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นพี่เจ็บปวดมากแค่ไหนเมื่อเห็นนายกอดกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พี่”
“แล้วผมจำเป็นด้วยหรือว่าต้องกอดกับพี่แค่คนเดียว เราเป็นอะไรกันทำไมต้องมาใส่ใจ”
จงอินแทบจะลงไปนอนดิ้นกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด ลู่หานหัวดื้อหัวแข็งทั้งยังเชื่อมั่นกับความคิดของตัวเองสูง มือหนาจึงยกขึ้นกุมขมับพลางคลึงมันเบาๆคล้ายคนหมดหนทาง เอนแผ่นหลังพิงพนักโซฟาแล้วถอนหายใจรัวจนเสียงดังลั่น
“ก็พี่รักเรามากจะให้ทำยังไง อาจจะงี่เง่าไปแต่ถ้าเป็นนายพี่ก็ไม่อยากให้ใครได้แตะต้อง”
สิ้นเสียงทุ้มลู่หานพลันเบือนใบหน้าหนีไปอีกทางทำเหมือนไม่คิดจะรับฟัง สองแขนเล็กสอดประสานกันขึ้นแนบอกกลอกม่านตาขึ้นลงอย่างเบื่อหน่าย
จงอินที่เห็นท่าทีแบบนั้นก็แทบจะใจสลาย หัวดื้อแบบลู่หานใช้ไม้ตายเลยดีหรือเปล่านะ ว่าแล้วไม่รอช้าจึงค่อยๆขยับกายเข้าหาคนตัวเล็ก ซ้อนมือเข้าที่แผ่นหลังบางรั้งคนน่ารักให้เข้าแนบชิดกาย ไหล่ซ้อนไหล่คว้ามาพักพิงที่แผงอกแกร่ง ลู่หานเองก็รู้ตัวหากแต่ไม่ได้ขัดขืน เพราะการทำเป็นไม่สนใจรู้ดีว่าจงอินจะทุรนทุราย มันสนุกดีออก
“นายถามว่าเราเป็นอะไรกันใช่ไหม? พี่คิดเกินเลยมาตั้งนานแล้ว รอแต่นายนั่นแหละเมื่อไรจะให้ใจพี่สักที”
มือหนาลูบที่หัวทุยของคนตัวเล็กแผ่วเบาแล้วกดลงให้ซบที่ซอกคอ ฝังปลายจมูกโด่งกดลงที่กลุ่มผมนุ่ม ก่อนจะรอคอยคำตอบจากคนน่ารักที่มักจะทำให้หัวใจเขาห่อเหี่ยวได้อยู่เรื่อย
“เฮ้อ! พี่รักผมจริงๆเหรอจงอิน ไม่ใช่แค่อยากได้ร่างกายผมใช่ไหม?”
ดูท่าว่าลู่หานจะใจอ่อนลงบ้างแล้ว เหนื่อยเหมือนกันถ้าต้องปั้นหน้าเย็นชาให้คนตัวสูงได้เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ถึงบุคลิกจะแตกต่างจากพี่ชายหน้าหวานอย่างสิ้นเชิง ทว่าภายในจิตใจคล้ายกันเสียเหมือนกับว่าก็อปวาง
“แน่นอนว่าร่างกายพี่ก็อยากได้ แต่ถ้าไม่ได้หัวใจก่อนร่างกายจะได้มายังไงล่ะจริงไหม?”
ลู่หานได้ฟังอีกคนพูดก็ถึงกับตาเบิกโพลงผละกายออกห่างทันที ความไม่ชอบใจเกิดขึ้นอีกครั้งยามรุ่นพี่ผิวเข้มก็หวังเหมือนคนอื่นๆ เสียดายที่ลู่หานกำลังจะเชื่อใจแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ทำให้ผิดหวังไม่ต่างจากครั้งก่อน
“.........”
คนน่ารักไม่ต่อบทสนทนาพลันรีบลุกขึ้นยืนทำท่าจะหนีคนตัวสูงเพราะทำให้ปวดหนึบที่หัวใจ หากแต่อีกคนที่รู้ทันจึงรีบส่งมือเข้ารั้งเอวบางให้ทิ้งตัวนั่งลงข้างกันอีกครั้งแล้วโอบกอดไว้แน่นให้ไร้การต่อต้าน
“โกรธพี่เหรอลู่หาน?” จงอินเอ่ยถามแกมอมยิ้มนึกขัน ปกติอีกคนใช่จะใส่ใจกับคำพูดของเขาซะเมื่อไหร่
“ปล่อยผมนะ! อย่ามายุ่งกับผม”
ลู่หานดิ้นขลุกขลักคล้ายหัวใจมันเจ็บแปลกๆ พอรู้ตัวว่าคงทำอะไรจงอินไม่ได้ จึงยอมนั่งนิ่งทั้งที่ใบหน้างองุ้มบ่งบอกว่าหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด
“พี่พูดอะไรผิดเหรอ? ทุกอย่างที่คิดเป็นความจริงพี่ไม่ได้โกหกนี่นา”
“พี่ก็เหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ ไหนว่าอยากได้หัวใจผม ไม่ใช่อยากได้ร่างกายไง?”
“ตอนไหน? พี่พูดเมื่อไรจำไม่เห็นได้เลย”
ลู่หานพยายามผลักอกกว้างของอีกคนให้ออกห่างหลายต่อหลายครั้ง ทั้งรีบผละตัวหนีจากอ้อมกอดแกร่งไม่อยากให้จงอินเข้าใกล้แล้วต้องเจ็บปวดอีก หากแต่ก็ร่ำไปเมื่อคนผิวเข้มใช่จะยอมปล่อยง่ายๆ ไม่วายยังโถมตัวเข้าหาแล้วดันไหล่บางให้นอนราบไปกับโซฟานุ่มโดยไม่ให้ตั้งตัว
“ออกไปจากร่างกายผมนะ!”
เสียงหวานสั่งการทว่าคนตัวสูงไม่ไปไหน ลู่หานรีบเบือนหน้าหนีเสมองทิศทางอื่น หยาดน้ำไร้สีคลอหน่วยที่รอบดวงตาคล้ายจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ น้อยใจทั้งผิดหวังเมื่อพร้อมจะเปิดใจแต่อีกคนก็ยังทำเหมือนแค่เล่นๆ
“ฟังพี่ก่อน ที่บอกว่าร่างกายก็อยากได้ เพราะพี่ไม่ยอมให้ร่างกายของนายต้องไปเป็นของใครอย่างแน่นอน แค่อยากเป็นเจ้าของนายคนเดียวพี่ผิดด้วยหรือ?”
“ก็พี่เคยบอกผมว่าไม่อยากได้ร่างกายหนิ” ใบหน้าน่ารักหันมาประจันอีกครั้ง ช้อนม่านตาที่เอ่อคลอหยาดน้ำระริกไหวมองจงอินนิ่งอย่างไม่เข้าใจ
“เด็กหนอเด็ก ถ้าเป็นแฟนกันแล้วนายจะไม่ให้พี่บ้างเลยหรือไง?”
“ใคร? ใครจะเป็นแฟนกับพี่!”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ลู่หานเบือนใบหน้าหนีจงอินอีกครั้งทั้งที่ไม่ได้รู้เลยว่าพวงแก้มทั้งสองข้างมันเจือสีจนคนที่คร่อมกายอยู่ด้านบนเห็นได้อย่างชัดเจน
จงอินอมยิ้มเอ็นดูกับความไม่ประสาที่สื่อออกมาอย่างพอใจ สอดมือหนาเข้าที่หลังท้ายทอยของคนตัวเล็กใต้ร่าง ส่วนอีกมือจับที่คางมนให้เชิดหน้าขึ้นสบมอง โน้มร่างกายเข้าหาช้าๆก่อนจะทาบทับริมฝีปากเชยชมความหอมหวานจากกลีบปากอมชมพูอิ่มอย่างแผ่วเบา
ความอุ่นวาบแล่นปราดเข้าที่หัวใจยามริมฝีปากแตะสัมผัสให้รู้สึก ค้างไว้ชั่วครู่พลางค่อยๆดูดเม้มอย่างอ่อนโยนเชื่องช้าและเนิบนาบโดยไม่เร่งรีบ ใบหน้าคมปรับองศาเอียงเพียงนิดให้ถนัดในการกอบโกยอย่างสาสม กดคางมนให้ยอมเผยอกลีบปากออกก่อนจะส่งลิ้นร้อนเข้าไปควานหาความหอมหวานด้านในอย่างที่ใจต้องการ
ลู่หานปิดเปลือกตาพริ้มยอมอย่างไม่มีข้อแม้ หยาดน้ำไร้สีไหลลู่ลงจากหางตาหยดแหมะที่โซฟานุ่ม จะว่าดีใจคงไม่แปลกเพราะเป็นรุ่นพี่คนนี้ที่รักเขาด้วยหัวใจไม่เหมือนคนอื่น รู้อยู่แล้วว่าจงอินจริงจังมาตั้งแต่แรกจึงมั่นใจว่าตัวเองก็รักไม่ต่างกัน ถึงจะเร็วหากแต่ขอบเขตของความรักมันไม่มีเหตุผลให้ต้องอธิบายจนมากความ
“เป็นแฟนกันไหม? อยากดูแลแบบจริงๆจังๆละ” เสียงทุ้มเอ่ยพูดหลังจากผละริมฝีปากออก พลางยกมือขึ้นเกลี่ยหยาดน้ำที่ดวงตาสวยให้คนน่ารักใต้ร่างอย่างอ่อนโยน
“ไม่เอา! มันเร็วไป”
ลู่หานก็แสนดื้อรั้นตอบไม่คิดเลยสักนิด ทั้งพวงแก้มยังแดงก่ำคล้ายลูกตำลึงไม่มีผิดเพี้ยน ทำเอาจงอินต้องยู่ปากไม่ชอบใจกับคำตอบที่ได้รับฟัง แต่นั่นก็ยังเผยยิ้มยามเห็นปฏิกิริยาเคอะเขินจากอีกคน
“ถ้านายอยากเป็นแฟนกับพี่จะช้าจะเร็วมันก็ไม่สำคัญ หากนานไปพี่มีคนอื่นแล้วจะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะ”
“เหอะ! งั้นก็ไปเลยดิคิดว่าผมง้อหรอ?”
“โอ๋ๆ ล้อเล่นหรอกใครว่าพี่พูดจริง มีนายคนเดียวก็เหนื่อยพอแล้ว มีหลายคนสงสัยจะปวดหัวขึ้นไปอีก”
จงอินหวังแกล้งไม่ได้ดูสถานการณ์เลยสักนิดว่าลู่หานไม่ชอบใจอยู่ในอก ใบหน้าน่ารักงองุ้มเผยความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆจนคนที่ได้มองต้องพอใจ จากเย็นชากำลังจะกลายเป็นตัวของตัวเอง ทำเอาจงอินมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“ทำอะไรกันอ่ะ?”
เสียงทักท้วงทำให้คนทั้งคู่สะดุ้งโหยงพลันหันควับไปมองอย่างรวดเร็ว พอรู้ว่าเป็นใครก็รีบเด้งตัวผละออกจากกันในทันทีลุกลี้ลุกลน ตกใจไม่วายยังอายคนที่ได้พบเห็นจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน จงอินยกมือขึ้นรูปท้ายทอยแก้เก้อแล้วนั่งพิงพนักโซฟาเลิกลั่ก ส่วนลู่หานก็ได้แต่ตีหน้านิ่งจัดเสื้อผ้าหน้าผมไปพรางๆเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่เมื่อครู่ร่างสองร่างทาบทับแนบกายกัน ใครเห็นก็ต้องคิดเกินเลยไปไกล
“ว...วันนี้นายกลับบ้านด้วยเหรออี้ชิง?”
จงอินเอ่ยถามเพื่อนหน้าหวานที่ไม่บ่อยนักจะกลับมาบ้านสักครั้ง เมื่อครู่คงเห็นไปไหนต่อไหนว่าทำอะไรน้องชายไปบ้าง แล้วแบบนี้เพื่อนจะโกรธไหมนะจงอินร้อนอกร้อนใจจนอยู่ไม่สุข
อี้ชิงกลับมาที่บ้านอีกครั้งเพราะตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพูดคุยกับลู่หานให้เข้าใจ อยากขอโทษอีกคนที่ทำให้หมดความเชื่อมั่นกับเรื่องที่บ้านของแบคฮยอน พยายามอยู่หลายต่อหลายครั้งทั้งโทรหาและส่งข้อความไม่เคยเลยที่น้องชายจะตอบกลับมา อี้ชิงเองอยู่หอพักจึงไม่ค่อยได้เจอลู่หานบ่อยนัก วันหยุดทีเลยหาโอกาสมาเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้มันหายขุ่นเคืองใจ
“ลู่หาน ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”
เสียงหวานเอ่ยกับน้องชายโดยไม่ได้ตอบคำถามของจงอิน แต่นั่นลู่หานกลับสะบัดหน้าหนีแล้วทำท่าจะเดินขึ้นห้องของตัวเองไปเสียดื้อๆ คงจะยังไม่หายโกรธกันก็เป็นแน่
“ลู่หานอย่าทำแบบนี้ คุยกับอี้ชิงให้จบๆจะได้เข้าใจกันสักที” จงอินพยายามห้ามน้อง หากแต่ลู่หานใช่ว่าจะเชื่อฟัง ส่งมือคว้าหมับที่ข้อมือบางยื้อคนน่ารักไว้ไม่ให้ไปไหน
“พี่ก็เป็นซะอย่างนี้ เข้าข้างอี้ชิงมากกว่าผม”
ตัดพ้อเสร็จจึงแกะมือหนาให้ออกจากการกอบกุม ลู่หานส่งสายตาจ้องมองคนผิวเข้มอย่างไม่ชอบใจ ร้อนถึงคนถูกจ้องมองต้องส่ายหน้าเอือมระอาก่อนจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่น้องเขาคุยกันเอง
“ลู่หานฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ทำยังไงนายถึงจะให้อภัยฉัน?”
อี้ชิงชักจะหมดปัญญาเพราะเริ่มเหนื่อยกับการทำความเข้าใจกับอีกคน เพราะไม่ง่ายในเมื่อลู่หานก็หัวดื้อ ซ้ำที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยควบคุมน้องชายได้เลยแม้แต่ครั้ง
“นายไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ก็แค่ต่างคนต่างอยู่”
คำพูดของลู่หานคล้ายประชดประชันทั้งแทงใจดำเข้าเต็มเปา อี้ชิงถึงกับผงะไปเล็กน้อยเมื่อคำพูดแบบนี้ใครเขาเอ่ยออกมากันง่ายๆ อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กไม่ผูกพันธ์กันเลยหรือยังไง ให้ต่างคนต่างไปอี้ชิงทำใจไม่ได้หรอก
“โอเค! ฉันผิดเองที่ตบหน้านาย จะให้ไถ่โทษยังไงก็บอกว่ามาเลยฉันยอมทำทุกอย่าง ขอแค่นายให้อภัยฉันก็พอใจ...เราเป็นพี่น้องกันนะลู่หาน มีกันแค่สองคนนายอย่าทำแบบนี้กับฉันได้ไหม?”
ยื่นข้อเสนอให้น้องชายอย่างเหนื่อยใจ อี้ชิงยอมทุกอย่างแล้ว เหนื่อยมามากพอตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเลยสักครั้งให้สมองได้พักผ่อน มีแต่เรื่องและปัญหารุมเร้าจนไม่รู้จะแก้ไขที่ตรงไหนก่อน
“นายพูดเองนะ ทำได้ทุกอย่างแน่หรือ?”
“แน่นอน! แต่นายต้องให้อภัยฉัน กลับมาคุยกันดีๆเหมือนเดิม”
สิ้นเสียงหวานของพี่ชายลู่หานจึงยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เหลือบมองใบหน้าหวานของอีกคนทำเอาอี้ชิงหวั่นใจกับคำพูดที่ลั่นวาจาออกไป แต่นั่นจะเรียกกลับคืนคงไม่ทันในเมื่อน้องชายตัวดีมันเริ่มต่อสนทนาอีกครั้งให้ตัวชาไปทั่งร่าง
“ถ้างั้นไปเป็นแฟนกับพี่คริสก่อนดิ แล้วฉันจะให้อภัย”
“ห๊ะ?”
ไม่มีผิดเมื่อลู่หานต้องมีเรื่องให้เขาได้คิดหนัก เรื่องบางเรื่องยอมทำได้ หากแต่บางเรื่องฝืนทำไปก็ไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอยู่ดี
“นายบอกแล้วว่าทำได้ทุกอย่างนะอี้ชิง”
“จะบ้าหรือลู่หาน! คนไม่ได้รักไม่ได้ชอบจะเป็นแฟนกันได้ยังไง?”
อี้ชิงขัดทันทีอย่างไม่เห็นด้วย ม่านตากลมกลอกไปมายืนเท้าสะเอวเพราะน้องชายกำลังเห็นเรื่องที่กล่าวเป็นที่น่าตลก
“ใครว่าไม่ได้รักไม่ได้ชอบ พี่คริสรักนาย...”
“แต่ฉันไม่ได้รักคริส!” คนหน้าหวานสวนฉับพลันไม่ชอบใจทั้งนึกโกรธ ลู่หานคงไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเขากับคริสมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“นายรักพี่คริส”
“ฉันไม่ได้รัก!”
“นายรักพี่คริส!”
“ฉันไม่ได้รัก”
“นายรัก!”
“ฉันไม่!”
“นายรัก รัก รัก รัก รัก รัก! นายรักพี่คริส! นายรักพี่เขาแต่ไม่เคยรู้ใจตัวเองต่างหาก เพราะพี่คริสเคยทำร้ายนายใช่ไหมล่ะฉันรู้อย่าโกหกกันอีกเลย เพราะเรื่องนี้ถึงฝังใจนายให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้านายได้ลองถามใจตัวเองบ้าง เปิดใจให้พี่เขาบ้างจะรู้ว่านายเองก็ไม่ได้คิดต่างไปจากพี่เขาหรอก”
อี้ชิงบอกได้เลยว่าในตอนนี้คล้ายจะแพ้ลู่หานไม่เป็นท่า ถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปนั่งหย่อนกายลงที่โซฟาแล้วกุมขมับตัวเองด้วยความสับสน ลู่หานคงรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว เหนื่อยใจและป่วยการจะต่อล้อต่อเถียง ความลับไม่มีในโลกอี้ชิงรู้ดีเสมอมา แค่ลู่หานไม่รังเกียจเขาไม่ต่อว่าเขาก็เพียงพอ แต่นั่นทำไมน้องชายคนนี้มันถึงรู้ดีไปกว่าใจเขา รู้ได้ยังไงว่าเขารักคริส ทั้งๆที่ตัวเขายังไม่รู้ใจตัวเองเสียด้วยซ้ำว่าคิดยังไงกับอีกคน
“เฮ้อ! ฉันทำไม่ได้หรอกนะลู่หาน เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะเข้าใจ ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นจากความรักของคนทั้งสอง มันไม่ได้สวยงามอย่างที่นายคิดหรอกนะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับนายต่างหาก ฉันชอบพี่คริสอยากได้พี่คริสมาเป็นพี่เขยมีปัญหาไหม?”
“ลู่หาน!”
นัยน์ตาคู่กลมเบิกโพลงยามน้องชายพูดเรื่องไร้สาระจนต้องหงุดหงิด อีกคนคิดอะไรอยู่รู้ไหมว่ามันไม่ถูกต้อง พูดง่ายหากแต่มันยากขนาดไหนการที่ต้องทำใจให้รักใครสักคนทั้งที่ฝืนทน
“ถ้าเรื่องแค่นี้ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก”
“นี่ลู่หาน!”
ยื้อไว้ไม่ทันไอ้น้องชายตัวดีก็เดินตึงตังขึ้นบันไดไปเสียแล้ว กลับมาที่บ้านเพื่ออะไรไร้ประโยชน์อย่าสิ้งเชิง อยู่ดีไม่ว่าดีดันเพิ่มเรื่องปวดหัวให้กับตัวเองเสียอย่างนั้น แต่นั่นลู่หานก็สำคัญ ทว่าเรื่องของหัวใจคงเอามาล้อเล่นไม่ได้อยู่ดี
“จงอิน ฉันฝากดูแลลู่หานด้วยนะ” หันไปหาเพื่อนผิวเข้มหน้าเศร้าสร้อยอี้ชิงจึงฝากฝัง เหนื่อยใจทั้งเหนื่อยกาย เมื่อไรจะจบสักทีเรื่องพักนี้ที่ชวนให้ปวดสมองคล้ายจะเป็นประสาทในอีกไม่ช้า
“นายจะไปไหนอ่ะ กลับมาบ้านทั้งทีไม่นอนค้างเหรอ?”
“ไม่ล่ะ ฉันอยู่หอสบายใจกว่า”
พูดเสร็จอี้ชิงก็เดินก้มหน้าก้มตาออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ จงอินทำได้แค่มองตามเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง ไม่คิดเหมือนกันว่าลู่หานจะใช้ไม้นี้กับพี่ชาย ร้ายกาจนักต้องโดนทำโทษซะบ้าง แต่เขาเองใช่จะดูไม่ออกว่าอี้ชิงคิดยังไงกับรุ่นพี่วิศวะโยธาคนนั้น จริงอย่างที่ลู่หานว่าทุกประการคืออีกคนยังไม่รู้ใจตัวเองนั่นแล
…ERROR…
อีกเรื่องที่ชวนให้ปวดหัวเห็นจะเป็นคนตัวสูงที่ตอนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน คริสมาหาทุกเย็นหลังเลิกเรียน รอที่หน้าคณะจนเลิกคลาสทั้งที่อี้ชิงเองไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าอีกคนมีตารางเรียนของเขาได้อย่างไร ไม่วายคริสยังเนียนเดินตามเขาไปถึงหอพัก นอนเล่นที่ห้องจนดึกดื่นอย่างถือวิสาสะจึงกลับบ้านตัวเอง ไล่เท่าไรก็เหนื่อยใจเพราะอีกคนไม่คิดจะฟัง จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่ปฏิเสธว่าการได้อยู่ข้างคนตัวสูง จากที่เคยทุกข์ระรมกลับค่อยๆคืนความสุขเข้ามาทีละเล็กน้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หากแต่...
วันนี้เขายังไม่เห็นคริสงตั้งแต่เช้าเหมือนทุกครั้ง จนเลิกคลาสก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้อุ่นใจ เท้าเล็กจึงก้าวเดินออกมายังหน้าห้องเรียน กวาดม่านตามองไปรอบๆอย่างคาดหวังว่าจะเห็นใครอีกคนที่คุ้นเคย แต่นั่นก็ช่างปะไร เพราะรายนั้นจะไปไหนก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขานี่นา
“ชะเง้อมองใครทำไมจริงจังขนาดนั้นห๊ะอี้ชิง?” เสียงเอ่ยแซวทำให้ใบหน้าหวานหันควับไปมองคนพูด ก่อนจะรีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวันไม่ยอมรับความจริง
“เปล่าสักหน่อย”
“โกหก! มีคนมารอรับอยู่ทุกวัน พอวันนี้เขาไม่มาก็เลยน้อยใจสินะ” คนผิวเข้มยกยิ้มรู้ทันพลางหรี่ตามองจับผิดเพื่อนสนิทที่แสดงออกชัดเจนแล้วยังกลบเกลื่อนกันอีก
“เพ้อเจ้อแล้วจงอิน ใครจะไปใครจะมาก็เรื่องของเขา ฉันไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนสักหน่อย”
“หรา~”
จงอินล้อเลียนเพื่อนหน้าหวานที่พยายามอย่างถึงที่สุดจะเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเอง อี้ชิงน่ะดูยากก็จริง หากแต่ที่ง่ายคงเป็นริ้วสีแดงจางที่พวงแก้มมันเผยให้เห็นทั้งบ่งบอกได้ดีว่ารู้สึกอย่างไร
“อี้ชิง วันนี้นายต้องเดินกลับหอคนเดียวนะ พอดีพ่อฉันให้เอาเงินไปเข้าธนาคารอ่ะ ค่าเช่าเริ่มมาแล้วฉันต้องทำบัญชีแหละ”
เซฮุนถลาเข้ามาหาพลันเอ่ยบอกเพื่อนหน้าหวานอย่างเห็นใจ ปล่อยอีกคนเดินกลับหอคนเดียวซะหลายวันไม่รู้จะเหงาบ้างหรือเปล่า แต่นั่นก็รู้ดีว่ายังมีรุ่นพี่ต่างคณะที่คอยรับส่งให้ตลอด นั่นก็ทำให้เซฮุนหายห่างเป็นปลิดทิ้ง
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอกเซฮุน นายไปทำธุระของนายเถอะฉันกลับเองได้”
บอกลาเซฮุนและจงอินคนหน้าหวานจึงเดินลงมายังชั้นล่างของตึกคณะ ไม่ต้องบอกเลยว่าที่ช่วงนี้อยู่คนเดียวบ่อยๆเพราะอะไรกัน ซิ่วหมินไม่เข้าเรียนหายไปไม่บอกไม่กล่าว จงอินไม่ทันเลิกคลาสดีก็ไปรอรับน้องชายเขาที่โรงเรียนเสียแล้ว ส่วนเซฮุนอย่างที่รู้ๆกันคือต้องจัดการเรื่องค่าเช่าหอพักของคนเป็นพ่อ อี้ชิงจึงได้แต่โดดเดี่ยวเดียวดายเพราะเพื่อนหนีหายกันไปหมด
เดินลงบันไดมาถึงชั้นล่างเท้าเล็กพลันชะงักงันหยุดนิ่งหัวใจหล่นวูบไปกองที่พื้น ภาพที่เห็นชวนให้หัวใจคล้ายโดนบีบเค้นจนมันเจ็บไปหมด ปวดหนึบตีบตันยามคนตัวสูงที่เดินเคียงข้างมากับดาวคณะวิศวะรุ่นเดียวกันทำให้อี้ชิงต้องจ้องมองทุกการกระทำ หนุ่มสาวยิ้มร่าเริงดูสดใส หัวเราะคิกคักสนุกสนาน หยอกล้อกันเสียสนิทสนมทำให้ความหงุดหงิดพุ่งขึ้นมาในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่นั่นจะสนไปทำไม เขาจะอยู่กับใคร พูดคุยกับใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกับอี้ชิงเลย
“...ที่ไม่มาหาเราเพราะไปกับคนอื่นสินะ”
พูดย้ำให้หัวใจตัวเองปวดหนึบนัยน์ตาคู่ใสคล้ายจะพร่ามัวเหมือนโดนบดบัง แพขนตาสวยรีบกระพริบถี่เพราะกลัวว่าหยาดน้ำไร้สีจะเกือกกลิ้งไหลลงข้างแก้มให้อายต่อสายตาผู้คน ช่างน่าสมเพชที่เอาแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง อี้ชิงกำลังเป็นอะไรไม่เคยเข้าใจตัวเอง แต่ในตอนนี้ภาพตรงหน้ากำลังทำให้เขานึกอิจฉาคล้ายตัวร้ายในละคร
“อี้ชิง”
เมื่อรับรู้ว่าคริสคงเห็นเขาเข้าแล้วใบหน้าหวานพลันหันหนีไปทางอื่นเหมือนว่าไม่สนใจ อี้ชิงรีบออกเดินทันทีไม่รอช้าให้อีกคนต้องเข้าหา แต่นั่นมีหรือจะหนีไปไหนได้ เมื่อข้อมือเล็กยังโดนรั้งให้หยุดการเคลื่อนไหวแล้วหันกลับไปประจันหน้ากับอีกคน
“อย่ามายุ่ง…”
นัยน์ตาคู่หวานช้อนมองคนตัวสูงนิ่งทั้งยังเอ่ยพูดเสียงเรียบ ก่อนจะหลุบม่านตาลงยังมือหนาที่อีกคนจับอยู่ให้รู้ว่าเขาไม่ได้เต็มใจ
“เป็นอะไร ฉันทำให้นายไม่พอใจเหรออี้ชิง?”
คริสเอ่ยถามอย่างร้อนรนทั้งยังจับมืออีกคนแน่นไม่ปล่อยคลาย เห็นอี้ชิงไม่เหมือนทุกวันมันชวนให้เขาหวั่นเกรงว่าอีกคนจะใจแข็งอีกรอบ อุตสาห์ทำดีมาเสียร่วมอาทิตย์จนคนตัวเล็กใจอ่อนยอมให้เข้าหาได้ ยอมให้เดินไปส่งโดยไม่ขัดขืน จะมาผิดใจอะไรกันอีกคริสเป็นกังวลจนแทบจะเป็นบ้า
“ไม่ไปกับพี่คนเมื่อกี้แล้วหรือไง?”
คำพูดแกมประชดเหมือนน้อยใจทำให้คริสยิ้มร่าสวนสถานการณ์ ที่แท้ก็นึกว่าเรื่องอะไร ขอเข้าข้างตัวเองหน่อยได้ไหมว่าคนหน้าหวานอาจจะหึงเขาอยู่ลึกๆ ถึงจะแค่เพียงนิดที่เผยออกมาผ่านทางม่านตาที่ระริกไหว นั่นก็ทำให้ได้ชื่นใจว่าคริสยังมีหวัง
“คนเมื่อกี้ชื่อนิโคล เป็นเพื่อนกัน”
รีบอธิบายให้เข้าใจก่อนคริสจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เห็นอี้ชิงเป็นแบบนี้จะว่าดีใจไม่ปฏิเสธเลยสักนิดว่าชอบ แต่อีกแง่ก็กลัวว่าคนหน้าหวานจะตีตัวห่างไม่ให้โอกาสเหมือนที่ได้ยืนในวันนี้ เพราะประวัติที่ผ่านมาใช่ว่าจะดีให้อีกคนได้เชื่อใจ
“พี่เขาจะเป็นใครก็ช่าง! ฉันไม่ได้อยากรู้อยากเห็น” ม่านตากลมเสมองไปทางอื่น พยายามดึงมือตัวเองกลับ หากแต่อีกคนนั้นบีบไว้แน่นเสียให้ไร้การต่อต้านอี้ชิงจึงขัดขืนไม่ได้
“นิโคลก็แค่ใจดีเอาสายสะพายมาคืนให้น่ะ ฉันลืมไว้ตั้งแต่งานประกวดดาวเดือนเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนไม่ได้เอากลับมาด้วย นี่ไง!”
พูดเสร็จจึงยกสิ่งของที่บอกตำแหน่งทรงเกียรติให้คนตัวเล็กได้ดู อี้ชิงเหลือบม่านตาขึ้นมองแว้บนึงก็รีบหันเหไปทางอื่น ทำเอาคริสต้องอมยิ้มกับความน่ารักจนแทบจะทนไม่ได้
“แล้วมาบอกฉันทำไม?”
“อ่าว! นายไม่ได้อยากรู้หรอกเหรอ แต่นั่นฉันกับนิโคลบริสุทธิ์ใจจริงๆนะ ที่เดินมาด้วยกันเพราะเป็นทางเดียวไม่มีทางอื่นนี่นา ฉันมารับนาย ส่วนนิโคลมารับแฟนที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะเห็นไหม?”
อี้ชิงมองตามมือของคนตัวสูงไปอย่างอยากรู้อยากเห็น พอใจแล้วจึงหันกลับมาที่เดิม ทว่าต้องชะงักอีกครั้งเมื่อไอ้คนหล่อตรงหน้ามันยิ้มร่าเหมือนว่าตลกมากเหลือเกิน อี้ชิงจึงสะบัดข้อมือจนหลุดให้เป็นอิสระแล้วรีบเดินหนีออกจากตึกทันทีไม่พูดจาให้มากความ
คริสไม่รอช้ารีบตามติดอีกคนคล้ายเป็นเงา ผิดอะไรใยคนหน้าหวานต้องเมินเฉยใส่ให้เครียดขึ้นสมอง เขาทั้งอธิบายพร้อมมีหลักฐานแน่ชัดด้วยอีก อีกคนยังไม่หายงอนแล้วคริสควรจะทำอย่างไรดี
เงียบไปตลอดทางอี้ชิงก็ยังไม่คิดจะสนทนา คนตัวสูงเองจะทำอะไรได้จึงเงียบไม่ต่างกันเพราะกลัวจะทำให้รำคาญ เดินเรียบไปตามทางหากแต่ในวันนี้คริสใช่จะเดินตามหลังเหมือนวันก่อน กายสูงได้เดินเคียงข้างอีกคนคนอย่างที่วาดหวังไว้ ไหล่หนาซ้อนหลังไหล่เล็กให้รู้สึกอุ่น ลอบมองเสี้ยวหน้าหวานไปตลอดทางเหมือนอย่างที่ชอบทำ
มาถึงห้องก็แล้วอี้ชิงยังคงไม่เอ่ยวาจา เขาไม่ได้ว่าอะไรที่คริสตามมาถึงที่นี่เพราะมันก็เป็นแบบนี้อยู่ทุกวันจนเริ่มชิน เห็นเจ้าของห้องเอาแต่นิ่งคริสเองก็ร้อนรุ่มใจจนแทบจะอยู่ไม่สุขเมื่อความเงียบเป็นตัวกลางสำคัญที่บ่งบอกว่าคนหน้าหวานกำลังมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในอก
...ขอแค่อี้ชิงพูดมัน พูดเถอะเพราะคริสคนนี้จะร้องไห้แล้ว…
“อี้ชิงเป็นอะไร?” เอ่ยถามหลังจากถอดรองเท้าเสร็จสับ ย่างก้าวเข้าหาคนตัวเล็กที่กำลังถอดเป้วางไว้ที่โต๊ะอ่านหนังก็แทบจะอดทนรอคำตอบไม่ไหว
“....งานประกวดดาวเดือนซื้อดอกกุหลาบให้ฉันทำไมตั้งมากมาย?”
คริสแน่ชัดแล้วว่าความเงียบที่คนหน้าหวานมอบให้มันคืออะไร เรื่องดอกกุหลาบที่มินโฮเคยสั่งสอนไปแล้วว่าถ้าอี้ชิงรู้จะทำให้เกลียดขี้หน้าเขามากขึ้น แต่นั่นคริสอยากให้ ให้ด้วยหัวใจ จะให้ทำอย่างไรถ้าเป็นใครก็อยากให้คนที่เรารัก
“คือ...” ถึงกับไปไม่ถูกเมื่อนัยน์ตาคู่หวานเอาแต่จดจ้องคล้ายรอคำตอบ อี้ชิงรู้ได้ยังไงนั่นคือสิ่งที่คริสยังค้างคาใจ
“ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ดูถูกความสามารถของฉันไปหรือเปล่า”
“ฉ...ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะอี้ชิง ฉันซื้อให้นายจากใจจริงๆ ถึงจะไม่ใช่ดอกกุหลาบที่มาจากฉันยังไงนายก็ได้ตำแหน่งอยู่ดี”
“ซื้อมากี่ดอก?” เอ่ยถามเสียงเรียบอี้ชิงจึงจะนั่งหย่อนกายลงที่เก้าอี้ มือบางควานหาชีสในกระเป๋าเป้อย่างตั้งใจก่อนจะคว้าปากกาในกล่องดินสอตรงหน้ามาเขียนหยิกๆรอฟังคำตอบจากอีกคน
“ก...ก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไร”
“ไอ้ที่บอกว่าไม่เยอะน่ะมันกี่ดอกกัน?”
ม่านตาสวยช้อนมองคนที่ยืนข้างโต๊ะเขียนหนังสืออย่างคาดโทษ ถึงไม่แสดงออกว่ารู้สึกอย่างไรหากแต่คริสรู้ดีว่าอี้ชิงต้องไม่ชอบใจ
“ก็...ก็แค่... 99 ดอกอ่ะ”
ตอบกลับไปก็พร้อมจะรอฟังคำตัดพ้อที่อีกคนจะส่งมาให้ ทว่าคงคิดผิดเพราะไม่มีแม้แต่เสียงใดๆจากคนตัวเล็กที่ตอบกลับมาให้ชื่นใจเอาเสียเลย เห็นอีกคนเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านชีสเรียนในมือก็ถึงกับไม่อาจอยู่เฉยได้ ขายาวก้าวเข้าหาคนตัวเล็กจากทางด้านหลัง ก้มตัวลงเล็กน้อยพลางวาดแขนโอบกอดรอบลำคอของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนคางแหลมจะวางไว้ที่ลาดไหล่บางคล้ายพยายามง้อขอความเห็นใจจากอีกคน
“ขอโทษถ้าทำให้ไม่สบายใจ จะบ่นจะว่ายังไงก็ได้ฉันยอมทุกอย่าง แต่อย่าเอาแต่เงียบแบบนี้ได้ไหมฉันใจไม่ดีนะอี้ชิง”
“…………..”
คนหน้าหวานเงียบเหมือนเดิมไม่ไยดีจะแยแส แต่ทว่าไม่แยแซในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าใจจะไม่เต้นแรง ไม่รู้สึกรู้สากับอ้อมกอดแสนอบอุ่นจากอีกคนหรอกนะ
“แค่ 99 เองอย่างอนฉันเลย ตอนแรกจะซื้อให้ 999 ดอกเสียด้วยซ้ำกลัวคนแถวนี้จะสงสัย”
สิ้นเสียงทุ้มอี้ชิงพลันหันควับมองคนตัวสูงทันทีคล้ายจะต่อว่า เก้าสิบเก้าดอกว่าเยอะมากพอแล้ว นี่ล่อจะเอาเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกพ่อเป็นคนเพาะเมล็ดขายหรือยังไงกัน
อยากจะต่อว่าเสียให้สำนึก แต่พอหันไปหาอีกคนก็ทำเอาทุกอย่างถูกหยุดเวลาให้ไร้การเคลื่อนไหวเหมือนภาพวาด ยามปลายจมูกโด่งแตะสัมผัสที่ข้างแก้มนิ่มจนความวูบโหวงโหมเข้าแทนที่ฉับพลันไม่ทันให้ตั้งตัว อี้ชิงนิ่งงันคล้ายทำอะไรไม่ถูก นัยน์ตาคู่หวานเบิกโพลงตื่นตระหนกเมื่อความไม่ได้ตั้งใจกำลังกลายเป็นกำไรให้อีกคน ก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ คนตัวสูงก็ฉวยโอกาสฝังทั้งปลายจมูกและริมฝีปากเอาเปรียบเขาไปอย่างหน้าตาเฉย
"นิ่ม... แล้วก็หอมด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยข้างแก้มอมชมพูทั้งยิ้มเจ้าเล่ห์ คริสไม่ผิดนะก็อี้ชิงอยากยื่นแก้มมาให้เขาเอง
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เรากำลังพูดถึงดอกกุหลาบอยู่นะยังไม่เคลียร์”
ว่าไปใบหน้าหวานจึงก้มงุดทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาทั้งที่อายจะแย่ กวาดม่านตามองตัวหนังสือในหน้ากระดาษกลบเกลื่อนอาการรุ่มร้อนในอกนั่นก็ไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิด ความอุ่นที่แผ่จากอ้อมกอดอีกคนมันทำให้รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ทว่าในตอนนี้จะทำอย่างไรได้เมื่อความร้อนระอุกำลังเข้าครอบครองทั้งใบหน้าถึงใบหูจนปิดไม่อยู่
“เรื่องดอกกุหลาบฉันก็ขอโทษแล้วไง แต่ที่ให้ไปแค่อยากบอกว่า ... 99 ดอกน่ะจะรักไปจนวันตาย … ส่วน 999 ดอกจะรักจนวินาทีสุดท้าย … นายจะให้ใจหรือไม่ให้ใจ แต่ยังไงหัวใจฉันก็ให้นายไปแล้วไม่คิดจะเอาคืน”
พูดเองเขินเองทำเอากลไกการทำงานของหัวใจผิดปกติอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครทั้งนั้น ถึงอี้ชิงจะไม่ใช่คนแรกแต่คริสบอกได้เลยว่าไม่เคยรู้สึกมากขนาดนี้กับใครหน้าไหน คนที่ถูกกอดอยู่ก็แสนจะธรรมดา ไม่มีอะไรมากแค่หน้าตาน่ารัก ผิวขาวแล้วก็แสนดี คริสคนนี้จะไม่ยอมพรีใจให้ได้ยังไงกันชีวิตนี้คงน่าเสียดายแย่
“อยากอ่านหนังสือแล้ว มีควิซพรุ่งนี้...”
ทนความวูบโหวงในอกไม่ได้อี้ชิงจึงโกหกออกไปหน้าตายทำเอาคริสใจฝ่อได้ฉับพลัน รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อหายไปสนิทแต่นั่นก็เข้าใจและเริ่มชินถึงได้ยอมคลายอ้อมกอดให้คนตัวเล็กได้เป็นอิสระไม่ฝืนใจ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนที่เตียงนุ่มเหมือนอย่างทุกวันให้เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ
คริสเดินจากไปแล้วนัยน์ตาคู่หวานพลันเหลือบมอง เห็นอีกคนไปถึงเตียงอี้ชิงจึงผ่อนลมหายใจพรั่งพรูแล้วยกมือกุมเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง คล้ายคนเป็นโรคหัวใจเพราะอัตราการเต้นที่เร็วเกินขีดจำกัดจนควบคุมไม่ได้ อีกมือที่ว่างก็กำชายเสื้อที่สวมใส่อยู่จนมันยับยู่ยี่ไปหมดเพื่อระบายความอัดอั้น วูบโหวงทั้งชาวาบไปทั่วทั้งร่าง ความเอ่อร้อนด้านในทำให้รับรู้ออกมาจนถึงด้านนอก คำพูดชวนกระตุ้นหัวใจคล้ายให้อี้ชิงเริ่มรักคริสมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่าหลายวันที่ผ่านมา เพราะอีกคนอยู่ใกล้จึงทำให้รู้ใจตัวเองดียิ่งขึ้นอย่างที่ลู่หานว่า
ความอ่อนโยนที่มอบให้ การดูแลเอาใจใส่ ทั้งไม่เคยดุด่าว่ากล่าวเหมือนที่ผ่านมา แค่นี้ก็ทำให้คนที่หัวอ่อนอย่างอี้ชิงคล้อยตามจนหลงลืมคำพูดที่เคยบอกย้ำตัวเองไว้อย่างกู่ไม่กลับ
เวลาผ่านไปคนหน้าหวานที่นั่งอ่านหนังสืออยู่กับโต๊ะจึงบิดขี้เกียจครั้งสองครั้งคลายความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ยกมือขยี้เปลือกตาพลางลุกขึ้นยืนหมายจะเดินไปหาใครอีกคนที่นอนเล่นอยู่บนเตียง หากแต่ว่าคนที่ต้องการพูดคุยด้วยกลับผล็อยหลับไปเสียแล้วให้ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าหวานส่ายไปมาให้กับภาพในกรอบม่านตาของคนตัวสูงที่นอนหลับลึก ยิ้มตอนไหนไม่รู้ตัวเอาเสียเลย รู้อีกทีจึงต้องขมวดคิ้วมุ่นหงุดหงิดตัวเองที่เผลอไผลปล่อยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะเดินไปข้างเตียงมองคนตัวสูงอย่างพินิจพิจารณา
จ้องอีกคนเสียนานอี้ชิงพลันรีบส่ายหัวรัวอีกครั้งไล่ความคิดวุ่นวายใจให้ออกไปจากอก คล้ายถูกดึงดูดแค่ได้มองใบหน้าหล่อของคนหลับก็ทำให้เหม่อลอยปล่อยความเป็นตัวเองไปเกินกว่าครึ่ง คิดได้ว่าโลกนี้มันช่างน่าขัน อีกคนก็เคยทำร้าย ไอ้เขาเองก็เคยนึกเกลียด ใยอะไรๆมันถึงได้กลับตาลปัตรจนเดินตามแทบไม่ทัน
ถอนหายใจเฮือกใหญ่อี้ชิงจึงหมุนตัวกลับทำท่าจะเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา เวลานี้สองทุ่มนั่นคือคริสต้องออกจากห้องของเขาแล้วกลับบ้านไปได้แล้ว จะปลุกอีกคนก็ได้หากแต่ไม่คิดจะทำ ปล่อยให้นอนหลับสบายไปอี้ชิงจะไม่กวน
“อ๊ะ!”
แรงรั้งที่มือบางทำให้เดินไปไหนไม่ได้อีก ใบหน้าหวานหันไปมองคนที่นอนอยู่ทั้งขมวดคิ้วมุ่นจนเป็นปม ก่อนจะเห็นว่าคนที่นอนเหยียดกายอยู่บนเตียงกำลังลุกขึ้นนั่งช้าๆ ไม่วายยังยิ้มให้กันทำเอาต้องรีบก้มหน้างุดไม่อยากจะสนใจ
“ยืนมองเราเสียนานไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือไง ใบหน้านี้แพงนะอยากมองต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน?” เสียงทุ้มเอ่ยพูดยียวนเล็กน้อย อี้ชิงแปลกใจหรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์ที่คิดว่าหลับทว่าไม่ได้หลับอย่างที่คิด
“นี่แกล้งหลับสินะ สนุกมากไหมที่ทำแบบนี้?”
อุ้ย! เจอใบหน้าหวานเรียบนิ่งที่สวนกลับมาทำเอาคริสสะดุดจนไปไม่ถูก เกรงใจหรือเกรงกลัวไม่อาจรู้ได้ หากแค่คริสแคร์อี้ชิงกว่าใครถึงไม่อยากต้องให้งอนอยู่บ่อยๆ
“จริงๆก็หลับนั่นแหละเพราะเหนื่อยเรียนมาทั้งวัน แต่กลิ่นคนแถวนี้มันหอมเตะจมูกเลยต้องตื่นมาดูให้แน่ใจ”
“เกินจริงกลิ่นใครจะหอมขนาดนั้น เพ้อเจ้ออะไรปล่อยมือได้แล้วจะไปล้างหน้า”
เอาเถอะว่าคริสไม่เลิกลาทั้งรุกเขาไม่หยุดยั้ง อี้ชิงปั้นหน้านิ่งไม่รู้จะทำตัวแบบไหนให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด อีกคนก็พูดอะไรต่อมิอะไรที่มีผลต่อหัวในทั้งนั้น ไม่ใช่ค่อยๆมาหากแต่โหมมาราวกับพายุลูกใหญ่
คนหน้าหวานมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงค่อยๆปล่อยมือของเขาให้อย่างว่าง่าย เป็นอิสระแล้วอี้ชิงจึงหมุนตัวออกเดินหมายจะไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำให้สดชื่น หากแต่ร่างกายคล้ายให้ควบคุมตัวเองไม่อยู่ เซล้มถลาไปตามแรงจูงเพราะอีกคนส่งมือมารวบที่เอวบางให้ลงไปนั่งบนตักอย่างหน้าตาเฉย
“หนิ! เห็นไม่ว่าอะไรหน่อยอยากทำตามใจก็ทำอย่างนั้นเหรอ?”
อี้ชิงค่อนขอดอีกคนทั้งยังนิ่งแน่วแน่ไม่ให้เผยพิรุธ อยากจะต่อต้านแต่รู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้จึงไม่คิดจะดิ้นพล่านให้เหนื่อยเปล่า ทำได้แค่นั่งนิ่งให้คนตัวสูงโอบกอดอยู่บนตักแกร่งไม่ขัดขืน
“ถ้าไม่ทำแบบนี้นายก็เอาแต่เมินเฉย ไม่รู้หรอกว่าคนที่ได้เห็นน่ะแทบจะใจสลายเลยจริงๆ” พูดไปก็อมยิ้มไปมีความสุขเสียเหลือเกิน
อี้ชิงกลอกม่านตาขึ้นลงพลันเบือนใบหน้าหนีไปทางอื่น เรียวแขนที่โอบกอดรอบเอวเขาอยู่ไว้แน่นจะทำยังไงไม่ให้เผลอกายพักผิงกับอกอีกคน คำพูดแค่ละคำก็ไม่รู้ว่าสรรหามากจากไหนนักหนา อารัมภบทเสียให้เขากักเก็บสีระเรื่อบนใบหน้าไว้ไม่ได้
“อดทนอะไรไม่เป็นเลยสินะ”
“ก็อยากจะอดทนอยู่เหมือนกัน แต่ใครจะทนได้ถ้านายยังมาอยู่ให้เห็นในกรอบม่านตาตลอดเวลาน่ะหื้ม....อี้ชิง”
สิ้นเสียงทุ้มอี้ชิงก็เอาแต่เงียบ คริสเองรู้ว่าอีกคนรู้สึกยังไงจึงไม่อยากจะพูดอะไรให้คิดมากอีก คิดเองเออเองว่าอี้ชิงยังไม่เปิดใจ แค่ให้โอกาสเขาก็ถือเป็นบุญกะลาหัวมากแล้ว ให้พูดคุยให้ถูกเนื้อต้องตัว ได้แค่นี้คริสควรพอใจไม่ใช่หรือ แต่...อะไรล่ะที่อยากได้มากที่สุด ก็ก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายนั่นไงที่คริสอยากได้มาเป็นของเจ้าของไม่แบ่งใคร
“……….”
“เฮ้อ! สองทุ่มแล้วใช่ไหม? ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับบ้านแล้วสินะ”
ถอนหายใจกายสูงพลางช่วยประคองคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะลุกตามแล้วบิดซ้ายทีขวาทีคล้ายไม่อยากจะจากไปไหน
“……….”
“อย่าลืมทานข้าวด้วยนะเดี๋ยวจะผอมไปมากกว่านี้ อ่า ถ้างั้น...ฉันกลับก่อนล่ะ”
เห็นอี้ชิงนิ่งคริสยิ่งทำอะไรไม่ถูก อีกแล้วที่ความเงียบทำให้รู้สึกว่าอึดอัดจนไม่รู้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่ แต่นิดนึงเถอะ ขอนิดนึงแค่ได้มองหน้าหวานๆของอีกคนสักวินาทีก็ยังดี
คนที่ถูกจ้องมองจึงรีบรุดใบหน้าหนีไปอีกทาง ก้มงุดมองพื้นทั้งยังถอยร่างออกห่างจากคริส ใครเห็นคงไม่รู้ว่าอี้ชิงคิดอะไรอยู่ในใจ ใบหน้าที่เรียบนิ่งกับปฏิกิริยาที่เมินเฉยไม่ได้บ่งบอกว่าข้างในมันเต้นพล่านไม่อยู่สุขจนแทบจะหลุดออกมานอกอก
จ้องอีกคนจนมีกำลังใจคริสจึงค่อยๆหมุนตัวกลับ ช้าอีกนิดร่ำรี้ร่ำไรลีลาท่าเยอะกว่าจะออกหากห้องได้ ก็อยากอยู่กับอีกคนนานๆจะให้ทำยังไงเพราะหัวใจเขาตอนนี้มันฝังอยู่กับเจ้าของห้องไม่อาจเรียกลับมาได้อีก
....แต่สุดท้าย...เวลาแห่งความสุขก็ต้องหมดไป เพราะแค่อีกย่างก้าวเดียวนั่นคือเขาจะผ่านพ้นช่องว่างของบานประตูออกไปเป็นอีกโลกนึง
“คริส…”
“หื้ม?”
“ไปทานข้าวกันไหม?”
.... 60%...
“ห...ห๊ะ?”
คริสถึงกับตกใจเมื่อคนหน้าหวานคว้ามับเข้าที่มือของเขาแล้วรั้งให้อยู่ต่อ ไปไม่เป็นไม่วายยังทำอะไรไม่ถูกอีกต่างหาก อะไรนะที่อี้ชิงพูดเมื่อครู่ ร้อยวันพันปีเขาชวนอีกคนก็ปฏิเสธเสมอมา ไหงคราวนี้มาแปลกให้หัวใจทำงานหนักกว่าทุกวัน
“จะไม่ไปก็ได้นะ ไม่ได้บังคับ”
อ่ะนะอี้ชิง ชวนขนาดนี้มีหรือคนอย่างคริสจะยอมโง่ไม่ไปด้วย รอยยิ้มพรายวาดกว้างขึ้นบนใบหน้าหล่อดีใจเสียปิดไม่อยู่ พยักหน้าตอบรับหัวสั่นหัวคลอน บีบมือเล็กของคนหน้าหวานไว้แน่นด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้เลยว่าภาพในกรอบม่านตานั้นกำลังทำให้อี้ชิงนึกขัน
“ไปดิไป นายอยากทานอะไรล่ะ ไปข้างนอกไหมรถฉันจอดอยู่ในมหาลัย?”
คริสเอ่ยถามกระตือรือร้น อี้ชิงจึงรีบส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะช้อนม่านตาขึ้นมองคนที่สูงกว่าแล้ววาดยิ้มส่งไปให้
“ทานที่ร้านข้าวแถวนี้ก็ได้ฉันไม่เรื่องมาก...อ่า...อะไรอ่ะ?”
ตอบอีกคนไป ท้ายประโยคก็ถึงกับนึกแปลกใจที่คนตัวสูงเอาแต่ส่งสายตาจ้องมองให้เกิดความสงสัย อี้ชิงหันซ้ายแลขวายกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างมึนงง อีกคนก็เอาแต่จ้องมองทั้งไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาเลย
“........”
“คริส!”
“นายยิ้มให้ฉัน...”
เสียงทุ้มเอ่ยผะแผ่วคล้ายจะเพ้อไปเล็กน้อย อี้ชิงได้ยินพลันหลุบยิ้มทันทีแล้วตีหน้านิ่งเหมือนอย่างเคย ยิ้มตอนไหนไม่เคยรู้ตัว พออีกคนทักท้วงทำเอาเงอะงะเสียน่ารักน่าเอ็นดู
“ฉันก็คนหนิ ยิ้มแล้วมันแปลกตรงไหน?”
“ก็เปล่า แค่น่ารักดี”
เหมือนโดนลมพายุโหมกระหน่ำใส่ ใบหน้าหวานขึ้นสีเจือแต้มอย่างชัดเจนให้คริสต้องยกยิ้มอย่างพอใจ อี้ชิงแพ้ทางเสียราบคาบ สายตาที่จ้องมองมาแบบทะลุทะลวงทำให้เลือดลมในกายไม่ค่อยจะไหลลื่น ซ้ำยังคล้ายจะหน้ามืดล้มตึงก็ไม่ปราน
“อะไรเล่า! เลิกมองได้แล้ว”
ค้อนคนตัวสูงไปเล็กน้อยอี้ชิงจึงรีบปล่อยมือหนาให้เป็นอิสระ เบ้ปากให้อีกคนก่อนจะเดินไปสวมรองเท้าแตะแล้วแจ่นออกจากประตูห้องทันที
“ส่วนใหญ่คนที่ยิ้มก็เพราะว่ามีความสุขนะ ความสุขของนายคืออะไรอยากรู้จัง?”
ไม่ทันได้เดินย่างก้าวผ่านพ้นประตูให้โล่งใจ พายุอีกลูกก็พัดกระหน่ำเข้ากระแทกหน้าอี้ชิงให้ตัวชาวาบอีกระลอก ไม่เลิกลาสินะ คริสต้องการอะไร จะเค้นเอาอะไรจากเขานักหนาพอได้แล้ว
“ถามมากกลับบ้านไปเลยไป ข้าวน่ะกินคนเดียวก็ได้ไม่ตายสักหน่อย”
ประชดประชันพลางบ่นพึมพำขยับปากขมุบขมิบ คิ้วเรียวบนใบหน้าหวานที่ขมวดเข้าหากันเหมือนจะไม่ชอบใจทำให้คริสใจเต้นเร็วถี่รัว พวงแก้มเจือสีที่สวนปฏิกิริยานั่นก็ด้วยอีก รักอ่ะ คริสรักมาก
“ก็แค่อยากรู้ไม่เห็นต้องไล่กันเลย เห็นนายยิ้มก็แค่แปลก แต่ที่แปลกกว่าคือหัวใจฉันเอาแต่เต้นแรงตอนที่ได้เห็นมัน”
มุมปากทั้งสองข้างเผยขึ้นบนใบหน้าหล่อของคนตัวสูง อี้ชิงรีบเสมองหนีไปอีกทางไม่สนใจจะต่อบทสนทนา ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินออกจากห้องไม่รอให้คริสได้แทะโลมอีก
.
.
.
อี้ชิงและคริสเดินมาถึงร้านข้าวข้างหอพักในระแวงเดียวกันกับมหาวิทยาลัย คิดไปแล้วว่าก็ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นหากแต่ทำไมใครๆถึงเอาแต่จ้องมอง ไม่อยากให้เป็นเป้าหมายนานคนหน้าหวานจึงรีบเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะว่างด้านในสุดของร้าน ก่อนจะเป็นคริสที่เดินตามเข้าไปติดๆ ถึงแม้จะไม่ค่อยสงบออกจะวุ่นวายเสียด้วยซ้ำ ทว่าก็ดีกว่าเป็นไหนๆถ้าต้องนั่งหน้าร้านให้ตกเป็นเป้าสายตาจากใครหลายๆคน
สั่งออเดอร์เสร็จสับไม่ปล่อยให้มีเวลาว่างอี้ชิงพลันควานหาเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดยิกๆแก้อาการอึดอัด ส่งผลให้คนตรงข้ามได้แต่นั่งเท้าค้างจ้องมองใบหน้าหวานท่าเดียวไม่วางตา เพราะอยู่ด้วยกันบ่อยๆก็พอจะรู้ว่าอี้ชิงน่ะคิดอะไรอยู่
“ทานข้าวเสร็จแล้วจะไปไหนต่ออ่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเข้าเรื่อง เอาแต่เงียบกันอยู่นานบรรยากาศก็ชวนวังเวงถึงแม้คนจะเต็มร้านก็ตามที
“กลับหอ” ตอบเพียงประโยคสั้นห้วนใบหน้าหวานก็ไม่คิดจะละสายตาออกจากโทรศัพท์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ร้อนถึงคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยอีกคนต้องยู่ปากตีสีหน้างองุ้มผิดนิสัย
“...ลืมไป แค่ได้ทานข้าวด้วยกันก็ถือเป็นพระคุณมากแล้ว” เอ่ยแกมน้อยใจคนตัวสูงจึงถอนหายใจเบาๆ เอนแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดบ้างไม่ต่างจากอีกคน
คนที่ได้ฟังก็ถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองฉับพลัน คำพูดแบบนี้อี้ชิงคิดไปแล้วว่าคล้ายจะตัดพ้อเขากลายๆ ที่ชวนมาทานข้าวก็เพราะว่าอยากอยู่ด้วย แต่ทำไมคริสถึงได้เอามาเป็นบุญคุณเห็นเขาเป็นคนยังไงกัน
“ถ้าไม่พอใจจะไม่อยู่ทานก็ได้นะ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร”
คนที่ใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มก็เห็นจะเป็นคนตัวสูงที่เอ่ยพูดเล่นไม่ได้คิดจริงจัง แต่คนหน้าหวานในกรอบม่านตาดูก็รู้ว่าเก็บเอาเรื่องทุกอย่างมาคิดจนเป็นกังวล
“คิดแทนกันอีกแล้วสินะ แค่พูดเล่นก็เพราะน้อยใจที่มาทานข้าวด้วยกันแต่นายก็ยังเอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ไม่สนใจฉัน อะ... โอเคๆ ฉันไม่พูดถึงมันแล้วก็ได้ แต่อยากจะบอกว่ามีความสุขมากเลยนะที่ได้อยู่กับนายในตอนนี้”
พูดแค่นั้นเรียวปากได้รูปพลันยกยิ้มให้คนที่นั่งตรงหน้า อี้ชิงทิ้งมือที่ถือโทรศัพท์ลงบนหน้าตัก ล็อคหน้าจอแล้วหย่อนมันลงกระเป๋ากางเกงไปเหมือนเดิม ก่อนจะเสมองไปทางอื่นให้คริสยกยิ้มเอ็นดู
“……..”
“ทานข้าวกันเถอะ”
เห็นอาหารมาเสริ์ฟคริสจึงบอกคนหน้าหวานให้เลิกคิดมาก ส่งมือหนาข้ามฝั่งเอื้อมแขนไปขยี้กลุ่มผมนุ่มของอีกคนทั้งหัวเราะนึกขันกับความน่ารักที่มักจะเผยให้เห็นถึงนิสัยที่แท้จริง
อี้ชิงไม่ว่าอะไรเขาเอาแต่เงียบอยู่เหมือนเดิม ยิ่งเสวนายิ่งมองหน้าอีกคนพลอยจะทำให้อะไรๆกระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น การถึงเนื้อถึงตัวก็อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาคล้ายจะถลำลึกจนไม่รู้ตัว รู้อีกทีคือก้อนเนื้อในอกซ้ายได้แปรเปลี่ยนความรู้สึกไปแล้วจนยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
“คริส! กูขอคุยด้วยหน่อย”
กำลังจะทานข้าวบุคคลที่สามกลับเรียกให้คนทั้งสองหยุดการกระทำแล้วหันไปสนใจ คริสแหงนหน้ามองคนที่ยืนข้างโต๊ะ เหลียวหาอี้ชิงแว้บนึง พอเห็นว่าคนหน้าหวานพยักหน้าให้คริสจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินตามเพื่อนอีกคนไปนอกร้านตามคำขอ
“มึงมีอะไรจะคุยกับกูชานยอล?”
เอ่ยถามเพื่อนตัวสูงที่หลายวันไม่ได้พูดจาเสวนา ชานยอลไม่มองหน้าเขา แม้จะเคยทักทายไปอีกคนก็เมินเฉย เพราะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคริสจึงไม่ถามไถ่ให้เพื่อนต้องตอบ มีเรื่องเดียวที่ทำให้เขากับเพื่อนสนิทแตกคอกันได้ ทั้งมินโฮเองที่ได้รู้ข่าวก็ถึงกับลำบากใจเข้าข้างใครไม่ได้สักคน
“กูขอโทษ”
คริสหันมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจที่อยู่ๆก็เรียกเขาออกมาแล้วขอโทษโดยไม่ได้เกริ่นทางเข้าเรื่องเลยสักนิด
“ขอโทษ? มึงจะมาขอโทษกูทำไม?”
“เรื่องแบคฮยอนกูขอโทษมึง ตอนแรกกูยังทำใจไม่ได้ว่ะ แต่ตอนนี้กูกลับมาคิดดีแล้ว มึงไม่ผิดกูก็ไม่ควรจะโยนความรับผิดชอบไปให้มึงคนเดียว”
ชานยอลถอนหายใจก่อนจะย่อตัวลงนั่งที่ขั้นบันไดหน้าเซเว่นแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ควันสีขาวหม่นลอยฟุ้งอยู่ตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าก็จางหายไป ใบหน้าหล่อก้มลงมองพื้น ยกสองแขนวางไว้เหนือหัวเข่า ทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดที่เรื่องบานปลายทั้งหมดมันเกิดจากความเจ้าชู้ของเขา
“ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกหรอก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งนั้น โลกมันกลมเกินไปนะมึง ยังไงทุกอย่างมันก็ต้องมาบรรจบในที่แห่งเดียวกันหมดนั่นแหละ แล้วเรื่องแบคฮยอนมึงจะเอายังไงต่อไป?”
เห็นเพื่อนเป็นกังวลคริสเองก็ไม่ได้ต่างกัน อย่างน้อยก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอดีตคนรักของแบคฮยอน ถึงจะเพียงแค่ความรุ่มหลง แต่คริสใช่จะเป็นคนไม่รู้สึกรู้สาปล่อยผ่านเรื่องที่ตัวเองมีส่วนร่วมไปได้หรอก
“...กูให้อภัยมันว่ะ อย่างน้อยกูเคยทำผิดมันยังทนรักกูมาได้ตั้งหลายปี กูเองก็รักแบคฮยอนจะปล่อยมันไปกูก็ไม่รู้จะทำใจได้หรือเปล่า อยู่ด้วยกันจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้วอ่ะมึง ครั้งนี้ก็ขอให้มันเป็นบทเรียนไปละกัน กูก็ว่าจะเลิกแล้ว จะมีแบคฮยอนคนเดียว บางทีมาสำนึกได้ก็ตอนที่สายไปมึงว่าไหมคริส?”
“ตอนแรกกูก็คิดว่ามันสายไปเหมือนมึงนั่นแหละชานยอล แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอกนะเว้ย” ว่าแล้วก็เผยยิ้มบางๆอย่างไม่รู้ตัวยามได้คิดถึงใบหน้าหวานของใครบางคนที่นั่งอยู่ในร้านข้าว พร่ำบอกเสมอว่าตัวเองจะไม่มีโอกาส หากแต่ตอนนี้โอกาสได้มาอยู่กับเขาแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ
“อืม แล้วตอนนี้มึงกับน้องอี้ชิงเป็นยังไงบ้าง น้องเขาหายโกรธมึงบ้างหรือยัง?”
“ไม่รู้ว่าหายโกรธหรือเปล่ากูก็ดูไม่ค่อยออก อี้ชิงไม่เคยเผยความรู้สึกเลยสักครั้งเวลาอยู่กับกู ตั้งแต่รู้จักกันมา รอยยิ้มของเขาสามครั้งมั้งที่กูได้เห็นเป็นบุญตา เห็นอี้ชิงอ่อนโยนแบบนี้แต่จริงๆใจแข็งเกินว่ะ”
ใบหน้าหล่อส่ายไปมาสมเพชตัวเอง เกิดมาเคยง้อใครแบบนี้ไหมคริสไม่เคยเลยสักครั้ง ปากหวานได้ทว่ากับอี้ชิงไม่เคยได้ผล ในขณะที่เขาใจเต้นแรงไม่รู้ว่าอีกคนจะเป็นเหมือนกันบ้างหรือเปล่า ยอมรับว่าพอดูออกเวลาใบหน้าหวานนั้นเผยสีให้ได้มีความหวัง แต่กับอาการนิ่งเฉยเย็นชานี่สิที่มักจะทำให้คริสเป๋ไปทางอื่นไม่มั่นใจตลอด
“เออ แล้วลู่หานล่ะเป็นยังไงบ้าง?”
“ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยได้เจอน้องสักครั้งเลยว่ะ คุยกันแต่ทางไลน์เห็นเจ้าตัวก็บอกว่าสบายดีไม่ได้เป็นอะไร?”
ชานยอลพยักหน้าตอบรับคริสก็รู้ได้ว่าเพื่อนเป็นกังวลไม่น้อย คงสำนึกได้ว่าเป็นปัญหาให้เพื่อนรักเขาทะเลาะจึงเอาแต่ตำหนิตัวเอง หากแต่เรื่องแบบนี้ถ้าแบคฮยอนใจกว้างสักนิด ได้ลองพูดคุยกับลู่หานบ้างมันก็คงไม่เลวร้ายจนบานปลาย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่คริสไม่ได้บอกเพื่อน คือเรื่องทั้งหมดที่ได้คุยกับลู่หานก็มีแต่เรื่องของคนหน้าหวานที่ชื่อจางอี้ชิงคนเดียวเท่านั้น ได้ลู่หานชี้แนะแนวทางเข้าหาพี่ชายคริสก็ดูจะมีกำลังใจมากขึ้น รู้ว่าอีกคนชอบอะไร ไม่ชอบอะไรเขาก็ทำตามทุกอย่าง
“กูกับมึงเคลียร์กันแล้วนะ มึงให้อภัยกูป่ะเนี่ย?”
ชานยอลโยนม้วนบุหรี่ในมือลงกับพื้น ใช้เท้าบดขยี้มันจนเป็นผุยผง มองหน้าเพื่อนอย่างรอคอยคำตอบก่อนจะแกะหมากฝรั่งใส่ปากเคี้ยวอย่างจริงจังเพื่อกลบกลิ่นที่เหม็นควัน
“ไอ้ห่า! คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวมึงยังจะมาถามกูอีก กูไม่ได้มีปัญหาอะไรกับมึงเลยนะชานยอล มีแต่มึงนั่นแหละเอาแต่หายหัวไม่โผล่หน้ามาให้เพื่อนเห็นเลย”
มุมปากเรียวแสยะยิ้มมองเพื่อนรักตรงหน้า ตบบ่าไปสองสามทีชานยอลก็ตบกลับ ก่อนทั้งสองคนจะลุกขึ้นยืน ผู้ชายในเสื้อช็อปนี่มันดูดีใช่น้อย civil engineering ก็บ่งบอกว่านี่คือเด็กวิศวกรรมโยธา เรียกสายตาจากบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ให้มองตามกันเป็นแถว
“เออ ถ้างั้นกูกลับแล้วนะไอ้คริส พรุ่งนี้เจอกันเว้ย!”
ชานยอลโบกมือลาเพื่อน เดินเตะเท้าหอบหนังสือไว้ข้างตัวท่ามกลางสายตาที่มองมาแบบมีเลศนัย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงขยิบตาส่งจูบกลับไป แต่ตอนนี้เห็นจะไม่ได้ เพราะมีเป็นตัวเป็นตนแล้วควรจะรู้จักพอสักที
คริสเองก็ได้แต่มองตามหลังเพื่อนที่เดินจากไปทั้งยังไม่รู้เลยว่ามันมาทำอะไรแถวนี้ จะว่ามาหามินโฮหรือก็คงไม่ใช่ เพราะรายนั้นเลิกเรียนเสร็จต้องไปเดินแบบต่อคงยังไม่กลับ แต่นั่นจะมัวคิดวุ่นวายให้ค้างคาใจไปทำไม ลืมเสียสนิทว่ายังมีใครอีกคนที่นั่งรอทานข้าวอยู่ในร้านตั้งนานแล้ว
คริสเดินกลับเข้ามาในตัวร้านอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าหัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเสียเป็นปมจนคนที่ได้มองต้องเป็นห่วง
“ทานข้าวเถอะเย็นหมดแล้ว” เสียงหวานเอ่ยชวนคนตัวสูงก่อนจะเริ่มตักข้าวในจานตัวเองเข้าปากบ้าง
“รออยู่เหรอ? ขอโทษที่ให้รอนานนะ แต่ทีหลังนายทานก่อนก็ได้อย่าฝืนให้หิวเลย”
“มาด้วยกันก็ต้องทานพร้อมกัน ไม่งั้นก็ต่างคนต่างมาไม่ดีกว่าเหรอ” พูดแค่นั้นก็รีบก้มหน้าทานข้าวไปอย่างเงียบๆ
คริสได้เห็นก็ต้องลอบมองอยู่ตลอดทั้งอมยิ้มอย่างเอ็นดู ไม่รู้จะแสนดีไปไหนแค่ทานข้าวยังต้องคอยกันให้เขาพะวักพะวงกลัวว่าจะนึกโกรธ แต่อี้ชิงไม่มีวี่แววว่าไม่พอใจเลยสักนิด ทั้งยังแลดูเป็นห่วงเป็นใยกันอีกต่างหาก
ออกมาจากร้านข้าวก็คล้ายว่าบทสนทนาจะไม่เดินหน้าไปไหน อี้ชิงได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกคนที่เดินนำหน้าไปไม่ห่าง คริสดูแปลกไปตั้งแต่ได้พูดคุยกับชานยอล อี้ชิงเองก็เป็นกังวลไปด้วยเพราะเห็นอีกคนไม่สบายใจหน้าตาไม่สู้ดีมันพาลทำให้เขาอึดอัด
“คริส”
เอ่ยเรียกทั้งรั้งมือหนาของคนที่เดินนำให้หันมาเผชิญหน้ากัน อี้ชิงกระตุกมือใหญ่เล็กน้อยคริสก็ถึงกับมึนงงที่อีกคนจับมือเขาเป็นครั้งที่สองของวัน
“หื้ม?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม เหลือบม่านตาลงต่ำเล็กน้อยก็เห็นว่ามือเล็กนั้นประสานเป็นหนึ่งจนอุ่นไปถึงขั้วหัวใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
คริสแทบไม่อยากจะเชื่อ นี่อี้ชิงเป็นห่วงเขาหรือถึงได้ถาม หัวใจพลันเอาแต่ลิงโลดลุกขึ้นเต้นโครมครามเลยทีเดียว
คนตัวสูงจึงถือวิสาสะเดินเข้าหาเอาอกแกร่งแนบไปกับไหล่บางด้านข้างร่างเล็ก โน้มใบหน้าลงเล็กน้อยก็กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูสวยจนเห็นว่าอีกคนสะดุ้งโหยงจึงยกยิ้มพอใจ
“ดีใจจังอี้ชิงเป็นห่วงฉัน”
คริสคาดหวังรอการต่อประโยคจากอีกคน ก่อนจะเห็นว่าอี้ชิงค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วช้อนม่านตามองเขาพลางกระพริบแพขนตาปริบเสียน่ารัก
หากแต่...
“นายสูบบุหรี่มาหรอ?”
สิ้นเสียงหวานคริสถึงกับเด้งตัวออกจากอี้ชิงทันทีทั้งที่มือยังกอบกุมไม่คลายให้ไปไหน มองใบหน้าหวานที่ฉายแววผิดหวังทำเอาร้อนรุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“เปล่านะอี้ชิง” ใบหน้าหล่อส่ายไปมาปฏิเสธเป็นพัลวัน กลัวอีกคนเข้าใจผิดจะแย่ กลัวจะมองไม่ดีแล้วโอกาสที่มีจะหายไป
“บอกว่าเปล่าแต่กลิ่นที่ติดตัวมามันหมายความว่ายังไง?”
“ฉันเปล่าจริงๆนะ ไปคุยกับไอ้ยอล ไอ้นั่นมันสูบฉันไม่ได้แตะต้องเลยสาบาน”
มือที่ว่างจากการกอบกุมมือเล็กรีบยกขึ้นข้างศีรษะชูสามนิ้วปฏิญานตน ให้อี้ชิงรู้ว่าคริสไม่ได้ทำอย่างที่อีกคนกล่าวหาจริงๆ
“ร้อนตัวทำไมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” อี้ชิงเสมองทางอื่นก่อนจะค่อยๆดึงมือตัวเองมาคืนไว้ข้างตัว
“……..”
“จะกลับเลยก็ได้นะ ฉันจะซื้อของในเซเว่นก่อน”
เสียงหวานเอ่ยบอกแค่นั้นก็เดินผ่านคริสไปไม่หันมองหวน ความปวดหนึบเกิดขึ้นที่อกซ้ายอีกครั้งทำให้ร่างกายอ่อนแรงได้อย่างง่ายดาย
พยายามอีกแค่ไหนถึงจะได้ใจ เป็นแบบนี้ต่อไปอี้ชิงจะรักเขาบ้างหรือเปล่า
คล้ายอีกคนคงจะเอ่ยไล่คริสเองก็ไม่อยากอยู่ให้รำคาญใจ วันนี้ยังไม่ได้ใจสักวันก็คงจะได้มา อย่างน้อยขอแค่ได้พยายาม ให้สุดตัวก่อนถ้าไม่ไหวก็ค่อยๆถอยห่าง ท่าทางที่อี้ชิงแสดง จะว่าดูออกแต่บางครั้งก็ทำให้สับสน นั่นก็ไม่ได้ต่างจากการไม่รู้จักตัวตนของอีกคนดีๆนั่นแล
“คริส!”
เสียงแหลมที่เอ่ยเรียกมาจากอีกทางทำให้ใบหน้าหล่อต้องหันควับไปมองคนพูด รอยยิ้มที่เรียวปากเผยกว้างส่งไปให้ก่อนจะโบกมือทักทายผู้มาใหม่อย่างคุ้นชิน
“ว่าไงนิโคล มาคนเดียวเหรอแฟนเธอไม่มาหรือไง?”
“เดี๋ยวตามมา แล้วนี่นายมาทำอะไรแถวนี้?”
“มาทานข้าวอ่ะ นี่ก็กำลังจะกลับแล้ว” คริสบอกหญิงสาวดาวคณะที่ได้ตำแหน่งร่วมกัน หากแต่ไม่ได้บอกว่ามากับใครและเป็นอะไรกับอีกคน
นิโคลเป็นเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่คริสสนิทด้วย เพราะเป็นดาวเดือนคณะร่วมกันทำให้ไม่อึดอัดที่จะพูดคุย ถึงจะบอกว่าสนิทสนมและเป็นกันเองมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคิดเกินเลยเพราะรู้นิสัยใจคอต่างฝ่ายดีจึงทำให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้
“เห็นเขาพูดกันว่านายตัวติดกับน้องเดือนมหาลัย เป็นไงมาไงเรื่องจริงป่ะเนี่ย?”
คริสถึงกับตกใจไม่น้อยที่หญิงสาวเอ่ยถามแบบนั้น ใบหน้าอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาต้องส่งมือเขาไปผลักที่หัวเล็กของอีกคนเบาๆ ยีกลุ่มผมสวยอย่างนึกหมั่นไส้ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่มีทางบอกแน่นอน
แต่สุดท้ายมันก็แน่ชัดอยู่แล้วว่าเขากำลังตามจีบอี้ชิงอยู่
พูดคุยกับนิโคลอยู่ดีๆ ร่างกายพลันชาวาบให้หัวใจตกไปอยู่ที่พื้นคล้ายจะแตกละเอียด คนหน้าหวานที่เดินออกมาจากเซเว่นยืนมองเขานิ่งพร้อมสายตาที่ส่งมาเย็นชาที่สุดเท่าที่สัมผัสได้ ก่อนจะเห็นว่าอี้ชิงเบือนใบหน้าหนีไปอีกทางพลางสูดหายใจเข้าปอด แล้วเดินจ้ำอ้าวจากไปทันทีไม่สนใจ
“ฉันไปก่อนนะนิโคล ไว้ค่อยคุยกัน” เอ่ยบอกเพื่อนร่วมคณะอย่างร้อนรน ไม่ทันพูดคุยให้มากความคริสจึงบอกลาหญิงสาวแล้วรีบวิ่งตามอี้ชิงไปติดๆอย่างรวดเร็ว
มาถึงหอพักเห็นหลังไวๆก็รับรู้ได้ว่าคนหน้าหวานได้ขึ้นลิฟล์ไปก่อนแล้ว คริสถึงกับกระวนกระวายใจมองหาทางที่เคยใช้อยู่บ่อยครั้ง ก่อนจะสับเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปทันทีไม่คิดจะรีรอ
ถึงชั้นสิบเอ็ดแข้งขาพลันไร้เรี่ยวแรงแทบจะทรุดฮวบลงไปนั่งกองกับพื้น เหงื่อออกทั่วกายซึมผ่านเสื้อช็อปที่สวมใส่อยู่ให้ได้เห็น มองบานประตูที่ปิดสนิทก็รู้ได้ทันทีว่าอีกคนคงอยู่ด้านใน เคาะเรียกให้ตายก็คงไม่ออกมาเจอหน้ากันอยู่ดี
มือหนาปาดเหงื่อบนใบหน้าพลางเสยผมที่เปียกชื้นเพราะวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่างไม่หยุดพัก หมดหวังหยาดน้ำพลันคลอหน่วยที่นัยน์ตาคมตอกย้ำความหมดหวัง ปวดหนึบที่หน้าอกซ้ายยามรู้ว่าความเข้าใจผิดกำลังนำพาให้ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ทำดีมาเสียหลายวันจะจบเพียงแค่วันเดียวก็ให้มันรู้ไป แต่นั่นเวลานี้คงไม่มีประโยชน์จะเฝ้ารอ รู้ดีว่าอี้ชิงใจแข็งยิ่งกว่าหินผา หมดกำลังจึงค่อยๆหมุนตัวหันหลังกลับ เดินหวนทางเดิมคอตกไม่เป็นท่าอย่างคนที่ใจสลาย
“อ...อี้ชิง...”
คนตรงหน้าที่เดินมาบรรจบกันทำเอาคริสต้องเบิกตาโพลงตกใจทั้งเห็นแสงสว่างที่ริบหรี่ พร่ำเรียกชื่อที่คุ้นเคยเสียงอ่อนแรง แต่นั่นอี้ชิงที่เห็นเขาพลันปลีกตัวรีบร้อนเดินผ่านไปเสียบคีย์การ์ดแล้วพรวดพราดผลักประตูเข้าห้องอย่างรวดเร็วทั้งที่ไม่คิดจะพูดคุย
“อี้ชิงฟังฉันก่อน อย่าเอาแต่เงียบแบบนี้นายก็รู้ว่าฉันจะทนไม่ได้”
มือเล็กพยายามผลักประตูให้ปิดลงทว่าคริสกลับไม่ยอมให้อีกคนจากไปทั้งที่ไม่คิดจะฟังคำอธิบาย ถ้าในวันนี้อี้ชิงจะไม่ให้อภัยเขาก็ไม่ว่า แต่ขอให้รับฟังเหตุผลบ้าง ให้เขาได้บอกทุกสิ่งทุกอย่างก่อน แล้วจะว่ากล่าวตัดพ้อยังไงก็ได้คริสจะยอมแต่โดยดี
คริสใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักบานประตูเข้าไปในห้องของอีกคนอย่างถือวิสาสะ อี้ชิงรีบเดินหนี มือหนาจึงคว้าหมับที่แขนเล็กให้หันกลับมาสบมอง ใช้เท้าดันประตูให้ปิดลง แต่นั่นอี้ชิงกลับดิ้นไม่หยุดทั้งยังต่อต้านมากกว่าครั้งก่อน รั้งกันไปรั้งกันมาสุดท้ายก็เสียท่าล้มถลาไปกองรวมกันอยู่บนเตียงนุ่มทั้งคู่
“จะไปไหนก็ไปอย่ามายุ่งกับฉัน!”
เอ่ยไล่อี้ชิงก็เอาแต่ดิ้นขัดขืนไม่หยุดหย่อน คริสหมดหนทางท่าจะให้อีกคนใจเย็นลงคงไม่มีทางเลือก กายสูงจึงขึ้นคร่อมทันทีไม่รอช้า ตรึงสองมือเล็กไว้กับเตียงนุ่ม จ้องมองอีกคนนิ่งให้รู้ว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน
“อย่าผลักไสฉันอี้ชิง ฉันทำอะไรผิดบอกกันได้ไหม?”
“…….”
คริสเอ่ยถามอย่างใจเย็นทว่าอี้ชิงก็ไม่คิดจะปริปากพูด นัยน์ตาคู่กลมคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำสีใสที่พร้อมจะไหลออกมาตอกย้ำความเจ็บปวดได้ทุกเมื่อ ดีทว่าตอนนี้ในห้องไร้แสงไฟนีออนที่สาดส่องให้เห็นความอ่อนแอ จะมีก็แค่แสงสลัวที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น
“ฉันทำอะไรผิดนายถึงได้เมินเฉยแบบนี้ ถ้าเป็นเรื่องของนิโคลฉันบอกได้เลยว่าแค่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรเกินเลยเพราะรายนั้นก็มีแฟนแล้ว ฉันรักนายคนเดียวจะให้พูดยังไงถึงจะเชื่อใจ”
“...ใจคนมันแปรเปลี่ยนง่าย ฮึก... แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าต่อไปจะไม่ทิ้งกัน”
สุดท้ายก็พูดอย่างที่ใจคิดพร้อมทั้งเสียงสะอื้นที่ตามมาย้ำความเสียใจที่อยู่ในอก นัยน์ตาคู่สวยร้อนผ่าวไปด้วยหยาดน้ำที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ความเสียใจที่ได้เห็นภาพคนทั้งสองหยอกล้อกันมันสั่นคลอนความเชื่อมั่นได้ดีเลยทีเดียว คริสที่ได้เห็นจะว่าดีใจก็ไม่ฏิเสธเลยสักนิดที่อีกคนรู้สึกกับเรื่องของเขา หากแต่ถ้าอี้ชิงจะเอาแต่ร้องไห้หัวใจเขาก็คล้ายว่าโดนถ่วงให้เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
“เชื่อฉันเถอะอย่าได้เป็นกังวล เพราะหัวใจดวงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีสิ่งใดเข้ามาทำให้หวั่นไหวฉันก็จะไม่เปลี่ยนใจ สัญญา...”
พูดเสร็จก็เห็นว่าอี้ชิงพลิกตัวตะแคงข้างหันหลังให้กันแล้วเอาแต่ปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลไปอย่างเงียบๆ คริสจึงยอมล้มตัวลงนอนตาม โอบกอดอีกคนเข้าไว้ในอกอุ่นอย่างทะนุถนอม กดปลายจมูกโด่งลงที่กลุ่มผมนุ่ม ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีกเพราะกลัวว่าภาพในตอนนี้จะหายไปแล้วคิดว่าเป็นฝัน
“………..”
“ฉันรักนายมากขนาดนี้แล้วยังต้องการขนาดไหน? อย่าทำให้เราเข้าใจผิดกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย แค่ฟังฉันบ้างฉันก็พอใจแล้วอี้ชิง”
“อย่าได้ไหม ฮึก...”
เสียงหวานสั่นเครือเอ่ยพูดผะแผ่ว ไหล่บางไหวระริกสะอื้นไห้ตัวโยน คริสจึงส่งมือหนาวางบนลาดไหล่ของอีกคนแล้วลูบมันเบาๆให้คลายความกังวล
“อย่าอะไร หื้ม?”
“อย่า...อย่าไปทำแบบนั้นกับคนอื่น ฮึก…”
“แบบไหน?”
“…แบบที่ ฮึก...จับหัวลูบผมแล้วยิ้มให้กัน”
สิ้นเสียงหวานคริสพลันยกยิ้มในทันทีจากที่ตอนแรกยังไม่เข้าใจคำพูดของอีกคน ไม่ทันได้ตั้งตัวคนที่นอนหันหลังให้เขาก็พลิกกายเข้าหาแล้วฟุบใบหน้าหวานลงที่แผงอก ความเปียกชื้นซึมผ่านเสื้อที่ส่วมใส่จนสัมผัสได้ อี้ชิงร้องไห้นั่นมันเป็นเพราะเขาอีกแล้ว แต่จะให้อธิบายเป็นคำพูดยังไงว่าความรู้สึกครั้งนี้มันไม่ใช่ความเจ็บปวดหากแต่เป็นความดีใจที่อีกคนเห็นความสำคัญ
“แต่นิโคลเป็นเพื่อนฉันนะอี้ชิง ที่ทำลงไปไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ”
“เพื่อนก็ไม่ได้ เห็นแล้วไม่ชอบใจ ฮึก...”
พูดเสียงอู้อี้กับแผ่นอกกว้าง ส่ายหน้าไปมาบอกว่าถึงจะเป็นเพื่อนอี้ชิงก็ไม่อยากให้ทำ จนปลายจมูกเล็กเบียดเสียดตรงหน้าอกให้คริสต้องหัวเราะน้อยๆเอ็นดู ไม่วายยังอึ้งไม่หายกับความในใจที่คล้ายคำสารภาพของอีกคน ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ขอแค่วันนี้ให้ทุกอย่างสมหวัง
“นายกำลังหึง?” เสียงทุ้มเอ่ย ยกแขนขึ้นหนึ่งข้างแล้วเท้าศีรษะมองคนน่ารักที่ฟุบหน้ากับอกของเขาคล้ายลูกแมวตัวน้อยที่กำลังโถมเข้าหาความอบอุ่นเสียยังไงอย่างนั้น
“ฮึก....หวงด้วย”
เสียงหวานที่ตอบกลับมาทำเอาคริสตาเบิกโพลงไม่คิดว่าอีกคนจะพูดมัน ไม่อาจบอกได้เลยว่าในตอนนี้รู้สึกมากมายขนาดไหน อี้ชิงที่เห็นว่าไม่มีท่าทีจะใจอ่อนกับเขา ทว่าในตอนนี้คืออะไรหัวใจคริสแทบวาย
มือหนาลูบหัวทุยของคนตัวเล็กแผ่วเบาและอ่อนโยนที่สุด ส่งความรู้สึกในใจมากมายให้อี้ชิงผ่านการกระทำที่แสดงออกให้รู้ว่ารักมากขนาดไหน ในขณะที่อีกมือยังคงเท้าศีรษะอยู่เหมือนเดิมมองคนที่ฟุบหน้าคล้ายจะเขินอาย ก่อนจะต้องตกใจให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นโครมครามขึ้นไปอีกเมื่อแขนเล็กของอีกคนส่งมาสวมกอดที่รอบเอวของเขาแล้วกระชับไว้แน่น
วันนี้ที่รอคอยมันมีความสุขยิ่งกว่าที่ฝันไว้ ยอมเหนื่อยตามง้อตามตื้อ ณ เวลานี้กลับหายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้รักทำให้หลงจนแทบเป็นบ้า มาวันนี้คล้ายเป็นบ้ามากกว่าเก่า เพราะอีกนิดเมื่อหัวใจของคนหน้าหวานที่คริสกำลังจะได้มาครอบครองเป็นของตัวเองอย่างที่ตั้งใจ
“นายรักฉันไหม?” เอ่ยถามไปก็รับรู้ได้ว่าคนตัวเล็กยิ่งกดใบหน้าเข้าหาอกขึ้นไปอีก แขนบางกอดรัดรอบเอวไว้แน่น คริสก็ทำได้แค่ยิ้มจนแก้มปริ ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่ามีความสุขสุดๆ
“………..”
ใบหน้าหวานส่ายไปมาให้เป็นคำตอบหากแต่ไม่พูดจา ความมืดภายในห้องถึงจะบดบังสีระเรื่อที่พวงแก้มได้ดีแต่อี้ชิงก็ยังคงอาย เขารักคริสอย่างไม่มีข้อแม้ แค่เห็นคริสยิ้มให้คนอื่น ถึงจะบอกว่าสนิทมากก็เถอะแต่นั่นก็ไม่ชอบอยู่ดี แบบนี้ใช่ไหมเพราะรักถึงไม่อยากให้อีกคนไปยุ่งกับใคร
“ส่ายหน้าหมายความว่ายังไง ไม่รักฉันใช่ไหม? แต่ฉันรักนายมากนะ”
“ม...ไม่รู้”
“อ่า ไม่รักฉันสักนิดเลยหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามแกมน้อยใจ หลุบม่านตามองคนตัวเล็กทั้งยังอมยิ้มอยู่ตลอด
“ม...ไม่ค่อยแน่ใจ แต่...อาจจะรัก...มั้ง” พูดเสร็จก็รีบกดใบหน้าเข้าอกกว้างอีกครั้ง อายเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นสบมอง เหมือนยกภูเขาออกจากอกยามสิ่งที่เก็บไว้อยู่ในใจมันเผยให้อีกคนได้รู้
คริสเองก็ไม่ต่างกัน แทบจะทนไม่ได้ยามได้เห็นอาการเคอะเขินของอีกคน ตอนที่อี้ชิงเย็นชาใส่ยังทำให้หัวใจเต้นไม่กระส่ำเลย นับประสาอะไรถ้าอีกคนจะน่ารักในกรอบม่านตาแล้วเขาเองจะทนได้ยังไงกัน อยากจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงเสียให้สมใจอยาก
“หัวใจนายให้ฉันดูแลได้ไหม? มือนายฉันก็จะจับไว้ตลอด ไม่มีวันปล่อยไปไหนสัญญาเลย”
“………….”
“ว่าไงหื้มอี้ชิง?”
“…………..”
มีแต่ความเงียบที่ส่งกลับมาให้ คริสเริ่มใจไม่ดียามอี้ชิงเอาแต่นิ่ง แต่ไม่นานหัวใจมันกลับพองโตคล้ายโดนสูบลมเข้าไปจนจะปริแตก เมื่อใบหน้าหวานพยักเบาๆตอบรับกลับมา แต่นั่นก็อยากมั่นใจว่าการกระทำแบบนี้คืออีกคนยอมมอบหัวใจให้เขาแล้วจริงๆ
“พยักหน้าเฉยๆนี่คือยังไง ตกลงยอมให้กันหรือเปล่า?”
“ถ้าเรื่องแค่นี้คิดเองไม่เป็น งั้นก็ไม่ต้องเอาหรอกหัวใจฉันน่ะ”
“สัญญาไหมล่ะว่าจะไม่เอาคืน?”
เอ่ยพูดไปมือหนาพลางจับไหล่เล็กของคนที่เอาแต่ฟุบอยู่กับอกของเขาให้สบมอง จดจ้องสำรวจใบหน้าหวานคนน่ารักก็เอาแต่หลุบม่านตาหนีไม่กล้ามองกันตรงๆ คริสจัดการเชยคางมนขึ้นอย่างช้าๆ เกลี่ยปลายนิ้วหัวแม่มือตามกลีบปากอิ่มสีชมพูอ่อนอย่างแผ่วเบา โน้มใบหน้าเข้าหาพลันกดจูบรุ่มลึกไปให้เป็นรางวัลที่น่ารักจนเกินจะห้ามใจ
ดูดเม้มแผ่วเบารับสัมผัสนุ่มหยุ่นหัวใจก็เอาแต่โผลบิน ปล่อยจังหวะให้เป็นไปตามความต้องการเนิบนาบไม่เร่งเร้าฝืนอีกคน ม่านตาคมเหลือบมองใบหน้าแดงซ่านที่ต้องแสงจากหน้าต่างก็ถึงกับพอใจ แพขนตาสวยหลับพริ้มทำให้คริสเห็นความสวยงามได้อย่างใกล้ชิดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ให้เขาคล้ายจะตกอยู่ในหลุมลึก ได้ให้รักจนถอนรากถอนโคนไม่ขึ้น กี่วันที่ผ่านมาไม่อาจนับได้ที่เอาแต่ตามล่าหัวใจดวงนี้ วันนี้คริสได้มันมาแล้วจะรักษาอย่างดีเลยสัญญา
“อืม”
เสียงหวานครางเล็ดลอดออกจากกลีบปากให้ได้ยินไม่ขาด คริสเลยถือโอกาสสอดลิ้นร้อนเข้าไปควานหาความหอมหวานจากอีกคนในทันที ผละริมฝีปากออกให้คนน่ารักได้หายใจเข้าปอดก็ก้มลงสานต่อกอบโกยสิ่งที่ต้องการให้หนำใจ กดจูบย้ำคิดย้ำทำ ไม่ลืมจะอ่อนโยนกับอีกคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ความต้องการของเขาจะไม่ใช่แค่นี้ก็ตามที
“นายคงไม่รู้ว่าข้างในตัวฉันมันร้อนรุ่มไปหมด อ่า...หัวใจฉันเต้นแรงจังลองฟังดูสิ”
พูดเสร็จคริสจึงล้มตัวลงโอบกอดอี้ชิงไว้แน่น กระชับคนตัวเล็กให้เข้าหาแนบชิดกาย ให้รู้ว่าก้อนเนื้อในอกซ้ายที่เต้นไม่เป็นไม่เป็นจังหวะแบบนี้นั่นมันเพราะใคร
“……….”
อี้ชิงวาดแขนกอดคนตัวสูงแน่นไม่ต่างกัน กดปลายจมูกลงที่แผงอกกว้าง หลับตาพริ้มพลางสูดหายใจเข้าปอดรับรู้กลิ่นของอีกคนที่อยู่ข้างกาย เพื่อให้แน่ใจว่าคริสยังอยู่ข้างเขาไม่ได้หนีหายไปไหน
“วันนี้ดีใจจัง ไม่กลับบ้านแล้วนะอยากนอนกอดนาย”
พูดเสร็จพลันฝังปลายจมูกโด่งที่กลุ่มผมนุ่มของคนในอ้อมกอด ก่อนจะต้องหัวเราะเบาๆเมื่ออีกคนตอบกลับมาทำเอาคริสนึกขัน
“เรื่องของนาย อยากทำอะไรก็ทำ”
คริสกล้าบอกเลยว่าอี้ชิงไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ ชอบป่วนเขาด้วยท่าทางเย็นชาให้เจ็บปวด ซ้ำยังความน่ารักที่มักจะเผยออกมาให้ได้เห็นอยู่เสมอ ปรับอารมณ์ไม่ทันคล้ายสายลมที่ผัดผ่านมาแล้วหลังจากนั้นก็ผ่านไป แต่นั่นไอ้คำพูดที่บอกว่าอยากทำอะไรก็ทำมันคืออะไร ให้เขาทำตามใจรู้ไหมว่าร่างกายบอบบางนี้อาจจะลุกจากเตียงไปไหนไม่ได้อีกเลย แต่นั่นก็เข็ดแล้วกับเรื่องราวร้ายๆที่ผ่านพบ ขอแค่อี้ชิงให้คนอย่างเขากอดไปตลอดทั้งคืนก็พอใจ แค่นี้มันก็มากพอแล้วสำหรับคนอย่างคริส ...อุ่นจัง...
...ERROR 100 %…
*** ครึ่งหลังแอบป่วงเนอะ ฮ่าๆ แต่ไม่อยากดองนานเลยคิดว่ารีบลงดีกว่า
ถึงจะไม่ค่อยได้มาอัพ น้านนานทีจะโผล่มาก แต่เพราะไม่ว่างจริงๆเลยไม่แก้ตัวค่ะ TT
ความคิดเห็น