คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ll ERROR ll CHAPTER 5
ERROR
CHAPTER 5
[KRISLAY & KAILU]
สิบกว่าวันแล้วที่อี้ชิงหนีจากคนใจร้ายไปอยู่ที่หอพักของคุณพ่อเซฮุน จิตใจสงบขึ้นเพียงนิดหากแต่นั่นยังต้องคอยหลบๆซ่อนๆเพราะคริสเองก็อยู่ในรั้วมหาลัยเดียวกันไม่รู้ว่าวันไหนจะได้พบปะเจอะเจอ
ทุกเย็นหลังเลิกเรียนอี้ชิงต้องอยู่ซ้อมการแสดงสำหรับงานประกวดดาวเดือนในอีกสองวันที่จะมาถึงพร้อมกับกูฮาร่า โดยมีรุ่นพี่ที่ได้รับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้วอย่างมินโฮคอยเทรนให้ไม่ขาดตกบกพร่อง เสร็จสับจึงกลับมาที่หอพักพร้อมเซฮุน ไม่วายยังต้องแวะทานอาหารกันก่อนเพื่อรองท้องไปตลอดทั้งคืน
“พรุ่งนี้เจอกันนะเซฮุน”
“แล้วเจอกันอี้ชิง”
โบกมือลาพร้อมทั้งรอยยิ้มให้เพื่อนร่างโปร่งคนหน้าหวานจึงเดินเข้าลิฟท์กดชั้นสิดเอ็ดก่อนจะมาถึงที่ห้องด้วยสภาพร่างกายไม่ค่อยสู้ดี เหนื่อยล้าทั้งยังง่วงนอนเต็มแก่
อี้ชิงถอดกระเป๋าเป้โยนกองไว้ที่พื้นพลันล้มตัวทิ้งกายลงบนที่นอน ถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่ปล่อยความอึดอัดให้หายไป ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากจึงปิดเปลือกตาลงหวังงีบสักครึ่งชั่งโมงแล้วจะตื่นไปอาบน้ำเตรียมอ่านหนังสือเหมือนทุกๆวัน
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
แต่นั่นเสียงเรียกเข้าจากเครื่องมือสื่อสารทำให้เปลือกตาบางต้องเปิดขึ้นรับรู้อีกครั้ง ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึงมันออกมาก่อนจะหรี่ตามองเบอร์ที่โชว์หราแล้วอมยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ยามรู้ว่าเป็นใคร
“ว่าไงลู่หาน?” เสียงหวานกรอกลงตามสายส่งหาคนปลายทาง นึกแปลกใจเพราะร้อยวันพันปีคนเป็นน้องเคยเสียที่ไหนจะโทรหากันเหมือนอย่างในตอนนี้
“อี้ชิง พี่คริสมาหานายที่บ้าน…”
สิ้นเสียงของน้องชายรอยยิ้มหวานที่เผยกว้างพลันหายไปในพริบตา มือไม้สั่นเทาไร้เรี่ยวแรงจะถือโทรศัพท์ใว้แนบหูจนเกือบหล่น อี้ชิงคิดว่าเขาจะหลุดพ้นได้ซะอีกหากแต่ก็เหมือนเดิมคือโชคชะตาฟ้าลิขิตให้คนอย่างเขาต้องพบเจอแต่เรื่องเลวร้าย
“……” อี้ชิงนิ่งค้างไม่รู้จะพูดอะไรตอบกลับไปให้อีกคน ความกลัวกำลังกลั่นหยาดน้ำสีใสให้เกิดขึ้นก่อนมันจะไหลลงข้างหางตาโดยไม่รู้ตัว
“พี่เขาดูไม่ค่อยสู้ดีเลยนะ นายจะเอาแต่หนีอยู่แบบนี้หรือไง? คุยกับพี่เขาให้จบๆไปจะได้หายเคืองใจกัน”
ลู่หานแนะพร้อมทั้งถอนหายใจ จริงๆคริสมาตามหาอี้ชิงที่บ้านทุกวันเสียด้วยซ้ำ หากแต่เขาเลือกที่จะไม่พูด รู้ดีว่าพี่ชายเป็นกังวลถึงต้องโกหกอีกคนให้กลับไปด้วยความเห็นใจ
“ฉ...ฉันกับเขาไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วลู่หาน ว่าแต่...คริสไม่ได้ทำอะไรนายใช่ไหม?”
เหมือนจะนึกอะไรออกเสียงหวานพลันรีบร้อนรนรานเอ่ยถาม นึกเป็นห่วงเป็นกังวลเพราะรู้จากปากอีกคนว่าลู่หานนั่นแหละคือเป้าหมายตัวจริง ถึงจะเชื่อเพียงนิดว่าคริสจะไม่ทำอะไรน้องแต่รายนั้นหลงแฟนหัวปักหัวปำอี้ชิงไม่ไว้วางใจ
“ก็เปล่าหนิ พี่เขากลับไปแล้วพอรู้ว่านายไม่อยู่บ้าน ฉันขี้เกียจตอบคำถามเดิมๆเพราะพี่เขามาหานายทุกวันตั้งแต่นายไปอยู่หอ...ฉันเลยบอกไปว่านายย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
“ล..แล้วนายได้บอกหรือเปล่าว่าฉันอยู่ที่ไหน?” อี้ชิงร้อนรุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก หากว่าลู่หานปริปากบอกคริสไปนั่นคือเขาจะอยู่ไม่เป็นสุขอีกครั้ง
“ไม่ได้บอก ก็รู้หนิว่านายกำลังหนีเลยไม่พูดมัน”
“อืม ขอบคุณมากนะลู่หาน”
“ไม่เป็นไร ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะ”
“อื้อ”
วางสายจากน้องชายกายบางจึงค่อยๆพลิกตัวนอนคว่ำหน้าปล่อยโฮในทันที ความเหนื่อยจากการเรียนยังไม่เท่าไหร่หากแต่เหนื่อยที่ต้องคอยระแวงตลอดเวลาอี้ชิงไม่ชอบเลย ไม่มีสมาธิทำอะไรสักอย่างให้เป็นชิ้นเป็นอันพลันต้องล้มเลิกกลางคันเพราะเรื่องวุ่นวายเข้าก่อกวนในหัวสมอง คิดว่าจะหยุดได้ทว่าสิ่งที่หยุดไม่ได้คือความคิดของเขานั่นเอง
…ERROR…
สี่ทุ่มเวลาประจำสำหรับลู่หานถือเป็นเรื่องปกติ คนน่ารักกำลังนั่งจิบน้ำสีอำพันริมถนนในร้านปลอดผู้คนใต้แสงไฟสลัวยามค่ำคืน เสียงเพลงคลอเคล้าทั้งลมพัดเอื่อยผ่านร่างกายทำให้ได้ผ่อนคลาย ความสงบถือเป็นสิ่งที่โปรดปรานของคนดื้อรั้นทว่าจิตใจอ่อนโยน ลู่หานชอบมันเพราะทำให้เขาได้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทั้งยังได้อยู่กับตัวเองไร้คนเข้าก่อกวน
“นั่งด้วยได้หรือเปล่า?”
แต่อยู่ๆความสงบของเขากลับเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆยามผู้มาใหม่เอ่ยพูดทักถาม ใบหน้าน่ารักค่อยๆเงยขึ้นสบมองก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเหลือบม่านตามองโต๊ะข้างแทนๆ
“โต๊ะอื่นก็ว่างนั่งไม่ได้เหรอครับ?” คำพูดคำจาผิดหน้าตาทำให้คนที่ยืนค้ำหัวอยู่ต้องยกยิ้มมุมปาก
ลู่หานเองรู้ดีเพราะเจออยู่ทุกวี่ทุกวันไอ้ที่ตามจีบหวังผลในตัวเขามันน่าเจอดีนัก เห็นเที่ยวกลางคืนหัวดื้อใช่ว่าจะใจง่ายให้ร่างกายใครฟรีๆ แต่ทว่าอีกคนที่มารบกวนกลับยังยืนนิ่งไม่ไปไกลสายตาทำให้ลู่หานต้องเหลือบมองอีกครั้ง
“อายุถึงสิบแปดหรือยังเนี่ยเข้าร้านเหล้าได้ด้วย?” คนเอ่ยถามยียวนกวนโทสะ ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับลู่หานโดยไม่สนใจประโยคคัดค้านก่อนหน้าแม้แต่น้อย
“ผมยังไม่ได้อนุญาตเลยนะครับ สมบัติผู้ดีมีในตัวพี่หรือเปล่า?”
เจ็บแสบหากแต่คนตัวสูงที่ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะด้วยกลับยกยิ้มรู้สึกชอบใจ เห็นใบหน้าน่ารักที่เอ่ยพูดประโยคเรียบๆแต่เจ็บถึงทรวงบอกได้เลยว่าเพิ่งเคยพบเคยเห็น
“จริงๆสมบัติผู้ดีก็พอมีอยู่บ้าง แต่วันนี้ไม่ค่อยอยากใช้”
“หึ! ปากดี”
ลู่หานบอกได้เลยว่าอีกคนวอนโดนรองเท้ามากจริงๆ แต่นั่นถ้าอยากนั่งก็นั่งไปเขาจะไม่ขัดเลยสักนิด ไม่อยากสุงสิงขออยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองยังจะดีกว่าไปต่อล้อต่อเถียงกับอีกคนเสียเวลาเปล่า
“แล้วน้องมาคนเดียวเหรอพ่อแม่รู้ไหมเนี่ย? เด็กมัธยมสินะ” คนร่วมโต๊ะยังคงทักถามอยู่เช่นเคยทั้งยังมองสำรวจลู่หานไม่วางตา
“ถ้าอยากนั่งร่วมโต๊ะกับผมก็ช่วยเงียบปากหน่อยนะครับ ผมรำคาญ…”
คำพูดเรียบง่ายเปล่งออกมาอีกครั้งจากคนน่ารักที่แสดงออกว่าไม่รู้สึกรู้สา ทำเอาอีกคนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะไหวไหล่แล้วนั่งเงียบมองใบหน้าน่ารักของลู่หานอยู่เงียบๆ
“เห้ยจงอิน! ร้านนี้เว้ย! นายเข้าผิดร้าน”
เสียงแหลมจากร้านติดกันตะโกนเรียกเพื่อนผิวเข้มทั้งยังนึกขำ เห็นใบหน้าคมคายเลิกลั่กพลันให้กลั้นเสียงหัวเราะไว้แทบไม่อยู่
“อ้าว! ไหนบอกนัดกันที่ร้านฟาโรห์อ่ะซิ่วหมิน?”
มือหนายกขึ้นเกาศีรษะตัวเองแก้เก้อ เหลือบมองคนน่ารักที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เห็นว่ารายนั้นกระตุกยิ้มมุมปากทำเอาความอายโหมกระหน่ำใส่ให้เสียฟอร์ม
“ฉันให้นายมองป้ายร้านใหม่อีกครั้ง ไม่ทันแก่นี่ตาฝ้าฟางแล้วหรือไง? มาเลยเร็วๆรอนานแล้วเนี่ย!”
ซิ่วหมินรีบกวักมือเรียกเพื่อนผิวเข้มก่อนจะกลับไปนั่งยังโต๊ะที่มีเพื่อนต่างสาขาอย่างจงแดร่วมด้วยอีกคน ไม่ได้บอกเซฮุนกับอี้ชิงเพราะคู่นั้นเด็กเรียนไม่สนใจเรื่องแบบนี้ซิ่วหมินรู้ดีเลยไม่บังคับ
“พี่ไปก่อนนะครับน้อง ถ้านั่งคนเดียวเหงาจะมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกพี่ก็ไม่รังเกียจ”
ก่อนจะเดินจากไปจงอินไม่วายเอ่ยกวนประสาทลู่หานอีกระลอก เห็นท่าทางหยิ่งยะโสอดให้เขาอยากแกล้งไม่ได้เลยจริงๆ
“พี่ไม่รังเกียจ แต่...ผมรังเกียจครับ”
พูดเสร็จจึงกระดกของเหลวลงคอแล้วเสมองออกนอกร้านมองแสงไฟไม่สนใจ ทำเอาจงอินต้องสะดุ้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ตั้งแต่ที่ได้พบเจอกับคนน่ารักปากหนัก แต่นั่นกลับโดนใจเพราะไม่ว่าใครๆก็เข้าหาเขาก่อนเสมอ แต่ลู่หานเป็นคนแรกที่ปฏิเสธทั้งยังแอบด่าทางอ้อมให้ได้ยิ้มอยู่ตลอด
คนกวนประสาทเดินจากไปลู่หานจึงส่ายหน้าระอากับความเป็นเด็กของอีกคน มั่นใจนะว่าเป็นรุ่นพี่ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด ก่อนจะนั่งชิลรับลมเย็นๆไปคนเดียวจนถึงเวลาอันสมควรลู่หานจึงเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วเดินออกจากร้านไปเรียกแท็กซี่ที่ป้ายรถเมล์
หากแต่วันนี้แท็กซี่กลับมีน้อยนิดเพราะไม่ใช่วันศุกร์สุดสัปดาห์ที่คนแห่มาคลายสมองกัน ลู่หานจึงนั่งรอแบบนั้นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ได้กลับบ้าน ไม่กังวลรู้ดีเพราะทุกครั้งที่ท่องราตรีมันเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยไป แต่เสียยังไงเขาก็ยังอดทนรอได้โดยนั่งเล่นมือถือไปพรางๆฆ่าเวลาให้เพลิดเพลิน
“มาคนเดียวเหรอครับน้อง?”
ลู่หานถอนหายใจรู้ได้ในทันทีกับเรื่องที่พบเจอ พลางเหลือบม่านตามองชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักก่อนจะก้มลงเล่นมือถืออีกครั้งไม่คิดจะสนใจทั้งยังไม่ต่อบทสนาให้เสียเวลา
“………”
“ไปกับพี่ไหมครับ? พี่จ่ายไม่อั้นนะ”
มือบางกำเข้าหากันแน่นยามคำพูดไม่ชอบใจลอยเข้าสู่โสตประสาทให้ห้วนคิดเรื่องเก่าๆที่ใครบางคนได้ดูถูกเขาไว้จนนึกโกรธ แต่นั่นลู่หานยังคงอดทนไม่สนใจอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ในกายจะร้อนรุ่มแทบปรี่เข้ากระทืบคนตรงหน้าให้หายคันเท้าเสียด้วยซ้ำ
“……….”
“ไปกับพี่เถอะนะ พี่จ่ายให้ตรงนี้เลยไม่มัดจำให้เสียเวลา”
มือกร้านของชายแปลกหน้าส่งมายื้อข้อมือของลู่หานแล้วกระตุกให้ลุกขึ้น ออกแรงกระชากเล็กน้อยให้ยอมไปด้วยกันทั้งๆที่ไม่เต็มใจ แล้วอีกคนเป็นใครมาจากไหนมั่วหรือเปล่าไม่อาจรู้ได้ ไม่ชอบใจลู่หานจึงสะบัดข้อมือออกด้วยโทสะ อดกลั้นไม่ไหวเมื่อคำก็เงินสองคำก็เงินเขาไม่ได้ขายตัวเสียเมื่อไหร่ถึงจะได้ยอมง่ายๆไม่ถือศักดิ์ศรี
“กูไม่ไป! ชัดเจนไหม?”
พูดเสร็จคนน่ารักทำท่าจะเดินหนีไม่อยากสาวความ แต่นั่นมือสกปรกกลับส่งมารั้งไว้ก่อนจะดึงกายเล็กให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด
“พูดไม่น่าฟังเลยนะน้อง”
“ไอ้เหี้ย! ถ้ามึงอยากนักก็เอากับหมาไปก่อนดิวะ กูไม่ได้ขายตัวนะเว้ย! เวลามึงอยากจะได้ก็ใช้เงินฟาดหัวน่ะ!"
นัยน์ตาหวานจ้องเขม่นคนแปลกหน้าด้วยความหงุดหงิด หน้าอกบางกระเพื่อมขึ้นลงหอบหายใจแฮ่กเพราะความโกรธทำให้ลู่หานเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียดายอีกคนก็หน้าตาดีทว่าใจสกปรกจนไม่อยากจะเชื่อ คนเราสมัยนี้มองกันที่หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้เลยจริงๆ หน้าซื่อใจเสือมีเยอะแยะถมเถไป
“หึ! ปากดีแบบนี้พี่ชอบ”
กายกำยำดึงลู่หานให้เข้าประชิดตัว ยกคอเสื้อจนร่างกายเล็กแทบลอยขึ้นจากพื้นก่อนจะจ้องมองด้วยใบหน้าหื่นกระหายให้ลู่หานนึกหวาดระแวง แต่นั่นคนน่ารักยังคงใจแข็งมองกลับไม่เกรงกลัวแม้จะเป็นรองอยู่ก็ตามที
ถุย!
“มึง! กล้าลองดีกับกูใช่ไหม?”
พูดเสร็จชายไม่ทราบนามพลันยกมือขึ้นเช็ดหน้าตัวเองด้วยความโกรธที่โหมขึ้นหนัก เพราะความอดทนเริ่มหมดไปเมื่อลู่หานถ่มน้ำลายหยามเหยียดใส่ราวไม่สำเหนียกว่าชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายในขณะนี้จะเป็นอย่างไร
กลีบปากสวยกระตุกยิ้มสมเพชหลังจากทำให้ชายตัวสูงไม่พอใจจนเลือดขึ้นหน้า ใช่ว่าในตอนนี้ลู่หานไม่หวาดกลัว หากแต่ถ้าเขาเอาแต่ยอมนั่นคืออีกคนจะได้ใจ
“ปล่อยกู! อ๊ะ!”
ถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดเมื่อกำปั้นหนักส่งมากระแทกเข้าที่หน้าท้องแบนราบ ลู่หานทรุดตัวนั่งลงกับพื้นกุมมันด้วยความทรมาน เจ็บจนไม่มีแรงหยัดยืนทั้งไร้การต่อต้านขัดขืนอีกคนที่น่ารังเกียจ
ชายแปลกหน้าค่อยๆย่อตัวนั่งยองลงตรงหน้าของลู่หาน เรียวปากยกยิ้มสมเพชให้คนปากดี มือกร้านส่งเข้าหาลูบใบหน้าน่ารักแต่นั่นลู่หานก็ยกมือปัดมันออกไปด้วยความขยะแขยง ถึงแม้ว่าความปลอดภัยในตอนนี้จะเป็นศูยน์หากแต่ลู่หานยังเชื่อเสมอว่าแสงสว่างยังมีให้เห็นอยู่ในที่ใดสักแห่ง อย่างน้อยต้องมีคนมาช่วยเขาบ้างล่ะนะ
“อ๊ะ!”
อีกครั้งกับแรงกระแทกที่ส่งมายังหน้าท้อง ลู่หานแทบจะลงไปนอนกับพื้นให้ได้ทั้งยังจุกพูดอะไรไม่ออก รับรู้ได้อีกทีคืออีกคนกำลังกระชากแขนเขาบังคับให้ลุกขึ้นยืนทั้งประคองเดินไปตามฟุตบาทไม่รู้จุดหมายปลายทาง ลู่หานขัดขืนใช่ว่าจะเป็นผลแม้กระทั่งร้องขอความช่วยเหลือทุกอย่างในร่างกายของเขามันอ่อนแรงให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความหวังที่ลู่หานขอคือใครสักคนที่เห็นว่าเขาถูกบังคับไปอย่างไม่เต็มใจ พร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อในยามไร้หนทางเช่นนี้
“อ้าวน้อง! แฟนมารับเหรอ?”
เสียงทุ้มที่เอ่ยถามทำให้หยาดน้ำสีใสไหลลงอาบแก้มเนียนทันทีด้วยความดีใจ เงยหน้ามองคนพูดก็เห็นว่าเป็นรุ่นพี่ผิวเข้มที่กวนประสาทในร้านเหล้าไม่กี่ชั่วโมงก่อน ลู่หานกำลังจะเอ่ยพูดตอบกลับทว่ามันจุกจนพูดไม่ออก จะส่ายหน้าปฏิเสธแต่ไอ้คนข้างๆกลับตอบแทนเขาไปเสียให้ท้ออกท้อใจ
“ครับ แฟนผมเมาเลยจะพากลับบ้าน”
“อ้อเหรอครับ? เห็นตอนเดินออกจากร้านเหล้าน้องเขาก็ปกติดีไม่เห็นเมานี่นา แต่ยังไงก็กลับดีๆนะ พี่ไปก่อนล่ะ”
ลู่หานแทบอยากตะโกนด่าไอ้รุ่นพี่ตัวดำนี้ซะเหลือเกิน จะรีบไปไหนอยู่ช่วยกันก่อนได้ไหมเล่าคนกำลังเจอปัญหา ลู่หานไม่เคยร้องขอใครแต่ครั้งนี้เขาเอาตัวรอดเองไม่ได้ ยากเหลือเกินเพราะร่างกายที่เล็กกว่าจึงไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้กับอีกคน
น้ำตามากมายกำลังรินไหลออกมาอย่างเงียบๆทั้งยังนึกกลัว พร้อมทั้งชายแปลกหน้าที่เริ่มออกเท้าก้าวเดินพาร่างที่ไร้การต่อต้านของเขาไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ในใจตอนนี้มันมืดมนต์หาทางออกไปเจอ ลู่หานไม่อาจรู้ได้ว่าต่อจากนี้เขาจะโดนอะไรบ้าง ยังจะมีชีวิตอยู่รอดอีกไหม ได้คิดถึงใบหน้าหวานของพี่ชายทำเอาหัวใจหล่นวูบเพราะความเป็นห่วงจากอีกคนลู่หานไม่เคยเชื่อฟัง ถึงจะเจอเรื่องแบบนี้บ่อยครั้งแต่เขาเอาตัวรอดได้เสมอ ใยครั้งนี้มันคงถึงวันของเขาจึงได้ถูกลากไปไม่มีใครเหลียวแล
“พี่...ช่วยผมด้วย”
ถึงจะเป็นเพียงคำพูดผะแผ่วไม่มีใครได้ยินก็ตามที แต่ลู่หานก็พยายามอย่างถึงที่สุด ขอให้เสียงวาจาส่งถึงคนที่เดินจากไปให้หันกลับมาเอะใจบ้าง ให้อีกคนเป็นแสงสว่างให้ลู่หานคนนี้พ้นจากภัยอันตราย ไม่วายยังต้องนึกถึงคนเป็นแม่ ขอพรให้ท่านคุ้มครอง ส่งแรงใจจากที่ห่างไกลให้ลู่หานมีแรงกำลัง ดลบันดาลขอคนใจดีได้รู้ว่าเขากำลังพบเจอเรื่องเลวร้ายอยู่ในตอนนี้...
“เอ่อ...เดี๋ยวก่อน!”
จงอินเรียกรั้งอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามันผิดปกติ เหลือบมองคนน่ารักที่น้ำตาเปรอะเปื้อนใบหน้าก็อดจะนึกเป็นห่วงเสียไม่ได้ หรือรุ่นน้องตัวเล็กจะทะเลาะกับแฟนจงอินควรเข้าไปยุ่งดีไหมนะ
“มีอะไร? ผมจะรีบพาแฟนกลับบ้าน” ชายแปลกหน้าเอ่ยถามไม่สบอารมณ์ เห็นจงอินวุ่นวายชักจะเริ่มมีน้ำโห
“พี่อย่าไปเชื่อมัน มันจะ...อื้อ....” ลู่หานโพล่งพูดทันทีเมื่อร่างกายกำลังกลับมาเป็นปกติ แต่แล้วก็ถูกมือหนาอันแสนรังเกียจปิดปากไว้ให้หยุดคำพูดไปฉับพลัน
“แฟนผมก็แบบนี้แหละครับ พอดีทะเลาะกันนิดหน่อย”
“นี่เป็นแฟนกันใช่ไหม? ว่าแต่แฟนชื่ออะไรเหรอครับ?” จงอินเอ่ยถามคนที่แอบอ้างก่อนจะชี้นิ้วไปยังลู่หานที่เริ่มมีความหวังขึ้นเพียงนิดเพื่อไถ่ถาม
“เอ่อ...”
ชายแปลกหน้าอ้ำอึ้งส่งสายตาถามลู่หาน แต่นั่นคนน่ารักที่เริ่มเห็นทางหนีทีรอดจึงส่ายหน้าไปมารัวให้จงอินรู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ
ไม่ทันไรให้ได้กะพริบตาคนผิวเข้มพลันส่งหมัดหนักๆกระทบใบหน้าหล่อของชายแปลกหน้าให้หงายหลังล้มตึงไปกองกับพื้น ไม่ลืมจะรั้งเอวบางของคนน่ารักเข้าไว้แนบกายเพราะอีกคนดูท่าว่ายังไม่หายจุกดีเสียด้วยซ้ำ
“มึง...”
คนที่นอนไปกองอยู่กับพื้นชี้หน้าเอาเรื่องจงอินไม่นึกกลัว ใบหน้าคมจากการถูกกระทำเมื่อครู่เผยสีช้ำแม้กระทั่งในความมืด ก่อนเจ้าตัวจะรีบกุลีกุจอลุกยืนพร้อมจะปรี่เข้าหาจงอินเพื่อเอาคืนให้สาสม หากแต่ต้องหยุดชะงักเท้าถอยกรูดเพื่อตั้งหลักเมื่อคนมาใหม่วิ่งทักๆเข้ามาหาให้ไม่กล้าพอจะสู้ต่อ
“จงอิน มีเรื่องอะไรกันอ่ะ?”
ซิ่วหมินและจงแดวิ่งเข้ามาดูสถานการณ์ในทันทีเมื่อเห็นว่าเพื่อนผิวเข้มกำลังยืนประจันหน้ากับใครไม่ทราบได้ ทว่าจ้องดีๆซิ่วหมินกลับคับคล้ายคับคลา คนตรงหน้าเหมือนเคยเห็นหากแต่ยังไม่มั่นใจ
“คือไอ้นี่อ่ะดิ มันจะพาน้องเขาไปทำเรื่องไม่ดี”
ไม่ทันให้ซิ่วหมินต่อว่าคนแปลกหน้ากลับวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่รออยู่ให้โดนรุมซ้อมรอบใหญ่เพราะเรื่องที่ทำลงไปไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ แต่นั่นซิ่วหมินคิดยังไงกลับคิดไม่ตก คุ้นเสียเหมือนว่ารู้จักกับอีกคนที่วิ่งหายไปมาก่อน
“เออ ฉันรู้แล้วว่าไอ้คนเมื่อกี้เป็นใคร”
“ใคร?” จงแดมองหน้าเพื่อนตาปริบรอคำตอบอย่างรอคอยด้วยความอยากรู้
“ชื่อเทา อยู่โรงเรียนเดียวกันกับฉันตอนมัธยม” ซิ่วหมินจำได้ไม่ผิดว่าเคยรู้จัก อีกคนชอบสร้างเรื่องในโรงเรียนถึงได้คุ้นเสียเหลือเกิน
“แล้วมันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” จงอินเสริมขึ้นอยากรู้ไม่แพ้จงแดเลยสักนิด หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเหลือบมองรุ่นน้องด้านข้าง ถึงไม่รู้จักกันมาก่อนหากแต่เขาเป็นห่วงเป็นใยราวกับว่าคุ้นชินกับอีกคน
“ฉันก็ไม่รู้นะ จริงๆมันไม่ใช่คนประเภทนี้หรอก นอกจากจะมีใครใช้ให้มันทำ”
สิ้นเสียงซิ่วหมินลู่หานพลันตัวชาวาบหายใจติดขัดรู้ได้ในทันที จะมีใครซะอีกที่ทำแบบนี้กับเขาคงมีเพียงคนเดียว คนๆเดียวในความคิดคือเพื่อนที่เคยสนิททว่าไม่เลิกลาความแค้นต่อกัน ลู่หานเองหมดความค้างคาหากแต่แบคฮยอนไม่คิดจะจบเรื่องในอดีตเสียทีทั้งยังตามรังควานเขาอยู่ร่ำไป
“ว่าแต่น้องเถอะเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ซิ่นหมินหันกลับมาถามด้วยความเป็นห่วง ทำเอาลู่หานเองต้องรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอบคุณพวกพี่ๆมากนะครับ”
ลู่หานโค้งให้เล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงตัวเดินหนีออกมา แต่แล้วมือแกร่งของใครบางคนกลับรั้งไว้ให้ต้องหันกลับไปหาเหมือนเดิม
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง นายกลับคนเดียวเดี๋ยวก็มีเรื่องอีก”
จงอินเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจังผิดกับตอนแรกที่ได้พบเจอ รู้ว่าลู่หานไม่ไว้ใจใครง่ายๆแต่ถ้าไม่ทำแบบนี้จงอินเองจะเป็นกังวลไม่เลิกเช่นกัน อย่างน้อยก็ส่งให้น้องถึงบ้านอย่างปลอดภัยจะได้หายห่วง
“แต่....”
“อย่าเกรงใจเลยน้อง แล้วอีกอย่างจงอินมันไว้ใจได้ไม่ต้องกลัวนะ” ซิ่วหมินพูดทันทีเพราะเขาเองก็เป็นห่วงลู่หานไม่น้อยเหมือนกัน เห็นหน้าตาดีปล่อยให้กลับเองเกรงจะไม่ปลอดภัย
“กลัวพี่หรือไง?” จงอินยียวนเลิกคิ้วถาม เรียวปากยกยิ้มทะเล้นให้ลู่หานต้องกลอกม่านตาไปมาด้วยความระอา
“เปล่า! ไม่ได้กลัวสักหน่อย”
“ก็ดี ถ้างั้นกลับกันได้แล้ว ดึกขนาดนี้พ่อแม่เป็นห่วงแล้วมั้ง”
ทุกคนแยกย้ายตามทางของใครของมัน จงแดไม่ส่งซิ่วหมินที่บ้านส่วนจงอินเป็นสุภาพบุรษอาสาไปส่งรุ่นน้องที่เพิ่งจะรู้จักกัน ทั้งยังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามอีกต่างหาก
ในขณะรถคันหรูแล่นบนถนนไปตามทาง ไม่รอให้เกิดความสงสัยนานจงอินจึงเอ่ยถามคนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ เงียบกันตลอดทางคงจะอึดอัด เห็นคนน่ารักนั่งนิ่งไม่พูดจามันพาลให้นึกอย่างแกล้งขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ชื่ออะไรอ่ะเรา?” ปากเรียวยกยิ้มหันมองเสี้ยวหน้าสวยของคนด้านข้าง รอคอยคำตอบที่น่าพอใจแต่นั่นทว่าไปอีกคนคงไม่ยอมบอกกัน
“ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอกพี่”
อีกแล้วที่ทำให้จงอินเผยยิ้ม แต่นั่นเขาเองอยากรู้นี่นา แค่ชื่อจะหวงอะไรกันนักกันหนาไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“นี่พี่ช่วยเราไว้นะ จะบอกหน่อยไม่ได้หรือยังไงกัน?”
เอ่ยแกมน้อยใจทำเอาคนน่ารักที่นั่งข้างๆต้องหันมามองชั่งใจว่าจะบอกดีหรือเปล่า จงอินก็คนแปลกหน้าคนนึงเพิ่งรู้จักลู่หานควรจะไว้ใจหรือ
“ชื่อลู่หาน!”
แต่สุดท้ายก็ยอมบอกไปเพราะถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยเขาจากคนไม่ดีก็แล้วกัน ว่าแค่นั้นจึงนั่งเงียบอีกครั้งไม่ต่อวาจา เสสายตาออกนอกหน้าต่างพลันเข้าสู่โลกส่วนตัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“………”
จงอินนิ่งไปสักพักยามได้รู้ชื่อคนน่ารักแสนดื้อรั้นและปากหนัก ชื่อนี้มันคุ้นหูจำได้ดีไม่เคยลืม ลู่หานชื่อเหมือนน้องอี้ชิงอยู่ในใจจงอินเสมอมา คิดได้จึงค่อยๆหันไปแอบสำรวจเสี้ยวหน้าของอีกคน ถ้าในที่สลัวไร้แสงส่องเหมือนในตอนนี้จงอินบอกได้เลยว่าเหมือนรายนั้นยังกับแกะ หากแต่นั่นคนเราบังเอิญชื่อเหมือนกันได้ หน้าตาละม้ายคล้ายกันเยอะแยะไปเฉพาะฉะนั้นอย่าเพิ่งปักใจ
“เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้านะครับ”
ความมั่นใจของจงอินเพิ่มขึ้นอีกนิดยามเสียงหวานเอ่ยบอกทางกลับบ้านที่เขาเคยมา ซอยบ้านอี้ชิงจงอินมั่นใจเพราะมาส่งอีกคนบ่อยๆถึงแม้เพื่อนหน้าหวานจะเกรงใจก็ตามที แต่นั่นอาจจะบังเอิญอยู่ซอยเดียวกันคืออีกครั้งบอกให้จงอินอย่าเพิ่งมั่นใจ
“บ้านหลังข้างหน้าหรือเปล่า?” จงอินลองเชิงเอ่ยถามคนน่ารักที่นั่งข้างๆ รอลุ้นถ้าใช่นั่นก็สรุปได้ว่าลู่หานคนนี้คือน้องชายสุดรักสุดหวงของอี้ชิงเป็นแน่
“ครับ หลังนั้นแหละ”
ลู่หานปลดเซฟตี้เบลออกจากร่างกายพร้อมจะลงจากรถยามล้อทั้งสี่หยุดการเคลื่อนไหว ไม่วายลืมบุญคุณคนที่มาส่งให้ถึงที่อย่างปลอดภัยจึงโค้งหัวให้พร้อมทั้งประโยคเรียกรอยยิ้มของคนผิวเข้มให้เผยขึ้น
“ขอบคุณมากนะครับ ผมขอตัวก่อน”
“ลู่หาน...”
ทำท่าจะลงจากรถเอาเถอะว่าจงอินไม่เลิกลาเรียกรั้งไว้เช่นเคย ลู่หานจึงต้องหันกลับไปประจันใบหน้าคมอีกครั้งพลางถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่ให้คนผิวเข้มได้หัวเราะเบาๆ
“อะไรอีกครับ? พี่จะทำให้ผมไม่ได้ไปเรียนวันพรุ่งนี้เพราะมัวแต่เรียกกันอยู่เรื่อย”
“นายเที่ยวกลางคืนบ่อยหรือเปล่า?”
“หึ! พี่จะถามแค่นี้เองเหรอครับ?”
“ก็อยากรู้”
พูดแค่นั้นสายตาคมพลันมองจ้องใบหน้าน่ารักหวังให้อีกคนรู้สึกอะไรบ้าง แต่ไม่เลยสักนิด ลู่หานยังคงนิ่งตามสไตล์ทั้งยังจ้องตอบไม่มีหลบสายตาให้โดนดูถูก จงอินสนใจเด็กคนนี้จริงๆผิดกับอี้ชิงคนละขั้วเลย
“ผมเที่ยวทุกคืน พอใจไหมครับ?”
ถึงกับเหนื่อยใจที่ต้องคอยตอบคำถามไร้สาระ ลู่หานเห็นว่ามีน้ำใจมาส่งกันถึงที่บ้านหรอกนะเลยยอมตอบแทนบุญคุณ จบแค่นั้นมือเล็กจึงเอื้อมไปหมายจะเปิดประตูลงจากรถ คราวนี้ไม่มีเสียงเอ่ยรั้งเอ่ยถาม หากแต่เป็นมือหนาที่ส่งมาคว้าประตูคร่อมกายของเขาไว้แทนไม่ให้ไปไหนได้อีก
“ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้?”
ลู่หานเอ่ยถามทั้งนัยน์ตาคู่ใสกำลังฉายแววผิดหวังกับอีกคนที่ส่งใบหน้าเข้ามาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดอยู่ข้างแก้ม
“พี่เป็นคนแบบไหน?”
“ต้องให้ผมพูดเหรอครับ พี่ก็เหมือนคนอื่นๆที่หวังในตัวผม เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ”
เสียงลมหายใจผ่อนออกจนเต็มแรงก่อนใบหน้าน่ารักจะหันเหหนี ยกมือผลักอกแกร่งให้ออกห่างทว่าไอ้คนผิวเข้มกลับไม่สะทกสะท้านเคลื่อนไหวกายเปิดทางให้เลยแม้แต่น้อย
“ใครว่าพี่รู้จักนายไม่กี่ชั่วโมง”
“หมายความว่ายังไง?” คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเป็นปมไม่เข้าใจ หันมองสบตาจงอินไม่ลดละทั้งรอคำตอบจากอีกคนที่อ้อมค้อมไม่ผ่าซากเสียที
“พี่รู้จักนายได้สามถึงสี่เดือนแล้วลู่หาน”
“โกหก!”
“รู้จักชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า”
“หึ! ว่าและ”
คำตอบของจงอินทำเอาลู่หานต้องหัวเราะในลำคอ มุกนี้อีกแล้วเจอบ่อยชักเบื่อ
“พี่ไม่ได้ต่างจากคนอื่นเลยจริงๆ”
“ลู่หาน...”
“จะกวนประสาทอะไรผมอีก? ผมเสียเวลามามากพอแล้วนะครับ” เอ่ยพูดออกไปใบหน้าน่ารักพลันแสดงออกเสียชัดเจนว่าเริ่มไม่พอใจ ลู่หานกล้าบอกได้เลยว่าจงอินเป็นคนแปลกหน้าที่คุยกับเขาได้นานเกินหนึ่งนาที
“ลู่หาน”
“ครับ?”
“พี่ขอจองไว้ก่อนได้ไหม?”
พูดแค่นั้นใบหน้าคมพลันโน้มเข้าหา ฝังปลายจมูกโด่งกดลงที่พวงแก้มนิ่มสูดกลิ่นหอมอ่อนๆคละคลุ้งกลิ่นแอลกอฮอลเข้าปอดตามใจตัวเอง ก่อนจะผละออกแล้วจ้องมองดวงหน้าของอีกคนอย่างจริงจัง
ลู่หานชะงักไปเล็กน้อยยามความอ่อนโยนที่อีกคนมอบให้ทำเอาความรู้สึกประหลาดปรากฏขึ้นที่หน้าอกด้านซ้าย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความโกรธที่รุ่นพี่ผิวเข้มทำเหมือนเขาเป็นคนใจง่ายฉกฉวยโอกาสได้ทุกเมื่อ ทั้งสิ่งที่ได้รับฟังลู่หานก็ไม่เข้าใจ จับจองอะไรเห็นเขาเป็นสิ่งของหรือไม่ชอบเอาเสียเลย
“...ต่อไปนี้...พี่กับผมก็ยังคงเป็นคนที่ไม่รู้จักกันเหมือนเดิม....มันดีที่สุดแล้วครับ”
มือเล็กออกแรงผลักอกแกร่งให้ออกห่าง เอื้อมมือไปเปิดประตูก่อนจะเดินลงจากรถรีบรุดเข้าบ้านไม่หันมองอีกคนให้นึกโกรธ ทำให้จงอินต้องทึ้งหัวตัวเองหงุดหงิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป เขาสนใจลู่หานตั้งแต่ในร้านเหล้า พอรู้ว่าเป็นคนจริงใจตรงไปตรงมาแค่ไหนนั่นทำให้จงอินชอบอย่างไม่มีข้อแม้ ก่อนหน้านั้นคือเขารู้ชื่อลู่หานจากอี้ชิงที่ชอบเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ เฝ้ารอเจอน้องมาตลอดเพราะเรื่องราวที่เพื่อนเล่าทำให้ลู่หานอยู่ในใจเสมอมา แต่สุดท้ายเขากลับทำให้ความเชื่อใจที่อีกคนเคยมีหมดไปเพียงชั่วขณะเพราะความไม่มีสติของตัวเอง
“ขอโทษ...แต่พี่ห้ามใจตัวเองไม่ได้”
…ERROR…
“พรุ่งนี้วันประกวดอี้ชิงกับฮาร่ามาเจอกันตอนห้าโมงที่หอประชุมนะ ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวพี่ให้คีย์เตรียมไว้ให้”
มินโฮเอ่ยบอกรุ่นน้องทั้งสองที่เป็นตัวแทนในการประกวดดาวเดือนของงานเฟรชชี่วันพรุ่งนี้ ซ้อมรอบสุดท้ายเสร็จเห็นว่าพร้อมแล้วมินโฮจึงให้ทั้งคู่ไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
อี้ชิงเดินกลับหอพร้อมกับสามสหายที่วันนี้มีนัดรวมตัวกัน จงอินและซิ่วหมินมานอนค้างที่ห้องของเซฮุนเลยถือโอกาสสังสรรค์กันเสียหน่อย เรียนหนักมานานอยากผ่อนคลายพูดคุยตามประสาผองเพื่อนคงจะดีไม่น้อย และนั่นอี้ชิงคงต้องทิ้งห้องนอนของตัวเองอย่างไม่มีข้อแม้เพราะคืนนี้คงอีกยาวไกลอย่างที่ว่า
“ไปซื้อของที่เซเว่นกันเถอะ”
ทุ่มกว่าเริ่มหิวจงอินเลยเอ่ยชวน ทุกคนพยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้วเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะเพื่อความสบาย
ตั้งแต่เจอลู่หานจงอินก็ยังไม่ได้บอกอี้ชิงเลยสักนิด ทั้งยังปิดปากเงียบเก็บอยู่ในใจคนเดียวเพราะรู้แล้วลู่หานมีใบหน้าค่าตาเป็นแบบไหน น่ารักเสียให้หัวใจทำงานหนัก เหมือนพี่ไม่มีผิดหากแต่เห็นจะแตกต่างคงเป็นความเฉยชาทีอีกคนมี
ทั้งสี่สหายเดินกอดคอกันลงมายังชั้นล่างของตึก พูดคุยโวยวายไปตลอดทางทำเอาใครต่อใครต้องเหลียวมองเพราะแต่ละคนใช่ว่าไม่เป็นที่รู้จัก ถึงหน้าเซเว่นพลันผลักประตูพร้อมรับฟังเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ก่อนจะเดินไปเลือกของตามที่ได้เขียนเรียงความกันมาเสียยาวเหยียด
“ถ้าพรุ่งนี้อี้ชิงประกวดชนะเราต้องฉลองกันอีกนะ” เซฮุนเสนอความคิดทั้งรอยยิ้มกว้างจนตาหยี พร้อมด้วยทุกคนที่ยกนิ้วให้อย่างเห็นพ้องต้องกัน
“ก็พูดไปนั่นเซฮุน ฉันจะเข้ารอบหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ดูถูกตัวเองเกินไปหรือเปล่าอี้ชิง นายต้องได้เดือนมหาลัยเชื่อฉันสิ” เซฮุนยังเชื่อมั่นเพื่อนไม่เปลี่ยนแปลง อี้ชิงมีดีเขารู้หากแต่ไม่ยอมเปิดเผยมันเสียต่างหาก
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เองล่ะน่า แต่ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไหร่หรอก”
พูดเสร็จคนหน้าหวานพลันรุดเดินหนีไปยังโซนเครื่องดื่ม ยืนเลือกเสียนานไม่รู้จะซื้ออะไรไปดี ก่อนจะกวาดมันมาหมดเพราะอย่างน้อยให้เพื่อนเลือกดื่มหลายๆอย่างคงโอเคกว่า
“อี้ชิง! หยิบนมกล้วยให้ฉันด้วยกล่องนึง”
ซิ่วหมินตะโกนบอกจากอีกทางใบหน้าหวานจึงพยักตอบรับ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรายการตามที่เพื่อนสั่ง ปิดตู้ลงให้เหมือนเดิมพลางถอยหลังออกห่างหมายจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์
“อ๊ะ! ขอโทษครับ”
ถึงกับตกอกตกใจเมื่อถอยหลังไม่ทันได้ระวังจึงชนกับใครเข้าอย่างจัง อี้ชิงรีบหับขวับร้อนรนใจขอโทษขอโพย เพราะไม่ได้ตั้งใจจะเหยียบเท้าอีกคนด้วยทำให้รู้สึกผิด
เฮือก!
หากแต่พอเงยหน้าขึ้นมองคนถูกกระทำโลกทั้งใบพลันหยุดหมุนไม่เคลื่อนไหว นัยน์ตาคู่สวยเบิกโพลงมือไม้ไร้เรี่ยวแรงจนเผลอปล่อยตะกร้าเครื่องดื่มลงทับเท้าตัวเอง แต่นั่นอี้ชิงไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยสักนิดเพราะคนตรงหน้าทำให้ลืมความเจ็บไปโดยปริยาย ทั้งดีที่เครื่องดื่มในตระกร้าไม่เป็นขวดแก้ว ไม่งั้นมันคงแตกละเอียดให้อับอายเป็นแน่
“..........”
คนตัวสูงเมื่อพบเจอใบหน้าหวานที่ไม่เห็นมาหลายสิบวันก็ถึงกับอึ้งไม่ต่างกัน คริสไม่อาจบอกได้เลยว่าในตอนนี้ดีใจมากแค่ไหนที่บังเอิญเจออี้ชิงโดยไม่ได้ตั้งใจ อยากขอโทษ อยากขอคืนดีเพราะรู้ตัวแล้วว่าโง่ที่ทำอะไรลงไปไม่ได้คิดถึงใจของอีกคน
ทั้งคู่ยืนจ้องกันนิ่งเหมือนภาพวาดไร้การเคลื่อนไหว เห็นอี้ชิงกำลังช็อคคริสที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้ก่อนจึงรีบก้มตัวลงเก็บเครื่องดื่มที่หล่นอยู่กับพื้นใส่ตระกร้าไว้เหมือนเดิมแล้วยื่นให้ เห็นนัยน์ตาคู่สวยคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำสีใสคริสแทบจะปรี่เข้าไปปลอบโยนทั้งที่ไม่รู้เลยว่าทำไมเขาควรต้องทำอย่างนั้น ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรเพื่ออีกคนได้ แต่ความรู้สึกพิเศษบางอย่างมันก่อตัวขึ้นในจิตใจทำให้คริสเป็นห่วงเป็นกังวล
“อ...เอ่อ ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยสร้างบทสนทนาทำลายความอึดอัด ทั้งๆที่รู้ดีว่าอี้ชิงคงไม่อยากจะเสวนาด้วยหากแต่คริสอยากเห็นหน้าอยากได้ยินเสียง
“.........”
อี้ชิงไม่พูดอะไรตอบกลับไป ใบหน้าหวานทำเพียงแค่พยักตอบรับแล้วยื่นมือไปรับตระกร้าจากอีกคนมาถือ ม่านตากลมลอกแล่กหวาดระแวงเหมือนทุกครั้งไม่มีผิด ทั้งที่คริสยังไม่ได้ทำอะไรคำพูดก็ออกจะนุ่มนวลทว่าเคยเจ็บมาแล้วจึงฝังใจไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“ไอ้คริส! โซดาอ่ะได้ยังเร็วๆเลย”
ชานยอลเอ่ยเรียกเพื่อนตัวสูงที่เอาแต่ยืนจ้องรุ่นน้องไม่กะพริบตา แต่นั่นพอชานยอลเดินเข้ามาคนหน้าหวานเลยถือโอกาสเดินหนีไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ทันทีไม่รีรอ ทั้งๆที่เมื่อครู่แข้งขามันแข็งทื่อไปหมดจะก้าวเดินยังไม่มีแรงเสียด้วยซ้ำ
“เอากี่ขวดล่ะโซดาอ่ะ?”
คริสย้อนถามชานยอลกลับ ไม่วายยังแอบมองร่างเล็กของคนที่เดินจากไปอย่างนึงเป็นกังวล ก่อนจะหันกลับมาเปิดตู้เครื่องดื่มตรงหน้าแล้วสำรวจสิ่งที่ต้องการ
“สักสิบยี่สิบขวดก็เอามาเถอะ ขาดดีกว่าเหลือเว้ย! ว่าแต่น้องคนเมื่อกี้มึงรู้จักเหรอวะคริส?”
“ก็...ไม่เชิงรู้จัก”
“นั่นอี้ชิงป่ะ?”
“มึงรู้ได้ไงชานยอล?”
เห็นเพื่อนรู้ชื่อนามอีกคนคริสพลันนึกแปลกใจ อาการหวงแหนเกิดขึ้นให้หงุดหงิดทั้งที่ไม่มีสิทธิ์เสียด้วยซ้ำ คงบ้าไปแล้วเพราะความรู้สึกแบบนี้คริสไม่เข้าใจมันเลยสักนิด
“โอ้ย! มึงไปอยู่ไหนมาครับไอ้คริส น้องเป็นเดือนคณะบริหารคนเขารู้จักกันเป็นว่าเล่น บอกว่าหน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิง ไอ้มินโฮก็เคยชวนมึงให้ไปช่วยเทรนน้องไม่ใช่เหรอวะ แต่มึงบอกว่าไม่ว่างไม่สนใจมึงจำได้ป๊ะ?”
คริสนิ่งฟังรู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก มินโฮชวนเขาหลายต่อหลายครั้งให้ไปดูน้องที่เป็นเดือนของคณะเจ้าตัว แต่คริสก็ปฏิเสธไปตลอดเพราะไม่คิดจะสนใจกิจกรรมอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ทั้งๆที่ตัวเองเป็นเดือนคณะวิศวะทั้งยังพ่วงตำแหน่งเดือนมหาลัยอีกต่างหาก ถ้ารู้ว่าเป็นอี้ชิงตั้งแต่แรกคริสจะไม่ลังเลเลยให้ตายสิ
“พวกมึงจะไปกันได้หรือยัง? กูอยากน้ำเมาจนจะลงแดงแล้วเนี่ย” มินโฮเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนขายาวทั้งสองพูดคุยกันงึมงำให้นึกสงสัย
“มินโฮ น้องปีหนึ่งเดือนคณะมึงอ่ะ...” คริสเอ่ยพูดหากแต่ไม่ทันจบประโยคกลับเงียบไปเสียดื้อๆ
“เออ ทำไมวะ? เมื่อกี้ก็เพิ่งเจอได้คุยกับน้องอยู่เลย มึงถามทำไมสนใจหรือไง?”
มินโฮยักคิ้วลิ่วตาล้อเลียนเพื่อนขี้เก็กอดีตเดือนมหาลัย รู้ดีว่าท่าทางแบบนี้ของคริสดูได้ไม่ยาก แต่นั่นที่เห็นจะแปลกคืออีกคนเอาแต่นิ่งทำหน้าเครียดให้เปลี่ยนความคิดไปเสียใหม่
“ไปจ่ายเงินกันเถอะ” พูดแค่นั้นคริสจึงเดินผ่านทั้งชานยอลและมินโฮไปที่เคาน์เตอร์ไม่ต่อบทสนทนา ทำเอาคนตัวสูงทั้งคู่ต้องมองตามด้วยความไม่เข้าใจ
“ไอ้เหี้ยคริสมันเป็นอะไรของมันวะมึง?” มินโฮเอ่ยถามและนั่นชานยอลก็เอาแต่ส่ายหน้า ก่อนทั้งสองจะเดินตามคริสไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ไม่ซักไซร้ไล่ความ
วงเหล้าย่อมๆที่ห้องของมินโฮกำลังไม่เฮฮาเหมือนเมื่อก่อนเพราะคริสเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาแล้วกระดกน้ำสีอำพันลงคออยู่ท่าเดียว เรียกสายตาคมของเพื่อนทั้งสองให้กะพริบปริบมองด้วยความไม่เข้าใจ ตั้งแต่กลับมาจากเซเว่นเพื่อนหน้าหล่อก็เอาแต่เงียบงันไม่ปริปากพูด ถามอะไรไปก็ตอบเพียงประโยคข้อความสั้นๆ ถามคำตอบคำทำเอามินโฮและชานยอลเริ่มเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าวะไอ้คริส มึงแปลกไปตั้งแต่กลับมาจากเซเว่นแล้วนะเว้ย?” ทนความสงสัยไม่ได้นานมินโฮเลยเอ่ยถาม พลางยกมือขึ้นแตะไหลแกร่งของเพื่อนที่เอาแต่ดื่มหนักไม่รู้จักพอ
“เปล่าหรอก คืนนี้กูขอนอนที่ห้องมึงนะมินโฮ” พูดเสร็จคริสจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากที่โซฟา
มินโฮทำได้แค่มองตามร่างสูงของเพื่อนไปด้วยความเป็นห่วงไม่กล้าเอ่ยถามให้วุ่นวาย รู้ว่าเพื่อนไม่ชอบถ้าจะซักไซร้อยากรู้อยากเห็นจนเกินหตุ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวมองหน้าชานยอลแล้วเริ่มดื่มต่อปล่อยให้คริสได้อยู่ในโลกของตัวเองคนเดียว
“คริส! มึงรู้แล้วใช่ไหมว่าพรุ่งนี้มีประกวดดาวเดือนอ่ะ มึงต้องไปรอมอบรางวัลให้น้องที่เป็นเดือนปีนี้ด้วยนะเว้ยอย่าลืม”
มินโฮเอ่ยบอกตารางหน้าที่ของเดือนมหาลัยปีที่แล้ว เป็นธรรมเนียมของทุกปีคือคนที่ได้รับตำแหน่งจะต้องเป็นส่วนหนึ่งคอยมอบรางวัลและสายสะพายแก่เฟรชชี่ในปีนี้
“จริงป่ะ?”
อยู่ๆคนที่นอนหมดอะไรตายอยากอยู่บนโซฟาพลันเด้งตัวลุกขึ้นนั่งไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนมินโฮและชานยอลผงะตกใจไปข้างหลัง ก่อนคนตัวสูงบนโซฟาจะเปลี่ยนสีหน้าเผยยิ้มเหมือนเห็นความหวังที่รออยู่แค่เอื้อม
“อะไรของมึงอีกล่ะเนี่ยไอ้คริส? พรวดพราดทำเอากูกับมินโฮตกใจหมด” มือหนายกขึ้นทาบอกปลอบขวัญตัวเอง ชานยอลยิ่งขวัญอ่อนอยู่แล้วอะไรนิดอะไรหน่อยนั่นคือสะดุ้งได้ตลอดเวลา
“เปล่าๆ กูแค่เพิ่งรู้ว่าพรุ่งนี้มีประกวดอ่ะ ขอบใจที่บอกนะ”
พูดแค่นั้นก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง หน้าตาบูดบึ้งในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแต่งแต้มให้เพื่อนทั้งสองตามไม่ทันทั้งยังจ้องมองนิ่งไม่เข้าใจ นับวันคริสเริ่มไม่เหมือนคนๆเดิม ราวว่ากำลังอกหักก็ไม่ปรานเพราะอยู่ด้วยกันมานานจะสองปีเพื่อนๆถึงดูออกได้ไม่ยาก
…ERROR…
อี้ชิงนั่งอยู่หลังเวทีรอขึ้นแสดงด้วยความตื่นเต้นในงานประกวดดาวเดือนครั้งนี้ ก่อนหน้านั้นสามสหายเพื่อนรักได้มาให้กำลังใจพร้อมทั้งคำอวยพรดีๆจึงมีความเชื่อมั่นขึ้นนิดหน่อย เส้นผมนุ่มสลวยสีน้ำตาลอ่อนถูกเซตดัดลอนให้รับกับใบหน้าหวาน ตากลมถูกเขียนให้คมเข้มแต่นั่นกลับเสริมให้อี้ชิงดูหวานขึ้นไปอีก สวมใส่เสื้อฮู้ดตัวนอกสีน้ำเงินครามทับเสื้อกล้ามสีดำตัวในที่เผยให้เห็นไหปราร้าน่าหลงไหล อี้ชิงในวันนี้ช่างโดดเด่นแม้แต่ดาวคณะอย่างฮาร่าเองยังต้องเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก
“อี้ชิงกับฮาร่าเตรียมตัวได้แล้วนะ ต่อไปคิวคณะเรา”
มินโฮเดินเข้ามาบอกรุ่นน้องทั้งสอง แตะไหล่ให้ความหวังทั้งยังฝากฝังให้ทำเต็มที่ที่สุด ก่อนจะเดินออกไปรอหน้าเวทีเพื่อรอดูการแสดงของรุ่นน้องในการควบคุม
“ต่อไปเป็นการแสดงจากดาวและเดือนของคณะบริหารนะครับ อย่าลืมเตรียมดอกกุหลาบสีแดงไว้ในมือ ถ้าพวกคุณถูกใจจะโหวตให้พวกเขาได้เลยอย่าลังเล และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา...ขอเสียงปรบมือให้กับกูฮาร่าและจางอี้ชิงด้วยครับ”
ชานยอลพิธีกรหนุ่มหล่อในวันนี้เอ่ยออกหน้าออกตาเพราะแอบเชียร์อี้ชิงอยู่ในใจ ทั้งเป็นคณะของเพื่อนสนิทด้วยแล้วบอกได้คำเดียวเลยว่าเข้าข้างสุดๆ
หลายคนเตรียมดอกกุหลาบกันไว้ในมือเพื่อโหวตให้กับคนทั้งสอง บ้างมีแค่ดอกเดียวบ้างมีมากกว่าสิบดอกว่ากันไปตามน้ำ เพราะนอกจากผลโหวตที่นับจากดอกกุหลาบแล้ว อีกห้าสิบเปอร์เซนต์ยังมาจากคณะกรรมการที่นั่งเรียงเรียบอยู่หน้าเวที
อี้ชิงและฮาร่าออกมาปรากฏตัวต่อหน้าบรรดานักศึกษาที่รออยู่แออัดคับคลั่งให้นึกเป็นกังวลขึ้นมาเสียดื้อๆ เสียงกรีดร้องทั้งเสียงเอ่ยเรียกชื่อของคนทั้งสองดังกระหึ่มไปทั่วหอประชุมก่อนไฟบนเวทีจะดับลงแล้วเสียงเพลงของการแสดงจะค่อยๆบรรเลงขึ้น
เสียงฮือฮาด้วยความสนใจเมื่อการแสดงของทั้งสองทำเอาตรึงใจเสียตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาใช้ความสามารถในการเต้นเพื่อมัดใจหนุ่มสาวในมหาลัยทั้งยังกรรมการคนสำคัญในวันนี้ สเต็ปที่ตอบรับกันได้อย่างลงตัวทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบจนรอยยิ้มสวยบนใบหน้าหวานของเดือนบริหารเผยขึ้นอย่างมีความสุข
อี้ชิงหายกังวลยามเวลาผ่านไปกับการแสดงบนเวที แสงไฟพร่าตาให้ไม่สามารถมองเห็นคนดูด้านล่างได้จึงไม่รู้สึกว่าอึดอัดเหมือนในตอนแรก ยิ้มกว้างอีกครั้งยามความสนุกกำลังก่อตัวขึ้น ความสดใสของอี้ชิงคนเดิมกำลังจะกลับมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้เลยว่าความทุกข์ระทมทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในตอนนี้อี้ชิงกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ
รอยยิ้มสวยทำให้คนที่แอบมองดูอยู่ไม่ไกลหัวใจเต้นแรงขึ้นได้ในทันที อี้ชิงเวลานี้ช่างดูมีเสน่ห์ไม่สามารถละสายตาได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าร่างกายต้องมนตร์ลุ่มหลงตกหลุมรัก นี่คงเป็นครั้งแรกที่คริสได้เห็นคนตัวเล็ก รอยบุ๋มที่ข้างแก้มก็เพิ่งรับรู้ว่าอีกคนมีมันด้วย ผิวขาวที่ต้องแสงไฟน่าหลงไหลนั่นอีกช่างดึงดูด เสียงเต้นตึกตักข้างในอกมันทำให้คริสเริ่มมั่นใจแล้วว่าหัวใจตัวเองต้องการอะไร
“จบไปแล้วนะครับสำหรับการแสดงของดาวและเดือนคณะบริหาร เรามาถามความรู้สึกของพวกเขากันดีกว่าว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
ชานยอลเดินขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งหลังจากตื่นตาตื่นใจกับการแสดงเมื่อครู่ เอ่ยถามความรู้สึกของรุ่นน้องทั้งสองก่อนจะยื่นไมค์ในมือให้ตอบคำถามอย่างตั้งใจ
“รู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ คนดูเยอะมากในวันนี้แต่พวกเราก็ทำมันเต็มที่ที่สุดแล้ว” ฮาร่าตอบคำถามพร้อมทั้งหอบหายใจทำเอาทุกคนอมยิ้มกับความน่ารักของเธอ
“แล้วน้องอี้ชิงล่ะรู้สึกยังไงบ้าง?” ชานยอลยื่นไมค์ให้อี้ชิงก่อนคนตัวเล็กจะรับมาถือไว้แล้วกล่าวขอบคุณก่อนตอบคำถาม
“ผมไม่ปฏิเสธเลยครับว่าในตอนแรกผมตื่นเต้นมากแค่ไหน แต่พอได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้มันทำให้ผมลืมทุกอย่างไปเลย การแสดงในวันนี้ผมและฮาร่าฝึกซ้อมกันมาอย่างหนัก ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายครับ แค่ทุกคนมีความสุขชอบในการแสดงของพวกเราผมก็พอใจแล้ว”
เสียงปรบมือดังขึ้นชื่นชมเดือนคณะบริหารอย่างจริงใจ เห็นอี้ชิงยิ้มทีทำเอาต้องยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว
“ยอดเยี่ยมเลยนะครับ ถ้างั้นต่อไปเป็นช่วงของการตอบคำถาม ขอเชิญอี้ชิงกับฮาร่าจับกระดาษขึ้นมาคนละแผ่นนะครับ”
ชานยอลยื่นกล่องทรงสี่เหลี่ยวทึบแสงให้ตรงหน้าของรุ่นน้อง ก่อนจะเห็นว่าทั้งคู่ได้กระดาษแผ่นเล็กติดมือขึ้นมาเขาจึงเริ่มอ่านคำถามเพื่อเป็นการให้ดาวและเดือนได้แสดงทัศนะคติต่อไป
“อ่า อันนี้เป็นคำถามของฮาร่านะครับ ถามว่า....ระหว่างคนที่รักเรากับคนที่เรารักฮาร่าจะเลือกใครครับ?”
คำถามไม่ได้เกี่ยวข้องกับมหาลัยเลยสักนิด เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะสบายๆงานจึงไม่น่าเบื่ออย่างที่ปกติมันควรจะเป็น
“เป็นคำถามที่ตอบยากมากเลยนะคะ แต่ถ้าเป็นคนอื่นคงจะเลือกคนที่รักเรามากกว่าคนที่เรารัก แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ค่ะ ฉันเลือกคนที่ฉันรัก...ไม่ใช่ว่าฉันเห็นแก่ตัวหรอกนะคะ แต่เอาง่ายๆเลยคือฉันชอบที่จะเสี่ยง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นแบบไหนก็ตาม เขาอาจไม่ได้รักฉัน แต่มันจะดีกว่าไหมค่ะถ้าเราจะต้องทนอยู่กับคนที่เราไม่ได้รัก นอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว ยังจะทำให้คนที่รักเราไม่มีความสุขตามไปด้วย เพราะฉะนั้นอย่าให้ความหวังเขาจะดีที่สุดค่ะ”
เสียงปรบมือชอบใจในความซื่อตรงของฮาร่าดังกระหึ่มให้ได้โล่งอก อี้ชิงได้ยินที่เธอตอบทำเอาต้องอมยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะรีบสูดหายใจเข้าปอดเรียกความพร้อมให้กับตัวเองเพราะชานยอลเริ่มอ่านคำถามของเขาบ้างแล้ว
“ต่อไปเป็นคำถามของอี้ชิงนะครับ ถามว่า...ในความคิดของอี้ชิง...ความรักคืออะไร?”
สิ้นเสียงทุ้มของรุ่นพี่ร่างกายพลันชาวาบนึกเครียดจนเกือบไปไม่เป็น อี้ชิงไม่รู้ว่าความรักคืออะไรเพราะไม่เคยมี ว่าแล้วจึงค่อยๆประมวลเรื่องราวแล้วรวบรวมสติก่อนจะเอ่ยตอบคำถามไปตามความนึกคิดของตัวเอง
“อันดับแรกเลยนะครับ ผมคงต้องบอกไว้ก่อน...ว่าผมไม่เคยมีความรัก”
เสียงฮือฮาตามมาทำเอาทุกคนสงสัย อี้ชิงหน้าตาดีมีคนสนใจหากแต่ไม่น่าเชื่อว่าคนหน้าหวานจะไม่เคยมีความรักมาก่อน และนั่นหลายๆคนก็ถึงกับมีความหวังขึ้นมาให้ได้เห็น
“ผมไม่เคยมีความรักครับ ตั้งแต่เกิดมาแฟนสักคนผมก็ไม่มี แต่นั่นผมกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันขาดหายให้ผมเหงา อย่างน้อยความรักมันไม่ได้จำกัดหนิครับว่าจะเกิดขึ้นจากตรงไหน ผมได้รับความรักจากเพื่อนๆและคนรอบข้าง ทั้งยังคนในครอบครัวของผม นั่นคือความรักในแบบที่ผมรู้จัก ความรักคือการให้อย่างจริงใจครับ แม้แต่ลมหายใจก็ให้แทนกันได้”
จบเพียงแค่นั้นทำเอาทั้งห้องประชุมเงียบกริบนิ่งค้างไม่ไหวติง อี้ชิงปล่อยมือที่ถือไมค์ลงข้างตัว ก้มหน้ามองพื้นคอตกเพราะคิดไปแล้วว่าคำตอบที่เปล่งออกไปคงไม่มีใครเข้าใจ ทว่าเพียงไม่นานเสียงปรบมือของคณะกรรมการกลับดังขึ้นก่อนทั้งห้องประชุมจะเต็มไปด้วยเสียงเฮจากทุกคน
อี้ชิงยิ้มรับกว้างเพียงแค่นั้นทุกอย่างก็สดใส คนที่มองอยู่ไม่ไกลได้เห็นมันเป็นครั้งที่สองในชีวิตก็ยิ้มตามทั้งยังปรบมือเป็นส่วนหนึ่งอีกต่างหาก
“ไอ้คริส! ยืนยิ้มห่าไร? มึงรีบไปรอหลังเวทีดิวะ อีกไม่นานก็จะประกาศผลแล้ว” มินโฮค่อนขอดเพื่อนหน้าหล่อที่เอาแต่ยิ้มบ้ายิ้มบออยู่คนเดียว ก่อนจะเดินนำไปที่หลังเวทีโดยมีคริสเดินตามไปติดๆไม่ขัดเหมือนเมื่อก่อน ไม่ต้องเดาว่าในวันนี้ใครจะได้ตำแหน่ง ทุกอย่างมันชัดเจนเห็นได้ด้วยตาของตัวเอง
“ตอนนี้ดาวและเดือนจากทุกคณะก็ออกมาพร้อมหน้าพร้อมตากันบนเวทีแล้วนะครับ ดอกกุหลาบด้านหน้าผมที่ทุกคนโหวตนี่เต็มไปหมดเลย เราได้ทำการนับมันทั้งหมดแล้วด้วยว่าแต่ละคนได้กี่ดอก เดี๋ยวผมจะประกาศให้ฟังหลังจากที่รวบรวมคะแนนจากคณะกรรมการและประกาศผลเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ”
ชานยอลพูดเสียงเข้าไมค์พลางทำท่าทางตื่นเต้นไปด้วย อีกไม่กี่นาทีจะเป็นการประกาศผลและคนที่ได้รับตำแหน่ง ทำเอาลุ้นกันตัวเกร็งทั้งหอประชุม รวมทั้งอี้ชิงเองถึงจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายยังตื่นเต้นลมแทบจับ เห็นสามสหายเพื่อนรักที่คอยให้กำลังใจหน้าสลอนอยู่ติดขอบเวทีทำให้ต้องยกยิ้มมีความสุข
“ตอนนี้คะแนนทั้งหมดอยู่ในมือของผมแล้วนะครับ โอ้ย! นี่ผมไม่ได้ลงประกวดเองยังตื่นเต้นแทนเลยนะครับเนี่ย”
ยิ่งชานยอลเกริ่นมาเท่าไหร่ทุกคนก็ยิ่งลุ้นหนักกันขึ้นไปอีก เสียงในหอประชุมเงียบลงฉับพลันยามพิธีกรหน้าหล่อแกะซองกระดาษที่มีอันดับผู้ได้รับตำแหน่งอยู่ข้างใน
ชานยอลเริ่มประกาศจากดาวคณะก่อนโดยเริ่มจากอันดับที่สาม และนั่นอันดับหนึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ฮาร่าดาวบริหารที่ได้รับตำแหน่งไปครองตามคาด อี้ชิงร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ร่างกายเล็กของหญิงสาวโผเขากอดเขาด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุดที่ร่วมกันฝึกซ้อมมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยทุกวันหลังเลิกเรียน ทำเอาคนตัวสูงที่มองอยู่ข้างๆเวทีต้องเบือนใบหน้าหนีไม่กล้ามองภาพให้เจ็บปวดที่หัวใจ
“สุดท้ายของวันนี้แล้วนะครับ เรามาลุ้นกันว่าตำแหน่งเดือนมหาลัยใครจะได้ไปครอง และอันดับหนึ่งได้แก่....”
เสียงพูดคุยเงียบลงสนิทรอฟังผลประกาศอย่างใจจดใจจ่อ อี้ชิงกำมือแน่นกัดปากตัวเองก้มหน้ารอฟังด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามแทบหลุดออกมานอกอก
“อันดับหนึ่งได้แก่.....”
“……….”
“ได้แก่... ทุกคนลุ้นกันอยู่ใช่ไหมล่ะครับ?”
โอ้ยยยยยย ~
เสียงประท้วงดังขึ้นเมื่อชานยอลทำให้ลุ้นในตอนแรกแล้วหลังจากนั้นก็เล่นมุกจนทุกคนสะดุดกันไปหมด ก็แค่อยากให้มีอารมณ์ขันไม่เครียด ชานยอลเป็นคนเฮฮา แต่นั่นสงสัยจะไม่ถูกเวล่ำเวลาเลยต้องดำเนินงานของตัวเองต่อไป
“อันดับหนึ่งนะครับ ได้แก่…”
“……..”
“จางอี้ชิงจากคณะบริหารครับผม!”
ประกาศสุดท้ายเรียกเสียงเฮลั่นห้องประชุมอีกระลอก อี้ชิงยังคงมึนงงตามไม่ทันแต่นั่นพอรู้ว่าเป็นตัวเองก็ถึงกับห้ามรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ เผยมันออกมาให้หลายๆคนได้เชยชมก่อนจะโค้งขอบคุณทุกคนที่โหวตให้เขาจนชนะในวันนี้
“…โดยอี้ชิงนะครับ ได้คะแนนโหวตจากคณะกรรมการสูงสุดถึงเก้าสิบเจ็ดคะแนนเต็มร้อย และได้โหวตเป็นดอกกุหลาบห้าร้อยเก้าสิบสองดอกกันเลยทีเดียว ซึ่งห่างจากอันดับสองถึงสี่ร้อยกว่าดอกเลยนะครับ อยากรู้จังเลยว่าใครเหมาดอกกุหลาบมาให้น้องอี้ชิงกัน”
อี้ชิงถึงกับงงทั้งยังตกใจที่รู้ว่าตัวเองได้ผลโหวตเยอะขนาดนี้ไม่เคยคาดคิด และคนในห้องประชุมก็ฮือฮากันเป็นการใหญ่
“ผมต้องขอเชิญเดือนมหาลัยปีที่แล้วขึ้นมามอบรางวัลให้น้องอี้ชิงด้วยนะครับ เชิญครับพี่คริส”
ชานยอลเอ่ยเชื้อเชิญเพื่อนตัวเองก่อนจะยักคิ้วให้ทั้งยิ้มทะเล้น แต่นั่นเดือนมหาลัยคนใหม่พอได้ยินชื่อที่คุ้นหูพลันหันขวับไปมองยังบันได้ทางขึ้นเวทีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเป็นอีกครั้งที่ร่างกายแข็งราวกับถูกสาปทั้งยังเหน็บหนาวเมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อของคนที่เคยใจร้ายให้กัน
คริสเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมดาวอีกคนก่อนจะหยุดยืนอยู่ข้างกายเล็กที่ตอนนี้ก้มหน้างุดกุมมือตัวเองหลบสายตา คนตัวสูงอยู่ในชุดนักศึกษาเข้ารูปที่ดูดีจนผู้หญิงด้านหน้าเวทีต้องส่งเสียงกรีดร้องชื่นชอบถูกใจ ทั้งยังมีสายสะพายบ่งบอกตำแหน่งเดือนมหาลัยปีที่แล้วให้ได้รับรู้กันถ้วนหน้า
“ยินดีด้วยนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยให้ได้ยินกันสองคนก่อนจะสวมสายสะพายให้อี้ชิงอย่างใกล้ชิด เหลือบมองใบหน้าหวานของอีกคนหวังให้มองสบตากันบ้างแต่นั่นก็ผิดหวังเพราะอี้ชิงไม่เงยขึ้นให้ได้เชยชมแม้แต่น้อย
“………..”
อี้ชิงไม่ตอบอะไรกลับไป ใบหน้าหวานทำเพียงแค่พยักขึ้นลงให้เป็นคำตอบเหมือนอย่างทุกๆครั้ง เขาเพิ่งรู้ว่าคริสเป็นเดือนมหาลัย เพราะเอาแต่เรียนไม่เคยได้สนใจเรื่องราวต่างๆจึงต้องมาเจอะเจออีกคนในวันนี้อย่างไม่คาดคิด ทั้งเมื่อวานที่เซเว่นนั่นอีกอี้ชิงไม่รู้เลยว่าจะหนีอีกคนให้พ้นได้ยังไง
“สบายดีหรือเปล่า?” คริสเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับมอบรางวัลและช่อดอกไม้ให้คนที่ได้รับตำแหน่ง
“อืม”
ยังเหมือนเคยคืออี้ชิงไม่เงยหน้าขึ้นสบมอง ตอบเพียงคำพูดสั้นๆทั้งในใจตอนนี้พร้อมจะเดินลงจากเวทีแล้วหนีหายไปได้ทุกเมื่อ
“ต่อไปขอเชิญดาวและเดือนถ่ายรูปร่วมกันด้วยครับ แยกกันถ่ายก่อนแล้วถ่ายภาพรวมปิดท้ายอีกครั้งนะครับผม”
คำพูดของชานยอลทำให้อี้ชิงเงยหน้าอย่างรวดเร็วไม่อยากถ่ายท่าเดียว เพราะเดือนต้องถ่ายกับเดือน ส่วนดาวก็เช่นเดียวกัน แต่นั่นจะทำอะไรได้ในเมื่อรับตำแหน่งนี้มาแล้วนั่นคือสิ่งที่เขาต้องทำมันอย่างไม่มีข้อแม้
คริสค่อยๆเขยิบกายเข้าหาร่างเล็กของคนหน้าหวานแต่นั่นอีกคนก็ถอยหนีให้มีระยะห่าง มือหนาถึงถือวิสาสะเอื้อมไปรั้งเอวบางให้เข้ามาแนบอกแกร่ง ซ้อนไหล่ชิดแผ่นหลังของอีกคนก่อนจะก้มตัวเล็กน้อยให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน ทำเอาคนหน้าหวานต้องผงะเบี่ยงหนีเพราะใกล้เกินไปอี้ชิงหายใจติดขัด
“มาๆ ยิ้มนะอี้ชิงแล้วก็คริสด้วย ไม่ยิ้มถ่ายใหม่นะครับ”
ชานยอลช่างกวนเสียจนอยากจะปารองเท้าใส่ คำพูดข่มขู่แก้มบังคับทำให้อี้ชิงต้องฝืนใจตัวเองเผยยิ้มอย่างไม่มีข้อแม้ ทั้งคริสที่ยืนข้างกันก็ยิ้มในแบบของเจ้าตัวที่ผู้หญิงหน้าไหนได้เห็นก็ยอมสิโรราบ
“เหมาะสมกันอ่ะ”
คนถ่ายรูปพูดขึ้นทำให้อี้ชิงหุบยิ้มอย่างฉับพลัน เสร็จภาระหน้าที่พลันรีบผละกายออกห่างจากคนตัวสูงในทันที แต่นั่นกลับไปไหนไม่ได้ในเมื่อมือหนายังโอบกอดรอบเอวไว้อยู่ให้หนีไปไหนไม่รอด
“ทำอะไร? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!” อี้ชิงกระซิบต่อว่าถลึงตาใส่พลางแกะมือหนาให้ออกห่าง
“ขอโทษ...”
อยู่ๆคริสก็โพล่งขึ้นทำให้อี้ชิงชะงักนิ่งก้มหน้างุด เพียงไม่นานจึงแกะมือหนาออกไปอีกครั้งก่อนจะเดินลงจากเวทีไม่หันกลับไปมอง คริสเลยเดินตามคนหน้าหวานไปติดๆพลางเรียกชื่ออีกคนไปด้วยหวังให้หยุดฟังเขาบ้าง
อี้ชิงวางรางวัลและช่อดอกไม้ไว้ที่โต๊ะก่อนจะเดินออกจากหอประชุมในทันทีเพื่อหนีอีกคนให้ไกลไม่อยากเสวนา เดินมาถึงห้องน้ำเห็นว่าคริสคงไม่ได้ตามมาแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้ากระจกและกวักน้ำเข้าใบหน้าเพื่อกลบเกลื่อนล้างหยาดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาในอีกไม่ช้า ไม่ได้เสียใจไม่ได้แคร์อีกคนทว่าอี้ชิงเหนื่อยและท้อเกินกว่าจะสู้ต่อ
ซับหน้าซับตาเสร็จจึงออกมาจากห้องน้ำพลันจะเดินกลับไปเอาสัมภาระที่หอประชุม แต่นั่นอีกแล้วที่คริสยังไม่เลิกลาเมื่ออี้ชิงเห็นว่าเขายืนรออยู่หน้าห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คริสนิ่งอี้ชิงจึงนิ่งไม่ต่างกัน นึกว่าลืมหายใจเสียอีกเมื่อความเงียบงันกำลังโหมความอึดอัดขึ้นคั้นระหว่างกลาง
“มีอะไร?”
เสียงหวานเอ่ยถามตัดสินใจเคลียเรื่องค้างคาให้หมดไป เป็นแบบนี้เอาแต่หนีไม่ใช่อี้ชิงไม่อึดอัด คริสอยากคุยเขาจะรับฟัง ขอให้จบกันแล้วอย่าได้พบปะกันอีกเลย
“ฉัน....”
“……..”
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ทำกับนายลงไปมันร้ายแรง แต่นายอย่าหนีฉันไปแบบนี้ได้ไหมอี้ชิง ฉันขอโทษ…”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างจริงใจทั้งแสดงสีหน้าจริงจัง มองจ้องอี้ชิงด้วยสายตาเจ็บปวด ยอมรับว่าสิ่งที่ทำลงไปมันแก้ไขอะไรไม่ได้ รู้ว่ายังไงอีกคนจะไม่ให้อภัยแต่คริสยังคงหวัง หวังว่าสักวันอี้ชิงจะให้โอกาสเขาได้แก้ตัว
“ขอโทษเรื่องอะไร?” ใบหน้าหวานเรียบนิ่งย้อนถามให้คริสร้อนรนอีกครั้ง
“นายรู้ดีอยู่แก่ใจอี้ชิง”
“ตามฉันมาเพื่อจะพูดเรื่องแค่นี้ใช่ไหม? ถ้างั้นฉันขอตัว”
คนหน้าหวานเบี่ยงตัวเดินหนีเพราะไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น อี้ชิงเข้าใจแล้วที่อีกคนตามมาคืออยากจะขอโทษหากแต่คำขอโทษมันไม่สามารถรักษาบาดแผลที่หัวใจเขาให้หายไปได้ หากแต่นั่นไม่ทันที่อี้ชิงจะได้เดินจากไปไหนไกล คนตัวสูงพลันเอื้อมมือมารั้งข้อมือบางแล้วดึงให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดทันที
“ปล่อยฉัน! เอาตัวสกปรกๆของนายออกไป อย่าแตะต้องฉันนะ!”
เสียงหวานตะโกนลั่นดิ้นขลุกขลักต่อต้าน แต่นั่นคริสกลับไปคลายอ้อมกอดให้คนตัวเล็กเป็นอิสระทั้งยังกระชับเสียแน่น ถึงจะเจ็บปวดกับคำพูดของอีกคนแต่คริสอยากทำความรู้จักอี้ชิงให้มากขึ้น
“ฉันคิดว่า...ฉันกำลังรู้สึกดีๆกับนาย…”
เสียงทุ้มเอ่ยตามเสียงของหัวใจ กดปลายจมูกโด่งลงที่ลาดไหล่บางพลางหายใจรัวยามก้อนเนื้อในอกซ้ายกำลังเต้นผิดจังหวะยากจะควบคุม
อี้ชิงปล่อยให้น้ำตาไหลรวยรินอาบข้างแก้มก่อนจะยืนนิ่งยามได้ยินคำพูดของอีกคนที่เอ่ยกระซิบข้างใบหู ใบหน้าน่ารักส่ายไปมาไม่อยากรับฟัง แต่เพราะคริสยังเอาแต่กอดรัดอยู่อี้ชิงถึงทำอะไรไม่ได้
“ฮึก...เป็นไปไม่ได้หรอก นายเลิกล้อเล่นกับฉันสักที”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น เวลาที่ฉันอยู่กับนายฉันรู้สึกดี…”
“จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงในเมื่อนายเอาแต่ทำร้ายฉัน ทำเหมือนฉันไม่ใช่คน ฮึก...”
เสียงหวานสั่นเครือสะอึกสะอื้นประชดประชัน จนคริสต้องยกมือขึ้นลูบหลังบางเพื่อปลอบโยนคล้ายอีกคนคือดวงใจ
อี้ชิงไม่เข้าใจเลยสักนิด หลายครั้งหลายคราที่คริสมักให้ความอบอุ่นกับเขาแต่นั่นทำไมอี้ชิงถึงไม่ไว้ใจ ทั้งๆที่ชอบดุชอบต่อว่าแต่กลับกอดเขาอย่างทะนุถนอม เพราะรู้ใช่ไหมว่าอี้ชิงคนนี้ไม่ทันคนถึงยังใจร้ายคอยทำดีให้ตายใจตลอดมา
“ฉัน...ไม่รู้ตัวเลยว่ามันเริ่มตอนไหนไอ้ความรู้สึกพิเศษแบบนี้ รู้ตัวอีกทีคือฉันไม่อยากให้นายหายไป ฉันไม่มีความสุขเวลาที่ไม่ได้เห็นหน้านาย”
คำสภาพของคริสทำให้อี้ชิงปล่อยน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าออกมาจนเปรอะเปื้อนเสื้อนักศึกษาของอีกคน ถูกสะกดให้ไร้การโต้ตอบทั้งยังนึกสมเพชตัวเองที่ไม่เคยเข้มแข็งอย่างที่ปากว่า หัวใจไม่รักดีมันกำลังจะอ่อนลงทั้งๆที่ไม่เต็มใจ อี้ชิงจะทำอย่างไรให้หัวใจผลักไสไล่ส่งอีกคนควรทำยังไงดี....
“เมื่อไร....ฮึก เมื่อไรนายจะออกไปจากชีวิตฉันสักที! ฉันไม่เคยรู้สึกดีเลยสักนิดยามที่นายอยู่ใกล้ เคยทำอะไรไว้สำนึกตัวเองบ้างไหมว่าทำให้ชีวิตคนๆนึงพังไม่เป็นท่ายากจะซ่อมแซม ฮึก...ฉันไม่เข้าใจ ทำไมนายยังหน้าด้านร้องขอจากฉันทั้งๆที่ทำร้ายฉันจนตกต่ำทั้งยังสกปรกถึงขนาดนี้ ฮือ...”
คนหน้าหวานรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายผลักอกแกร่งให้ออกห่าง พลันยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองร่ำไห้ตัวโยนเหมือนคนหมดหนทาง ไหล่บางไหวแผ่วเบายามสะอึกสะอื้นให้คนตัวสูงที่มองดูอยู่น้ำตาคลอเจ็บปวดเหมือนมีดกรีดแทง อี้ชิงอ่อนแอแสดงให้เห็นมันต่อหน้า เมื่อไรคริสจะเลิกลาสักทีมีแต่จะทำให้เขาสับสน
“อี้ชิง....”
คนตัวสูงไร้คำพูดเอื้อนเอ่ยเพราะที่อีกคนพูดมามันจริงทุกอย่าง คริสใช่ว่าอยากให้อี้ชิงเจ็บเสียเมื่อไหร่เพราะที่ทำลงไปเขามีเหตุผล
“ฉ...ฉันรู้ดีว่ารุนแรงกับนายมากแค่ไหน แต่ที่ทำลงไปฉันผิดไหม....ผิดหรือเปล่าถ้าอยากให้นายอยู่ข้างกาย อยากให้นายอยู่ใกล้เพราะความรู้สึกที่ฉันมีนายเป็นคนสร้างมันให้ฉันโดยไม่รู้ตัว...”
“ฮึก...นายมีแบคฮยอนอยู่แล้วลืมไปหรือยังไงกัน ลืมไปแล้วหรือว่ารักอีกคนทั้งยังลุ่มหลงขนาดไหน ฮึก... นายอย่ามาเรียกร้องอะไรจากฉันอีกเลย เรื่องระหว่างเรามันไม่มีทางเป็นไปได้ แม้แต่จะคิดก็ห้าม...เพราะเส้นขนานมันไม่มีวันมาบรรจบกันได้อย่างแน่นอน...”
พูดแค่นั้นร่างกายที่สั่นเทาจึงค่อยๆหันหลังทำท่าจะเดินหนี จบสักทีเพราะชีวิตนี้อี้ชิงจะไม่ให้อภัย หากแต่มือหนาของอีกคนกลับส่งมารั้งให้ไปไหนไม่ได้เหมือนเคยเช่น สุดจะทนแล้วเข้าใจหรือเปล่าว่าอี้ชิงอยากตาย อยากจะตายๆไปซะให้พ้นจากคนใจร้าย อยู่แบบนี้ทรมานเกินไป ตายทั้งเป็นแบบนี้สู้ร่างกายสลายไปเสียจะดีว่า แต่นั่นพอหันกลับไปอีกคนที่ใจร้ายพลันยื่นบางสิ่งบางอย่างให้ตรงหน้าของเขาอย่างไม่เข้าใจ
นัยน์ตาคู่สวยพร่ามัวไปด้วยน้ำตาที่บดบัง กะพริบทีหยาดน้ำพลันหลุดไหลตามแก้มเนียนไม่รู้จะเหือดแห้งไปเมื่อไหร่ อี้ชิงไม่รับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคนใจร้ายจึงดึงมือเล็กไปกุมแล้วหยัดบางสิ่งบางอย่างให้ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพราะรู้ดีว่าควรจะยืนตรงไหนให้อี้ชิงไม่ลำบากใจ คริสรู้ดีว่าเวลานี้อีกคนมองเขายังไงถึงไม่อยากเอาร่างกายสกปรกเข้าไปใกล้ให้คนตัวเล็กต้องติดเสนียด
“ถึงมันจะทดแทนอะไรไม่ได้ แต่สิ่งนี้ฉันอยากให้นาย...”
สิ้นเสียงทุ้มใบหน้าหวานจึงก้มลงมองกุหลาบสีขาวดอกโตในมือ ห้อยการ์ดสีม่วงที่กิ่งก้านพร้อมทั้งคำว่าขอโทษที่บรรจงเขียนมาอย่างดี อี้ชิงมองมันด้วยหัวใจที่สับสน อีกแล้วที่คริสมักจะเป็นแบบนี้และพร้อมจะให้เขาใจอ่อนได้ทุกเมื่อ ตั้งแต่ไหนแต่ไรอี้ชิงเป็นคนใจดีอ่อนโยนทั้งพร้อมจะให้โอกาสกับทุกคน แต่นั่นสำหรับคริสแล้วเขาทำใจให้อภัยอีกคนไม่ได้จริงๆ
“……..”
“ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำลงไป นายไม่ให้อภัยฉันเองรู้ว่ามันคงไม่ง่าย ดอกกุหลายสีขาวดอกนี้สำหรับฉันมันมีความหมาย เหมือนนายฉันเลยนึกถึงมัน... ถึงนายจะบอกว่าตัวเองสกปรกมีมลทินแค่ไหน แต่สำหรับฉันแล้ว...นายสะอาดและบริสุทธิ์เสมอนะอี้ชิง…”
สิ้นเสียงทุ้มหยาดน้ำที่คลอหน่วยพร่าพรางตาพลันหยดแหม่ะลงอีกระลอก เสียงร้องไห้โฮบ่งบอกว่าอี้ชิงอยากระบายความอึดอัดให้หมดไป หนักกว่าครั้งก่อนแทบขาดใจเพราะความทุกข์ระทมมันสะสม ช้าไปแล้วถ้าจะให้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมาได้เหมือนเดิม
คริสเองที่มองดูอยู่ก็ไม่ต่างกัน เห็นอีกคนตัวสั่นพลันให้เจ็บปวดฝังรากยากจะถอนโคลน เข้าใจแล้วที่ว่ารักใครเห็นอีกคนเจ็บเราก็เจ็บด้วยไม่ต่างกัน ถ้ามีโอกาสให้เขาแก้ตัวจะทำให้ดีที่สุด ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างคริสจะทำได้ ขอแค่อี้ชิงให้อภัยคริสจะไม่ลืมบุญคุณ
“หึ! สำหรับนายฉันยังบริสุทธิ์อยู่อีกหรือ ฮึก...ความด่างพร้อยของฉันนั่นมันพราะใครกันถึงต้องทุกข์ทรมานจนถึงทุกวันนี้ ช้าไปถ้าจะพูดให้เปลี่ยนใจเพราะไม่ว่าใครถ้าเสียไปแล้วนั่นคือเสียเลย ฉะนั้นในตอนนี้ต่อให้หลอกตัวเองว่าขาวสะอาดยังไง ฮึก... แต่ในใจรู้ดีกว่าใครว่าก็ไม่มีทางลบความสกปรกออกไปจากร่างกายได้อย่างแน่นอน ฉันคนนี้...ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วอย่าพูดให้ฉันเชื่อมัน ฮือ...”
มือบางยกขึ้นทาบอกตัวเองตัวสั่นระริกคล้ายว่าก้อนเนื้อข้างในกำลังจะแตกละเอียดในอีกไม่ช้า เอ่ยจบดอกกุหลาบสีขาวในมือเล็กอันสั่นเทาจึงลงไปอยู่ในถังขยะไร้การเหลียวแล นอนนิ่งท่ามกลางความโสโครกที่คละคลุ้งกลิ่นเหม็นจากของเสียทั้งหลายแหล
เท้าเล็กเริ่มออกเดินถึงแม้จะไร้เรี่ยวแรงจำต้องฝืนมันว่าเข้มแข็ง ปาดน้ำตาบนใบหน้าพลันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถึงแม้จะยังไม่หมดเรื่องของความเป็นกังวล แต่คนอย่างอี้ชิงจะไม่ยอมกลับไปเจ็บปวดแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป
คนตัวเล็กเดินจากไปร่างกายสูงเหมือนว่าหมดกำลัง คริสนั่งทรุดคุกเข่าอยู่ที่พื้นหยาบมองถังขยะที่มีหัวใจของเขาถูกทิ้งไว้ด้วยความอ่อนล้า อยู่ๆน้ำตาของลูกผู้ชายร้อยวันพันปีไม่เคยไหลให้ได้เห็นกลับหลั่งไม่หยุดหย่อนทั้งยังอกซ้ายที่เหมือนโดนกระทืบลงอย่างแรงไม่ผ่อนปรน เจ็บครั้งนี้คริสจะจำเป็นบทเรียน อีกคนเจ็บมากแค่ไหนคงไม่อาจเทียบเท่า รสชาติที่อี้ชิงได้รับคริสเข้าใจมันอย่างท่องแท้ ขอรับความแสบสันนี้ไว้กับตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ถ้าทำให้อี้ชิงเจ็บได้น้อยลงบ้างคงจะดี ถ้าทำอะไรเพื่ออีกคนได้คริสก็จะขอทำมันเพื่อชดใช้ให้กับสิ่งที่ได้ทำลงไปอย่างเต็มใจและจะไม่ปริปากบ่นสักคำ
...ERROR…
*** ตอนนี้ยาวมากกกกกกกก TT
มีไคลู่สนองนิดตัวเองเล็กๆน้อยๆ 55555
แต่รู้สึกตอนจบพาร์ทนี่ค้างอ่ะ คือรู้สึกเอง -'-
มันยาวมากจริงๆถึงกับเหนื่อยเวลาแต่งสำบัดสำนวน
แปลกบ้างแหม่งบ้างให้อภัยกันเน้อ
ไม่ได้คาดหวังนะคะ แต่ติดแท็กติชมกันก็ดีเหมือนกัน ฮ่าๆ #ERROR
ความคิดเห็น