คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ll ERROR ll CHAPTER 6
ERROR
CHAPTER 6
[KRISLAY & KAILU]
“อี้ชิง! นายไปไหนมาฉันหาตั้งนานแน่ะ?”
เพียงแค่เดินกลับมาที่หอประชุมอีกครั้งเพื่อนผิวเข้มพลันเอ่ยถามทันทีให้อี้ชิงรู้สึกเกรงใจที่ต้องรอ ตั้งแต่งานประกวดดาวเดือนเสร็จสิ้นจงอินมาหาเพื่อนหน้าหวานที่หลังเวทีก็ไม่เจอเสียแล้ว เห็นเพียงกระเป๋าเป้สีม่วงแบรนด์ดังกับช่อดอกไม้ที่วางทิ้งไว้ไร้ร่างเจ้าของไม่มีคนสนใจ
“เอ่อ...ฉันไปเข้าห้องน้ำมาน่ะจงอิน ขอโทษนะที่ไม่ทันได้บอกนายก่อน” ตอบเพื่อนสนิทไปนัยน์ตาคู่หวานจึงรีบหลบหนีแววพิรุธ โกยข้าวของสัมภาระลงกระเป๋าในห้วงความคิดกลับก่อเกิดภาพของใครบางคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อครู่ให้สั่นคลอนที่หัวใจ
อี้ชิงเชื่อมั่นมากพอที่จะไม่อ่อนลงให้กับอีกคนง่ายๆ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจตัวเองถึงนิสัยที่ใครๆก็ว่าดีจนเกินเหตุ เขาใจดีใช่ว่ากับทุกคน ถึงไม่ชอบการมีเรื่อง หลีกเลี่ยงทุกครั้งที่พบเจอ ทว่าใครร้ายใส่อี้ชิงก็จดจำมันฝังใจ
“แล้วนั่นเป็นอะไรทำไมตาแดง?” ลอบสังเกตเพื่อนสนิทจงอินก็ถึงกับนึกสงสัย ช่วงนี้เห็นอีกคนแปลกไปเหมือนว่ามีเรื่องคาใจ แต่ไม่อยากก้าวก่ายจึงห้ามความคิดไม่ให้ซักถาม
“ห๊ะ?”
“ฉันถามว่านายเป็นอะไรทำไมถึงตาแดง ช่วงนี้นายเหม่อลอยบ่อยจังอี้ชิง มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ...หรือว่า...นายดีใจที่ได้ตำแหน่งเดือนมหาลัยใช่ไหมล่ะ โอ้ย! เรื่องแค่นี้เองไม่เห็นต้องแอบไปร้องไห้เลย”
สิ้นเสียงทุ้มของคนผิวเข้มใบหน้าหวานแสดงออกเสียชัดเจนว่ามึนงงอย่างเต็มที่ แต่นั่นก็เออออห่อหมกไปให้เป็นคำตอบ เพราะจงอินถ้ายิ่งเงียบเจ้าตัวยิ่งเพิ่มความสงสัย
“อืม เป็นใครก็ต้องดีใจใช่ไหมล่ะ ว่าแต่เซฮุนกับซิ่วหมินอยู่ไหนเหรอ?”
“หูย! สองคนนั้นน่ะเหรอ พอประกาศผลว่านายได้ตำแหน่งเดือนมหาลัยก็รีบแจ้นไปซื้อของเตรียมฉลองกันทันทีเลย ดีใจอย่างกับว่าได้รางวัลเองแน่ะ”
คนผิวเข้มยิ้มร่านึกขันยามคิดถึงภาพสองสหายที่กระโดดโลดเต้นหน้าเวทีตอนประกาศผล และนั่นอี้ชิงที่ได้รับฟังก็ยิ้มไม่ต่างกัน เขารู้สึกมีความสุขถึงแม้จะน้อยนิดทว่าก็เติมเต็มหัวใจได้ มีเพื่อนที่ดี มีคนคอยให้กำลังใจพลันให้ความเหนื่อยล้ามลายหายไปได้เป็นอย่างดี
“ถ้างั้นพวกเรากลับหอกันเถอะ คืนนี้สงสัยจะได้ค้างที่ห้องเซฮุนเหมือนเคย”
“เอ่อ....จงอิน นายกลับไปรอที่หอก่อนเลยนะ คือฉันว่าจะไปขอบคุณพี่มินโฮเขาหน่อยน่ะ ไม่ได้พี่เขาฉันคงไม่ได้ตำแหน่งนี้มาแน่ๆ”
“อืม เอางั้นก็ได้ ยังไงก็รีบกลับนะ”
“โอเค”
จงอินเดินจากไปแล้วอี้ชิงจึงจัดการถอดสายสะพายที่บอกตำแหน่งอันทรงเกียรติบนไหล่บางออก ยัดมันลงกระเป๋าลูดซิปปิดก่อนจะแบกใส่หลังแล้วหอบช่อดอกไว้ขึ้นไว้แนบอก พลันเดินหารุ่นพี่ที่ยอมเหน็ดเหนื่อยช่วยเหลือเรื่องการแสดงมาตลอดทั้งเดือนในทันที
“พี่คีย์ครับ เห็นพี่มินโฮไหมครับ?”
รุ่นพี่ตัวเล็กผิวขาวเดินผ่านมาไม่รอช้าอี้ชิงจึงถามหาคนรักของพี่เขา คีย์และมินโฮเป็นอะไรกันใครๆก็รู้ดี คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เนิ่นนานเสียอี้ชิงอิจฉาความคงเส้นคงวาของทั้งคู่
“อ้อ! มินโฮนั่งอยู่ในห้องควบคุมน่ะ”
“ขอบคุณนะครับพี่คีย์ แล้วผมก็ต้องขอบคุณเรื่องเสื้อผ้าที่ใส่ขึ้นแสดงในวันนี้ด้วย ยังไงผมจะซักมาคืนให้ทีหลังนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกอี้ชิง เพื่อน้องแค่นี้พี่ทำให้ได้อยู่แล้ว ยังไงพี่ก็แสดงความยินดีกับเราด้วยนะ”
อี้ชิงโค้งหัวขอบคุณอีกครั้งทั้งรอยยิ้มหวานให้รุ่นพี่ที่แสนน่ารักตรงหน้า ก่อนจะขอตัวเพื่อไปยังห้องควบคุมที่เป็นส่วนหนึ่งในหอประชุมแห่งนี้ ถึงหน้าประตูด้วยความมีมารยาทเป็นทุนเดิมจึงยกมือขึ้นเคาะแผ่นไม้บานหนาให้คนในห้องรับรู้เสียก่อน ค่อยๆหมุนลูกบิดประตูแล้วผลักมันเข้าไปเยี่ยมหน้าหารุ่นพี่ที่ต้องการพบเจอ
“………”
ม่านตากลมกวาดมองคนในห้องที่นั่งล้อมวงคุยกันดูซีเรียส ทำเอาอี้ชิงชะงักไปเล็กน้อย รีบก้มหัวขอโทษขอโพยที่มาไม่ถูกเวล่ำเวลาแล้วทำท่าจะปิดประตูลงอีกครั้งให้เหมือนเดิม หากแต่สิ่งอื่นใดที่ทำให้อี้ชิงร้อนรนคงหนีไม่พ้นคนตัวสูงที่นั่งก้มหน้าเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มรุ่นพี่ คนที่เพิ่งสารภาพความในใจกับเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า คริสคงเดินเข้าหอประชุมจากประตูด้านหลัง ส่วนอี้ชิงเข้าทางประตูหน้าทำให้ไม่เห็นว่าคริสนั้นมาถึงที่นี่ก่อนเขาเสียอีก
“อ้าว! อี้ชิงจะรีบไปไหนล่ะ? เข้ามานั่งก่อนสิ”
ไม่ทันหลบหน้าเดินหนี เสียงทุ้มของรุ่นพี่มินโฮกลับเรียกรั้งให้ร่างกายเล็กต้องหยุดนิ่ง สิ่งที่กลัวกำลังหวนขึ้นในจิตใจเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ในตอนแรกพอได้ยินชื่อของเขาพลันเงยหน้าขึ้นสบมองทันทีด้วยความตกใจ
นัยน์ตาคู่คมแดงก่ำทำให้อี้ชิงรู้ได้ว่าคริสเพิ่งผ่านการร้องไห้มาไม่นาน น่าจะเป็นเพราะเขาเองแต่นั่นอีกคนควรได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดบ้างก็คงดี อี้ชิงไม่เคยอยากจะแก้แค้น คิดเอาคืนหรือก็ไม่เคยเลยสักครั้ง เพราะอี้ชิงอยากอยู่อย่างสงบและไม่อยากพบเจอเรื่องปวดสมองอีก แต่นั่นถ้าเขาเจ็บขนาดนี้ คริสควรรู้ได้ด้วยตัวเองว่าความเจ็บปวดที่ทิ้งไว้ให้กับเขาพอเจอกับตัวเองบ้างแล้วมันรู้สึกอย่างไร เหมือนคนใกล้จะตายก็ไม่ปราน
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับพี่มินโฮ พอดีผมอยากมาขอบคุณรุ่นพี่น่ะครับที่ช่วยดูแลผมตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เพราะรุ่นพี่เลยนะครับผมถึงได้ตำแหน่งนี้มาครอง”
อี้ชิงเอ่ยพูดในขณะที่โผล่ร่างผ่านบานประตูมาแค่ครึ่งตัวเท่านั้น ไม่เสมองคนตัวสูงที่นั่งก้มหน้าน้ำตาคลอเลยสักนิด เพราะอี้ชิงกำลังร้อนรุ่มอยู่ในอกอย่างไม่รู้สาเหตุยามได้เห็นว่าดวงตาคู่นั้นกะพริบปริบคล้ายพยายามห้ามหยาดน้ำที่พร้อมจะเอ่อไหลออกมาได้ทุกเมื่อ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกอี้ชิง เห็นนายยิ้มได้ดีใจแบบนี้พี่ก็ดีใจด้วย ว่าแต่...อยากไปฉลองกันหน่อยไหม?”
“ม....ไม่ดีกว่าครับพี่มินโฮผมเกรงใจ เอ่อ...พอดีผมนัดเพื่อนไว้แล้วเกรงว่าจะไม่สะดวกอ่ะครับ ขอโทษนะครับ”
ตอบปฏิเสธทันทีทำให้ใบหน้าคมของรุ่นพี่พยักให้อย่างเข้าใจ มินโฮหันเหสายตาเหลือบมองคริสที่เอาแต่นั่งก้มหน้าพลันให้นึกเป็นห่วงขึ้นมาเสียดื้อๆ ก่อนจะส่ายหัวเพลียใจเพราะรู้ดีว่าอีกคนเป็นอะไรถึงได้เศร้าสร้อยสลดเสียเพียงนี้
“เอ่อ ถ้างั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
หัวทุยโค้งให้ระลึกบุญคุณเป็นครั้งสุดท้าย รีบผละกายห่างประตูก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกจากหอประชุมไม่รอช้าในคิดฟุ้งซ่านเรื่องของใครบางคน ทำเอารุ่นพี่ภายในห้องควบคุมต้องมองตามรุ่นน้องหน้าหวานเมื่อเห็นอาการรีบร้อนจนเกินเหตุ
“เหี้ย! น้องโคตรน่ารักเลยว่ะ โอ้ย!”
ชานยอลถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อหน้าแข้งของเขาโดนคริสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามส่งเท้าเข้ามาเตะจากใต้โต๊ะไม่ผ่อนแรง ร้อนถึงคนถูกกระทำต้องลูบมันไปมาคลายอาการเจ็บปวดให้ทุเลาลง
“มึงก็ชอบทำให้มันของขึ้นนะชานยอล ก็รู้อยู่ว่าไอ้คริสมันชอบน้อง”
มินโฮเอ่ยพูดสีหน้าจริงจัง ได้ฟังคริสระบายความในใจก่อนที่รุ่นน้องจะเข้ามาทำเอาสลดไปด้วยไม่น้อย กว่าจะได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากคนปากแข็งเขาต้องใช้ความพยายามอยู่หลายนาทีเพื่อจะง้างปากมันให้พูดได้ เอาแต่นั่งก้มหน้าทิ้งหยาดน้ำพลอยให้ทุกคนเครียดไปหมดเพราะคนอย่างคริสเคยเป็นแบบนี้เสียที่ไหนครั้งนี้ครั้งแรกเลย
“ก็น้องน่ารักจริงๆอ่ะมึง แต่กูก็เห็นอี้ชิงเป็นแค่น้องนะเว้ยไม่ได้คิดอะไรเกินเลยสักหน่อย” ชานยอลรีบเอ่ยแก้ตัว
“ว่าแต่จริงเหรอวะไอ้คริสที่มึงเหมาดอกกุหลาบให้น้องเขาหมดนั่นน่ะ” มินโฮอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เขาสงสัยตั้งแต่งานประกวดดาวเดือนยังไม่จบเสียด้วยซ้ำ
“มึงรู้ได้ไงมินโฮ? กูไม่ได้บอกใครเลยนะเว้ย!” นัยน์ตาคมเบิกโพลงเมื่อเพื่อนรู้ในความลับที่ยังไม่ได้เปิดเผย
“กูเห็นรถของร้านดอกไม้มาส่งที่หน้าหอประชุมกูเลยเดินเข้าไปถาม เขาบอกว่ามึงเป็นคนสั่งมาทั้งหมด มึงคิดดีแล้วเหรอวะไอ้คริสที่ทำแบบนี้ ถ้าน้องเขารู้มึงจะโดนเกลียดขี้หน้ายิ่งกว่าเดิมอีกนะเว้ย อี้ชิงจะคิดยังไงถ้ารู้ว่าดอกกุหลาบที่ได้มาไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเอง แต่เป็นเพราะมึงที่เหมามาให้น้องเขาอ่ะ”
มินโฮส่ายหน้าให้เพื่อนสนิทที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีๆเสียก่อน รู้ว่ารวยแต่แม่งมันจะรู้ไหมว่าทำแบบนี้คล้ายกำลังทำร้ายอี้ชิงอยู่
“กูไม่ได้เหมามาทั้งหมด ก็แค่ 99 ดอกเอง” คริสรีบเอ่ยบอกฉับพลัน เห็นกุหลาบเต็มกะบะรถแบบนั้นของคนอื่นที่สั่งมาพร้อมกันต่างหาก ทว่าเป็นเขาเองที่อาสาโทรสั่งให้
“โหยไอ้เหี้ย! แค่ 99 ดอกเองเหรอวะกล้าพูดนะมึง! ไม่น้อยเลยนะครับ”
ชานยอลโพล่งตกใจทำเอาอีกสองคนต้องหันมาขมวดคิ้วมอง แต่นั่นมันจริงเพราะดอกกุหลาบที่คริสซื้อมาไม่ใช่น้อยๆ ลองคิดเงินดูสิว่ากี่วอนกัน เอาเงินมาเลี้ยงเหล้าเพื่อนเถอะยังไงน้องอี้ชิงก็ได้ตำแหน่งอยู่ดี แต่อย่างว่าแหละนะ คนอย่างคริสจ่ายแค่นี้เศษเงินมันทั้งนั้น
“ถึงกูจะไม่ซื้อให้อี้ชิงยังไงเขาก็ได้ตำแหน่งอยู่ดีนั่นแหละ กูให้เขาไม่ได้หวังว่าเขาจะได้ตำแหน่งนะเว้ย กูให้เพราะมันมีความหมาย”
เสียงทุ้มเอ่ยอธิบายก่อนจะเปิดโปรแกรมไลน์ในมือถือแล้วมองชื่อของคนที่ตั้งให้เป็นรายการโปรดอย่างเจ็บปวด ส่งข้อความไปหา รายนั้นก็อ่านหากแต่ไม่ตอบเลยสักครั้ง คาดว่าในตอนนี้คงบล็อคกันไปแล้วอย่างแน่นอน ทำเอาคริสไร้หนทางทั้งยังคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
เลือกที่จะเดินหน้า หรือ จะหยุดเพียงแค่นี้....
ทุกอย่างมันช่างน่ากลัว....
“ก็แล้วไป มึงเนี่ยนะ! จะทำอะไรแม่งงี่เง้าฉิบหาย กูเพิ่งเคยเห็นมึงเป็นหนักขนาดนี้ก็วันนี้แหละไอ้คริส” มินโฮถอนหายใจรัวจ้องเพื่อนที่เอาแต่เหม่อลอยมองโทรศัพท์ตรงหน้าน้ำตาคลอ เห็นแล้วไม่รู้จะสมเพชหรือสงสารมันดี
“เออไอ้คริส กูมีรูปมึงที่ถ่ายคู่กับน้องบนเวทีด้วย เอาป่ะ? น้องยิ้มด้วยอ่ะมึงโคตรน่ารักเลย!” ชานยอลล้วงมือควานหาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เปิดแกลลอลี่ที่บันทึกภาพคู่ของเพื่อนรักกับรุ่นน้องเจ้าของตำแหน่งเดือนมหาลัยก่อนจะยื่นให้
“ไหนๆ เอามาดิ๊!”
ไร้อารมณ์อยู่เมื่อครู่ คนตัวสูงพลันมีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าทันทีราวกับว่าเป็นคนละคน ยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์จากชานยอลมาครองก่อนจะส่งรูปภาพทั้งหมดผ่านโปรแกรมไลน์ ไม่วายยังตั้งเป็นรูปวอลเปเปอร์ให้ได้เห็นหน้าอีกคนตลอดเวลา เผยยิ้มไม่รู้ตัวยามได้จ้องมองคนที่มีใจให้ในหน้าจอ แต่นั่นมันก็เป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆของความสุข หากนึกถึงความเป็นจริงแล้วเรื่องของเขากับอี้ชิงมันเลวร้ายกว่าที่คิดเยอะ
“เป็นเหี้ยอะไรของมึงอีกเนี่ยคริส? เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวจะร้องไห้กูตามไม่ทันนะเว้ย!”
“กูว่าอี้ชิงไม่มีวันรักกูได้หรอก เขาไม่มีทางรักคนที่ทำให้ชีวิตเขาพังอย่างแน่นอน กูมันน่าสมเพชใช่ไหมมึง? วันๆกูคงทำได้แค่นั่งคิดถึงเขาพร้อมฝันลมๆแล้งๆ ในขณะที่กูแตะต้องอะไรเขาไม่ได้เลย ครั้งแรกเลยนะ....ที่กูคิดว่ากูรักใครเป็นอย่างจริงใจ”
“เฮ้อ! แล้วมึงไปทำอะไรให้น้องเขาไม่พอใจล่ะ? เรื่องทุกอย่างมันมีทางแก้นะเว้ย! มึงอย่าทำเหมือนว่าถึงทางตันแล้วดิวะ”
“มึงอย่ารู้เลยชานยอล เรื่องนี้มันแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว เป็นใครก็รับมันไม่ได้ทั้งนั้น”
ทิ้งความสงสัยให้เพื่อนคริสพลันเอาแต่นั่งเงียบไม่ไหวติง นั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรูหัวใจก็เอาแต่ลิงโลดไม่หยุดนิ่ง ทั้งเจ็บปวดทั้งมีความสุขยามได้เห็นใบหน้าหวานแย้มยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มที่พวงแก้ม คริสกำลังสับสนทั้งยังปรับอารมณ์ไม่ได้ราวกับคนที่ตกอยู่ในหลุมลึกตะเกียกตะกายหาทางออกไม่เจอ
คนหน้าหวานที่ยิ้มให้ในกรอบม่านตามันช่างตรึงใจให้ถอนราก รอยบุ๋มที่ข้างแก้มขาวชวนฝังปลายจมูกสูดดมความหอมให้หายคิดถึง ร่างกายที่น่าทะนุถนอมกำลังทำให้คริสถลำลึกคล้ายตกอยู่ในวังวน ทำได้แค่คิดในมโนภาพ ย้ำตัวเองให้ระลึกอยู่เสมอว่ายังไงก็เป็นได้แค่คนที่เฝ้ามอง ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของหัวใจและร่างกายคริสสำเหนียกตัวเองดี
.
.
.
อี้ชิงก้มหน้าก้มตาเดินเตะฝุ่นคิดฟุ้งซ่านไม่เลิกเมื่อออกมาจากหอประชุม พรั่งพรูลมหายใจหลายต่อหลายครั้ง กระชับเป้ที่หลังเล็กให้มั่น แต่นั่นในขณะที่เดินอยู่ร่างกายกลับต้องหยุดคิดบางสิ่งบางอย่างยามกำลังจะย่างก้าวออกจากประตูรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อกลับหอพัก
ราวกับร่างกายไม่อาจต่อต้านได้ อี้ชิงพลันหันหลังหวนกลับทางเดิมแล้วตรงยังที่หมายใหม่แทนที่หมายเก่า รู้ตัวอีกทีคือเท้าเล็กหยุดยืนข้างถังขยะหน้าห้องน้ำที่เดิมหากเปลี่ยนแค่เวลา อี้ชิงส่ายหัวเล็กน้อยเพราะสุดท้ายเขาก็มาอยู่ที่แห่งนี้ถึงแม้จะทำใจแข็งแล้วก็ตามที หันซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงชะโงกหน้ามองลงในถึงขยะหวังพบเจอกับสิ่งที่ได้ทิ้งลงไปไม่ไยดี
...อี้ชิงไม่ได้ตั้งใจจะกลับมา แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทนเสียงเรียกร้องของก้อนเนื้อในอกซ้ายได้...
“บ้าชะมัด!”
พึมพำผะแผ่วม่านตากลมจึงเพ่งมองดอกกุหลาบสีขาวที่นอนนิ่งล้อมรอบไปด้วยขยะส่งกลิ่นเหม็น มือเล็กค่อยๆเอื้อมลงหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวังไม่นึกรังเกียจ ปัดฝุ่นเล็กน้อยก่อนจะนำไปล้างน้ำให้สะอาดดังเดิม การ์ดสีม่วงที่ห้อยตรงหน้าสะท้อนใจอี้ชิงให้คิดถึงคนมอบอย่างไม่ได้ตั้งใจ เสมือนว่าทุกอย่างมันอ่อนยวบแม้กระทั่งใจของเขาเองก็พร้อมจะเป็นแบบนั้นได้ทุกเมื่อ อีกคนคงไม่รู้ว่าสีม่วงน่ะอี้ชิงโปรดปรานมันที่สุด
“ทำไมอี้ชิงถึงเป็นคนที่น่าสงสารแบบนี้นะ ว่าไหม?” ยกกุหลาบขาวขึ้นตรงหน้า พูดกับมันราวกับว่ามีชีวิตอย่างน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง
อี้ชิงถอดเป้ที่หลังออกแล้วเปิดซิปหย่อนดอกกุหลาบขาวลงอย่างทะนุถนอม เขาไม่ยอมรับว่าจริงๆอาจจะใจอ่อนให้กับคริสก็เป็นได้ในตอนนี้ แต่นั่นยังคงมุ่งมั่นบอกตัวเองว่าเขาเสียดายดอกกุหลาบที่ไม่มีคนเหลียวแลซะมากกว่า ถึงกุหลาบดอกโตจะไม่มีใครเหลียวแลในบางครั้ง อย่างน้อยมันก็มีค่าในตัวของมันเองที่ทำให้ใครสักคนสนใจได้
...ERROR…
ถึงวันหยุดยาวอี้ชิงจึงตัดสินใจกลับบ้านหลังจากไม่ได้กลับมาร่วมหนึ่งเดือน คิดถึงน้องชายทั้งยังสามสหายที่ตื้อขอให้พาไปเที่ยวที่บ้านบ้าง จงอินเคยไปแล้วแต่นั่นก็แค่ส่งที่หน้าบ้านเท่านั้น ส่วนซิ่วหมินและเซฮุนไม่เคยไปเลยสักครั้งแล้วยังตัดสินใจนอนค้างด้วยอีกต่างหาก คนอย่างอี้ชิงใจแข็งได้แต่มักแพ้ลูกอ้อนของเพื่อนรัก จึงเลยตามเลยยอมตกลงอย่างไม่มีข้อแม้
ผู้ชายดอกไม้ทั้งสี่มาถึงที่บ้านของอี้ชิงในยามสายใกล้เที่ยงวัน เจ้าของบ้านโทรบอกน้องชายไว้แล้วว่าจะกลับ แต่ก็ลืมบอกไปว่ายังมีเพื่อนติดสอยห้อยตามมาด้วยอีกสามคน นั่นเพราะรู้ดีว่าลู่หานคงไม่ว่าอะไร เพราะรายนั้นถ้าไม่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องก็ออกไปเที่ยวเหมือนเช่นเคย แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่อี้ชิงมั่นใจคือคนเป็นน้องยังไม่ตื่นต่างหาก
“บ้านนายเงียบจังเลยอี้ชิง อยู่กับใครบ้างเนี่ย?”
ซิ่วหมินเอ่ยถามยามเท้าทั้งสองก้าวผ่านประตูเข้ามาในตัวบ้าน สอดส่ายม่านตาไปรอบๆมองการตกแต่งสไตล์โมเดริ์นที่ดูสบายผ่อนคลาย ก่อนสายตาจะหยุดอยู่กับรูปครอบครัวในมุมหนึ่งที่นานนักจะมีคนเห็นมันสักครั้ง
“ปกติฉันอยู่กับลู่หานสองคน พอย้ายไปอยู่หอเลยปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว ส่วนคุณพ่อคุณแม่ทำงานอยู่ต่างประเทศน่ะ”
“แล้วนี่ใช่ลู่หานหรือเปล่า? หน้าคุ้นๆนะ”
ซิ่วหมินชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มสมวัยในรูปภาพ หากแต่รอยยิ้มกลับไม่เผยให้เห็นคล้ายว่าไม่เต็มใจจะถ่ายภาพร่วมด้วย
“ใช่! แต่ว่าตอนนั้นลู่หานเพิ่งจะขึ้นประถมห้าเองนะ ปัจจุบันโตเป็นหนุ่มแล้ว”
อี้ชิงยิ้มร่ามีความสุขยามได้เอ่ยถึงคนเป็นน้อง น้อยคนนักที่จะสังเกตเห็นรูปนี้ในบ้านของเขา เพราะอยู่หลบมุมเกินไปจึงไม่เคยให้ใครได้สนใจ หากแต่ซิ่วหมินตาดีทั้งเป็นคนแรกที่ทักมัน
และนั่นจงอินที่ยืนฟังอยู่เงียบๆก็ถึงกับลอบยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ใช่! เพราะตอนนี้ลู่หานโตมากแล้ว เขาเพิ่งเห็นมากับตาของตัวเอง วัยเด็กน่ารักยังไงโตมายังคงน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง
“โห! ตอนเป็นเด็กยังน่ารักขนาดนี้ อยากเห็นตอนนี้จังจะน่ารักขนาดไหน?”
เซฮุนพูดแกมตื่นเต้นอยากเจอน้องชายเพื่อนซะแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองยังเผื่อใจไม่คาดหวังมากนัก เพราะรู้ดีว่าอี้ชิงน่ะหวงน้องเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
“ฉันก็ไม่รู้ว่าลู่หานอยู่บ้านหรือเปล่า ถ้าไม่ออกไปเที่ยวก็คงยังไม่ตื่นล่ะมั้ง ยังไงพวกนายเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องนอนก่อนเถอะ แล้วจะได้ลงมาทานข้าวพร้อมกัน” อี้ชิงเอ่ยบอกทำท่าจะพาสามสหายขึ้นยังชั้นบนของบ้าน
หากแต่...
“มาแล้วเหรออี้ชิง?”
ไม่ทันได้แยกย้ายกันไปไหนดี เสียงของคนที่เดินลงมาจากบันไดกลับเรียกให้ทุกสายตาต้องหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน ต่างคนต่างอึ้งที่วันนี้ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าค่าตาน้องชายที่อี้ชิงหวงเท่าชีวิต ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมเพื่อนหน้าหวานทั้งหวงทั้งห่วงน้อง เพราะอีกคนน่ะน่ารักน่าเอ็นดูถึงจะเย็นชาไปนิดแต่ก็ดึงดูดไม่น้อยกว่าคนเป็นพี่เหมือนกัน
ทว่าคนที่เดินลงบันไดมาก็ถึงกับค้างนิ่ง ยามนัยน์ตาคู่สวยเห็นว่ารุ่นพี่ที่ขโมยหอมแก้มเขาในคืนนั้นก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนของพี่ชายด้วย ลู่หานยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ หัวใจวูบไหวคล้ายจะโกรธหรือก็ไม่อาจแน่ใจ ก่อนจะหมุนตัวกลับฉับพลันเดินขึ้นบันไดไปทันทีไม่อยากอยู่ให้เห็นหน้าอีกคน
“จะไปไหนลู่หาน? อยู่รอทานข้าวก่อนสิ” อี้ชิงรีบเอ่ยรั้งคนเป็นน้องทั้งไม่เข้าใจ เห็นอาการอีกคนแปลกไปก็ถึงกับนึกสงสัย
“ไม่หิวอ่ะ จะขึ้นไปนอนต่อ”
“แล้วไม่ออกไปเที่ยวเหรอ? แต่งตัวซะหล่อเลย” ไม่วายยังเอ่ยแซวเพราะวันนี้อีกคนอยู่บ้านหากแต่แต่งตัวดีกว่าปกติ เสื้อฮู้ดสีเหลืองกับกางเกงยีนเดปสีดำขลับได้รูปทำให้ลู่หานดูดีแม้ไม่ได้เติมแต่งอะไรให้มากมาย
“ไม่อ่ะ! เลิกเที่ยวมานานละ เบื่อ!”
เสียงสุดท้ายกระแทกใส่ให้ใครบางคนก่อนกายเล็กนั้นจะเดินตึงตังขึ้นบันไดไปไม่สนใจ ส่งผลให้ทุกคนต้องมองตามกันตาปริบๆ อึ้งกับนิสัยที่ผิดกับหน้าตาของน้องชายเพื่อนอย่างไม่น่าเชื่อ
“เอ่อ...นี่แหละลู่หาน โทษทีนะไม่ทันจะได้ทำความรู้จักกันรายนั้นก็ไปซะล๊ะ!”
อี้ชิงยิ้มเจือนให้เพื่อนทั้งสามอย่างรู้สึกผิด เขาชินเสียแล้วกับนิสัยแข็งกระด่างของลู่หาน หากแต่ก็ลืมนึกไปว่าเพื่อนคงยังไม่เคยพบเจอ
“ไม่เป็นไรหรอก น้องชายนายก็ดูเป็นคนตรงไปตรงมาดี”
ซิ่วหมินว่าก่อนจะหอบกระเป๋าและสัมภาระเดินตามอี้ชิงขึ้นไปยังชั้นสอง โดยมีเซฮุนเดินตามไปอย่างมึนงง ส่วนจงอินก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ เพราะรู้ได้ว่าลู่หานเป็นอะไรนั่นมันมาจากเขาเองทั้งนั้น
ตลอดทางไม่วายต้องคิดถึงใบหน้าน่ารักของคนที่เพิ่งพบเจออยู่เมื่อครู่ หลังจากวันนั้นจงอินไปที่ร้านเหล้าเจ้าเดิมก็ไม่เคยเห็นลู่หานอีกเลย เฝ้ารอเสียทุกคืนถึงแม้ไม่มีจุดประสงค์เพื่อท่องราตรีก็ตามที แต่นั่นซิ่วหมินก็ดันบังเอิญอยากค้างที่นี่เสียอย่างนั้น เลยทำให้เขาเห็นช่องทางในการพบเจอลู่หานได้อีกครั้ง
“เห้ยจงอิน! ลู่หานนี่ใช่น้องคนเดียวกันกับที่เราเจอในคืนนั้นหรือเปล่า ใช่คนที่นายพาไปส่งที่บ้านป๊ะ?”
อยู่ๆซิ่วหมินก็ป้องปากกระซิบถาม ถึงในคืนนั้นจะเห็นหน้าค่าตาลู่หานไม่ชัดเจน แต่ทว่าทุกอย่างมันสัมผัสได้ว่าต้องเป็นคนๆเดียวกัน
“ชู้ว์!”
จงอินรีบยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปากส่งสายตาบอกให้เพื่อนอย่าเพิ่งสนทนา ก่อนจะพยักหน้าให้เป็นคำตอบแล้วเหลือบมองอี้ชิงไปด้วยอย่างคนที่มีความลับ
“แล้วอี้ชิงรู้ไหมเนี่ยว่าน้องชายเที่ยวกลางคืน?”
“ลองถามดูดิ” จงอินเสนอความคิด ใช่แค่ซิ่วหมินที่อยากรู้ เขาเองก็อยากรู้เรื่องของอีกคนเช่นเดียวกัน
“เอ้อ! อี้ชิง น้องชายนายดูเป็นคนเก็บตัวดีเนอะ” ซิ่วหมินลองเชิงถามไป ไม่ทันได้เข้าเรื่องเพื่อนหน้าหวานก็ตอบกลับมาให้หายข้องใจโดยฉับพลัน
“นายคิดแบบนั้นเหรอ? รายนั้นน่ะเที่ยวทุกคืน ห้ามจนปากจะฉีกเคยฟังกันเสียที่ไหนดื้อจะตายไป”
เสียงหวานเอ่ยเพลียใจ ส่ายหน้ายามนึกถึงความดื้อดึงของน้องชายต่างมารดา อยากจะปลงแต่นั่นคนเป็นพี่อย่างอี้ชิงจะดูดายไม่สนใจน้องได้เช่นไร เพราะลู่หานนั้นเปรียบเสมือนอีกครึ่งชีวิตของเขาที่ต้องดูแล จึงต้องทำหน้าที่พี่ชายให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อย่าเครียดเลยน่าอี้ชิง มันเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นนั่นแหละ” ซิ่วหมินตบบ่าให้กำลังใจ
“ถึงลู่หานจะเป็นแบบนี้ ดูเป็นคนไม่แคร์ใครแต่จริงๆเขาอ่อนโยนนะ หวงเนื้อหวงตัว ภายนอกอาจจะดูแรงไปบ้างแต่จริงๆเขาเป็นเด็กมีวินัยในตัวเองสูงเลยทีเดียว”
เอ่ยถึงน้องชายทีไรรอยยิ้มพลันเผยให้เห็นบนใบหน้าหวาน คนที่เป็นเหมือนน้ำล่อเลี้ยงใจให้อี้ชิงมีกำลังใจยามที่ได้พูดคุย
คนหน้าหวานพาสามสหายขึ้นมายังชั้นบนของบ้าน สัดส่วนของห้องนอนแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ห้องของลู่หานและห้องอี้ชิงอยู่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนตรงข้ามเป็นห้องของพ่อแม่และห้องว่างที่เหลืออยู่ติดกัน
“ห้องนี้คงเป็นห้องของลู่หานสินะ” จงอินพึมพำทั้งรอยยิ้มบาง มองบานประตูไม้สีขาวที่ประดับไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นชื่อของคนน่ารักก็รู้ได้แน่ชัด ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าห้องฝั่งตรงข้ามที่อี้ชิงเปิดให้
“ถ้างั้นพวกนายแบ่งกันเองนะว่าใครจะนอนห้องไหน มีห้องนี้กับห้องของฉัน”
“ถ้างั้นฉันไปนอนกับอี้ชิงนะ จงอินกับซิ่วหมินชอบคุยกันทั้งคืนฉันนอนไม่หลับหรอก” เซฮุนโพล่งบอกทันทีก็รีบเดินเข้าห้องของอี้ชิงที่เยื้องอยู่อีกฝั่ง ทำเอาทุกคนต้องอมยิ้มพลันส่ายหน้าให้นึกขัน
“จัดของเสร็จแล้วก็ลงไปข้างล่างนะซิ่วหมินจงอิน จะได้ทานข้าวพร้อมกัน” เสียงหวานเอ่ยบอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไปยามเห็นเพื่อนทั้งสองพยักหน้าตอบรับ
จงอินและซิ่วหมินจัดสัมภาระที่ขนมาให้เข้าที่เป็นระเบียบทั้งแบ่งฝั่งกันอย่างชัดเจน เสร็จสับจึงล้มตัวลงนอนบนตียงนุ่ม พูดคุยสัพเพเหระตามประสาคนชอบแลกเปลี่ยนความคิด วกไปวนมาจนในที่สุดก็เข้าเรื่องของใครบางคนจนได้
“ฉันไม่อยากจะคิดเลยถ้าอี้ชิงรู้ว่าลู่หานเกือบโดนทำไม่ดีไม่ร้ายจะเป็นยังไง?” ซิ่วหมินเริ่มเข้าเรื่อง หันใบหน้าไปมองเพื่อนผิวเข้มที่นอนเอามือก่ายหน้าผากเหม่อลอยไปไหนต่อไหนเพื่อขอความเห็น
“ก็อย่าให้รู้สิ อี้ชิงรักน้องจะตาย ถ้ารู้เรื่องนี้มีหวังเป็นกังวลหวงน้องกว่าเมื่อก่อนแน่ๆ จะว่าไปช่วงนี้เวลาฉันไปนั่งที่ร้านเหล้าก็ไม่เจอลู่หานแล้วนะ คงจะเข็ดแล้วล่ะมั้ง”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอี้ชิงถึงหวงน้อง ลู่หานโคตรน่ารักอ่ะ ถึงจะไร้ชีวิตชีวาไปนิดแต่ก็เป็นเอกลักษณ์ดี”
ได้ยินคำพูดของซิ่วหมินทำเอาจงอินเผลอยิ้มอย่างลืมตัว เห็นด้วยกับคำพูดของอีกคน ถึงจะไร้ชีวิตชีวาทว่านั่นแหละคือเสน่ห์ของลู่หานที่ดึงดูดเขาในทันทีที่ได้พบเจอ
“อืม จริง!...โคตรน่ารักเลย”
“ห๊ะ? นายว่าอะไรนะจงอิน”
เห็นอีกคนเพ้อละเมอพูดจาแปลกๆซิ่วหมินอดไม่ได้จะหรี่ตามองจับผิด และนั่นจงอินที่เห็นว่าเพื่อนเริ่มสงสัย ใบหน้าคมที่เผยยิ้มในตอนแรกก็กลับมาตีนิ่งทำเป็นไม่สนใจ
“เปล่า! ไม่มีอะไรหรอกน่า”
ปฏิเสธทันควันกลัวคนด้านข้างรับรู้เสียงของหัวใจ จงอินตกหลุมรักลู่หานในระยะเวลาอันสั้นเพียงนิด ถึงจะเร็วเกินไปแต่เขาก็มั่นใจมากพอว่าอีกคนจะทำให้เขาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ไม่ไปไหน
“ถ้างั้นเราลงไปทานข้าวกันเถอะ อี้ชิงกับเซฮุนคงทำกับข้าวเสร็จแล้ว”
“นายลงไปก่อนเลยซิ่วหมิน เดี๋ยวฉันตามลงไป”
“เอางั้นก็ได้ รีบๆหน่อยนะ”
ใบหน้าคมพยักให้เพื่อนเป็นคำตอบ ซิ่งหมินเดินจากไปแล้วจงอินพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยท่ามกลางความเงียบให้ห้องสีขาวสบายตา ไม่ว่าจะทำอะไรแม้กระทั่งหลับตาภาพของคนน่ารักก็เอาแต่วนเวียนให้หัวใจทำงานหนักอยู่เสมอ ให้จงอินได้คิดถึง แม้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมในบ้านหลังนี้ เขาห้ามตัวเองไม่ให้รักลู่หานไม่ได้ แล้วจะผิดไหมถ้าอี้ชิงหวงน้องไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ แต่จงอินอยากลองทำตามหัวใจสวนทางความเป็นห่วงของเพื่อนแล้วเดินหน้าไม่ยอมแพ้
ไม่รอช้ากายสูงพลันเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน สาวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่หน้าประตูของห้องฝั่งตรงข้าม ไม่ลังเลชะล่าใจรู้ตัวอีกทีก็เคาะแผ่นไม้บานหนาตรงหน้าไปเสียแล้ว รอคนในห้องมาเปิดให้ด้วยหัวใจที่กระสับกระส่าย
เสียงลูกบิดมาพร้อมบานไม้สีขาวที่เปิดผ่างออกทำให้จงอินแทบจะล้มได้ทั้งยืน เมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกคนที่ดูจะตกใจไม่แพ้กันเปิดประตูให้เขาอย่างไม่ลังเลเพราะนึกว่าเป็นพี่ชายของตน เห็นแล้วก็เอ็นดูอยากถลาเข้ากอดมันเสียเดี๋ยวนี้
แต่แล้วใบหน้าน่ารักนั้นกลับตีนิ่งอีกครั้งพลันทำท่าจะปิดประตูใส่เขาไม่สนใจ ดูก็รู้ว่าอีกคนไม่อยากพบเจอ ทั้งไม่คิดจะเสวนาอีกต่างหากมันน่าตีนัก
“ลู่หานฟังพี่ก่อน!”
มือหนารีบส่งไปดันประตูก่อนเจ้าของห้องจะปิดมัน อาศัยแรงที่เยอะกว่าผลักบานไม้แผ่นหนาแล้วแทรกตัวผ่านช่องว่างของประตูเข้าห้องของอีกคนไปอย่างรวดเร็ว
“พี่ไม่เคยมีมารยาทเลยสักครั้ง ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้”
กายเล็กถอยหลังเว้นระยะห่างไว้พอตัวยามอีกคนย่างสามขุมเข้าหา ไม่วายคนผิวเข้มยังไม่สะทกสะท้านลอยหน้าลอยตากวนประสาทให้ลู่หานของขึ้น
“เป็นน้องอี้ชิงทำไมไม่เหมือนกันเลยสักนิด”
สายตาคมจ้องมองสำรวจร่างกายน่าทะนุถนอม ทำให้ลู่หานไม่พอใจทั้งยังนึกโกรธอีกคนที่ไม่สุภาพ
“ผมก็เป็นของผมแบบนี้ ไม่ได้อยากเหมือนใคร”
ต่อล้อต่อเถียงไปใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้น อีกคนยังไม่ลดละที่จะสาวเท้าเข้าหา ลู่หานก็ทำได้เพียงแค่ถอยกรูดไม่เลิกลา ตันทางหลังบางจึงแนบชิดพนังไร้ทางหนีทีรอด หวาดระแวงทั้งยังไม่พอใจอย่างถึงที่สุดเมื่ออีกคนทำหูทวนลมไม่ใส่ใจ ฟังเขาบ้างก็คงจะดี
จงอินเดินเข้าประชิดร่างเล็กของคนน่ารัก สอดมือซ้อนที่แผ่นหลังแล้วรั้งให้เข้าหาอ้อมกอดแกร่งอบอุ่น ทำเอาลู่หานดิ้นขลุกขลักต่อต้านส่งสายตาคาดโทษ แต่คนอย่างจงอินหรือจะสำนึกเป็น ยิ้มได้แม้กระทั่งรู้ว่าอีกคนกำลังโกรธเขามากก็ตาม
“ตอนที่เจอกันในที่สลัวว่าน่ารักแล้ว เห็นระยะประชิดแบบนี้น่ารักมากจริงๆ”
ปากหวานพูดไปส่งสายตาจ้องเสียทะลุทะลวง ทุกอย่างที่ฝังอยู่ในอกซ้ายมันเผยออกมาให้เห็นหมดผ่านดวงตาที่สื่อจนชัดเจนของจงอิน
“พี่พูดอะไร? ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!” ลู่หานกลอกม่านตาเอือมระอาใช่ว่าจะหวั่นไหวง่ายๆ ไม่ชอบให้ใครล่วงเกินอีกคนคงยังไม่รู้ คนพักนี้ลู่หานเกลียดที่สุด
“พี่ก็พูดอย่างที่นายได้ยินนั่นแหละ”
“หึ! พี่เป็นเพื่อนกับอี้ชิง รายนั้นไม่เคยบอกหรือว่าผมไม่ชอบให้ใครแตะเนื้อต้องตัว”
เรียวปากสวยแสยะยิ้ม ถึงนัยน์ตากลมจะเย็นชาแต่ทว่าจงอินก็เห็นแววระริกไหวที่อยู่ข้างในมันเผยจนจับสังเกตได้ไม่ยาก
“ถึงอี้ชิงจะบอก...พี่ก็ไม่ฟัง”
พูดเสร็จสองแขนแกร่งพลันกระชับอ้อมกอดคนตัวเล็กให้แน่นขึ้น เบียดร่างเข้าหาทำให้จมูกรั้นของอีกคนกดลงบนแผงอกเขาเพราะความใกล้ชิด
เพียงไม่นานลู่หานก็เงยหน้าขึ้นช้อนตามองจงอินนิ่ง ทำเอาร่างสูงเสมือนว่าโดนควบคุมให้ไร้การยับยั้งชั่งใจจนหัวสมองขาวโพลนไปหมด
ความเงียบเข้าปกคลุมเมื่อลู่หานไม่ตอบโต้และจงอินเองก็จริงจังไร้แววทะเล้นเฉกเช่นในตอนแรก เห็นจะได้ยินคงเป็นเสียงลมหายใจเข้าออกของกันและกันให้ได้รับรู้ ร่างกายบแนบชิดแบ่งปันความอบอุ่น สองสายตาประสานมั่นสะกดคนตรงข้ามให้ร่างกายไร้การเคลื่อนไหว
จงอินพยายามแล้วที่จะไม่เผลอเลอปล่อยใจตัวเองให้ทำในสิ่งที่อีกคนไม่ชอบ
ส่วนลู่หานไม่ชอบหากแต่ปล่อยใจไปแล้วกู่ไม่กลับ
รู้ตัวอีกทีความร้อนผะแผ่วที่ริมฝีปากทำให้หัวใจอบอุ่นไม่รู้สึกเหงา ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านจึงเลยตามเลยปล่อยหัวใจตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงจะรู้ตัวแต่เพราะเป็นรุ่นพี่คนนี้ลู่หานจึงไม่ขัดขืน ใช่ว่าใจง่ายแต่พยายามห้ามตัวเองแล้วสุดท้ายกลับสวนทางการควบคุม
ใบหน้าคมเอียงเล็กน้อยรับสัมผัสยามดูดเม้มกลีบปากหอมหวานราวน้ำตาลค้างแรม ยกมือขึ้นประคองใบหน้าน่ารักในขณะที่อีกมือโอบรอบเอวบางไม่คลายให้ห่างกัน ส่งลิ้นร้อนควานหาความต้องการในโพลงปาก เก็บเกี่ยวทุกอณูพลันหัวใจก็โผลบินยามรู้ความไม่ประสาของอีกคนอาจจะเป็นจูบแรกให้คนอย่างจงอิน น่ารักครบสูตรนั่นคือดึงดูดได้เป็นอย่างดี
“พี่รู้สึกดีกับนายจริงๆนะลู่หานไม่ได้โกหก ใช่ว่าอยากได้กายแต่หัวใจนายต่างหากที่พี่ต้องการ"
ผละออกให้อีกคนได้หายใจเข้าปอดพลางเอ่ยกระซิบข้างริมฝีปากแดง สีเคลือบใสวาวระยับที่เพิ่งผ่านการจูบมาเมื่อครู่ทำให้จงอินต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอห้ามตัวเองไม่ให้ช่วงชิงมันอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าคนน่ารักในอ้อมกอดก้มหน้าลงแล้วค่อยๆดันหน้าท้องของเขาให้ออกห่าง เห็นพฤติกรรมไม่สนใจจากอีกคนนั่นคือจงอินต้องยอมคลายอ้อมกอดด้วยหัวใจอันเจ็บปวด
แต่แล้วทำไม...
ทำไมพอได้เห็นใบหน้าน่ารักนั้นแดงระเรื่อเจือสี จงอินกลับเผยยิ้มได้อีกครั้งคล้ายพระเจ้ากำลังเห็นใจให้คนอย่างเขามีกำลังใจขึ้นมาโดยฉับพลัน
“พี่ออกไปได้แล้ว”
คนน่ารักเอ่ยพูดไม่มองสบใบหน้าหล่อแม้แต่หางตา หย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้นวมแล้วเล่นเกมส์หน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ออกไปแน่ แต่นายต้องลงไปทานข้าวด้วยกัน”
“ผมไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องทาน ดูก็รู้ว่าเพิ่งตื่นคงยังไม่ได้ทานอะไร”
“คนไม่หิวแล้วจะทานไปเพื่อ? ชีวิตผม ผมดูแลตัวเองได้ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเป็นเดือดเป็นร้อนแทน”
ยังคงเส้นคงวาของความเฉยชาที่แสดงออกคล้ายจะเป็นปกติของลู่หาน จงอินทำได้แค่ยืนมองการกระทำของอีกคนพลางอมยิ้มอยู่กับตัวเอง
“คนอื่นที่หมายถึงคือพี่ใช่หรือเปล่า? ถ้าจะบอกว่าคนอื่นคนนี้อยากดูแลชีวิตนายจะยอมให้กันไหมอยากรู้”
มือเล็กที่กุมเมาส์เลื่อนเข้าโปรแกรมนู้นโปรแกรมนี้อยู่ดีๆถึงกับชะงักงันหยุดมันเหมือนโดนสะกด คำพูดคำจาชวนวูบไหวทำให้หัวใจก่อเกิดความสุขบางอย่างให้โหมขึ้น คำพูดบางคำถ้าเป็นคนอื่นเอ่ยวาจาคงไม่รู้สึก แต่ที่ไม่เข้าใจคือลู่หานรู้สึกดียามรุ่นพี่ผิวเข้มเอ่ยมันเข้าสู่โสตประสาทให้ชาวาบไปทั่วร่าง
ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนน่ากลัว
“คนอย่างผมมันน่าเบื่อเป็นใครก็รับไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าพูดลอยๆแล้วเลิกกวนประสาทผมได้แล้ว”
“ใครกวนประสาทกัน? ถ้ารู้ว่าหัวใจพี่เต้นแรงแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้นายจะไม่พูดออกมาแบบนี้เลย”
“ผมเกลียดความเจ็บปวดและไม่อยากพบเจอ เบื่อการผูกมัดเบื่อเรื่องวุ่นวายทะเลาะวิวาท ถ้ารับไม่ได้แล้วคิดจะเล่นๆก็ไปซะ!”
จงอินยกยิ้มอีกครั้งยามคำพูดของอีกคนคล้ายให้ความหวัง ลู่หานให้โอกาสหรือเปล่าไม่แน่ใจหากทว่ากำลังใจในตอนนี้มาเต็มเปี่ยมจงอินจะไม่ขอถอย
“จะให้แหวกอกให้ดูเลยหรือเปล่าว่าทั้งสี่ห้องของหัวใจมันมีให้แต่คนที่ชื่อลู่หาน รักแรก คนแรก และคนเดียว”
สิ้นเสียงทุ้มลู่หานพลันยกยิ้มมุมปากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ครุ่นคิด น้ำเน่าที่สุดคงรุ่นพี่คนนี้ที่ทำให้นึกขัน แต่นั่นมันจะขำออกหรือถ้าใบหน้าคมของอีกคนแสดงชัดเจนว่าจริงจังเสียลู่หานนึกหวั่นใจ
“ไร้สาระ!”
แสนใจร้ายเปล่งคำพูดทำเอาจงอินหน้าถอดสี ลู่หานไม่สนใจเหลียวมองเอาแต่จดจ้องอยู่กับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ทิ้งให้รุ่นพี่ผิวเข้มร้อนรุ่มใจทุรนทุราย
Rrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงขัดจังหวะดังขึ้นให้จงอินต้องล้วงมือควานหาแหล่งกำเนิดในกระเป๋ากางเกง ดึงเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาก่อนจะกรอกเสียงส่งไปยังปลายทางที่โทรหาให้ความโรแมนติกสะดุดเข้ากลางคัน
“เดี๋ยวฉันลงไปนะซิ่วหมิน แปปเดียว”
บอกเพื่อนรักไปแค่นั้นนัยน์ตาคมพลันรีบรุดกลับมาจดจ้องอยู่กับคนน่ารักเหมือนเดิม เห็นลู่หานทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาคล้ายว่าหัวใจมันห่อเหี่ยวลง อย่างน้อยลู่หานควรเอ่ยอะไรที่ทำให้เขารู้สึกดีบ้าง
“จะไปทานข้าวหรือเปล่า? เราอ่ะผอมเกินไปแล้วนะ”
เพราะอยากคุยจึงเริ่มบทสนทนาอีกระลอก จงอินเป็นห่วงเป็นใยถึงไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ
ทว่า...
“นี่พี่อยู่กับอี้ชิงมากไปป่ะ? นิสัยชอบวุ่นวายนี่เหมือนกันเด๊ะ!”
รอยยิ้มมุมปากบ่งบอกไม่ได้เลยว่าลู่หานคิดอะไรอยู่ แต่จงอินคิดไปแล้วว่าอีกคนกำลังเย้ยหยันเต็มแรง
“จริงๆก็ไม่ได้เหมือนอี้ชิงหรอก แต่ที่เหมือนอยู่อย่างนึงก็คือ...รักนาย”
รอยยิ้มเย้ยเมื่อครู่พลันหายวับไปกับตา จงอินเห็นได้ว่าอีกคนนั้นถึงกับชะงักเหมือนตอนที่เขาสารภาพความในใจไปตอนแรกไม่มีผิดเพี้ยน อยากจะรู้เหมือนกันว่าลู่หานจะเฉยชาได้สักกี่น้ำ คนเราเจอแบบนี้บ่อยๆไม่หวั่นไหวคงไม่ใช่คน ถึงจะยากถ้าจะใช้ไม้นี้กับคนที่ไม่เผยความรู้สึก แต่ก็ไม่เคยมีใครไม่ปล่อยใจให้คนอย่างจงอินเช่นเดียวกัน
“หึ! คำพูดแบบนี้เซิร์ทกูเกิลมาเรอะ? ฟังดูดีนะ แต่ผมจะอ้วก!”
“ลู่หาน....”
“หื้ม?”
จงอินกล้าพูดเลยว่าลู่หานไม่ง่าย เพราะไม่ง่ายมันเลยท้าทายเขาจึงชอบอย่างไม่มีข้อแม้
“อื้อ....”
ในเมื่อลู่หานดื้อ คนดื้อต้องใช้ไม้แข็งถึงจะเอาอยู่
ครั้งที่สองของริมฝีปากสวยที่โดนครอบครองให้ร่างกายอ่อนยวบ ลู่หานเผลอแปปจงอินก็กอบโกยเข้าเต็มอกเต็มใจไปเสียแล้ว นัยน์ตาหวานเบิกโพลงเมื่อไอ้รุ่นพี่ผิวเข้มนี่มันหน้าด้านไม่มีมารยาทเหมือนอย่างเคย ทำอะไรไม่ได้นอกจากครางอื้ออึงในลำคอต่อต้าน แขนแกร่งที่โอบรัดรอบคอทั้งคางมนที่โดนบังคับให้เข้าหาประกบจูบลู่หานไร้เรี่ยวแรงคล้ายว่าจะหมดกำลัง ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้าอยู่ทำให้รู้ได้ว่ามันไม่ใช่ฝัน ใกล้กันให้หัวใจสั่นไหว ลู่หานไม่อยากยอมรับว่าเขารู้สึกแบบนี้กับรุ่นพี่ผิวเข้มที่กำลังมอบจูบเร่าร้อนมาให้
ใจเต้นแรง
ร่างกายรุ่มร้อน
พร้อมยอมให้ทุกอย่าง
ลู่หานไม่เคยเป็นกับใครตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก
“น่ารัก....” ผละริมฝีปากออกจงอินก็เอาแต่พูดจากระตุ้นหัวใจของอีกคน
“แล้วก็หน้าแดงด้วย” เอ่ยต่อไม่พอยังฉวยโอกาสกดปลายจมูกฝังลงที่แก้มนิ่มสูดดมความหอมประจำตัวของคนน่ารักเข้าปอดอย่างพอใจ
“ไอ้พี่บ้า! ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้นะ อื้อ...”
หมดความอดทนลู่หานพลันตะโกนไล่รุ่นพี่หน้าคมโหวกเหวกโวยวาย ทว่าริมฝีปากสวยกลับโดนขโมยไปอีกรอบจนมันแดงช้ำเพราะฝีมืออันช่ำชอง
“เบาๆนะครับ อี้ชิงได้ยินเดี๋ยวรู้หมดว่าพี่กำลังตีท้ายครัวน้องชายเขาอยู่” จูบปิดปากเสร็จเอ่ยพูดกระซิบข้างใบหูให้ลู่หานตัวชาวาบ
“เออ! อยากได้ยินก็ให้ได้ยินไปเลย ก็ให้รู้ไปดิว่าแม้กระทั่งน้องเพื่อนก็ยังไม่เว้นอ่ะ!”
ลู่หานเหวใส่จงอินไม่เลิก คนอย่างเขาไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว อี้ชิงรู้ได้ก็ดีเพราะไอ้รุ่นพี่บ้านี่จะได้ไปไกลๆให้ห่างสายตา
“ลู่หานเบาๆ”
“ไม่!”
“ถ้าไม่! พี่จูบนะ...”
เงียบกริบไร้เสียงเล็ดลอดให้ได้ยิน จงอินถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆเมื่ออีกคนน่ารักมากเสียเหลือเกิน เชื่อแล้วที่อี้ชิงบอกว่าลู่หานถึงจะดูแรงแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น คิดแล้วยอมรับว่าอยากได้มาครอบครอง คล้ายว่าพ่ายแพ้ต่อความน่ารักในตอนแรก พอได้รู้ถึงเนื้อลึกของอีกคนนั่นคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก็ไม่ปราน
อย่างน้อย...คิมจงอินคนนี้ก็ได้เห็นน้องลู่หานหน้าแดงแปร้ดแล้วล่ะนะ
…ERROR…
เพราะฟุ้งซ่านเกินกว่าจะทำใจได้ ลู่หานตัดสินใจออกเที่ยวกลางคืนอีกครั้งหลังจากหยุดมันมาได้ระยะหนึ่ง คนน่ารักออกจากบ้านก่อนมื้อค่ำโดยไม่มีใครรู้แม้กระทั่งพี่ชายต่างมารดาลู่หานก็ไม่คิดจะบอก รับรู้อีกทีคือมีสายเรียกเข้าพร้อมทั้งเสียงหวานๆที่ชอบบ่นเขาอยู่ตลอดจนชินหู แต่นั่นลู่หานใช่ว่าจะเชื่อฟัง เขาเดินเตร่ไปเรื่อย ไม่ว่าจะห้างสรรพสินค้า สวนสาธาระณะหรือแม้กระทั่งสถานีรถไฟใต้ดิน และจุดหมายปลายทางสุดท้ายจึงมาบรรจบที่ร้านเหล้าเจ้าประจำในย่านดังยามราตรีที่มีเพียงแสงไฟสลัวสีส้มอ่อนกับบรรยากาศให้ผ่อนคลายร่างกาย
ลู่หานเหม่อมองไปไกลคล้ายคนไร้ชีวิตชีวา ถึงในตอนนี้จะหวั่นกลัวฝังใจกับเรื่องราวเลวร้ายจากการท่องราตรีที่ได้พบเจอมาไม่นาน ทว่าลู่หานไม่สามารถอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับรุ่นพี่ผิวเข้มที่มักจะหวังกำไรในร่างกายเขาอยู่ตลอดได้
อย่างน้อยเขาคงไม่เจอเรื่องร้ายๆมันทุกครั้งที่ออกเที่ยวกลางคืนหรอกว่าไหม
“ไง! มาคนเดียวเหรอ?”
แต่นั่นคงคิดผิดไป เพราะไม่ทันจะได้ผ่อนคลายสมอง เรื่องที่กำลังนึกกลัวพลันเข้ามาให้ทุกอย่างมันมืดมนต์เพราะคนที่เคยฉุดเขาไปถือวิสาสะนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“นาย...อีกแล้ว?”
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ครั้งก่อนฉันพลาด แต่ครั้งนี้...ฉันไม่พลาดแน่!”
ชายแปลกหน้าที่ลู่หานเคยได้ยินว่าชื่อเทาจากรุ่นพี่ซิ่วหมินจ้องเขานิ่งทำเอาร่างกายแข็งทื่อทั้งลมหายใจขาดห้วง รู้ดีแน่แท้ว่าวันนี้คงไม่รอด เขาอาจไม่โชคดีเหมือนอย่างทุกครั้งเพราะท่าทางไร้แววล้อเล่นของเทานั้นฉายเสียชัดเจน
“ปล่อยกูนะเว้ย! ไอ้เหี้ย!”
ก่นด่าเท่าไรใช่ว่าจะเทาจะสะทกสะท้าน มือหนาฉุดกระฉากลู่หานออกจากร้านเหล้าท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองมาคล้ายเห็นเป็นเรื่องปกติ
ลู่หานพยายามขึงตัวต่อต้านแต่นั่นวันนี้ทั้งวันข้าวสักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้อง ทำเอาคิดถึงคนที่ชวนเมื่อตอนสายในทันที ขัดขืนอะไรไม่ได้ทั้งตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็แล้ว ใครๆก็คิดว่าเป็นคนรักทะเลาะกันจนลู่หานไร้หนทางจะขอความช่วยเหลือ
“ปล่อยกู! แบคฮยอนใช้มึงมาใช่ไหม? ปล่อยกูนะ!”
คนที่ได้ฟังถึงกับหยุดเดินพลันหันมองลู่หานแล้วหรี่ตา เทาตกใจไม่น้อยที่อีกคนรู้ว่าใครที่บงการอยู่เบื้องหลัง แต่นั่นไม่นานรอยยิ้มมุมปากเยือกเย็นพลันแสยะขึ้น รู้แล้วยังไงล่ะเพราะเทาไม่ปฏิเสธว่าถูกใจลู่หานมากพอตัว
“หึ! แบคฮยอนก็เกี่ยวนิดนึง แต่ตอนนี้กูอยากได้มึงซะอย่างยังไงก็ไม่สน”
มือหนาออกแรงกระชากกายเล็กให้เดินตามไปยังลานจอดรถกลางแจ้งที่ฉายเพียงแสงสปอร์ตไลท์ต้นเดียว ดันร่างเล็กให้แนบชิดกับรถสปอร์ตคันหรู เพราะลู่หานดึงดูดเทาเองก็หน้ามืดตามัวหลงเสน่ห์อันเฉยชาเข้าเต็มเปา ก้มใบหน้าฝังปลายจมูกลงกับซอกคอขาวทันทีอย่างถือวิสาสะ ถึงอีกคนจะดิ้นต่อต้านทั้งทุบทั้งตีเทาเองใช่ว่าจะสนใจ ลู่หานก็ได้แค่นี้สู้อะไรเขาไม่ได้สักอย่าง
“………”
“ไอ้เหี้ย! ออกไปนะเว้ย อย่ามายุ่งกับกู อ๊ะ!”
ลู่หานพยายามผลักอกแกร่งออกไป หากแต่แรงกระแทกตรงหน้าท้องทำให้เขาจุกจนพูดไม่ออก นัยน์ตาสวยคลอหยาดน้ำหมดเรี่ยวแรง ภาพในคืนนั้นกำลังฉายซ้ำความหวาดหวั่นให้โหมเข้าใส่
จงอินไปอยู่ไหนทำไมไม่มาช่วยเขา คนๆเดียวในตอนนี้ที่ลู่หานนึกถึง
มือหนาเริ่มสอดเข้าในสาบเสื้อตัวบางของลู่หาน เสื้อฮู้ดที่สวมใส่กำลังร่นขึ้นจนเผยให้เห็นหน้าอกขาวต้องแสงในลานจอดรถที่ไร้ผู้คน ไม่รอช้าให้เทาก้มลงสานต่อดูดดุนทิ้งรอยไว้ให้คนที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะต่อสู้ในตอนนี้
สัมผัสที่น่ารังเกียจทำให้ลู่หานปัดป่ายมือไปทั่วคล้ายคนสิ้นสติ เสียงสะอื้นไห้ในลำคอบ่งบอกว่าแสงสว่างที่ริบหรี่กำลังจะดับลง ไม่มีคนผ่านมาทางนี้ สักคนเดียวก็ไม่มี
“ออกไปนะ ไอ้เลว!”
เสียงสั่นเครือพูดทั้งน้ำตา ลู่หานขยะแขยงคนตรงหน้า เทาเป็นใครไม่เคยรู้จักแต่กลับทำกับเขาเพราะแค่คำสั่ง ก่อนจะรู้สึกถึงมือหยาบที่เริ่มปลดตะขอกางเกงของเขาอย่างเนิบนาบ
“……………”
“มึงมันใจหมา ทำได้แม้กระทั่งคนไม่มีทางสู้ ไอ้สกปรก!”
ได้ผลเมื่อเทาหยุดการกระทำแล้วหันมาสนใจที่ใบหน้าน่ารักของลู่หานแทน
“ทำไมพูดไม่เพราะเลยนะ มึงจะขอความช่วยเหลือจากใครได้กูอยากรู้ ไม่มีใครเขาได้ยินหรอก หึ!”
พูดเสร็จมือหยาบจึงจับคางมนให้เผชิญหน้าสบตาก่อนจะบดจูบลงไปที่ริมฝีปากบางอย่างรวดเร็ว รุนแรงไร้ความปราณีเพราะไฟราคะกำลังประทุด้วยความเร่าร้อน คำพูดของลู่หานคล้ายจะจุดเชื้อเพลิงให้เทาได้เป็นอย่างดี ทั้งตอนนี้ความสนใจในตัวลู่หานกำลังเกินครึ่งร้อย น่ารักนั่นว่าจูงใจแล้ว ภายในร่มผ้าอีกคนยังชวนให้อยากได้ขึ้นไปอีก
“ฮื้อ...ไอ้บ้า ปล่อยกูนะเว้ย! ถึงมึงจะทำแบบนี้ ฮึก...แบคฮยอนก็ไม่ได้รักมึงมากขึ้นหรอก มันมีแฟนอยู่แล้วมึงอย่าโง่!”
พูดเสียงอู้อี้ในลำคอ ความกลัวโถมเข้าในความคิด ร่างบางเริ่มสั่นเทาอย่างที่ไม่เคยเป็นและไม่สามารถควบคุมได้ น้ำตาไหลอาบข้างแก้มออกมาเป็นสายธาร พลันมโนภาพในตอนนี้กลับคิดถึงใครบางคนที่เพิ่งสารภาพรักกับเขาเมื่อตอนสาย ไหนว่ารักกันแล้วทำไมถึงปล่อยให้เขาโดนล่วงเกินแบบนี้ถึงไม่มาช่วย
เทาชะงักไปเล็กน้อย ถึงจะได้รับฟังที่อีกคนพร่ำบอก แต่ถ้าในตอนนี้ลู่หานน่าสนใจกว่าแบคฮยอนเยอะ เขาทำตามที่แบคฮยอนสั่งก็จริง แต่เพราะลู่หานเองที่ทำให้เทากำลังถลำลึกเกินกว่าจะห้ามใจ
มือหยาบเริ่มลุกล้ำเข้าไปในกางเกงยีนส์สีดำขลับหวังสร้างอารมณ์ต่อให้หายอึดอัด ลู่หานขัดขืนเต็มที่แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็สู้แรงของคนใจบาปไม่ได้อยู่ดี การกระทำที่หน้ารังเกียจส่งผลให้ความหวังดับลงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาซ้ำเติมความกลัวให้ลุกโชน
ลู่หานได้แต่ภาวนา...ขอแค่ใครสักคน และสักครั้งให้เขายังบริสุทธิ์ไร้มลทิน แล้วลู่หานคนนี้สัญญาจะไม่เที่ยวกลางคืนอีกเลย...
ผลั่ว!
“ไอ้เลว!”
เสียงปล่อยหมัดใส่ใบหน้าคมของคนที่ล่วงเกินเพราะความโมโห ทำให้ลู่หานมีสติกลับมาอีกครั้งทั้งความหวังที่พุ่งขึ้นเห็นแสงสว่าง ก่อนจะได้ยินเสียงหมัดที่สองและสามตามมาไม่หยุดหย่อน
ร่างกายเล็กทรุดฮวบนั่งลงกับพื้นหยาบหมดแรงสมเพชตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายโล่งอกโล่งใจที่ร่างกายเขาไม่ได้โดนกระทำเสียให้ความสกปรกติดตัวไปจนวันตาย สะอื้นไห้ตัวโยนคล้ายจะขาดใจ วาดแขนกอดร่างตัวเองสั่นระริกเพราะครั้งนี้มันร้ายแรงเสียให้จดจำไม่มีวันลืม
“เป็นอะไรหรือเปล่าลู่หาน?”
คนที่เข้ามาช่วยเอ่ยถามร้อนรนหน้าตาตื่น ลู่หานรีบเงยหน้ามองคนใจดีที่เป็นแสงสว่างให้กับเขา ก่อนจะร้องไห้โฮไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น
“พี่คริส! ฮือ...”
“เป็นยังไงบ้าง? มันทำอะไรนาย”
คริสเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล ลู่หานเหมือนจะหวาดกลัวคล้ายตอนที่อี้ชิงโดนเขากระทำไม่มีผิดเพี้ยน เห็นแล้วไม่อยากจะให้อภัยไอ้เลวคนที่ทำหยาบโลนกับลู่หานเลยสักนิด
“มึงเป็นใคร เข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นทำไม?” เทาไม่ลดละ ถึงจะโดนหมัดหนักๆกระแทกเข้าใบหน้าไปหลายครั้งไม่วายยังปากดีท้าทายไม่เลิก
“กูต้องถามมึงมากกว่า มึงทำอะไรน้องชายกู!?” คริสตวาดกลับด้วยความโมโห ภาพของอี้ชิงกำลังซ้อนทับอาการหวาดกลัวของลู่หานให้โทสะเกิดขึ้นฉับพลัน
“หึ! กูก็นึกว่ามึงเป็นผัวในสต๊อกมันอีกคนซะอีก ข่าวว่าร่านสงสัยจะจริง”
ถึงกับทนไม่ไหว ด้วยความใจร้อนที่ว่ามักจะควบคุมไม่ได้อยู่แล้ว คริสรุดเข้าหาเทาไม่รอช้า คว้าคอเสื้อไว้แน่นพลันปล่อยกำปั้นอันหนักหน่วงส่งไปให้เป็นรางวัลโทษฐานปากดี โยนอีกคนลงไปกองกับพื้นก่อนจะเตะเข้าที่หน้าท้องไม่ยั้งแรงจนกระอักเป็นเลือด
“พี่คริสพอแล้ว!”
ลู่หานยกมือขึ้นห้ามทั้งที่ไม่มีแรง ไม่ปฏิเสธว่าโกรธเทาจนอยากจะฆ่า แต่นั่นไม่อยากให้คริสทำอะไรไปมากกว่านี้เพราะดีไม่ดีอีกคนจะตายเอาแล้วความผิดจะติดตัว
“มึง! ห้ามมายุ่งกับน้องกูอีก ไม่งั้นกูเอามึงถึงตายแน่!” ชี้หน้าจ้องมองเทาคาดโทษ คริสพยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง ไม่อย่างนั้นมีหวังเทาได้ตายคาเท้าเขาอย่างแน่นอน
คริสรีบหันกลับมาสนใจลู่หานอีกครั้ง วันนี้เขารู้สึกไม่สบายใจเลยขอท่องราตรีปล่อยอารมณ์ว้าวุ่นใจให้หายไปกับน้ำเมา คริสนั่งดื่มอยู่ที่ร้านฟาร์โรห์ข้างร้านของลู่หาน แต่นั่นอยู่ๆกลับเห็นเด็กละม้ายคุ้นตาโดนฉุดกระฉากลากออกไปคล้ายไม่เต็มใจ ความคิดแรกคือไม่อยากยุ่งทว่าลางสังหรณ์บางอย่างมันทำให้เขาเป็นกังวลไม่สามารถนั่งนิ่งดูดายได้เฉยๆ จึงเดินตามมาดูให้แน่ใจว่าเด็กที่เห็นนั่นใช่คนที่รู้จักจริง แล้วก็ไม่ผิดเลยสักนิดเพราะภาพที่คริสเห็นคือลู่หานกำลังถูกล่วงเกิน
“ลู่หาน! ทำไมมาคนเดียว ไม่มีเพื่อนมาด้วยหรือยังไง?”
เอ่ยถามพลางลูบตัวทุยของคนเป็นน้อง ลู่หานโผลเข้ากอดคริสไว้แน่นเพราะความกลัว ซุกหน้าลงกับอกแกร่งร้องไห้โฮคลายความกังวลเมื่อครู่ให้หมดไป โล่งใจยามคริสมาช่วยทัน ถึงจะหวังให้ใครบางคนมาที่นี่แต่ลู่หานในตอนนี้อยากขอบคุณคริสที่สุด
“ขอบคุณนะครับพี่คริส ฮึก... ผม.... ผม...”
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะลู่หาน พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”
มือหนาเลื่อนลงลูบหลังปลอบประโลมให้รุ่นน้องรู้สึกดีขึ้น เข้าใจว่าไม่ง่ายถ้าความกลัวจะหายไปในทันที แต่เพราะไม่เคยเห็นลู่หานเป็นแบบนี้ ความแกร่งกล้าขาแข็งที่คริสเคยเห็นในวันวานมันหายไปหมดไร้ภาพเดิมให้เป็นห่วงเป็นใย
“ลู่หาน...”
เสียงเรียกจากอีกทางทำให้เจ้าของชื่อต้องเงยหน้าหาที่มา ภาพที่เห็นคือใครบางคนแสนคุ้นตาทอดมองเขาด้วยแววตาผิดหวัง ลู่หานกำลังนั่งกอดกับคริสข้างรถสปอร์ตคันหรูในมุมไร้ผู้คน และแน่นอนว่าคนน่ารักเองรู้ดีว่ารุ่นพี่ผิวเข้มต้องเข้าใจผิด แต่ถ้าอีกคนไม่โง่จนเกินไปจะเห็นว่ายังมีบุคคลที่สามมันนอนหมดสภาพหน้าบวมช้ำอยู่ไม่ห่าง
“พี่....”
“หึ! หนีมาทำเรื่องแบบนี้เองเหรอ? จริงๆก็ไม่สะอาดอย่างที่หวงเนื้อหวงตัวสินะ ผิดหวังจังที่แท้ก็เสแสร้งแกล้งทำ”
จงอินเอ่ยพูดทั้งยิ้มเย้ยหยันมองภาพรุ่นพี่อดีตเดือนมหาลัยกับน้องชายเพื่อนโอบกอดกันตัวกลม เจ็บแปลบที่หัวใจคล้ายมีดปลายแหลมกรีดแทงฝังลึก อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวจะเป็นอันตราย ที่ไหนได้กลับมาพรอดรักกันกลางลานจอดรถไม่อายฟ้าดิน
“อย่าครับพี่คริส!”
ลู่หานรีบเอ่ยห้ามเมื่อคริสทำท่าจะลุกขึ้นไปสั่งสอนจงอินด้วยอีกคน ส่งสายตาเว้าวอนว่าคนนี้ขอเถอะอย่าได้ให้เลือดตกยางออก ถึงจะไม่พอใจกับคำพูดดูถูกดูแคลน แต่ลู่หานเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ ให้อีกคนเข้าใจเขาผิดๆนั่นคือสิ่งที่เขาเลือกเอง
“ทำตัวแบบนี้อี้ชิงรู้จะเป็นยังไง? นายอายุเท่าไรกันลู่หานถึงกระทั่งลานจอดรถก็ไม่เว้น!”
“แล้วไง? รู้แบบนี้แล้วยังรักผมลงอีกไหมล่ะ ผมเป็นของผมแบบนี้มานานแล้วพี่ไม่รู้เหรอ? ผมไม่เคยบอกว่าผมสะอาดหนิก็เข้าใจไปเองทั้งนั้น เลือกที่จะเข้ามายุ่งกับผม อยากรักคนมีมลทินมันก็ต้องผิดหวังแบบนี้แหละ รู้ความจริงแล้วก็เลิกยุ่งกับผมสิ เลิกเลย! เพราะผมไม่เคยรู้สึกอะไรกับพี่เลยสักนิด”
จบท้ายให้น้ำตาล่วงแหมะกลิ้งลงตามพวงแก้ม ลู่หานยกมือขึ้นปาดมันครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยมีคริสคอยพยุงไม่ห่างกาย เสื้อผ้าหลุดลุ่ยทำให้จงอินมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลางกำมือแน่นเจ็บช้ำในอกแล้วรีบเสมองไปทางอื่น ค่อยๆหันหลังเดินจากไปเพราะสุดท้ายความเป็นห่วงเป็นใยที่เขามีลู่หานก็ไม่เคยเหลียวแล
“เฮือก! พ...พี่คริส พี่คริสระวัง!”
ลู่หานร้องตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นว่าอยู่ๆคนที่นอนแน่นิ่งกับพื้นในตอนแรกลุกขึ้นยืนพร้อมมีดเล่มบางที่ถืออยู่ในมือ คริสรีบหันควับไปมองทันทีหากแต่ไม่ทันจะได้ขยับกายเคลื่อนไหวของมีคมกลับฝังลงยังข้างเอวใต้ซี่โครงของเขาไปเสียแล้ว
ทิ้งการแก้แค้นไว้แค่นั้นเทารีบรุดพาร่างสะบักสะบอมของตัวเองหนีหายไปพร้อมทิ้งรถคันหรูไว้ไม่เหลียวแล ปล่อยให้คนถูกทำร้ายทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นพร้อมเลือดสีแดงฉานที่ไหลเป็นลิ่มออกมาอย่างน่ากลัว
“พี่คริส!”
ลู่หานถลาเข้าหารุ่นพี่ทันทีทั้งน้ำตามากมายที่หลั่งไหลไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกผิดประดังโหมใส่เพียงเพราะเขาคนเดียวเรื่องถึงได้เลวร้ายได้ขนาดนี้
จงอินที่ได้ยินเสียงแผดร้องของคนน่ารักพลันเหลียวกายกลับมามองด้วยความตื่นตระหนก สุดท้ายใจก็ไปก่อนตัวเมื่อเท้าทั้งสองข้างหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของลู่หานแล้วมองคริสที่เลือดเต็มเสื้อไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน
“พี่! พี่จงอิน ฮึก...โทรบอกอี้ชิงให้มารับพี่คริสหน่อย เร็วๆ”
จงอินลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกคว้าโทรศัพท์กดหาเพื่อนหน้าหวานอย่างไม่เข้าใจ ตกลงรุ่นพี่คริสเป็นอะไรกับลู่หาน แล้วอี้ชิงมีเอี่ยวยังไงนั่นคือสิ่งที่ยังค้างคาใจ
“อี้ชิง! ออกมาลานจอดรถฟาร์โรห์หน่อย ค...คือพี่ที่เป็นเดือนคณะวิศวะเขาโดนแทงอ่ะ.... อย่าเพิ่งถามน่า ลู่หานก็อยู่ที่นี่ด้วย มาเร็วๆนะ”
จงอินกดตัดสายเพื่อนทั้งยังไม่ได้ร่ายรายละเอียดให้ฟัง ด้วยความเป็นห่วงลู่หานใจมันกระสับกระส่ายจนไม่อาจคิดเรื่องอื่น ต่อให้ไอ้รุ่นพี่ตรงหน้ามันจะนอนตายจมกองเลือดจงอินก็ยังไม่ห่วงเท่าลู่หานที่เอาแต่ร่ำไห้เลยสักนิด
“พี่! ผมฝากพี่คริสหน่อยนะ ฮึก...ผมขอไปจัดการเรื่องบางอย่างก่อน”
ยกมือขึ้นปาดน้ำตาลู่หานพลันรีบรุดยืนขึ้นเต็มความสูง สาวเท้าทำท่าจะเดินออกจากลานจอดรถให้จงอินไม่เข้าใจอีกครั้ง
“จะไปไหน? พี่ไปด้วย”
“จะไปบ้านแบคฮยอนพี่ไม่ต้องตามผมมาหรอก! อยู่ดูแลพี่คริสก่อน บอกอี้ชิงให้พาพี่เขาไปโรงพยาบาลด้วยนะอย่าลืม!”
ลู่หานเดินจากไปฝากฝังให้จงอินดูแลรุ่นพี่แทนแกมบังคับ ถึงแม้จะอยากตามอีกคนไปแค่ไหน แต่จงอินก็ทำได้แค่มองตามร่างเล็กที่วิ่งหายไปจากกรอบม่านตาเท่านั้น
“พี่! ยังไหวใช่ไหม?” จงอินเอ่ยถามคริส ถึงอยากจะดูดายหากว่ารุ่นพี่ตรงหน้าเลือดไหลไม่หยุดทำให้เขาต้องรีบห้ามเลือดแก้ขัดรอพยาบาลจำเป็นมาถึงที่นี่
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก นายตามไปดูลู่หานเถอะ” มือหนาออกแรงดึงมีดเล่มเล็กออกจากช่วงเอวแล้วโยนมันทิ้ง จงอินเบือนหน้าหนีไปอีกทางไม่กล้ามองเพราะเจ็บแทน และคริสยังใจแข็งกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ
“ผมตามลู่หานไปแน่ครับ แต่ตอนนี้พี่ไม่ไหวผมจะทิ้งไปได้ยังไง รออี้ชิงมาก่อนนะครับแปปเดียวเท่านั้น”
ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำอี้ชิงก็มาถึงลานจอดรถ คนตัวเล็กวิ่งลงจากแท็กซี่หน้าตาตื่นมาหาจงอินพร้อมทั้งซิ่วหมินและเซฮุนที่อยู่ในชุดนอนหัวยุ่งเหยิง
“จงอิน! เกิดอะไรขึ้น แล้วลู่หานล่ะ? ล...เลือด นายเป็นอะไรเลือดออกเต็มเลย” ร้อนรนถามกระวนกระวายใจเพราะเป็นห่วงน้องชาย นัยน์ตาหวานคลอหน่อยคล้ายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคงไม่ดีแน่
“ลู่หานไปบ้านคนที่ชื่อแบคฮยอนอะไรนั่นน่ะ ส่วนฉันไม่ได้เป็นอะไร คนที่เป็นอยู่นู่น...”
จงอินชี้นิ้วหารุ่นพี่ที่นั่งพิงล้อรถอยู่ด้วยใบหน้าซีดเซียว อี้ชิงหันตามมือพอเห็นคริสก็ถึงกับนิ่งอึ้งปิดปากตัวเองยามเลือดสีสดเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อเชิ้ตสีขาวที่อีกคนสวมใส่ รู้ตัวอีกทีร่างกายเล็กก็ถลาเข้าหาคนเจ็บไปแล้วหยุดตัวเองไม่ได้
“คริส!”
อี้ชิงพยุงคนตัวสูงให้ยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล ลืมเรื่องราวฝังใจที่อีกคนเคยทำให้เจ็บปวดไปเสียหมด จะนิ่งดูดายมองผ่านเฉยๆอี้ชิงทำไม่ได้ ถึงไม่รู้ว่าเรื่องมันเกิดอะไรขึ้นแต่ในตอนนี้ชีวิตคนสำคัญกว่า
“จงอิน! ฉันฝากลู่หานด้วยนะ บ้านแบคฮยอนอยู่ถัดจากซอยนี้ไปสองซอย หลังที่ห้าบ้านสองชั้น”
จงอินพยักหน้าตอบรับแล้วรีบวิ่งไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ห่างไกล ขับออกไปทันทีเพราะในตอนนี้ใจของเขาไปอยู่ที่ลู่หานไม่ได้อยู่กับตัวเลยสักนิด
อี้ชิงและสองสหายช่วยกันพาคริสไปยังโรงพยาบาลในย่านเดียวกันที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าหล่อซีดเซียวทำให้อี้ชิงเป็นกังวลอย่างชัดเจน ส่งอีกคนถึงมือหมอจะว่าโล่งใจก็ใช่ แต่ถ้ายังไม่ปลอดภัยเขาเองก็ไม่ละความกังวลให้ลดลง
มองมือที่เต็มไปด้วยเลือดก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เคยรังเกียจเลยสักนิด ความเป็นห่วงเป็นใยทำให้อี้ชิงสับสนในตัวเอง จะทิ้งคริสในตอนนี้ก็ย่อมทำได้แล้วทำไมยังทิ้งกายนั่งรอคนเจ็บให้ออกมาพบหน้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“ซิ่วหมิน เซฮุน พวกนายกลับไปรอที่บ้านก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันตามกลับไป” บอกเพื่อนไปพลันส่งยิ้มบางให้อย่าเป็นกังวล
“มั่นใจหรืออี้ชิง? ทิ้งให้นายอยู่คนเดียวพวกเราก็เป็นห่วงนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกเซฮุน ตอนนี้ที่บ้านไม่มีคนอยู่เลย รบกวนนายช่วยดูแลหน่อยนะ ต้องขอโทษด้วยที่อยู่ๆก็เกิดเรื่องไม่ดี”
“อย่ากังวลไปเลยอี้ชิง พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ เพื่อนช่วยเพื่อนอย่าได้เกรงใจ ว่าแต่จงอินมันออกไปเที่ยวตอนไหนวะทำไมฉันไม่รู้” ซิ่วหมินเสริมทั้งเกาหัวมึนงง จำได้ครั้งล่าสุดยังเห็นคนผิวเข้มนอนข้างๆกันอยู่เลย
“…………..”
“นายอยู่คนเดียวได้นะอี้ชิง ถ้าโอเคฉันกับเซฮุนจะไปรออยู่ที่บ้าน ตอนออกมาก็ไม่ทันได้ปิดประตู เกิดขโมยขโจรขึ้นจะลำบากเอา”
“ไม่ต้องห่วงฉัน เดี๋ยวรอคริสออกมาฉันจะตามกลับไป”
อี้ชิงเดินมาส่งเพื่อนหน้าโรงพยาบาลท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จ้องมอง คงไม่แปลกเพราะในตอนนี้ชุดนอนแต่ละคนลวดลายดึงดูดโดดเด่นเอามากๆ อี้ชิงยังไม่เท่าไหร่เป็นชุมวอร์มลำลองธรรมดา หากแต่เซฮุนที่ชุดสีชมพูทั้งตัวกับซิ่วหมินสีม่วงลายหมีคงไม่อาจมองข้ามไปได้ ไม่ได้ตั้งใจจะออกมาชุดนี้ทว่ามันสุดวิสัยเลยไม่ทันได้เปลี่ยนเสียก่อน
คนหน้าหวานเดินกลับมานั่งรอคริสที่เดิมหน้าห้องฉุกเฉิน เพียงไม่นานคนป่วยก็ออกมาพร้อมนางพยาบาลที่เข็นรถเข็นมาส่ง คริสก้มหน้านิ่งไม่มองสบอี้ชิงจนคนตัวเล็กนึกแปลกใจกับความเงียบงันที่คั้นกลางความอึดอัด คริสไม่เอ่ยพูดมีหรืออี้ชิงจะพูดก่อน
“คุณพยาบาลครับ เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” เสียงหวานเอ่ยถามอาการจากพยาบาลสาวให้รับรู้
“คุณคริสไม่เป็นอะไรมากค่ะ ดีที่ว่าไม่โดนจุดสำคัญ ยังไงอย่าลืมไปรับยาให้คนเจ็บด้วยนะคะ”
อี้ชิงพยักหน้ารับหงึกหงัก มองพยาบาลหญิงเดินจากไปเพราะทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสับ จึงวกสายตากลับมามองคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นไม่พูดจา
“เอ่อ...เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า?” เห็นอีกคนเงียบอี้ชิงจึงต้องเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน คริสในตอนนี้ดูไม่ค่อยสู้ดี เห็นแล้วความเป็นคนดีมันกำเริบให้เป็นห่วงเป็นใย
“อืม ก็ยังปวดแผลอยู่” คริสตอบแค่นั่นหากยังไม่เงยหน้ามองอี้ชิงสักนิด
คนหน้าหวานผ่อนหายใจ ส่ายหัวไปมาเพราะในตอนนี้ทั้งที่เขาอยากพูดคุยทว่าอีกคนกลับกำลังหลีกเลี่ยง
“อ๊ะ!”
คริสพยายามลุกขึ้นจากรถเข็นเพราะกลัวเป็นภาระให้อีกคนต้องคอยดูแล รู้ดีว่าอี้ชิงยังไม่อยากเจอหน้าถึงต้องการออกห่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จะไปไหน? นั่งลงเลยเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
จิ๊ปากเบาๆมือบางพลางดันไหล่หนาให้อีกคนนั่งลงอย่างระมัดระวัง แผลสดแบบนี้กว่าจะหายคงใช้เวลานาน เคลื่อนไหวบ่อยพาลจะทำให้เลือดไหลออกมาไม่หยุดสักที
“เกรงว่าจะเป็นภาระให้นาย คงไม่ดีถ้านายต้องมาเดือดร้อนเพราะฉันอีก” เสียงทุ้มเอ่ยพูดพลางเสมองไปทางอื่น พูดเองเจ็บเองคริสบอกได้เลยว่าเจ็บกว่าแผลที่เป็นอยู่เยอะ
“อืม ก็จริง….”
ได้ยินอีกคนพูดคริสแทบจะลุกขึ้นเดินหนีไปซะเดี๋ยวนี้ ผิดเสียที่ไหนเพราะยังไงก็ทำให้อี้ชิงรำคาญใจอยู่ดี
“……….”
“จริงอยู่ว่านายเป็นภาระ แต่ฉันยังไม่ได้พูดสักหน่อยนายพูดเองทั้งนั้น ก็เลือดตกยางออกซะขนาดนี้จะให้ฉันดูดายไม่สนใจได้ยังไง ชีวิตคนทั้งคน ฉันใจร้ายไม่ลงหรอกนะ”
ถอนหายใจเฮือกใหญ่อี้ชิงพลันเดินอ้อมไปด้านหลังคนตัวสูง ออกแรงเข็นรถเข็นที่อีกคนนั่งไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลและรับยาของคนเจ็บอย่างใส่ใจ ท่ามกลางกรอบม่านตาของคริสที่มองตามไม่ลดละทั้งรอยยิ้ม
ก็แสนดีแบบนี้ไงที่ใครๆเห็นเป็นอันต้องตกหลุมรัก
“เอ้อ...ยังไม่ได้ถามเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วลู่หานทำไมต้องไปบ้านแบค....ห๊ะ! บ้านแบคฮยอน”
รับยาเสร็จอี้ชิงจึงเดินกลับมาหาคริสทั้งเอ่ยถาม ทว่าพอประมวลความคิดทั้งหมดได้นึกถึงรุ่นน้องอีกคนทำเอาความเป็นห่วงน้องชายโหมขึ้นมาในทันที
“...............”
“ฉันจะไปตามลู่หาน!”
“เดี๋ยวอี้ชิง! ฉันไปด้วย”
คนหน้าหวานถอนหายใจดูสภาพคริสที่ไม่พร้อมจะเดินก็ส่ายหน้า ทว่าก็พยุงร่างสูงให้ลุกขึ้นแล้วประคองไปยังคิวแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลพลันบอกเส้นทางของบ้านแบคฮยอนไม่รีรอ ความกังวลทำให้หลงลืมการถูกเนื้อต้องตัวไปเสียสนิท อี้ชิงกำลังร้อนรนใจหากแต่คริสที่ลอบมองเสี้ยวหน้าหวานอยู่นั้นกลับยกยิ้มออกมาสวนสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง มือเล็กที่โอบรอบเอวช่วยประคองร่างกายเขาอยู่นั้นทำให้หัวใจเต้นโครมครามก่อเกิดความสุขในอก คุ้มการเจ็บยามได้คนหน้าหวานคอยดูแลไม่ห่างกาย
ถึงหน้าบ้านของแบคฮยอน เสียงโวยวายที่ดังเล็ดลอดออกมาทำให้อี้ชิงต้องรีบวิ่งขึ้นไปดูยังชั้นบนในทันที ก่อนจะเป็นคริสที่ตามอีกคนเข้าไปอย่างทุลักทุเลพอตัวเพราะบาดแผลที่กำลังเพิ่มความเจ็บขึ้นเรื่อยๆ
“แบค! มึงบอกกูมาเลยว่ามึงจะเอายังไง ทำแบบนี้มันไม่ต่างจากหมารอบกัดเลยสักนิด” ลู่หานเหวเหลืออดโวยวายไม่สนใจ จงอินเองก็พยายามจะเอ่ยห้ามให้ใจเย็น แต่ถ้าคนน่ารักของขึ้นแล้วจะให้ลงคงไม่ใช่ง่ายๆ
“กูทำอะไร? เห็นมีแต่มึงที่แหกปากเห่าอยู่คนเดียว เสนอหน้ามาด่ากูถึงที่ มึงนั่นแหละจะเอายังไงลู่หาน” แบคฮยอนเผชิญหน้าไม่หลบหนีเช่นกัน นัยน์ตาฉาบไลน์สายเนอร์มองจ้องอดีตเพื่อนด้วยความเครียดแค้น
“มึงมั่นใจว่าที่มึงทำมึงไม่รู้ตัว อยากให้กูบอกผัวมึงด้วยไหมละว่ามึงเอากับใครมาบ้างน่ะแบคฮยอน”
“มึงพูดอะไรลู่! อย่ามาใส่ความกูถ้ามึงไม่มีหลักฐาน”
“แล้วมึงกล้าบอกพี่ชานไหมล่ะว่ามึงไม่ได้มีพี่เขาแค่คนเดียว! ว่าแต่กูร่าน มึงดิร่านถวายร่างกายให้คนอื่นไปทั่ว”
บุคคลที่สามถึงกับมึนงงที่อยู่ๆสองเพื่อนสนิทก็มาก่นด่าสร้างสงครามอยู่ตรงหน้า ชานยอลมองคนทั้งคู่อย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยถามคนรักเพราะในตอนนี้เรื่องราวเริ่มเพิ่มเปลวเพลิงมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่มันอะไรกันแบคฮยอน มึงไม่ได้คบกูคนเดียวเหรอ?”
สายตมคมจ้องมองคนรักทั้งกำมือแน่น เส้นเลือดปุดขึ้นยามกำลังได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่เคยได้รู้มาก่อน เพราะชานยอลรู้จักลู่หานดี รู้ว่ายังไงอีกคนจะไม่เอาเรื่องโคมลอยมาพูดเล่นๆแน่
“กู... กูก็มีมึงคนเดียวอ่ะชานยอล...” แบคฮยอนร้อนรนกระสับกระส่าย ตาเฉี่ยวลอกแล่กฉายแววพิรุธอย่างปิดไม่อยู่ ทว่ายังคงปากแข็งไม่สารภาพความผิดง่ายๆ
“มึงบอกพี่ชานไปดิถ้าแน่จริงอ่ะ! มึงหาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆแบคฮยอน มึงพาแต่เรื่องมาให้กูทั้งที่กูอยู่เฉยๆ กูหยุดแล้วแต่มึงไม่หยุดเอง กูก็หมดความอดทนเป็นนะเว้ย!” ลู่หานพร้อมทุกเมื่อจะเปิดเผยทุกอย่าง ไม่ทนและไม่ขอทนอีกต่อไป เพราะเขาทนความอึดอัดนี้มานานมากพอแล้ว
“ก็แล้วมึงมายุ่งกับผัวกูก่อนทำไมล่ะ? มึงนั่นแหละเริ่มก่อนลู่หาน!”
“แล้วมึงไม่ถามผัวมึงเองล่ะว่าเสือกว่ายุ่งกับกูก่อนทำไม กูเคยสนหรอ? กูเคยอ่อยหรอ? พี่ชานเข้ามายุ่งกับกูเองทั้งนั้น มึงถามพี่เขาไหม ว่ากูบอกไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หนว่าให้เลิกยุ่งกับกู มึงดูแลผัวมึงไม่ดีเองยังให้คนมาทำร้ายกูอีก กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปีมึงเคยไว้ใจกูไหมล่ะ!”
“มึงทำตัวให้น่าไว้ใจนักหนิลู่หาน! คนเป็นเพื่อนเขาไม่แย่งของๆเพื่อนหรอก”
“แบค... กูไม่เคยคิดจะแย่งของๆมึงนะเว้ย! ทุกวันนี้กูอยู่ตัวคนเดียวไม่มีเพื่อนเพราะใครกันล่ะ มึงทำให้กูเป็นที่น่ารังเกียจยังไม่พอมึงยังเอาเรื่องกูไปเล่าให้คนอื่นฟังเสียๆหายๆ! กูเคยว่ามึงไหมแบค? กูเคยเอาคืนมึงไหมก็ไม่เคยเลยสักครั้ง? แต่ครั้งนี้มึงทำแรงไป มึงให้คนมาข่มขืนกูอย่าคิดว่าไม่รู้ กี่ครั้งแล้วที่กูทำเป็นเมินเฉยไม่เอาความ มึงยังไม่จบอีกหรือไง?”
นัยน์ตาคู่กลมคลอหยาดน้ำคล้ายหัวใจจะสลายเสียให้ได้ เพื่อนที่เคยไว้ใจ เพื่อนกินเพื่อนตายกลับมาฆ่ากันเองช่างน่าสมเพช ลู่หานเคยเชื่อเสมอว่าแบคฮยอนคือเพื่อนที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายก็เห็นผู้ชายดีกว่า ตัดขาดกันไม่ไยดี ไม่พอยังสาดสีเทสีใส่เขาให้คนอื่นมองอย่างเหยียดหยาม ว่าเขามั่วบ้าง ขายร่างกายแลกเงินบ้าง อยากจะบอกให้รู้เหมือนกันว่าลู่หานไม่ได้ไร้ศักดิ์ศรีถึงต้องทำเรื่องฉาวโฉ่พักนั้น
“มึงจะเป็นยังไงก็เรื่องของมึง! แล้วไงล่ะ? มึงก็สกปรกอยู่แล้วหนิ ได้ใครมึงก็เอาไม่ใช่เหรอ?” แบคฮยอนกัดฟันจิกใส่น้ำตาคลอไม่ต่างกัน ไม่สนใจและไม่ใส่ใจ ลู่หานจะเป็นตายร้ายดียังไงแบคฮยอนก็ช่างหัวมัน
“กูหรือมึงที่สกปรกกันแน่แบค อย่างน้อยร่างกายกูก็ไม่เคยเสียให้ใครก็แล้วกัน”
“แบคฮยอน! นี่มันอะไรกัน?”
ชานยอลที่ยืนทนฟังก็เริ่มไม่ไหวกับคำพูดชวนให้คิดในแง่ลบของคู่เพื่อนสนิท เขายังเข้าใจว่าลู่หานและแบคฮยอนเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันที่สุด หากแต่ตอนนี้กลับเริ่มตาสว่างยามทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดไว้
“ชานยอล มึง!...ทำไม?”
เสียงเรียกทำให้ชานยอลหันควับไปมองยังที่มา เห็นเพื่อนรักที่อยู่ๆก็เข้ามาร่วมเหตุการณ์พร้อมทั้งรุ่นน้องเจ้าของตำแหน่งเดือนมหาลัยทำเอาการประมวลผลในสมองไม่สั่งการให้ทำงาน
“พี่คริส!”
แบคฮยอนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน หัวใจร่วงหล่นไปอยู่กับพื้นในทันทียามใบหน้าหล่อที่คุ้นเคยมาให้พบเห็นไม่ถูกเวล่ำเวลา ดั่งที่ว่ารถไฟชนกันคงไม่ผิดเพี้ยน
“ไอ้คริสมึงมาได้ไง แล้วนี่มึงรู้จักกับแบคฮยอนหรอ?” ชานยอลหันมองคนทั้งครู่สลับกันไปมาพลันขมวดคิ้วมุ่นจนเป็นปม
“มึงเป็นอะไรกับแบคฮยอนบอกกูทีชานยอล?” คริสกัดฟันถามตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ แน่ชัดว่ากำลังถูกหลอกเพราะเห็นอยู่เต็มว่าเพื่อนรักกับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของเขาอยู่ด้วยกันสองคนในบ้านหลังนี้
“แบคฮยอนเป็นแฟนกู คบกันมาตั้งแต่มัธยมแล้ว”
ได้ฟังคริสคล้ายกับเจอตบหน้าฉาดใหญ่ก็ไม่ปราน ชาไปทั่วร่าง กัดฟันกรอดเพราะความจริงจากปากเพื่อนทำให้เขาอ่อนแรง
“แบคฮยอน...ทำไมไม่บอกพี่”
คริสพลันหันไปถามย้ำที่คนรักตัวเล็ก สุดท้ายก็โง่ให้อีกคนใช้เป็นเครื่องมือ โกรธได้ไม่เท่าอยากจะฆ่าให้ตาย รู้แล้วว่าใครที่สำคัญในตอนนี้ หาใช่แบคฮยอนไม่ หากแต่เป็นคนหน้าหวานที่ยืนตัวแข็งทื่อข้างกันต่างหากที่คริสเพิ่งเห็นว่าแสนดีที่สุดให้คนอย่างเขาเห็นคุณค่า
“ผ...ผม ผมไม่....” แบคฮยอนอ้ำอึ้งเอ่ยตะกุกตะกัก หมดหนทาง ไม่มีคำตอบที่ดีให้คริสเพราะเรื่องทั้งหมดเขาสร้างมันเองกับมือ
“มึงบอกพี่คริสไปดิแบค หึ! ถ้ามึงไม่พูดกูพูดแทนเองก็ได้”
“ลู่หาน! มึงอย่าเสือกเรื่องของกู”
“กูจะเสือก! มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะแบคฮยอนว่ามึงใช้พี่คริสให้มาทำอะไรกู กูรู้มาตลอดแค่ไม่อยากพูด เพราะพี่คริสรักอี้ชิงและกูมั่นใจว่าพี่เขาเป็นคนดีพอ ถ้ามึงไม่เล่นยาให้พี่เขาหลงยอมทำเรื่องสกปรกแล้วละก็...”
“มึง! ไอ้คริส มึงเล่นชู้กับแฟนกูเหรอ?”
อยู่ๆชานยอลก็โพล่งขึ้นกระโจนเข้าหาคริสทันที ปล่อยหมัดกระแทกเข้ามุมปากได้รูปเต็มแรง ย้ำที่ใบหน้าหล่ออีกครั้งเพราะความจริงที่ได้รับรู้เขาทำใจให้ยอมรับมันไม่ได้
คริสไม่แม้แต่จะโต้ตอบ ยืนนิ่งให้เพื่อนกระทำอย่างสาสมจนร่างกายล้มลงหมดเรี่ยวแรงไปอยู่กับพื้น เลือดจากแผลเก่าหลั่งไหลจนเปียกชุ่มเสื้อตัวเดิม นัยน์คาคมเอ่อร้นไปด้วยน้ำตามากมายไปคิดจะเช็ดมัน ไม่คิดจะโอดโอยร้องขอให้อีกคนหยุดการกระทำ เจ็บเยอะยิ่งดี เจ็บให้มันเจียนตายเพื่อทดแทนกับเรื่องเลวร้ายที่ได้ทำลงไป
“หยุดนะพี่ชาน บอกให้หยุดไงล่ะ!” ลู่หานรีบเข้ามาห้ามทับ ตะโกนอย่างเหลืออดเพราะคนที่ผิดมันคือแบคฮยอนใช่เป็นคริสเสียที่ไหน
อี้ชิงที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆก็ไม่สามารถขยับเขยือนกายไปไหนได้ คล้ายหินก้อนใหญ่หล่นทับร่างเหมือนคนไม่รู้จักกับความสุข กี่ครั้งกี่หนที่เรื่องพักนี้มักจะห้วนกลับมาในวันที่ชีวิตเขากำลังจะดีขึ้นให้มันดับวูบลงเสมอ ทั้งเหนื่อยทั้งล้าอยากพักร่างกาย ทำไมเรื่องดีๆไม่มีให้คนอย่างอี้ชิงบ้างก็ไม่รู้
“พี่คริสไม่ได้เป็นคนผิด! เมียพี่ต่างหากที่ผิดน่ะชานยอล ถามมันดิว่ากี่คนที่มันคบอยู่”
ลู่หานไม่ยอมแพ้ความตั้งใจ ถึงแม้เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายแบคฮยอนก็ตามที แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยไป ตายเป็นตายเพราะยังไงตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเองไม่เคยได้รู้จักสังคมดีๆอยู่แล้วหนิ
“ลู่หานมึงเงียบนะ! มึงหยุดพูดเดี๋ยวนี้” แบคฮยอนวีดเสียงลั่นห้อง หลับหูหลับตาทึ้งผมตัวเองส่ายหน้าไม่รับรู้
“แบคฮยอน นี่มึงหลอกกูเหรอ?” ชานยอลปรี่เข้าหาคนรัก รั้งข้อมือเล็กให้เข้าหา กัดฟันกรอดด้วยโทสะ คบกันมากี่ปีสุดท้ายความรักที่มีก็ไม่ได้ช่วยให้ชานยอลมั่นใจเลย
“ฮึก...กูไม่ได้หลอกมึงนะ กูรักมึงจริงๆชานยอล กูรักมึงคนเดียวอ่ะ ฮือ....”
“แต่มึงมีอะไรกับคนอื่น มึงรู้ไหมว่าไอ้คริสเป็นเพื่อนสนิทกู มึงคบทั้งกูและเพื่อนกูเนี่ยนะ! แบบนี้จะให้กูคิดว่ามึงรักกูจริงๆหรอ?”
“ก็มึงแอบไปยุ่งกับลู่หานกูไม่ชอบ! ฮึก... มึงมีกูแต่มึงยังสนใจมันอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะชานยอล”
ชานยอลปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระยามสิ้นเสียงหวาน เดินโซเซไปทิ้งกายนั่งลงที่เตียงนุ่มกุมขมับตัวเองคล้ายมีส่วนผิดในเรื่องดังกล่าว
“กูสนใจลู่หานจริงกูไม่ปฏิเสธ แต่...กูไม่เคยมีอะไรกับใครเหมือนอย่างที่มึงทำนะแบคฮยอน”
เสียงทุ้มอ่อนลงอย่างชัดเจน น้ำตาลูกผู้ชายคล้อยลงตามเรียวหน้าพร้อมทั้งเสียงสะอื้นไห้ที่เล็ดลอดมาให้ได้ยิน ชานยอลตั้งตัวไม่ทันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น อยู่ๆก็มาให้ทุกอย่างมันกำลังจบลงในวันเดียวกัน ไม่เคยคิดว่าก่อนว่าจะใช้แฟนร่วมกับเพื่อน และเขาเองเคยสนใจลู่หานจริงเพราะอีกคนน่ารักทั้งดึงดูด ไม่เคยคิดว่าจะทำให้เพื่อนเขาแตกคอจนกลายเป็นเรื่องเครียดแค้นบานปลายเช่นนี้
“ลู่! มึงออกไปจากบ้านกูเดียวนี้ ฮึก... เพราะมึงชานยอลถึงเข้าใจกูผิด!”
เสียงโวยวายยังคงไม่ลดละ แบคฮยอนชี้นิ้วสั่งลู่หานตัวสั่นเทา เกลียดแล้วเกลียดเลยคงจะให้เป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก
“มึงอย่ามาหลอกตัวเองแบค นอกจากพี่คริสมึงยังมีคนชื่อเทาอีก มึงไปบอกมันด้วยนะว่าให้เลิกยุ่งกับกูสักที!”
“ลู่หาน! มึงมันเลว มึงทำกับเพื่อนมึงแบบนี้เหรอ?”
“หึ! มึงเห็นกูเป็นเพื่อนด้วยเหรอตลกไปหรือเปล่า กูต้องอยู่อย่างคนไร้ค่าตั้งกี่ปีเพราะไม่มีคนคบ ถ้ากูเลวที่เปิดเผยสันดานมึงให้คนอื่นรู้ มึงคงโคตรเลวที่ทำให้กูอยู่อย่างทรมานอย่างทุกวันนี้เหมือนกัน ต่างกันตรงไหนก็เลวพอกันล่ะวะ!”
“ลู่หานใจเย็นก่อน”
จงอินรีบเดินเข้าไปกอดคนตัวเล็กจากทางด้านหลัง พยายามให้ลู่หานอ่อนลงเพราะยังไงตอนนี้ดูก็รู้ว่าแบคฮยอนพ่ายแพ้เสียราบคาบ
“ปล่อยผมนะ! มันเลวขนาดนี้พี่ยังให้ผมใจเย็นได้หรอ? พี่คริสเป็นคนดีต้องมาหลงความสกปรกจากมัน ผมจะโดนข่มขืนไม่รู้กี่รอบเพราะมันจิกผมไม่เลิก วันนี้ถ้ามันไม่จบผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน!”
ลู่หานสะบัดร่างออกจากอ้อมกอดแกร่ง เขม่นอดีตเพื่อนสนิทด้วยความโกรธ ไหล่บางกระเพื่อมขึ้นลงเกือบจะถึงขีดสุดของความอดทน ไม่เลิกลามีแต่จะยืดเยื้อ ลู่หานพร้อมจบทว่าอีกคนไม่จบเขาจะไม่ไปไหน
“หึ! แต่พี่คริสบอกกูนะว่าได้มึงแล้ว”
อยู่ๆแบคฮยอนพลันคิดถึงเรื่องที่ทำให้เขาอยู่เหนือกว่า ลู่หานหันขวับไปมองคนพูดทันทีทั้งขมวดคิ้วมุ่น คริสและอี้ชิงเองที่ได้รับฟังก็ถึงกับอึ้งตัวชาวาบไปทั่วทั้งร่าง หัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่พื้นไม่เป็นชิ้นดี ลมหายใจติดขัดเพราะสิ่งต่อไปนี้มันกำลังจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิมถ้าลู่หานได้รับรู้มัน
“มึงหมายความว่ายังไงแบค?”
“อะไรกัน? นี่มึงโดนหลายคนจนจำอะไรไม่ได้เลยหรือ พี่คริสบอกกูว่าได้มึงแล้วนะ หึ!” หัวเราะในลำคอแบคฮยอนจึงเค้นยิ้มหยามเหยียด
“มึงเข้าใจผิดแล้ว กูกับพี่คริสไม่เคยมีอะไรกัน”
“ไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใคร?!”
สิ้นเสียงตะโกนของแบคฮยอนความเงียบพลันเข้าปกคลุมในทันที อี้ชิงยืนนิ่งหัวใจหล่นวูบพร้อมแตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เพราะความลับที่เก็บไว้มานานมันกำลังจะเผยจนหมดเปลือกในวันนี้ สิ่งที่นึกกลัวทุกคนจะได้รับรู้ รู้ว่าเขาไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่อี้ชิงอย่างที่ใครๆเห็น
“พี่คริส....หมายความว่ายังไงครับ?” ลู่หานหันไปถามคริสพลันเหลือบมองพี่ชายหน้าหวานที่ตอนนี้ยืนนิ่งน้ำตาคลอ เขาขอให้อย่าเป็นอย่างที่คิด อย่าเป็นอี้ชิงลู่หานภาวนา
“ไม่มีใครทั้งนั้น พ...พี่โกหกแบคฮยอน พี่ไม่ได้ทำตามที่เขาสั่ง”
ใบหน้าหล่อก้มลงกุมแผลตัวเองที่คล้ายจะปริเพราะโดนชานยอลทำร้าย ไม่กล้าหันมองอี้ชิงเมื่อความผิดในตอนนี้มันย้ำเตือนให้คริสไม่มีสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น มันจบแล้ว จบที่ตรงนี้เพราะคริสจะไม่ทำให้อี้ชิงเดือนร้อนใจอีก
“พี่คริส! ไหนว่าพี่จัดการลู่หานให้ผมยังไงล่ะ?” คนต้นเรื่องเหวลั่น คริสทำได้แค่นิ่งจ้องมองแบคฮยอนที่ยังหน้าด้านกล้าพูดเรื่องพักนี้อยู่ดี ตัวเองเป็นคนผิดแท้ๆทำไมถึงยังไม่สำนึก
“แล้วนายบอกพี่ได้ไหมล่ะ ว่าทำไมต้องหลอกใช้พี่?”
“ผมไม่สน ผมเกลียดลู่หาน ผมเกลียดมัน!”
สิ้นเสียงแบคฮยอนลู่หานก็ถึงกับควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ ปรี่เข้าหาอีกคนทันทีจนจงอินยังคว้าไว้ไม่ทันการณ์
มือเล็กกระชากคอเสื้ออดีตเพื่อนจนยานคล้อยและขาดวิ่น ปล่อยหมัดใส่แบคฮยอนอย่างเหลืออดเหลือนทน ลู่หานในตอนนี้ช่างขาดสติไม่มีสัมปชัญญะ ไร้ภาพน่ารักเฉยชาที่เคยได้พบเห็น ใบหน้าขาวแดงจัดเพราะความโกรธที่มีในอกมันเดือดปุด สองมือคว้าหมับเข้าที่ลำคอเพื่อน บีบเค้นแค้นเคืองเพราะสุดจะทนกับการกระทำแสนต่ำช้า รู้ดีว่าคริสโกหกเพื่อปกป้องอี้ชิง รู้ดีว่าในตอนนี้พี่ชายหน้าหวานให้กายกับคริสไปแล้วลู่หานไม่ได้โง่
“ลู่หานหยุดเดี๋ยวนี้นะ มีสติหน่อย!”
อี้ชิงรีบวิ่งเข้ามาห้ามน้องชายก่อนจะฆ่าแบคฮยอนให้ขาดลมหายใจ ลู่หานไม่เคยเป็นแบบนี้ น่ากลัวเสียอี้ชิงเองยังนึกเกรง
“อย่ามายุ่ง! ฉันทนไม่ไหวแล้ว ไม่มาเป็นฉันไม่รู้หรอก ฮึก...” แนวฟันสวยขบกัดริมฝีปากล่างบีบคออีกคนแน่น สะบัดอี้ชิงให้พ้นทาง ในตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดลู่หานได้
แบคฮยอนตาลอยเพราะอ๊อกซิเจนในกายกำลังจะหมดไป ดิ่นพล่านพยาพยามดึงมือของลู่หานให้ออกห่าง แต่เพราะโทสะที่มีสูงทำให้แบคฮยอนทำอะไรไม่ได้ แข้งขาอ่อนยวบพร้อมทรุด ใบหน้าไร้สี เหลืองซีดไม่มีเลือดล่อเลี้ยง
“ลู่หานฉันบอกให้หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้”
“ก็บอกว่าอย่ามายุ่งไงล่ะอี้ชิง อย่าทำตัววุ่นวายได้ไหม! นายไม่ใช่แม่ฉันนะ”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าทำให้ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง คริสที่นั่งก้มหน้าในตอนแรกพลันเงยขึ้นทันทีทั้งเบิกตาโพลง
แบคฮยอนล้มลงไปนั่งที่พื้นห้องหอบหายใจรวยริน ยกมือกุมที่ต้นคอของตัวเอง คล้ายสติกำลังจะดับเพราะลู่หานกะฆ่าเขาให้ตายก็ไม่ปราน ไม่มีคนเหลียวแลแม้กระทั่งชานยอลเองก็ยังไม่คิดจะสนใจ
“เลิกบ้าสักทีลู่หาน! มีสติหน่อยได้ไหม? ถ้าแบคฮยอนเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆนายจะทำยังไง?”
ลู่หานนิ่งอึ้งหยุดการกระทำเพื่อเรียกสติตัวเองมองอี้ชิงน้ำตานองหน้า ครั้งแรกเมื่อความอ่อนโยนที่เคยได้รับในตอนนี้ลู่หานไม่ได้รับมันอีกแล้ว อี้ชิงตบหน้าเขาให้อับอายต่อสายตาทุกคน ลู่หานกำมือแน่นจนเผยให้เห็นเส้นเลือดผุดขึ้นเป็นสาย ไหล่บางไหวผะแผ่วควบคุมตัวเองอย่างถึงที่สุด ผ่อนลมหายใจพรั่งพรูหนักหน่วงและร้อนผ่าว ส่งสายตาตัดพ้อพี่ชายที่ร้อยวันพันปีไม่เคยปฏิบัติกับเขาแบบนี้ ทว่าเมื่อครู่มันอะไรกัน
“อี้ชิง....”
“ล...ลู่หาน ค...คือฉัน...”
เหมือนจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปอี้ชิงเพิ่งนึกขึ้นได้ เห็นน้องชายมองมาแบบนั้นราวว่าจะผิดหวังทำเอารู้สึกไม่ดีขึ้นมาในอก คล้ายกริชแหลมคมกรีดลึกให้ถึงทรวง มองมือตัวเองไม่อยากจะเชื่อกับการกระทำ อยากจะขอโทษแต่คงไม่ทันจะได้เอ่ยมันให้อีกคนได้ฟังอย่างที่ใจหวัง
ลู่หานรีบรุดสะบัดร่างเดินออกจากห้องแบคฮยอนไปอย่างรวดเร็ว วิ่งออกจากบ้านโดยมีจงอินวิ่งตามไปไม่ห่าง ทิ้งให้อี้ชิงกุมขมับตัวเองด้วยความหงุดหงิด หยาดน้ำสีใสร่วงแหมะลงบนพื้นยามก้มหน้าหลบซ่อนมัน ค่อยๆสาวเท้าเพื่อจะหนีออกจากที่นี่ กลับบ้านของตัวเองเพราะไม่อาจหน้าด้านหน้าทนยืนอยู่ที่เดิม แค่จะยกเท้าก้าวเดินยังไม่มีเรี่ยวแรง ลู่หานหนีไปแล้วเขาจะทำอย่างไรดี อีกครึ่งชีวิตของเขากำลังจะจากไป
“อี้ชิง....”
คริสเดินตามอีกคนมาไม่ห่างด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหล่อขาวเผือดซีดเซียวยิ่งกว่าตอนแรกเป็นเท่าตัว เอื้อมมือหมายจะรั้งอี้ชิงไว้ ทว่าอีกคนกลับสะบัดมือหนีทำท่ารังเกียจให้สำเหนียกตัวเอง
“อย่ามายุ่ง! ฮึก...”
“อี้ชิง ฉัน... ฉันขอโทษ” ใบหน้าหล่อก้มลงมองพื้นอย่างรู้สึกผิด มือหนากุมห้ามเลือดที่แผลสดไม่ทันให้อี้ชิงได้สังเกตมัน
“ฮึก...เลิกขอโทษสักที คำขอโทษไม่ว่าจะเป็นร้อยเป็นพันครั้งมันก็ไม่มีความหมาย มันสายเกินแก้แล้วนายเข้าใจไหม? ฮึก...”
“ฉัน...”
“พอสักทีเถอะคริส! ฮึก...เลิกได้ไหม? อย่ายุ่งกับชีวิตฉันอีก ขอให้ฉันได้อยู่อย่างคนปกติ ถ้ายังมีนาย...ชีวิตฉันจะไม่มีความสุขอีกเลย”
พูดแค่นั้นกายบางพลันหันหลังกลับยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า สาวเท้าก้าวเดินไม่ได้รู้เลยว่าคนเบื้องหลังเจ็บปวดมากแค่ไหน อี้ชิงไม่มีโอกาสให้สำหรับคริส ต่อให้ทำดีตายใจยังไงก็ไม่มีทางอ่อนลง คำว่าเหนื่อยไม่รู้จะบรรยายยังไงให้เข้าใจ ยิ่งกว่าเหนื่อย ยิ่งกว่าทุกข์ระรมเหมือนตายทั้งเป็นก็ไม่ปราน วูบนึงในความคิดคืออยากจะหายไป หากแต่ภาพของน้องชายมันฉายย้ำเตือนว่าไม่ควรทำ ถ้าเขาจากไปแล้วลู่หานจะอยู่ยังไง เหงามากไหมถ้าอี้ชิงไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว....
ฟุบ!
เสียงด้านหลังทำให้เท้าเล็กชะงักกึกหยุดฟัง หันกลับไปมองอีกทีก็พบว่าคนตัวสูงไร้สติดับวูบลงไปนอนกองกับพื้น ในมือหนาเต็มไปด้วยเลือดเปรอะเปื้อนแดงฉาน อี้ชิงหงุดหงิดที่สุดท้ายก็ต้องวิ่งกลับไปหาอีกคนอยู่เช่นเคย
....เหมือนยิ่งพยายามจะตีจาก ทว่ามันคล้ายให้ทุกอย่างใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ....
หมดหนทางอี้ชิงจำต้องพาคริสมาที่บ้านไม่มีทางเลือก เห็นจงอินและสองสหายในชุดนอนรออยู่ที่หน้าบ้านจึงร้องเรียกขอความช่วยเหลือให้พาคนตัวสูงลงจากรถแท็กซี่แล้วแบกขึ้นไปยังห้องนอน
“ลู่หานอ่ะจงอิน?”
ประโยคแรกที่เอ่ยถามคือความเป็นห่วงน้องชายที่เขาทำให้ต้องผิดหวัง นัยน์ตาคู่กลมวูบไหวเล็กน้อย แต่นั่นเห็นจงอินชี้นิ้วไปยังห้องนอนของเจ้าตัวทำให้อี้ชิงหายกังวลเพราะอย่างน้อยลู่หานก็กลับมาที่บ้านไม่ไปไหนไกล
“ตั้งแต่กลับมาก็เอาแต่อยู่ในห้อง ต้องปล่อยให้อยู่กับตัวเองไปก่อน ดีขึ้นคงพูดคุยกันได้ ยังไงเดี๋ยวฉันจะดูให้อีกแรงนะ นายไปดูแลพี่คริสเถอะ เลือดไหลไม่หยุดจะเป็นอันตรายเอา”
พูดแค่นั้นจงอินก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องของอี้ชิง ทว่าคำถามที่ส่งมาจากเพื่อนหน้าหวานทำให้เขาไม่อาจก้าวเท้าไปไหนได้อีก
“นายชอบลู่หาน?” อี้ชิงไม่อ้อมค้อมเอ่ยตรงๆ ไม่ใช่ไม่รู้หากแต่ยังไม่มั่นใจเสียทีเดียว
“เปล่า! มันไม่ใช่แค่ชอบ แต่ฉันรัก รักน้องชายนายอี้ชิง”
นัยน์ตาคู่คมฉายแววจริงจังให้คนตรงหน้าได้รู้มัน ให้อี้ชิงรู้ว่ากับลู่หานจงอินไม่ได้แค่เล่นๆ จะบอกคงไม่เชื่อเพราะเขาเองรู้สึกดีตั้งแต่ยังไม่เจอหน้ากันเสียด้วยซ้ำ
และนั่นอี้ชิงก็นึกแปลกใจ ไปพบกันตอนไหนถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ได้ ทั้งที่คิดว่าจงอินเพิ่งจะเจอกับลู่หานครั้งแรกในวันนี้เสียด้วยซ้ำ
“นายกำลังทำให้ฉันผิดหวังนะจงอิน”
สายตาตัดพ้อทำให้จงอินพูดอะไรแทบไม่ออก คิดไว้อยู่แล้วว่าอี้ชิงต้องไม่ยอม แต่นั่นหัวใจที่มันดังโครมครามอยู่ข้างในใครจะห้ามได้หรือ
“ฉันขอโทษอี้ชิง รู้ว่านายหวงน้องมากแค่ไหน ไม่คิดว่าจะรัก...แต่ก็รักไปแล้วจะให้ทำยังไง”
“นายคิดว่าจะรับมือลู่หานอยู่เหรอ? รายนั้นถ้าไม่พอใจก็โวยวายเกรงใจใครเสียที่ไหน เพราะไม่อยากให้น้องชายเสียใจ ฉันถึงไม่เคยปล่อยให้ใครต้องดูแล”
“ลองให้ฉันได้ดูแลสิอี้ชิง จะไม่ทำให้ผิดหวังเลยสัญญา" จงอินจริงจังเป็นเท่าตัวจากในตอนแรก แววมุ่งมั่นทำให้อี้ชิงส่ายหน้าใจอ่อนยวบไม่เป็นท่า
“ถ้ามั่นใจว่ารักลู่หานจริงก็ฝากด้วยแล้วกัน เพราะเป็นจงอินฉันถึงฝากฝังถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ยอมแน่ๆ”
พูดเสร็จก็ยิ้มให้ทำเอาจงอินโล่งอกโล่งใจแล้วหายออกจากห้องทันที ในขณะเพื่อนอีกสองคนได้แต่ยืนอึ้งกับเรื่องราวที่ชวนปวดหัว ก่อนอี้ชิงจะเดินไปยังเตียงที่มีร่างของใครบางคนนอนอยู่
อี้ชิงจัดการถอดเสื้อเชิ๊ตเปื้อนเลือดของคริสให้พ้นทาง เดินไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดคาบเลือดที่เปรอะเปื้อนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งจากร่างกายของอีกคนพร้อมทำแผลให้
“นายเป็นอะไรกับพี่เขาเหรออี้ชิง?” เงียบมานานซิ่วหมินจึงเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ อี้ชิงเองได้ฟังก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ทว่าเข้าใจที่เพื่อนถาม เพราะเป็นใครไม่วายต้องสงสัยเช่นนี้ไม่ต่างกัน
“ก็แค่คนรู้จักน่ะ” ตอบแค่นั้นก็ค่อยๆบรรจงเช็ดร่างกายและรอบบาดแผลให้กับคริสที่นอนหน้าซีดหายใจผะแผ่วให้เป็นห่วง
“………..”
“ซิ่วหมินกับเซฮุนไปนอนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง”
อี้ชิงตัดปัญหาเพราะรู้ดีว่าเพื่อนคงไม่เลิกลาจะสาวความอย่างแน่นอน เซฮุนและซิ่วหมินจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องไปพักผ่อนร่างกายของตัวเอง
คนหน้าหวานฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาสนใจคนเจ็บตรงหน้าต่อเพราะหลังจากนี้มันคือหน้าที่ของเขาในการดูแลอีกคน ลงมือทำแผลไปม่านตาก็เอาแต่จะลอบมองใบหน้าหล่อโดยไม่ได้ตั้งใจ บังคับไม่ได้จึงนั่งจ้องอยู่อย่างนั้นไม่วางตา ใบหน้าหวานเอียงเล็กน้อย กระพริบตาปริบมองคริสอย่างพินิจพิจารณา จะว่าถ้ามองดีๆหน้าตาแบบนี้ตอนนอนหลับดูไม่แบดบอยเลยสักนิด
“อี้ชิง”
คนหน้าหวานสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองคนเอ่ยเรียก ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามความต้องการ
“มีอะไรจงอิน?”
“ขอคุยด้วยหน่อยว่างหรือยัง?”
“อื้อ”
พยักหน้าให้เพื่อนผิวเข้ม คนตัวเล็กจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามจงอินออกไปยังชั้นล่างของบ้าน หย่อนกายนั่งลงบนโซฟา เอนแผ่นหลังพลางคลึงขมับตัวเองแก้อาการเหนื่อยล้า
“อี้ชิง ฉันมีเรื่องจะบอกนาย ไม่รู้ว่าควรจะบอกดีหรือเปล่า แต่ฉันคิดว่านายควรได้รู้มัน”
จงอินไม่รอช้าเอ่ยเข้าเรื่องในทันที อี้ชิงหันมองเพื่อนสนิทพลางขมวดคิ้วมุ่น แต่นั่นยังคงรับฟังอย่างตั้งใจไม่เปล่งวาจา
“……….”
“แต่...นายสัญญานะว่าจะไม่โวยวาย” ตั้งข้อแม้ให้เพื่อน เห็นอี้ชิงพยักหน้าตอบรับจงอินจึงพูดต่อ
“…………”
“วันนี้ลู่หานไปร้านเหล้านายคงรู้อยู่แล้ว แล้วนายรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง?”
ได้ฟังจงอินพูดทำให้อี้ชิงรู้ได้ว่าเขาลืมถามไถ่เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปเสียสนิท ทำไมคริสถึงโดนแทงเขาเองก็ลืมถาม ทั้งลู่หานที่ไปโวยวายกับแบคฮยอนนั่นอีกเรื่องมันเป็นมาอย่างไร
“………” อี้ชิงส่ายหน้าเป็นคำตอบให้เพื่อนสนิท เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับลู่หาน ว่าแล้วก็นึกตำหนิตัวเอง ละเลยการดูแลเอาใจใส่อีกคนจนไม่น่าให้อภัย เขาเป็นอะไรไปทำไมช่วงนี้ถึงคล้ายว่าไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย
“ตอนแรกฉันเข้าใจผิดระหว่างพี่คริสกับลู่หานถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ฉันเห็นพี่คริสกับลู่หานกอดกันที่ลานจอดรถ เสื้อผ้าก็หลุดลุ่ย ฉันเจ็บปวดมากและตำหนิเขาไปเสียๆหายๆโดยไม่รู้เลยว่าลู่หานโดนอะไรมาบ้าง ...ที่บ้านของแบคฮยอนฉันจึงรู้ความจริงหมดทุกอย่าง ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่ลู่หานเกือบจะโดนขืนใจ หลายวันก่อนฉันเจอลู่หานโดนลากไปทั้งที่ไม่มีทางสู้ ส่วนวันนี้ก็คนเดิมที่พยายามจะทำเรื่องไม่ดีกับเขา”
อี้ชิงนั่งฟังเพื่อนผิวเข้มเล่าไปอย่างเงียบๆ ในอกมันแทบจะแตกสลายเพราะเพิ่งรับรู้เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่แปลกถ้าลู่หานอยากจะฆ่าแบคฮยอนให้ตาย เขาเองที่เป็นแพะรับบาปยังเจ็บปวดจนแทบขาดใจ ถ้าเป็นน้องชายเขาแล้วละก็ไม่อยากจะคิดเลย เขาเองคงเจ็บปวดไปด้วยกับอีกคนไม่แพ้กัน
“............”
“ลู่หานเกือบจะพลาดอีกครั้งเพราะวันนี้ตะขอกางเกงเขาถูกปลดฉันเห็นมันกับตา เสื้อเปิดถึงเอวฉันแทบจะทำใจไม่ได้จริงๆ” จงอินก้มหน้ากุมอกตัวเอง ในตอนแรกเขาคิดว่าลู่หานเต็มใจให้คริส ทว่ารู้อีกทีคือคนน่ารักถูกล่วงเกินจากเทาจนเกือบไม่เหลือความเป็นตัวเอง
อี้ชิงน้ำตานองหน้าไม่โวยวาย เขากำลังช็อคกับเหตุการณ์ที่กำลังประมวลภาพในสมอง ลู่หานเจอเรื่องแบบนี้ทำไมเขาไม่เคยรู้ กี่ครั้งกี่หนที่น้องชายต้องทุกข์ทรมาน ทั้งแบคฮยอนคนที่เคยไว้ใจยังหักหลังทำให้ลู่หานไม่มีคนคบ น้องชายเข้าเก่งที่อดทนมันได้ ถ้าเป็นอี้ชิงคงไม่คิดจะทนมัน
“…………….”
“อี้ชิง...วันนี้ถ้าไม่ได้พี่คริสลู่หานก็ไม่รู้จะเป็นยังไงนะ เพราะไม่ทันได้ระวังตัวเขาถึงโดนแทงเจ็บหนัก เห็นแก่ลู่หานก็อย่าใจร้ายกับพี่เขานักเลย ฉันไม่ถามหรอกว่าระหว่างนายกับพี่คริสมันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่ถ้าลู่หานพูดมาเองว่าพี่เขารักนายฉันก็พอจะมั่นใจได้ ถ้าลู่หานบอกว่าพี่เขาเป็นดีฉันก็เชื่อ เพราะวันนี้พี่เขาเป็นคนช่วยลู่หานไม่ให้โดนไอ้เลวนั่นขืนใจ เขาจิตใจดีกว่าที่คิดนะ”
นัยน์ตาคู่หวานเบิกโพลงเมื่อรับรู้ความเป็นไปเป็นมาของบาดแผลที่ฝังอยู่ในเรือนร่างคนตัวสูง อี้ชิงไม่เคยรู้อะไรสักอย่าง แต่นั่นเขาจะให้อภัยคริสได้หรือ จงอินยังไม่รู้ว่าอีกคนทำอะไรเขาไปบ้าง เจ็บมาเยอะเหมือนกันที่ผ่านมา และในตอนนี้เขาก็ถือว่าติดหนี้บุญคุณคริสอยู่ เพราะถ้าเป็นเรื่องของลู่หานแล้ว อี้ชิงยอมเพื่อน้องได้ทุกอย่าง
“ฉันเข้าใจแล้วจงอิน ตอนนี้นายคงเหนื่อยมากไปพักผ่อนเถอะ ฉันก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน”
มือบางปาดน้ำตาบนใบหน้า ลุกยืนพลันเดินขึ้นไปยังห้องนอนทั้งความคิดมากมายในหัวสมอง เปิดประตูได้อี้ชิงก็ต้องชะงักอีกระลอกเมื่อเห็นคนเจ็บนั่งที่ปลายเตียงแล้วก้มหน้านิ่งอยู่เงียบๆ
“อ...เอ่อ...”
“ขอโทษที่เป็นภาระอีกแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยพูดผะแผ่ว ค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก จะล้มแลไม่ล้มแลจนอี้ชิงต้องรีบปรี่เข้าไปช่วยประคองด้วยความเห็นห่วง
“จะไปไหนอีก เลือดไหลไม่หยุดแล้วเห็นไหม?” อี้ชิงตัดพ้ออีกคนที่ฝืนตัวเองทั้งที่เจ็บหนัก รู้ว่าไม่ไหวสังขารไม่ให้แล้วยังจะอวดเก่งอีก
“นายบอกให้เลิกยุ่งฉันก็จะเลิก อย่าทำแบบนี้เลยฉันจะตัดใจจากนายไม่ได้นะอี้ชิง คิดว่าจะปล่อยนายไปแล้ว ชีวิตนายจะได้มีความสุขอย่างที่ต้องการ”
มือบางพลันไร้เรี่ยวแรงยามได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยคล้ายเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด อี้ชิงทิ้งสองมือไว้ข้างกายมองคริสด้วยสายตาวูบไหว ทุกอย่างมันบ่งบอกว่าคริสเเคร์เขายิ่งกว่าใคร อี้ชิงต้องการแบบไหนคริสก็จะทำให้ถึงแม้ไม่ได้อยากจะเดินจากไปเลยก็ตาม
“... ดึกแล้วนอนที่นี่แหละ เห็นฉันเป็นคนใจยักษ์ใจมารหรือยังไงกัน แล้วพรุ่งนี้อยากไปไหนก็ไปฉันจะไม่ห้าม!”
พูดเองเจ็บเองอี้ชิงกำลังรู้สึก ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดทุกคำมันตอกย้ำให้เขาพ่ายแพ้ คริสเป็นแบบนี้เขาก็เห็นใจ อีกคนช่วยเหลือน้องชายเขาเองไม่อยากติดหนี้บุญคุณ
มือหนาค่อยๆออกแรงรั้งกายสูงให้ไปทิ้งตัวนั่งลงที่เตียงเหมือนเดิม ส่งสายตาเขม่นจ้องมองเป็นนัยๆว่าไม่ให้ขัดขืน ก่อนจะเดินไปเลือกเสื้อผ้าในตู้เพื่อให้อีกคนสวมใส่แทนชุดตัวเดิมที่เปื้อนเลือด
“นี่เสื้อผ้าฉันเอง ฉันเช็ดตัวให้แล้วนายเปลี่ยนมันเลยก็ได้” ยื่นเสื้อผ้าให้อีกคน เห็นท่าทางเก้ๆกังที่จะรับ อี้ชิงจึงจัดการยัดใส่มือให้คริสไปทันที
“ขอบคุณนะ”
คริสเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานก็ออกมา มือหนายกขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อไม่รู้ว่าอี้ชิงจะให้เขาไปนอนที่ไหน กลิ่นหอมจากเสื้อผ้าคนตัวเล็กที่สวมใส่ท่าจะทำให้หลับฝันดี กลิ่นนี้คริสจำได้เพราะติดตัวอีกคนอยู่ตลอด
“นอนเถอะดึกมากแล้ว” เสียงหวานเอ่ยสั่ง คริสเองยังคงไม่เคลื่อนย้ายร่างกายไปไหน หันซ้ายแลขวาเกาศีรษะไม่รู้ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
“…………….”
“นอนดิ ไม่นอนหรอ?” คนบนเตียงที่พร้อมจะล้มหายลงนอนหันมาถามคริสอีกครั้ง
“เอ่อ...มีที่นอนให้ฉันสักชุดไหมอ่ะ?”
“นายจะเอาไปทำไม?”
“คือนอนที่พื้นมันเย็น ฉันเกรงว่าจะนอนได้ไม่ถึงเช้า”
“ใครจะให้นายนอนพื้นกัน นอนบนเตียงสิขึ้นมา” มือบางตบปุลงยังที่นอนด้านข้างกาย ทำเอาคริสถึงกับแปลกใจที่อี้ชิงไม่ระแวงเขาเหมือนเมื่อก่อน
“นายไว้ใจฉันหรือยังไง?” คริสเอ่ยถาม อี้ชิงชะงักไปเล็กน้อย หากแต่กลับทำเหมือนว่าไม่สนใจกับสิ่งที่อีกคนพูด
“ถ้าอยากยืนอยู่ตรงนั้นก็ตามใจ ฉันจะนอนแล้ว”
ไม่ตอบคำถาม อี้ชิงพลันทิ้งหัวลงกับหมอนแล้วพลิกตัวหันหลังให้คนที่ยืนข้างเตียง คริสทำอะไรไม่ได้ในเมื่ออี้ชิงยอมให้ขนาดนี้เขาก็ไม่ปฏิเสธความหวังดี ค่อยๆสาวเท้าขึ้นบนเตียง สอดตัวเบาๆเข้าในผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนข้างอีกคน ไม่ลืมปิดโคมไฟที่หัวเตียงเพื่อปิดฉากค่ำคืนแสนทุกข์ระทมมาทั้งวัน แต่ทว่ามันจะจบอยู่เพียงแค่นี้หรือ ในเมื่อเขาไม่อาจข่มตาให้หลับได้ คนหน้าหวานที่นอนข้างกันทำให้คริสขวัญหนีดีฝ่ออยู่ตลอด เกิดไม่รู้ตัวทำเรื่องไม่ดีขึ้นมาจะว่ายังไง
“ทำไมต้องใจดีกับฉันหื้มอี้ชิง? ยิ่งนายเป็นแบบนี้ฉันยิ่งเจ็บปวด” ตัดสินใจพูดให้อีกคนได้ยินเพราะคริสเองอยากรู้มันเหมือนกัน ไม่มีแววว่าอี้ชิงจะให้อภัยเขาสักนิด ทว่าตอนนี้กลับไม่คิดจะขับไส่ไล่ส่งมันเกิดอะไรขึ้น
“ฉันก็ดีกับทุกคน ไม่ร้ายใส่ฉันก่อนฉันก็ไม่เคยใจร้ายกับใคร” อี้ชิงลืมตาในความมืดตอบอย่างที่ใจคิด บางทีได้พูดคุยอย่างนี้มันอาจจะทำให้เขาหายอึดอัดก็เป็นได้
เวลาผ่านไปความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งเมื่อบทสนทนาไม่เดินหน้าไปไหน ก้อนเนื้อในอกซ้ายเอาแต่เต้นโครมครามส่งเสียงดังกลัวว่าคนด้านข้างจะได้ยินมัน
สิบนาที....
สิบห้านาที....
เกินครึ่งชั่วโมงก็แล้ว....
คริสไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เลยแม้แต่น้อย เหลือบมองคนหน้าหวานก็เห็นว่านอนหันหลังให้กันอยู่เหมือนดั่งในตอนแรก ได้ยินเสียงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะคริสบอกเลยว่าอึดอัดมากที่สุด จะกลืนน้ำลายให้ลงคอทียังไม่กล้าทำเสียด้วยซ้ำ บาดแผลจากการถูกทำร้ายก็เจ็บแสนเจ็บ จะร้องโอดโอยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนอีกคนให้ตื่นขึ้นมา จึงทำได้แค่นอนเปิดเปลือกตานิ่งท่ามกลางความมืดมิดที่เงียบสงัด
“เฮ้อ! / เฮ้อ!”
เสียงถอนหายใจที่ดังออกมาพร้อมกันทำให้คนทั้งคู่หันมาสบมองจ้องตาในทันที คล้ายต่างคนต่างนอนไม่หลับ คริสกระแอมเล็กน้อยเพราะในตอนนี้รู้ตัวได้ว่ากำลังจดจ้องใบหน้าหวานของใครอยู่ ถึงจะอยู่ในความมืดหากแต่อีกคนก็น่ารักตรึงใจให้ในอกมันสั่นไหวได้เป็นอย่างดี
คริสเองคงยังไม่รู้ว่าอี้ชิงไม่ได้ต่างกัน คนหน้าหวานไม่ปฏิเสธว่าแสนจะอึดอัดที่มีอีกคนนอนร่วมเตียงเดียวกับเขาทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อี้ชิงไม่ได้ใจร้ายนี่นาใยจะกล้าขับไสไล่ส่งคนเจ็บให้ไปนอนที่อื่น คริสในตอนนี้มีพระคุณกับลู่หานที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องชาย มันคงจะดีถ้าเขาได้ตอบแทนสิ่งเล็กๆน้อยๆให้อีกคนบ้าง แต่นั่นก็ใช่ว่าจะใจอ่อนให้เพราะเรื่องบางเรื่องมันทดแทนความผิดไม่ได้เลยจริงๆ
“อ...เอ่อ นอนไม่หลับเหรอ?” เสียงหวานเอ่ยถามพลางค่อยๆพลิกร่างให้นอนหงายแหงนหน้ามองฝ่าเพดานห้อง ได้ยินเสียงถอนกายใจของอีกคนดังพร้อมๆกันก็รู้ได้ว่าคงหนักอกหนักใจ
“อืม เจ็บแผลด้วยต่างที่ด้วยเลยนอนไม่ค่อยหลับ แล้ว...นายทำไมยังไม่นอน? นึกว่าหลับไปแล้วซะอีก”
“กังวลเรื่องของลู่หานน่ะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องบอกให้อีกคนรับรู้ แค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้อี้ชิงนอนไม่หลับก็คือเรื่องของน้องชาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันไม่พ้นคนที่นอนอยู่ข้างกายกันในตอนนี้ที่ทำให้เขาไม่สงบใจหลับตาสนิทได้
“ฉ...ฉันขอโทษ...” อีกครั้งที่คริสเอ่ยคำพูดสั่นคลอนหัวใจของคนหน้าหวาน หลายหนกับประโยคขอโทษขอโพยที่ทำให้อี้ชิงอ่อนยวบได้อยู่เรื่อย
“………….”
คนตัวเล็กเอาแต่เงียบไม่เอ่ยวาจาใดๆอีกเลย แพขนตาสวยกะพริบปริบไล่หยาดน้ำตาที่กำลังจะเอ่อไหลออกมายามได้นึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านพบเจอ
“ค...คือ ฝันดีนะ”
คริสเอ่ยตัดบทฉับพลันพร้อมกับเปลือกตาหนาที่ปิดลง ความเงียบงันที่อี้ชิงมอบให้รู้ดีว่าคำขอโทษคงไม่มีความหมาย แต่ความจริงใจของเขาก็อยากให้คนหน้าหวานได้รับรู้มันบ้าง ไม่ต้องรักกัน ไม่ต้องใจดี ไม่ต้องให้อภัยก็ได้ ขอแค่อีกคนได้รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพยายามสื่อส่งไปให้ก็เพียงพอ
“………”
อี้ชิงแทบจะกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่อยู่ นัยน์ตาคู่กลมกะพริบไม่กี่ครั้งหยาดน้ำไร้สีพลันไหลลงจากหางตาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง คล้ายว่าจะใจแข็งได้ แต่แล้วทำไม...คำพูดของอีกคนที่เอ่ยออกมาแต่ละคำถึงได้เริ่มมีอิทธิพลกับคนอย่างเขามากขึ้นทุกที
…ERROR…
สิบสองวันล่วงเลยผ่าน
สิบสองวันที่ลู่หานไม่ยอมปริปากพูดกับอี้ชิง
สิบสองวันที่คริสไม่มาให้เห็นหน้า
และสิบสองวันที่ไม่มีความสุขเข้ามาให้ได้เฉยชม
อี้ชิงกำลังสับสนทั้งยังไม่เข้าใจตัวเอง เพียงเพราะไม่เห็นใครคนนั้นที่มหาวิทยาลัยหัวใจมันรู้สึกแกว่งแปลกๆ คล้ายว่าไม่ชินหรือก็ไม่รู้ได้ คิดถึงทำไม อยากเห็นหน้าทำไม อีกคนทำร้ายให้ตายทั้งเป็นขนาดนี้ยังไม่เข็ดหลาบ พลักใส่ไล่ส่งเขาเองแท้ๆ อยากให้ไปไกลๆสายตา อีกคนไปแล้วมันควรจะดีใจไม่ใช่หรือยังไง
ตั้งแต่วันที่คนตัวสูงค้างคืนที่บ้าน ตื่นมาในตอนเช้าอี้ชิงก็เห็นแค่ความว่างเปล่าข้างกายกัน มีเพียงกระดาษแผ่นเล็กที่บรรจงเขียนคำขอบคุณและคำขอโทษไว้ให้ดูต่างหน้า ประโยคธรรมดาที่ฟังนับครั้งไม่ถ้วนจนขึ้นใจ ทว่าทำไมอี้ชิงถึงคิดว่ามันเป็นคำบอกลาดีๆนี่เอง
เฮือก!
ปล่อยความคิดมากมายในขณะเดินกลับหอพัก หากแต่พอได้เงยหน้าขึ้นมองทัศนียภาพอีกทีลมหายใจพลันขาดห้วงทั้งร่างกายก็ชาวาบเมื่อเห็นว่าเดินมาประจบกับใครเข้าพอดิบพอดี
อี้ชิงกำลังจะเดินออกจากรั้วของมหาวิทยาลัยหากแต่คริสที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกลับหยุดอยู่ตรงหน้าให้นึกหวั่น วันนี้เซฮุนไม่ได้กลับพร้อมเขาด้วย เพราะรายนั้นมีธุระที่ต้องไปทำต่อจึงทำให้อี้ชิงต้องเดินกลับหอคนเดียว
เท้าสองคู่หยุดยืนอยู่กับที่มองสบตากันราวกับอยากจะหยุดเวลาไว้ที่ตรงนี้ อี้ชิงนิ่ง คริสนิ่ง ทุกอย่างก็คล้ายว่าจะนิ่งตามไปด้วย ความรู้สึกข้างในอกก็เอาแต่โครมครามให้คนทั้งสองได้ฟังจากกันและกัน
...คริสแน่ใจว่ารัก หากแต่อี้ชิงกำลังสับสน….
“อยากไปส่ง ได้หรือเปล่า?” เอ่ยพูดไปนัยน์ตาคมก็เอาแต่จดจ้องที่ใบหน้าหวานอย่างรอคำตอบ คริสตัดสินใจแล้ว เขาพร้อมจะเดินหน้าต่อถึงแม้จะเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม
“………..”
คนหน้าหวานชั่งใจยืนนิ่งครุ่นคิด ถามว่าอึดอัดไหมในตอนนี้มันลดลงบ้างแล้วจากที่รู้สึกในตอนแรก ไม่ปฏิเสธเลยหรอกว่ายามที่ได้เห็นใบหน้าหล่อนั้นเศร้าสร้อยอี้ชิงก็อ่อนยวบอยู่เสมอ
“อี้ชิง....”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกครั้งคนหน้าหวานก็เอาแต่นิ่งไม่พูดจา นัยน์ตาระยับของคนตรงหน้าเหลือบมองคริสเพียงเล็กน้อยก่อนจะหลุบหนีเพราะไม่อยากสั่นคลอน หากแต่นั่นอี้ชิงเลือกที่จะไม่ตอบกลับ เลือกจะไม่ต่อวาจาแล้วสาวเท้าเดินผ่านคริสไปไม่สนใจ
ทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบถึงแม้ทางกลับหอพักจะวุ่นวายก็ตามที อี้ชิงยังเอาแต่เดินก้มหน้ารู้ดีว่าคริสนั้นสับเท้าตามหลังเขามาไม่ห่าง หงุดหงิดที่เห็นหน้าอีกคนแล้วหัวใจมันเต้นแรงไม่ผ่อนปรน ไม่ได้ต่อว่าไม่ได้สั่งห้ามหากแต่ไม่คิดจะพูดคุย อยากเดินตามก็เดินไปเพราะยังไงแล้วอี้ชิงก็ไม่ใจอ่อนหรอก
ขายาวที่ก้าวเป็นจังหวะพร้อมคนที่เดินนำหน้าก็ได้เพียงแค่จ้องมองแผ่นหลังบางคล้ายใครสักคนที่ไม่มีความสำคัญ อยากเดินเคียงข้างหากแต่ในตอนนี้คงจะได้แต่ฝัน ทำเขาเจ็บเจียนตายยังคิดจะร้องขอ หน้าด้านไม่มีใครเกินคงคริสคนนี้สินะ
“เดี๋ยวก่อนสิอี้ชิง....”
กำลังจะเดินเข้าหอพักเสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกจากทางด้านหลังทำให้คนหน้าหวานต้องหยุดเดิน นิ่งงันไม่หันมองทำได้เพียงแค่เงี่ยหูฟังเท่านั้น
“………...”
“โอกาส! ฉันขอแค่โอกาส มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปที่ฉันเรียกร้องจากนายอย่างหน้าไม่อาย แต่ฉันอยากแก้ตัวนะอี้ชิง ขอให้ฉันได้ชดเชยกับสิ่งที่ได้ทำกับนายเถอะ” คริสอ้อนวอนร้องขอ อี้ชิงจึงหันกลับไปมองอีกคนไร้ซึ่งความรู้สึกให้คนตัวสูงต้องเจ็บปวด
“จะชดเชยอะไรไม่ทราบในตอนนี้ สายเกินแก้เพราะทุกอย่างมันไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”
อี้ชิงเค้นยิ้มฝืนมันเพราะไม่ใช่วิสัย แต่นั่นอยากลองเข้มแข็งดูบ้าง อ่อนโยนเกินไปแลดูจะอ่อนแอ อยากลองเลวสักครั้งให้รู้ว่าเขาคนนี้ก็ทำได้
แล้วนั่น....คริสจะกลับมาทำไมอีก ไหนว่าอยากจะปล่อยเขาไป หายหน้าหายตาเสียหลายวันแล้วก็กลับมาเพื่อร้องขอแค่นี้น่ะหรือ
“มันไม่มีอะไรสายเกินไปหรอกนะอี้ชิง ฉันรักนายใช่ว่าเพิ่งรู้ตัว รู้สึกมานานแล้วหากแค่ไม่มั่นใจ”
อีกครั้งที่คำพูดของคริสทำให้อี้ชิงชาไปได้ทั้งร่าง อย่าเอ่ยแบบนี้อีกได้ไหมขอร้องเพราะหัวใจดวงเล็กมันคล้ายโดนบีบเค้น ที่เห็นก็แค่หน้ากาก เพราะอี้ชิงตัวจริงไม่เคยทำร้ายใครได้ลงคอ อีกคนคงไม่รู้ว่ากว่าจะอดทนได้ขนาดนี้มันไม่ง่าย เขาไม่เคยเป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามแม้ว่าทุกอย่างจะฝืนให้ต้องสู้มัน
“...เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้หรอก การที่เราได้มาพบกันมันเกิดจากความผิดพลาด ...เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ก็ต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า”
“แต่ความผิดพลาดมันทำให้ฉันได้รู้ว่า....ฉันรักนาย!...”
คริสเอ่ยสวนทันทีเพราะยังไงเขาตัดสินใจว่าจะเดินต่อไม่ถอยหลัง ถึงแม้ว่าทำใจให้ปล่อยอีกคนไปแล้ว แต่ความจริงมันย้ำว่าเขาไม่สามารถทนได้ พร้อมเจ็บ พร้อมรับชะตากรรม ขอแค่สักครั้งคือได้เดินเคียงข้างอีกคน
“มันก็แค่ลมปากไม่มีความน่าเชื่อถือ กี่ครั้งกันที่นายร้ายใส่ฉัน ทำดีให้เห็นแค่เพียงนิดแต่ร้องขอกันขนาดนี้มันมากเกินไปหรือเปล่า?”
อี้ชิงไม่ลดละต่อกลับเพราะความวูบไหวในอกทำให้เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทั้งผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ลอบมองเขากับคริสด้วยความอยากรู้ นั่นยิ่งทำให้อี้ชิงอยากจะจบเรื่องทั้งหมดให้เร็วขึ้น
“ถ้านายคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดมันคือลมปากไม่น่าเชื่อถือ แล้วจะให้โอกาสคนอย่างฉันได้พิสูจน์มันบ้างหรือเปล่า?”
อี้ชิงถึงกับเหนื่อยใจเพราะคนตัวสูงไม่เลิกลาจะตอแย อยากจะคิดว่าอีกคนก็แค่เล่นๆหากทว่าสีหน้าที่จริงจังกำลังทำให้เขาคิดเป็นอื่นไม่ได้
“ถ้ากล้าพูดขนาดนี้ก็ไปเลิกกับคนของนายให้ขาดก่อน นายคงลืมว่ายังมีหัวใจอีกดวงที่ต้องดูแล ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ โอกาสจากฉันก็ไม่ต้องเอา!”
เสียงหวานเด็ดขาดให้คนตรงหน้าค้างนิ่งตาแดงก่ำ อี้ชิงค่อยๆหันกลับหลังเดินเข้าประตูหอพัก แต่นั่นคำพูดของอีกคนยังคงรั้งและเขาเองก็ดันหยุดฟังมันอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเลิกกับแบคฮยอนแล้ว! ฉันจะทำให้นายมั่นใจว่าตอนนี้หัวใจของฉันมันหยุดอยู่ที่ใคร! ขอแค่...”
“ไม่ให้! ฉันไม่ให้โอกาสนาย...ชัดเจนนะ”
ไม่รอให้อีกคนเอ่ยจบอี้ชิงรีบตัดบทฉับพลันแล้วเดินเข้าหอไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่ได้รับฟังคำตอบต้องยืนน้ำตาคลอหน่วยหมดความเป็นลูกพี่ชายอีกครั้ง
น้ำตาที่ไหลออกมาทั้งหมดก็เพื่อคนตรงหน้าที่ชื่อจางอี้ชิง...
มือบางกดชั้นสิบเอ็ดแล้วปล่อยให้ลิฟล์ปิดเองเคลื่อนตัวขึ้นสู่ที่สูง ทิ้งแผ่นหลังพักพิงพลางยกมือขึ้นกุมขมับผ่อนลมหายใจ คำพูดที่เอ่ยบอกกับอีกคนใช่ว่าอี้ชิงไม่เจ็บปวด แต่นั่นเพราะคิดดีแล้วจึงอยากจบเรื่องให้มันไม่ยืดยาว
เดินออกจากลิฟล์มาหยุดยืนที่หน้าห้อง ไขกุญแจเสร็จมือบางจึงผลักประตูไม้บานหนาเข้าไปด้วยความเหนื่อยอ่อน อยากจะร้องไห้เหลือเกินหากทว่าตอนนี้มันกลับร้องไม่ออกเสียอย่างนั้น ก่อนจะทำท่าปิดประตูลงแล้วต้องการนอนพักสมองสักตื่น
“อี้ชิง... แฮ่กๆ”
คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือกเมื่อกำลังจะปิดประตูลง แต่นั่นมือหนาของใครบางคนกลับยื้อไว้ทำให้นิ่งค้างตกอกตกใจ
เสื้อนักศึกษาสีขาวแนบเนื้อตัวบางเปียกโชกพร้อมทั้งคนตรงหน้าที่ยืนหอบแฮก เรียกนัยน์ตาหวานให้มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า อี้ชิงนิ่งอึ้งในขณะที่อีกคนรีบแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาให้ห้องทันทีอย่างรวดเร็ว ไม่วายยังร้อนรนลงกลอนไม่รอช้า และนั่นกว่าสติจะกลับมาอีกครั้งคืออี้ชิงและคริสยืนอยู่ในห้องด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“นาย...มาได้ยังไง? ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
เห็นอีกคนยืนหอบอยู่ตรงหน้าอี้ชิงก็พอรู้ว่าวิ่งขึ้นบันไดมา แต่ใครบอกคริสกันว่าเขาพักอยู่ชั้นนี้นั่นแหละที่สงสัย คนตัวเล็กเดินเข้าหาอีกคนไม่รีรอ ผลักอกแกร่งบังคับให้ออกไปจากห้อง แต่แรงอันน้อยนิดใยจะทำให้อีกคนสะเทือนได้
“อี้ชิง ให้โอกาสฉันสักครั้ง ฉันขอร้อง”
“ฉันบอกนายชัดเจนแล้วนะว่าคำตอบคืออะไร นี่นายยังไม่เข้าใจอีกหรือยังไงกัน? ถ้ามันไม่ชัดพอ ฉันจะบอกนายให้ก็ได้ว่า ฉันเกลียดนาย....”
ช่างโหดร้ายเมื่ออี้ชิงชัดถ้อยชัดคำเสียให้ร่างกายไร้เรี่ยงแรง ขายาวทรุดฮวบลงกับพื้นก้มหน้านั่งคุกเข่าหัวใจเจ็บปวด คนตัวเล็กที่เห็นตามสัญชาตญานก็แทบจะปรี่เข้าไปหา แต่ยังคงคิดได้ว่าต้องใจแข็งถึงเอาแต่ยืนเฉยเสมองไปทางอื่น
ไม่นานเสียงสะอื้นไห้ก็ตามมาจากคนตัวสูง หยาดน้ำสีใสร่วงแหมะลงสู่พื้นจากนัยน์ตาคมลู่ลงตามใบหน้าหล่อ ไหล่หนาไหวผะแผ่วอดกลั้นเพราะน่าอายเหลือเกินที่เผยความอ่อนแอต่อหน้า ทำให้คนตัวเล็กที่ได้เห็นต้องตื่นตระหนกเพราะไม่คิดว่าคริสจะร้องไห้เพื่อเขาอีก
“ฮึก... ขอร้องเถอะอี้ชิง ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนใจร้าย ได้โปรดให้โอกาสคนโง่ๆอย่างฉันสักครั้ง”
ใบหน้าหล่อก้มลงมองพื้นยกมือปิดหน้าในท่าคุกเข่า จมูกแดงคล้ายรอยช้ำเห็นแล้วอี้ชิงใจอ่อนยวบไม่เป็นท่า คนตัวเล็กเหลือบมองคนร้องไห้เล็กน้อย ผ่อนลมหายใจพรั่งพรูเพราะสุดท้ายก็แพ้คาบน้ำตาจากคนที่เคยใจร้ายต่อกัน
“อ...อย่าร้อง” เอ่ยพูดเสร็จก็รอดูท่าทีของอีกคน เห็นว่าคนตัวสูงยังเอาแต่นั่งสะอื้นไห้อี้ชิงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“………”
“เฮ้อ! คริส เลิกร้องไห้แล้วลุกขึ้นได้แล้วน่ะ”
“ฉัน...รอโอกาสอยู่”
ใบหน้าหวานส่ายไปมาเมื่ออีกคนยังดื้อด้านไม่รู้ฟัง
“ถ้างั้นก็รอต่อไป ไม่มีให้นายหรอกโอกาสน่ะ”
อี้ชิงสะบัดหน้าหนีทำท่าจะเดินเข้าห้องน้ำ ทว่าคนตัวสูงที่นั่งอยู่กับพื้นในตอนแรกพรวดพราดลุกขึ้นยืนแล้วโผลเข้าหาเขาทันที ด้วยความตกใจจึงส่งมือเล็กเข้าผลักที่อกแกร่งเสียเต็มแรงหมายป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ ส่งผลให้คริสหงายหลังล้มตึงไปบนฟูกนุ่ม ทั้งสองแขนที่โอบรัดร่างเล็กอยู่ก็ทำให้อี้ชิงล้มลงตามไปด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“โอ้ย!”
คริสโอดโอยครวญครางยามร่างบอบบางของคนที่อยู่ด้านบนหล่นทับเขาจนเต็มแรง แผลเดิมปริอีกครั้งให้เลือดซึมผ่านเสื้อที่สวมใส่อยู่ไม่รู้ตัว แต่นั่นทุกอย่างก็เงียบลงฉับพลันเมื่อตาต้องตาปล่อยลมหายใจให้เป่ารดกันเพราะใบหน้าเว้นระยะห่างไม่ถึงคืบ
อี้ชิงช่างหอมนั่นคือความคิดของคนตัวสูงที่พยายามห้ามใจไม่ให้ทำรุ่มร่ามกับอีกคน คนด้านบนที่อึ้งเผยให้เห็นใบหน้าขึ้นสีระเรื่อจนคริสไม่อยากจะเชื่อ หรือจะเขินไม่แน่ใจเพราะในตอนนี้หัวใจที่ห่อเหี่ยวมันกำลังพองลมขึ้นมาอีกครั้ง
“เมื่อไรจะเลิกยุ่งกับฉันสักที ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าได้จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ไหนว่าจะปล่อยฉันไปไง แล้วตอนนี้กลับมาทำไมผิดคำพูดนะรู้หรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยหากไม่อยากให้ทุกอย่างผิดลู่ผิดทางจนเกินเลย หันเหไปหน้าหลบหนีทั้งที่ทาบทับร่างของอีกคนอยู่
นัยน์ตาหวานลอกแล่กกลอกมองไปรอบๆคล้ายทำอะไรไม่ถูก ความร้อนผ่าวก่อขึ้นในอกยามเห็นว่าคนตัวสูงเอาแต่จ้องมองมาที่เขาไม่ลดละสายตาไปทางอื่น มีอะไรทำไม่พูด อี้ชิงไม่ชอบความเงียบและสายตาที่คาดเดาไม่ได้
“จะว่าฉันหน้าด้านก็ได้ไม่เถียงเลยสักนิด แต่เพราะรู้ตัวว่ารักมาก ...เลยไม่คิดว่าจะทนได้ถ้าต้องปล่อยให้นายจากไปโดยไม่ทำอะไรเลย” เพียงไม่นานคริสก็บอกความจริงไปหมดทุกอย่าง หากทว่าม่านตาคมยังคงจดจ่ออยู่ที่เดิม อยู่ที่ดวงหน้าหวานขึ้นสีของคนตัวเล็กบนร่างกาย
“…………”
เงียบเหมือนเดิมคืออี้ชิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ กายเล็กค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าหน้าผมแก้เก้อ
คริสที่ให้อีกคนทับร่างมาเสียนานจำต้องกัดฟันกรอดอดกลั้นเพราะบาดแผลเริ่มเอ่อความเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นเจ็บได้ไม่เท่าคนหน้าหวานที่ไม่พูดจาอะไรกับเขาเลยสักคำ ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามอีกคนแล้วไม่ลดละความพยายาม
“ฉันยังไม่ได้คำตอบเลยนะอี้ชิง โอกาสน่ะให้คนอย่างฉันบ้างได้ไหม?”
คำถามเดิมหนักแน่นไม่ยอมถอย อี้ชิงได้ฟังถึงจะเหนื่อยใจแต่คริสคงไม่เลิก ดูจากที่ผ่านมาก็รู้ เขาจะหายไปอยู่ไหนทำอะไรอีกคนก็รู้ได้ตลอด
“....ก็ไหนว่ารักกันไง แล้วใจร้อนทำไมรอคอยบ้างไม่เป็นเหรอ?”
พูดแค่นั้นคนหน้าหวานพลันก้าวฉับทำท่าจะเดินไปเปิดประตูเชิญคริสออกจากห้อง แต่นั่นมือหน้ากลับรั้งให้เขากลับมาประจันหน้าเหมือนเดิม อี้ชิงแพ้สัมผัสจากคนตัวสูงพลันปัดมือไม่อยากให้แตะต้อง หากแต่ไม่ได้ตั้งใจมือบางกับกระแทกเข้าที่บาดแผลของอีกคนจนเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนติดมือกลับมา
“อ๊ะ!”
“คริส!” สัญชาตญาณของความเป็นห่วงเป็นใยมันกำเลิบ ร่างกายบางถลาเข้าหาอีกคนเมื่อคริสคร่อมตัวกุมแผลด้วยความเจ็บปวด
อี้ชิงประคองคนตัวสูงให้ไปนั่งหย่อนกายลงที่ปลายเตียง คริสเองก็ไม่ได้ขัดจึงทำตามไม่อีดออด เจ็บจนพูดไม่ได้คงเหมาะกับสถานการณ์นี้ ก่อนจะเห็นคนหน้าหวานเดินไปหยิบกล่องพยาบาลในตู้ที่ติดอยู่ข้างพนังห้องซะสูงกว่าร่างกายอีกคน
คริสนึกขันในใจเมื่อคนตัวเล็กเดินดุ่มไปเอาเก้าอี้ม้านั่งมาต่อตัวขึ้นไปหยิบมัน ภาพในกรอบม่านตาอดให้อมยิ้มเสียไม่ได้ น่ารักเกินไปจริงๆสินะอี้ชิงของคริส ของใครไม่รู้ทว่าตุตะให้เป็นของตัวเองไม่สนใจ
“ถอดเสื้อสิจะทำแผลให้” ใบหน้าหวานง่วนหาของในกล่องพยาบาล คิ้วเรียวขมวดเป็นปมคล้ายกังวลอย่างน่าเอ็นดู แต่คริสอยากเจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์กับคนน่ารักจะได้ไหม
“………..”
“บอกให้ถอดเสื้อยังไงล่ะคริส”
“ขยับนิดนึงมันก็เจ็บ แค่ยกแขนก็เจ็บแล้ว” ตีหน้านิ่งทำเหมือนจริงจัง ไม่ให้อี้ชิงจับได้ว่าคริสคนนี้หวังให้อีกคนดูแลทั้งร่างกายและหัวใจ
“ทำตัวเป็นเด็ก!” จิ๊ปากไม่สบอารมณ์พลางบ่นพึมพำเบาๆให้คริสอยากจะยิ้มออกมา
มือบางเอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาให้คนตัวสูงทีละเม็ดอย่างยากลำบาก แรงสั่นนิดๆทำให้คริสต้องหลุบม่านตามองว่าคนตัวเล็กกำลังทำอะไรกับเสื้อที่เขาสวมใส่อยู่ ก่อนจะแน่ชัดเพราะอี้ชิงมือสั่นเหงื่อออกพลั่กเสียน่ารักเลย
“สั่นทำไม?” คริสเอ่ยถาม อี้ชิงชะงักก่อนจะเขม่นมองแล้วชักมือตัวเองกลับทันที
“ถอดเองเลยไป เร็วๆด้วย”
พูดแค่นั้นก็ก้มหน้าก้มตาหายาฆ่าเชื้อในกล่องพยาบาลหลบซ่อนความร้อนผ่าวที่เอ่อออกมาข้างนอก แนวฟันสวยขบกัดริมฝีปากร่างอย่างประหม่า พลาดแล้วที่เผยมันให้คริสเห็น ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรแต่อี้ชิงคล้ายตัวรุมๆจะเป็นไข้ก็ไม่ปราน
คนหน้าหวานค่อยๆบรรจงทำแผลให้คนเจ็บอย่างเบามือ ใบหน้าที่จริงจังทำให้คริสลอบมองไม่ทั้งเชยชม คิ้วเรียว จมูกรั้น แพขนตาหนา ริมฝีปากอิ่มวาวระยับ ทั้งโครงหน้าสวยทุกอย่างรวมเป็นอี้ชิงที่สมบูรณ์แบบ ขาวสะอาดถึงเพียงนี้คริสก็ทำให้มีมลทินเสียอย่างนั้น แต่นั่นเขาจะลบมันเอง ลบเรื่องเลวร้ายทุกอย่างให้เป็นโอกาส โอกาสให้คนอย่างเขาได้ครอบครองอีกคนทั้งร่างกายและหัวใจ
“เวลานายอายเนี่ย...น่ารักจังเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยผะแผ่วจ้องเชยชมใบหน้าหวาน คนฟังชะงักค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบเร่งทำแผลให้คริสอย่างรวดเร็วไม่อยากให้พูดจาเพ้อเจ้ออีกต่อไป
“ใครอาย? แล้วเวลานายร้องไห้...ก็น่าเกลียดดีนะ” อี้ชิงสวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เก็บขวดยาลงกล่องพยาบาลอย่างรวดเร็วเมื่อทำแผลให้อีกคนเสร็จ ลุกยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะทำท่าเดินเอาไปเก็บไว้ที่เดิมของมันที่เคยอยู่
“ร้องไห้ให้นาย... ถึงน่าเกลียดได้แต่นั่นก็เพราะรัก”
ไม่อาจนับครั้งได้ว่าอี้ชิงสะดุดกลางคันไปกี่ครั้ง ก้อนเนื้อในอกซ้ายเอาแต่ส่งเสียงตึกตักระรัวจนจับจังหวะไม่ได้ วูบโหวงในท้องน้อยเหมือนอาการบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายให้มันชัดเจน คริสกำลังลุกเขาอย่างไม่ไว้หน้า
เพราะฉะนั้น...
“กลับบ้านไปได้แล้ว ฉันเหนื่อยอยากจะนอนสักงีบ”
เอ่ยไล่ก็หันไปมองคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงแว้บนึง อี้ชิงพลางใช้เท้าดันเก้าอี้ม้านั่งตัวเล็กไปอยู่ที่หน้าตู้ติดกับพนังห้อง เหยียบขึ้นไปยืนข้างบนแล้วยืดตัวส่งกล่องพยาบาลเก็บไว้ตรงที่เดิม
เสร็จสับจึงหันหลังกลับมา หากแต่ลมหายใจพลันขาดห้วงเหมือนมันจะหยุดแล้วไม่กลับเข้าปอดอีก นัยน์ตาคู่กลมเบิกกว้างเมื่อใบหน้าคมของคนตัวสูงอยู่ใกล้กันเพียงลมหายใจคั่น ปลายจมูกโด่งแตะกันแผ่วเบา ลมอุ่นที่เป่ารดให้หัวใจวูบไหวอ่อนระทวยจนแทบจะล้มพับ เพราะอยู่บนเก้าอี้อี้ชิงจึงสูงเทียบเทียบเท่าคริสอย่างไม่มีข้อสงสัย แล้วมาตอนไหนเขาเองก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคือภาพทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวให้รู้สึกได้ว่ามันไม่ธรรมดา
คริสไม่รอช้าส่งอ้อมแขนแกร่งโอบรัดร่างเล็กให้แนบกาย อี้ชิงพยายามดิ้นคริสเองก็กัดฟันแน่นเพราะเจ็บแผลที่ข้าวเอว แต่ไม่ยอมแพ้เพราะไม่อยากปล่อยให้คนหน้าหวานจากไปไหนอีก รักหมดใจแล้วและก็รักมากด้วยอี้ชิงจะรับรู้บ้างไหม
“นายจะได้ทำแผลให้ฉันอีกรอบนะถ้าเอาแต่ดิ้นแบบนี้น่ะอี้ชิง” เอ่ยพูดในขณะที่ค่อยๆรั้งร่างเล็กให้เข้ามาสวมกอด กระชับให้แน่นเพียงนิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มให้รู้ว่าคริสน่ะทะนุถนอมอี้ชิงที่สุด
“คราวนี้เบื่อจะทำให้แล้ว แผลนายจะเป็นยังไงใช่เรื่องของฉันหรือ ตัวใครตัวมันไม่สนใจหรอก” อี้ชิงยืนนิ่ง ปากว่าไปทว่าร่างกายไม่ผลักไส หงุดหงิดตัวเองเพราะดีเกินไปจึงไม่อาจทำให้อีกคน เจ็บ คำพูดที่สวนทางแบบนี้ไม่ใช่ตัวอี้ชิงเลยสักนิด ทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่นมันชวนให้ทำอะไรไม่ได้อีกเลย
“ถ้าฉันเป็นอะไรไปนายจะไม่เสียใจเลยเหรอ? จะรักกันบ้างหรือเปล่านะอยากรู้เหลือเกิน ต้องรออีกนานไหมโอกาสที่นายจะให้ รู้ตัวแล้วว่าอี้ชิงน่ะสำคัญสำหรับฉันแค่ไหน แค่อยากดูแล...อ่า ไม่แค่สิ ต้องบอกว่าอยากดูแลหัวใจนาย ทั้งร่างกายของนายฉันก็อยากจะดูแล”
คริสอ่อนโยนจนอี้ชิงเริ่มคลายความเป็นตัวเองเสียจนหมด นัยน์ตาคู่กลมคลอหยาดน้ำไร้สีที่ไม่รู้ว่าเอ่อขึ้นในตอนไหน แรงกระเพื่อมที่หน้าอกคริสเองอาจจะรับรู้ก็เป็นได้ มันออกจะชัดเจนทั้งดังโครมครามเสียขนาดนั้น อยากผลักไสอยากไล่ส่ง แต่ทำไม...คนใจร้ายถึงกลายเป็นคนดีเข้ามามีอิทธิพลกับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
“……….”
“จะไม่เชื่อก็ได้นะอี้ชิง แต่ให้ใจไปแล้ว อยู่ที่นายจะรับมันไว้หรือเปล่า…ให้แล้วให้เลยไม่ขอคืน”
“มันยากที่ฉันจะเชื่อ ก็นายทำให้ฉันเจ็บไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้ารักกันจริง....”
อี้ชิงเงียบลงไม่ต่อประโยคให้สมบูรณ์ คริสเองก็เข้าใจถึงจะคาดหวังอยู่ลึกๆก็ตามที เป็นใครเจอแบบอีกคนคงไม่มีวันมองหน้าเขาอย่างแน่นอน แต่เพราะคนนี้คือจางอี้ชิง ใจดีแสนดีมีคนเดียวในโลก
แต่นั่น...อยู่ๆหัวใจกลับเหมือนหยุดเต้นไปชั่วคณะ เมื่อนัยน์ตาคู่คมเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นตาบนโต๊ะหนังสือ แน่ชัดแล้วคริสพลันเผยยิ้มทันทีอย่างไม่รู้ตัว ไม่ใช่รอยยิ้มที่ฝืนหากแต่เป็นรอยยิ้มแห่งความดีใจที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา
การ์ดสีม่วงที่คริสจำได้ว่าเป็นคนเลือกมันมากับมือ ตัวหนังสือข้างในก็ของเขาเองจำได้ไม่ยาก พร้อมทั้งก้านของดอกกุหลาบที่ยื่นจากในหนังสือให้เห็นเหมือนถูกทับไว้จนแห้งกรอบ อี้ชิงเก็บมันมาทั้งที่โยนทิ้งลงถังขยะเองไปกับมือ คนหน้าหวานเก็บมันมาทำไม...
คล้ายคนฝุ่นเข้าตาอีกครั้ง คริสรีบกะพริบมันถี่ๆกลัวว่าจะร้องไห้ต่อหน้าอี้ชิงอีกระลอก ดอกกุหลาบสีขาวที่เขามอบให้อีกคนกับมือตอนแรกมันอยู่ในถังขยะไร้การเหลียวแล หากแต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ในห้องของคนที่เขาเทใจไปให้ทั้งดวงทำเอามีความสุขจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
… แค่นี้ก็มากพอแล้วกับโอกาสที่อี้ชิงให้โดยไม่บอกกล่าว คริสจะจดจำมันไปตลอด...
ร่างสูงผละตัวออกมาเล็กน้อยจ้องหน้าอี้ชิงนิ่ง รอยยิ้มเมื่อครู่พยายามปรับในเป็นปกติเหมือนเดิมดั่งในตอนแรก ยกมือประคองเรียวหน้าหวานของอีกคน โน้มตัวเข้าหาอย่างช้าๆ ไม่ได้บังคับร่างกายแรงดึงดูดจากคนตัวเล็กก็ช่างเป็นเครื่องมือช่วยให้เป็นอย่างดี
ริมฝีปากเรียวทาบทับฝังความรักให้กลีบปากอิ่มสีชมพูอ่อน ค้างไว้ให้ความอุ่นส่งผ่านเพื่อรับรู้ว่าเขามีตัวตนจริง คริสอ่อนโยนจนแทบไม่เคยเป็นมาก่อน ดูดเม้มแผ่วเบาเนิบนาบปล่อยความต้องการให้เป็นตัวนำพา แค่อี้ชิงไม่ต่อต้านนั่นถือว่าเขาประสบความสำเร็จไปเกินครึ่ง
“อืม...”
เสียงครางผะแผ่วทำให้มีความสุข มือบางที่หาแหล่งยืดเหนี่ยวไม่ได้เพราะตอนนี้คริสไม่ได้ใส่เสื้อจึงสวมกอดที่รอบเอวทำให้ตกอกตกใจ อี้ชิงหลับตาพริ้มตอบรับไม่ประสาให้คนตัวสูงได้กอบโกยอย่างเต็มอก ส่งลิ้นร้อนเข้าควานหาความหอมหวานในโพลงปากทุกอณูและเก็บเกี่ยวทุกหยาดหยด เอียงหน้าเอ็กน้อยบดคลึงเบาๆกลัวว่าปากนิ่มของคนน่ารักจะบอบช้ำแล้วเขาเองจะเจ็บปวด หวานเหลือทนเพราะครั้งแรกที่อี้ชิงไม่ต่อต้าน ใกล้กันเกินก็หอมกลิ่นประจำกายเล็กที่คุ้นเคย คริสเกรงว่าจะถลำลึก เกรงว่าผละออกแล้วอี้ชิงจะไม่ใช่คนเดิมในเวลานี้ แต่อยากให้รู้ว่าเขาแน่ใจและมั่นใจที่สุด เพราะอีกคนคือหัวใจทั้งดวงที่คริสให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจะปล่อยจากไปคงไม่ยอม
ปล่อยริมฝีปากออกก็เห็นว่าใบหน้าหวานตรงหน้าขึ้นสีที่พวงแก้มเสียน่ารัก อี้ชิงมีหยาดน้ำคลอที่ดวงตาเล็กน้อยทั้งทรุดลงจนคริสต้องประคองกอด ก้มหน้าไม่กล้าสบมองนัยน์ตาคมตรงๆ เพราะยอมไปแล้วจะให้ทำอย่างไรได้ คิดว่าหัวใจก็ต้องการถึงไม่ขัดขืนเหมือนเมื่อก่อน แพ้ความอ่อนโยน ทั้งที่เคยใจร้ายทว่าคริสกลับกอดเขาเหมือนสิ่งของที่ล้ำค่า อีกคนยิ่งทำแบบนี้ อี้ชิงจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง แต่นั่นจะเป็นอย่างไรต่อไปเขาก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้
“ขอบคุณที่เก็บหัวใจฉันมานะอี้ชิง”
คริสเอ่ยพูดอี้ชิงเองจึงเงยหน้าขึ้นมอง ผละออกจากกันได้ทว่าปลายจมูกโด่งยังคงแตะผะแผ่วไม่ออกห่าง คนหน้าหวานหอบหายใจรัว มือที่กอดอีกคนอยู่กลับกอดรัดแน่นไม่รู้ว่าตอนไหน
คริสยกยิ้มทันทียามได้รับรู้ถึงสัมผัสที่รอบเอว ก่อนจะกดหัวทุยของคนตัวเล็กให้ฟุบลงที่ลาดไหล่ ลูบกลุ่มผมนุ่มพร้อมทั้งมอบจุมพิศที่ขมับขาวให้อย่างอ่อนโยน
น่ารัก... น่ารักมากจริงๆ ทั้งที่ยืนอยู่บนเก้าอี้ม้านั่งแล้วก็ยังไม่สูงไปกว่าเขานะจางอี้ชิง จะทะนุถนอมอีกคนให้ดีที่สุด ขอแค่ได้โอกาสคริสจะไม่ปล่อยมันไป
…ERROR…
*** มันยาวมากค่ะ เพราะยาวรู้ว่าหลายคนจะเม้นแบบสั้นๆหรือขี้เกียจจะเม้นใช่ไหม??? ><
ขอนะคะ ไรท์แต่งแชปนี้มาร่วมอาทิตย์กว่า T0T
ไม่เคยเรียกร้องมานานนมแต่อยากให้เม้นติชมกันจริงๆ ^^
มีคอมเม้นก็มีกำลังใจจะแต่ง จะมาเร็วถ้าได้กำลังใจดีนะคะ >///<
ความคิดเห็น