คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ll THE WIZARD ll Chapter 1
THE WIZARD 1
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจในแคนทีนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าบรรดานักเรียนชายมากหน้าหลายตาทั้งสูงหล่อและดูดีเต็มไปหมด ใช่! ชายล้วน เข้าใจไม่ผิดหรอก ก็ในเมื่อที่นี่มันคือโรงเรียนพ่อมดที่รับเฉพาะเด็กมนุษย์ผู้ชายเท่านั้น ผู้ซึ่งเป็นอนาคตของเดอะวิซาร์ดและผองมนุษย์ภายในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้
“คริส รูมเมทนายยังไม่มาอีกหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเพื่อนสนิทขณะวางจานข้าวลงที่โต๊ะก่อนจะหย่อนกายนั่งตามลงมา
“อื้ม” ใบหน้าเรียบเฉยที่ไคหรือจงอินก็รู้ดีว่าเป็นนิสัยเฉพาะตัวของร่างสูงเอ่ยตอบกลับ
“โห้ อภิสิทธิ์ชะมัด อยากมาตอนไหนก็มา”
“หึ! ช่างเขาเหอะ” ถามคำตอบคำจนกลายเป็นเรื่องปกติของคริสไปเสียแล้ว เพราะมันไม่ใช่ชีวิตของเขาซะหน่อย ทำไมต้องใส่ใจ
“ฉันได้ข่าวว่ารูมเมทนายไม่ต้องสอบเข้าด้วยนะ คงจะเส้นใหญ่น่าดู คิดดูดิ พวกเรากว่าจะสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ต้องแข่งขันกับนักเรียนเป็นแสน ไอ้หมอนี่แค่เดินเข้ามาก็ได้เรียนแล้ว สุดยอดจริงๆ”
คริสขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ฟังในสิ่งที่ไคเล่า มุมปากเรียวกระตุกยิ้มก่อนจะหันไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ถ้าเดาไม่ผิดรูมเมทเขาคนนี้คงจะไม่ธรรมดาแน่นอน
“เอ้อ! พรุ่งนี้ก็วันปฐมนิเทศแล้ว เมทนายยังไม่มาอีก ตกลงมันจะเรียนไหมนั่น?” ไคเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัย
“วันนี้ก็คงมามั้ง”
คริสมั่นใจ มั่นใจว่ารูมเมทของเขาต้องมาในวันนี้แน่นอน หากไม่มาวันนี้พรุ่งนี้ก็คงเข้าร่วมกิจกรรมในตอนเช้าไม่ทันเป็นแน่ เพราะวันปฐมนิเทศถือเป็นวันที่สำคัญมากของเดอะวิซาร์ด ถือเป็นวันที่จะได้รับสิทธิ์ความเป็นนักเรียนของเดอะวิซาร์ดอย่างเต็มตัว
…THE WIZARD…
LAY TALK
“โรงเรียน? พ่อจะให้ผมมาอยู่โรงเรียนประจำที่นี่อ่ะหรอ? ผมไม่เอาผมไม่อยู่ ผมจะกลับบ้านกับพ่อ!” ผมโวยวายเมื่อรู้ว่าจริงๆแล้วผมก็คงโดนพ่อพามาทิ้งให้อยู่โรงเรียนประจำบ้าบอนี่ ทั้งๆที่อยู่ที่โซลก็ดีอยู่แล้ว แล้วนี่มันโรงเรียนอะไรน่ะหรอครับ โรงเรียนพ่อมด ผมละอยากจะบ้า! ทำไมตั้งแต่พ่อขับรถเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้ผมไม่เอะใจสักนิด รวมทั้งป้ายที่ผมเห็นนั่นด้วย
“ไม่ได้นะเลย์ ลูกต้องอยู่ที่นี่ ลูกคือคนที่ถูกเลือก”
“เลือกบ้าเลือกบออะไรล่ะครับ ผมเป็นมนุษย์นะไม่ได้เป็นพ่อมดอะไรนั่นสักหน่อย ทำไมพ่อทำแบบนี้กับผม ไหนว่าจะไม่ทิ้งผมไงล่ะ?” ผมพูดไปน้ำตาก็พาลจะไหลออกมา ผมเสียใจที่พ่อไม่ยอมบอกผมว่าต้องมาเรียนโรงเรียนบ้าๆนี่ อยู่ๆก็เอาผมมาปล่อยทิ้งซะงั้น ยังทำใจไม่ได้หรอกนะ
“พ่อนายไม่ได้ทิ้งนายไปไหนหรอกนะเลย์ นักเรียนที่นี่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนนายกันทั้งนั้น ทุกคนเหมือนนายทุกประการ” ศาสตราจารย์ชื่ออะไรสักอย่างพูดกับผม เขาดูใจดี แต่ผมก็ยังไม่ไว้วางใจสักนิด
“จะเหมือนผมได้ยังไง ก็ทุกคนเรียนโรงเรียนพ่อมด เรียนก็เพื่อจะเป็นพ่อมดไม่ใช่หรอ? แต่ผม.. ผมเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้อยากเป็นพ่อมดสักหน่อย นี่จะมีใครเข้าใจผมไหมเนี่ย เฮ้อ!” พูดเสร็จผมก็ถอนหายใจออกมาจนศาสตาจารย์กับพ่อยืนขำกันคิกคักอยู่สองคน ไม่ได้มองมาที่ผมเลยสักนิดว่าผมตลกด้วยหรือเปล่า ให้ตายเหอะ!!
“เอาน่าเลย์ นายอยู่ที่นี่แล้วนายจะชอบ งั้นฉันจะให้นายลองเรียนที่นี่สักอาทิตย์ ถ้านายไม่ชอบฉันจะไม่ห้ามนายอีกเลย โอเคไหม?”
“แต่แอนดี้....” อยู่ๆพ่อผมก็ขัดขึ้นมา นั่นยิ่งทำให้ผมหัวเสียมากขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไรหรอกน่าเพื่อน แล้วลูกชายนายจะเข้าใจ”
ผมยืนดูผู้ใหญ่สองคนคุยกันด้วยความสงสัย แล้วผมก็ได้รู้ว่าศาสตราจารย์คนนี้ชื่อแอนดี้ ซึ่งก็เป็นเพื่อนของพ่อผมเอง มิน่าล่ะ สนิทสนมกันเชียว
“ผมจะลองดูก็ได้ครับ แต่ศาสตราจารย์บอกแล้วนะว่าแค่อาทิตย์เดียว ผมจะลองทำมันแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น” ผมตอบตกลง ก็มันแค่อาทิตย์เดียวเอง หนิ ผมทนไหวสบายมาก แล้วผมก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับที่นี่อีก
ไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงของศาสตราจารย์แอนดี้ก็ขัดขึ้นซะก่อน พร้อมกับใครอีกคนที่เดินเข้ามาพอดิบพอดี
“ฉันจะแนะนำให้รู้จัก นี่ยูโนว์ยุนโฮประธานปราสาทที่นายต้องอยู่นะเลย์”ศาสตราจารย์แอนดี้แนะนำคนที่เข้ามาใหม่ พระเจ้า! หล่อมาก! ผมจะเป็นลม หล่อแบบหาที่สุดไม่ได้ ว่าแต่อะไรนะ? ปราสาทอะไร
“สวัสดีเด็กน้อย ฉันเป็นประธานปราสาทดราก้อน มอปลายปีสาม ยินดีต้อนรับนะ นายเป็นสมาชิกใหม่ของปราสาทเรา”
รุ่นพี่สุดหล่อส่งยิ้มมาให้ผมเมื่อแนะนำตัวเองเสร็จ ผมเริ่มยืนไม่อยู่ละนะ พี่เขาหล่อเกินไปจริงๆ นั่นทำให้ผมถึงกับตาค้างเลยล่ะครับ
“เลย์! เป็นอะไรไปลูก พี่เขาทักทายน่ะ?” พ่อสะกิดผมจนผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะได้สติว่าผมต้องแนะนำตัวเองบ้าง
“สวัสดีครับ ผมเลย์ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
ผมส่งยิ้มหวานแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนไปให้พี่เขา ก่อนจะหันกลับไปโค้งลาพ่อและศาสตราจารย์แอนดี้แล้วเดินตามรุ่นพี่ยุนโฮเข้าไปในตัวโรงเรียนทันที นี่ผมเดินตามพี่เขาโดยไม่อิดออดเลยสักนิด ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังโวยวายอยู่เลย บ้าไหมล่ะครับ
ผมเดินตามหลังพี่ยุนโฮไปเรื่อยๆ พลางหันมองรอบๆตัวโรงเรียนอย่างสนอกสนใจไปด้วย มันสายงามมากๆ บางทีก็ไม่เสียหายอะไรนะถ้าผมจะเรียนที่นี่ แต่...พี่เขาจะพาผมไปไหนกัน
“เราจะไปไหนกันหรอครับรุ่นพี่?”
“ฉันกำลังจะพานายไปที่หอพักน่ะ ว่าแต่นายรู้รึยังว่ารูมเมทนายเป็นใคร?” รุ่นพี่ถามผมกลับ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ขนาดผมเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าต้องมาเรียนที่นี่ อนาถใจจริงๆ
“อ่า...ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปถามฝ่ายหอพักให้”
ผมพยักหน้าตอบรุ่นพี่งึกงักพร้อมกับโค้งขอบคุณ แล้วเดินตามพี่เขาไปเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังมีอะไรหลายอย่างที่สงสัยอยู่ดี
“เอ่อ รุ่นพี่ครับ คือ...ผมอยากถามว่าอะไรคือปราสาทหรอครับ?” ด้วยความไม่รู้ ผมจึงแสดงความโง่ออกไปเต็มที่ แต่ก็อีกนั่นแหละ พี่ยุนโฮก็ยังยิ้มให้ผมเหมือนเดิม ใจดีอ่ะ ใจดีเกินไป ยิ้มมาให้ผมบ่อยๆนี่ผมคิดนะ
“ปราสาทก็คล้ายๆบ้านของนักเรียนที่นี่ เดอะวิซาร์ดจะแบ่งออกเป็นสี่ปราสาท แต่ละปราสาทจะมีชื่อเรียกและสีประจำของตัวเอง ปราสาทของเราคือ
ปราสาทดราก้อน สัญลักษณ์ก็คือ มังกร”
“…………”
“ส่วนสีประจำปราสาทเราก็คือ สีแดง”
ผมพยักหน้าเข้าใจเมื่อได้รับรู้ มันน่าสนใจมากจริงๆครับ แต่คนสอดรู้แบบผมก็อยากรู้อีกนั่นแหละ เกรงใจพี่เขานะแต่ทำไงได้
“แล้วปราสาทอื่นๆ เป็นยังไงหรอครับ?”
“อีกสามปราสาทก็จะประกอบไปด้วยปราสาทยูนิคอร์น สีขาว ฟีนิกส์ สีส้ม และเซนทอร์ สีเขียว ส่วนสัญลักษณ์นายคงจะนึกออกนะ พรุ่งนี้นายจะเห็นของจริง” รุ่นพี่ยุนโฮพูดเสร็จก็หันมายิ้มให้ผม อีกแล้ว อยากจะตายวันละหลายๆรอบอ่ะ แทบจะลงไปนอนดิ้นกับพื้นเลยล่ะ
“ชื่อแต่ละปราสาทมันคือสัตว์ในตำนานทั้งนั้นเลยใช่ไหมครับ?”
“อื้มใช่แล้ว นายฉลาดมาก แต่ตอนนี้ดึกแล้วนายควรจะเข้าหอ นายคงไม่อยากเจออะไรที่ไม่ควรเจอใช่ไหม?” พี่เขาพูดชมผม แต่ใครๆก็รู้นะว่านั่นเป็นสัตว์ในตำนาน ตกลงชมผมจริงหรือเปล่าเนี่ย แต่…
“อะไรครับที่ไม่ควรเจอ?” ผมถามออกไปพร้อมทั้งยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงงๆ ก่อนจะกระพริบตาปริบไปให้รุ่นพี่ด้วยความอยากรู้
“ไม่เอาไม่พูดดีกว่า ขนลุก!”
พี่ยุนโฮทำท่าลูบแขนตัวเอง มองซ้ายมองขวาแล้วเดินนำผมไปเฉยเลย ปล่อยให้ผมยืนทำหน้างงต่อไปอยู่คนเดียว แต่นี่ผมก็เริ่มรู้สึกแล้วนะ มันเย็นวูบวาบอ่ะ ฮึ๋ย!
“เฮ้แม็ก! ขอกุญแจห้องเด็กใหม่หน่อย” พี่ยุนโฮเอ่ยทักรุ่นพี่อีกคนที่หล่อไม่แพ้กัน โอ้ย! ที่นี้มันเอาคนหล่อมารวมกันหรือยังไง ผมมองรุ่นพี่ที่ชื่อแม็กตาไม่กระพริบ ให้ตายเหอะ หล่อเว่อร์อ่ะ แบบเข้มๆเลยครับ
“หนิพี่! ผมบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกแม็ก”
“เออๆ ขอโทษน่าชางมิน ขอกุญแจให้เลย์หน่อย แล้วก็ดูให้ด้วยว่ารูมเมทชื่ออะไร?”
พี่แม็ก เอ้ย! พี่ชางมินมองมาที่ผมเล็กน้อย ก่อนจะเปิดสมุดดูรายชื่อรูมเมทให้ผม หากแต่ไม่ได้เปิดธรรมดา พี่เขาแค่ใช้นิ้วตวัดนิดเดียวแผ่นกระดาษก็เปิดเองอัตโนมัติ
“อึ้งอะไรเด็กน้อย เดี๋ยวนายก็ชิน อะนี่! กุญแจห้องนาย ส่วนรูมเมทก็น้องชายฉันเอง”
ผมที่ยืนอึ้งตาโตอยู่ในตอนแรกก็รีบรับกุญแจแล้วโค้งขอบคุณพี่เขาทันที ขอบอกว่ายังอึ้งไม่หาย มันมีแบบนี้อยู่ในโลกจริงๆด้วยหรอ พระเจ้า!
“ไอ้คริสน่ะหรอ? เลย์เป็นรูมเมทคริสหรอ?”พี่ยุนโฮเอ่ยถามพี่ชางมินด้วยสีหน้าที่ดูจะตกใจเอามากๆ อะไรของเขาวะ
“ทำไมอ่ะพี่? น้องผมมันก็มีน้ำยานะ ฮ่าๆ”
เอิ่ม พี่เค้าคุยอะไรกัน ผมงงอ่ะ แต่ช่างเหอะตอนนี้ง่วงนอนไม่ไหวแล้ว นั่งรถมาทั้งวันเหนื่อยจะแย่ แล้วก็อยากเห็นหน้าน้องชายพี่ชางมินแล้วด้วยว่าหน้าตาจะเหมือนกันไหม จะหล่อเหมือนพี่เขาหรือเปล่านะ
“จะให้ฉันขึ้นไปส่งไหม?” พี่ยุนโฮจะใจดีกับผมทำไม ผมหวั่นไหวอีกแล้วล่ะครับ
“ไม่เป็นไรครับรุ่นพี่ ขอบคุณมากนะครับ” พูดเสร็จผมก็โค้งให้รุ่นพี่ทั้งสองแล้วเดินออกมาจากที่ตรงนั้นทันที แต่...เหมือนผมจะลืมอะไรไปสักอย่าง
“เอ่อ..รุ่นพี่ครับ กระเป๋าเสื้อผ้าผม....?” ผมที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหันกลับไปถาม จำได้ว่าผมยังไม่เอามันลงจากรถของพ่อเลยด้วยซ้ำ
“มันอยู่ที่ห้องนายแล้วเด็กน้อย” พี่ชางมินสุดหล่อหันมาบอกผม ผมโค้งขอบคุณอีกครั้งแล้วหันกลับเดินขึ้นบันไดไปในทันที ผมยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองอย่างงงๆ แต่ก็ต้องหยุดความสงสัยไว้เพราะความง่วงมันเริ่มเข้าสิงผมแล้ว
ผมเดินขึ้นบันไดไปตามชั้นที่ระบุหมายเลขในกุญแจ ทางเดินมันเงียบเกินไปจนผมกลัว แต่ก็คงไม่แปลกหรอกครับเพราะตอนนี้มันดึกมากแล้ว นักเรียนทุกคนคงหลับกันหมด รู้งี้ให้รุ่นพี่มาส่งก็ดี มืดก็มืด เงียบก็เงียบ วังเวงชะมัด!
“001” ผมพึมพำหมายเลขห้องออกมาอีกครั้งเมื่อเหลือบมองไปยังกุญแจ แม้กระทั่งหมายเลขห้องก็ยังทำให้ผมขำ ตั้งแต่มาถึงที่นี่อะไรๆมันก็ดูแปลกไปหมดจริงๆนะ ห้องแรก!
ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องของตัวเองก่อนจะค่อยๆไขกุญแจเข้าไป แต่เพราะยังไม่ชินผมเลยใช้เวลาค่อนข้างมากในการไขมัน
“เฮ้อ! กว่าจะออก ไขยากไขเย็นชะมัด!”
ผมเปิดประตูอย่างสบายใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องที่ตอนนี้มืดสนิทไร้แสงใดๆสาดส่องเข้ามา แล้วทีนี้ผมจะหาสวิตซ์ไฟเจอได้ยังไงละเนี่ย
“เฮ้ย!”
ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ใครไม่รู้อยู่ๆก็กระชากผมจากทางด้านหลังแล้วปิดปากผมไว้ซะแน่น ผมกลัวจนพูดอะไรไม่ออก สติสตังก็เริ่มจะไม่มี ลมหายใจของคนด้านหลังปล่อยรดต้นคอผมจนหายใจไม่สะดวกไปหมดบวกกับความตื่นเต้นที่มีอยู่เป็นทุนเดิม ผมจะเป็นลมจริงๆแล้วนะครับ งื้อ…
“นายเป็นใคร เข้ามาทำไมไม่เคาะประตู?”
เสียงทุ้มที่เอ่ยถามผมเรียบนิ่งซะจนผมขนลุกซู่ แต่ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ในเมื่อเขายังปิดปากผมอยู่นี่นา แต่เพียงไม่นานเสียงอู้อี้ของผมทำให้อีกคนค่อยๆคลายมือที่ปิดปากผมออกช้าๆเพื่อให้ผมได้โต้ตอบเขาบ้าง
“ขอโทษที่เข้ามาไม่ได้เคาะ ลืมตัวไปหน่อยนึกว่าไม่มีคนอยู่” เมื่อได้โอกาสพูด ผมก็รีบพูดขอโทษและแก้ตัวทันที แต่ก็ไม่มีเสียงของคู่สนทนาตอบกลับมาเลยสักนิด อีกคนก็เงียบซะจนผมใจไม่ดี นี่ไม่คิดจะพูดอะไรกับผมหน่อยรึไงนะ ผมกลัวจนเลือดไม่ไหลเวียนแล้วเนี่ย
“แล้วสวิตซ์ไฟอยู่ไหน? ฉันมองไม่เห็น” ผมโวยวายเมื่อต้องการความสว่าง ยืนคุยกันแบบนี้ทั้งยังไม่เห็นหน้ากันอีก หลอนจริงๆนะครับ
“เงียบๆหน่อยจะตายไหม ทุกคนเขาหลับกันหมดแล้ว”
อยู่ๆอีกคนก็พูดขึ้นมา ผมอยากรู้ว่าวิญญาณของเขายังอยู่ในร่างหรือเปล่า แม้กระทั่งเสียงพูดก็ดูเย็นชาไร้ชีวิตชีวา บรรยากาศตอนนี้ก็ชวนขนหัวลุกอยู่ด้วย อะไรจะเข้ากันดีซะเหลือเกิน
“ขอโทษ! เปิดไฟให้หน่อยสิ” ผมพูดขอโทษเขาอีกครั้ง ไม่ได้อยากจะขอโทษนะครับแต่แค่ไม่อยากมีเรื่องในวันแรกที่มาเลยต่างหาก
เมื่อผมพูดจบไฟในห้องก็ค่อยๆสว่างขึ้นช้าๆจากฝีมือของอีกคน ผมเดินไปนั่งที่ปลายเตียงที่น่าจะเป็นของผมแล้วก้มหน้าก้มตาแกะเชือกร้องเท้าเพื่อจะถอดมันออก โดยไม่ได้มองหน้าเพื่อนร่วมห้องอีกคนเลยแม้แต่น้อย
ผมได้ยินเสียงปิดประตูดังขึ้น คงจะเป็นเพื่อนร่วมห้องของผมเองแหละที่เดินไปปิดมัน ผมก้มหน้าก้มตาถอดรองเท้าอีกข้างที่เหลืออยู่ ก่อนจะค่อยๆเงยใบหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าตอนนี้มันเงียบเกินไป
“......................”
เอ่อ...อึ้ง! นิ่ง! เงียบ!สยบความเคลื่อนไหว หล่อมาก คนอะไรหล่อไม่แบ่งใคร เพื่อนร่วมห้องของผมที่ตอนนี้ยืนกอดอกเอียงคอเล็กน้อยมองมาที่ผม อย่าเรียกว่าแค่มองเลย บ้านเรียกจ้องอ่ะครับ ผมก็นิ่งเช่นเดียวกันเมื่อทำอะไรไม่ถูก ก็เล่นจ้องนานๆมีหรอครับที่จะไม่หวั่นไหว พระเจ้า! โรงเรียนนี้มันคัดหน้าตาคนเข้ามาเรียนหรือเปล่าเนี่ย แต่ผมก็เก็บอาการนะ ผมไม่ง่ายอ่ะขอบอก
อ่า ผมไม่แปลกใจเลย เขาหล่อมาก ดูจากพี่ชางมินก็รู้ พี่น้องสองคนนี้กินกันไม่ลงจริงๆ ยอมรับว่ารูมเมทผมหน้าเป๊ะกว่าพี่ชางมินอยู่นิดหน่อย แต่มันคนละแบบกัน จะเรียกว่าหล่อคนละแบบก็ไม่เชิง ตอนแรกผมคาดหวังไว้สูงมากแต่ก็ไม่ผิดหวังเมื่อเจอตัวจริงแบบนี้แล้ว ขอบอกว่าหล่อเกินคาด แต่..เรื่องนึงที่ผมขอยกเว้นก็คงจะเป็นนิสัยเย็นชาของเขานั่นแหละครับ ไม่ไหวจริง
“มองทำไม ฉันทำอะไรผิดหรอ?”
เมื่อรู้สึกว่าเราจ้องกันนานเกินไป ผมเลยถามกลบเกลื่อนออกไปพลางลูบท้ายทอยไปมาแก้เก้อ หากแต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมาเลยเพราะอีกคนไม่แม้แต่สนใจผมเลยสักนิด เขาเดินไปที่เตียงของเขาก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วคุมโปงทันทีอย่างไม่คิดจะสนใจ
“เฮ้! นายชื่ออะไรอ่ะรูมเมท?” จริงๆก็พอจะรู้แต่ก็แกล้งทำเป็นถามแหละครับ ก็เพื่อความมั่นใจอ่ะ
“………” เงียบ เขาไม่ตอบผม
“หลับแล้วหรือไง?” ผมก็ยังคงถามอยู่อย่านั้น
“………”
“นายเป็นใบ้หรือเปล่า ฉันถามก็ไม่ตอบ?”
“………”
“อ่า... ฉันเข้าใจนะ ถ้านายเป็นใบ้เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ฉันโอเค”
เพียงเท่านั้นเพื่อนร่วมห้องของผมก็ลุกขึ้นนั่งพรวดพลาดทันทีจนผมต้องผงะไปด้านหลังเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นเขาขยี้ผมสีบลอนด์ของตัวเองซะจนยุ่งเหยิง เขามองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ดูท่าทางหงุดหงิดและหัวเสียเต็มทน แต่ก็ยังดี สนใจกันบ้างก็ดี ปล่อยให้ผมพูดคนเดียวมาตั้งนานสองนาน
“คนจะนอน แล้วอีกอย่างฉันไม่ได้เป็นใบ้แค่ไม่อยากพูด จบไหม?” นี่คงจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่เขาพูดกับผม ผมควรจะดีใจดีไหมเนี่ย
“เห็นไม่พูดก็นึกว่าใบ้กิน”
“นาย!...” เขาตวัดสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนักมาให้ผม แล้วเว้นวรรคไปสักพักเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “ถ้าไม่อยากตาย....ก็ช่วยหุบปาก!”
เท่านั้นแหละครับผมก็จุกทันที พลันรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองกลัวว่าเสียงของผมจะทำให้เขาไม่พอใจ คนๆนี้น่ากลัวมาก นี่ผมต้องอยู่กับเขาทั้งอาทิตย์เลยหรอเนี่ย จะนอนหลับไหมวะ
“นาย...”
“……”
“นาย...” เวลาผ่านไปไม่นานผมก็ยังคงเรียกเขาอยู่ จริงๆก็กลัวตายอ่ะ แต่เพราะผมเพิ่งมาถึงที่นี้ผมเลยไม่รู้อะไรสักอย่าง
“โอ้ย! มีอะไรอีก วุ่นวายจริง!” เขาแสดงอารมณ์เป็นด้วยครับ ผมตกใจจริงๆ มันอเมซิ่งนะ เมื่อกี้ยังไร้วิญญาณอยู่เลย
“เอ่อ...คือ...ฉันหากระเป๋าเสื้อผ้าไม่เจอ” ผมยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแล้วมองซ้ายมองขวาเพื่อหากระเป๋าเสื้อผ้าที่พี่ชางมินบอกว่ามันอยู่ที่ห้องแล้ว แต่ผมก็หามันไม่เจอสักที
“หนิ! แหกตาดูหน่อย มันอยู่ใต้เตียงนาย แล้วห้องน้ำก็อยู่ทางนั้น นั่นผ้าเช็ดตัวอยู่ในตู้ พวกสบู่ยาสีฟันและของอาบน้ำก็อยู่ในห้องน้ำ มีอะไรอีกไหมถามมาให้หมด” รูมเมทผมบอกทุกอย่างในรวดเดียวจนผมมองตามมือที่เขาชี้ไปยังส่วนต่างๆของห้องแทบไม่ทัน คงจะเดือดน่าดูสิท่า
“…เปิดไฟไม่เป็นอ่ะ” ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆอีกครั้ง ก็ไอ้หมอนี่มันเดาใจยาก แต่ผมรู้สึกว่าเขาจะพูดเยอะขึ้นจริงๆนะ
“โอ๊ะ!”
เพื่อนร่วมห้องของผมก็ยังใจดีอยู่นะครับ เขาชี้ไปที่หลอดไฟในห้องน้ำแล้วไฟก็สว่างขึ้นมาทันตา ผมตกใจไม่น้อยก่อนจะหันไปมองหน้าเขาสลับกับไฟที่เขาเพิ่งสั่งให้มันเปิดเมื่อครู่ งั้นตอนที่ผมเข้ามาแล้วหาสวิตซ์ไฟไม่เจอก็เพราะเขาเปิดกันแบบนี้น่ะหรอ อึ้ง!
“จะนั่งนิ่งอีกนานไหม? ไปอาบน้ำสักที! ฉันนอนไม่หลับหรอกนะถ้าไฟมันยังสว่างอยู่แบบนี้”
“นายทำได้ไงอ่ะ สอนฉันมั่งดิ” ผมเอ่ยถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ใครๆก็ทำได้ มีแต่นายนั่นแหละทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“จะให้ทำอะไรได้ล่ะ กระทั่งต้องมาเรียนที่นี่ก็ยังไม่รู้เลย เพิ่งรู้ก็ตอนมาถึงนี่แหละ สอนหน่อยดิ นะ..น้า..” ผมอ้อนเขาเต็มที่เลยครับ แต่เขากลับส่ายหน้าแล้วจ้องเขม่นมาทางผมอย่างไม่เป็นมิตร ดูก็รู้ว่าไม่พอใจแต่ผมก็อยากทำได้นี่นา
“ก็แค่ชี้มัน” พูดเสร็จเขาก็ล้มตัวลงนอนทันที ผมเลยถือโอกาสลองชี้ไฟเล่นๆดูบ้าง
“โว้ย! สุดยอดอ่ะ ฉันก็ทำได้นี่หว่า” ผมอุทานออกมากับตัวเองเบาๆ ผมชี้นิ้วไปที่ไฟให้มันดับแล้วก็ชี้ใหม่ให้มันเปิดอีกครั้ง มันคงเป็นพื้นฐานง่ายๆละมั้ง ผมเริ่มสนุกกับมันแล้วสิ
…THE WIZARD…
ผมตื่นขึ้นมาเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามากระทบกับเปลือกตาจนนอนต่ออีกไม่ได้ ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับโฟกัสให้เข้าที่ เหม่อมองเพดานห้องอยู่สักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนผมยังคุยกับใครอีกคนที่ดูจะไม่ค่อยชอบผมนัก ผมค่อยๆหันไปเหลือบมองเตียงข้างๆแต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า เขาคงตื่นก่อนแล้ว ว่าแต่เขาไปไหน ผมไม่มีเพื่อนที่ไหนซะด้วยสิ
ผมลุกขึ้นจากที่นอนแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จสับ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยอีกครั้ง สายตาก็เหลือบไปเห็นถุงสูทหรูที่ห้อยไว้อยู่ใกล้ๆ ผมเลยหยิบมันขึ้นมาดูแล้วอ่านข้อความในแผ่นกระดาษที่แปะไว้ถึงผม
… นี่ชุดนายนะเลย์ สำหรับงานปฐมนิเทศ แล้วมาเจอกันที่ห้องโถงกลาง
เวลา 9 โมง… - ยุนโฮ –
“เก้าโมง...เก้าโมง?” ผมเหลือบมองนาฬิกาข้างพนักห้อง จากที่ตอนแรกยังเดินอยู่ในห้องไปมาอย่างใจเย็นหากแต่ตอนนี้...
“ตายห่า! สายแล้วนี่หว่า ไอ้รูมเมทก็ไม่บงไม่บอกกันเลย ใจร้าย!”
ผมรีบจัดการแต่งตัวด้วยความไวแสงก่อนจะรีบพุ่งตัวออกจากห้องไปในทันที ตอนนี้ไม่คิดอะไรแล้ว คิดอย่างเดียวว่าห้องโถงกลางไปทางไหน ผมไม่รู้อะไรเลย แต่ด้วยความโชคดีอยู่บ้าง ผมเห็นศาสตราจารย์แอนดี้ยืนอยู่หน้าหอพัก ไม่รอช้าผมจึงรีบวิ่งดิ่งไปหาศาสตราจารย์ทันที
“มาแล้วหรอ? ฉันรอนายตั้งนานแหน่ะเลย์ ไปๆ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ศาสตราจารย์ก็เอ่ยทักมาซะก่อน ดีจังที่ศาสตราจารย์รอผม ไม่งั้นผมคงเอ๋ออยู่ตรงไหนสักแห่งก็ไม่รู้
“ผมขอโทษครับศาสตราจารย์ ผมไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันปฐมนิเทศ” ผมรีบขอโทษขอโพยทันทีพร้อมทั้งก้มหัวให้ศาสตราจารย์ด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรๆ ตอนนี้รีบไปให้ทันก่อนที่ศาสตราจารย์เอริคจะมาดีกว่า” ผมพยักหน้าตอบรับ แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าคนชื่อเอริคน่ะเป็นใคร บอกแล้วว่าผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
ศาสตราจารย์แอนดี้พาผมเดินมานั่งประจำที่สำหรับปราสาทดราก้อน แต่ที่สังเกตุได้คือวันนี้ทุกปราสาทมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ชุดยูนิฟอร์มของแต่ละปราสาทก็แตกต่างกันออกไป ดูจากผ้าพันคอของแต่ละคนจะเป็นสีประจำปราสาทของตัวเอง ข้างในเป็นเสื้อกั๊กสีน้ำตาลแดงและกางเกงสแล็คสีเดียวกัน คลุมทับด้วยเสื้อโค้ทสีดำอีกชั้น ถึงจะร้อนขนาดไหนก็ต้องแต่งแบบนี้หรอ ร้อนนะขอบอก
ผมมองสำรวจอะไรไปเรื่อยก่อนจะรู้สึกได้ว่าเกือบทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ผมราวกับผมเป็นตัวประหลาด มองทำไมวะ? ผมรู้สึกประหม่านิดๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเข้าไปนั่งประจำที่ของตัวเอง และแน่นอนผมนั่งข้างรูมเมทของผมเอง ที่นั่งของพวกเราอยู่ด้านหน้าสุดของแถว ผมไม่ชอบอะไรที่มันโจ่งแจ้ง ไม่ชอบเลยจริงๆ
“นายไม่ปลุกฉัน” ผมหันไปพูดกับอีกคนที่นั่งหน้าตายไม่รับรู้อะไรเป็นเชิงต่อว่า
“…………..”
“บางทีก็น่าจะบอกกันบ้างว่าวันนี้มีกิจกรรม ใจร้ายชะมัด!”
“………..” มันไม่ตอบผมครับ มันนิ่งใส่ผม ให้ตายเหอะทำไมเป็นคนแบบนี้ จะฟ้องพี่ชางมินคอยดูนะ อ่อนใจกับเขาจริงๆนะครับ พี่ชางมินก็ออกจะนิสัยดีเป็นกันเอง แต่ทำไมน้องชายถึงได้เย็นชาไม่มีเส้นตายแบบนี้
ผมนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับเพราะรูมเมทของผมทำอารมณ์เสียแต่เช้า แต่ผมก็ไม่คิดจะติดใจเอาความอะไรหรอกนะ รู้สึกเริ่มชินแล้วด้วยซ้ำ (ผมชินเร็วไปไหมนะ)
“เฮ้! นายเพิ่งมาหรอ?” เพื่อนผิวเข้มนั่งถัดจากรูมเมทของผมเอ่ยถาม ไอ้นี่ก็หล่ออีกแหละ ผมเริ่มคิดว่าโรงเรียนนี้คัดหน้าตานักเรียนเข้ามาเรียนจริงๆแล้วนะครับ
“อื้ม ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อคืน”
“แล้วนายชื่ออะไร?” เพื่อนผิวเข้มถามผมอย่างเป็นมิตร ผิดกับไอ้คนข้างๆที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าหากันตลอดเวลา
“เลย์ ฉันชื่อเลย์”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเลย์...ฉันไค”
“ห๊ะ? อะไรไค?” ผมถามกลับเพราะเขาพูดคลุมเคลือเกินไป
“ฉันชื่อไค ไคคือชื่อของฉัน” ผมรู้แล้วว่าเขาชื่อไค ผมละอยากจะขำตอนเขาแนะนำตัวซะเหลือเกิน เขาจะพูดให้งงทำไม ฮ่าๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะไค” ผมยิ้มรับและจับมือกับเพื่อนใหม่โดยไม่ได้สนใจคนที่นั่งตรงกลางเลยแม้แต่น้อย
“ไค นายจะเปลี่ยนที่กับฉันเลยไหม?” คนที่นั่งนิ่งอยู่นานเอ่ยถามอย่างไม่ชอบใจ สีหน้าแบบนี้รำคาญผมชัวร์
“เฮ้ย!ไม่เอาน่าคริส ก็แค่ทักทายตามประสาคนปราสาทเดียวกัน อีกอย่างเลขที่มันเรียงอยู่แล้ว เปลี่ยนไม่ได้หรอก”
“เอ้อ! เลย์...นี่คริสนะ เพื่อนฉันเอง” ไคแนะนำคริสให้ผมรู้จัก ก่อนที่เขาจะได้รับสายตาอาฆาตจากคริสเป็นการตอบแทน แต่ดูเขาจะไม่เกรงกลัวเลยสักนิด คงจะสนิทกันน่าดู
“อ่า..คริส ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ผมยิ้มให้คริสแล้วส่งมือไปให้ หวังว่าเขาจะพูดอะไรกับผมบ้างแต่ก็ไม่เลย ทั้งยังให้ผมยื่นมือค้างอยู่อย่างนั้นด้วยอีก เสียมารยาทจริงๆ
…ไอ้นี่ เดี๋ยวเจอ...
เมื่อรู้ว่าเขาคงไม่อยากรู้จักผม ผมจึงเริ่มชักมือตัวเองกลับช้าๆ เสียหน้าครับพูดเลย หากแต่ไคนี่สิ อยู่ๆก็จับมือคริสกับผมให้ประสานกันซะงั้น ผมตกใจปนกับงงเล็กน้อยเพราะผมไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนคริสเองก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน แต่แล้วหน้าหล่อๆของเขาก็กลับมานิ่งขรึมเหมือนเดิมตามสไตล์
“ไค! นายทำบ้าอะไร?” คริสหันไปต่อว่าไคอย่างหัวเสีย แต่ผมที่ทำอะไรไม่ถูกก็ปล่อยให้เขาจับมือต่อไป...ก่อนจะได้สติแล้วดึงมือตัวเองกลับมาบ้างเพราะคริสบีบมือผมซะแน่นเลย ผมเป็นอะไรไม่รู้ครับ แต่ผมไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่เลยให้ตายสิ
“ก็เป็นรูมเมทกัน พวกนายสองคนควรจะสนิทสนมกันไว้นะ”
ผมเห็นไคยิ้มมุมปากแล้วอยากจะส่งหลังมือใส่จัง ไอ้เพื่อนคนนี้นี่จริงๆเลย ว่าแต่ถ้าเขารู้ว่าผมเป็นรูมเมทกับคริสแล้วจะให้รู้จักกันอีกทำไม แต่..ก็ดี เพราะผมไม่เคยเข้าถึงคริสเลยสักครั้ง
“ไม่จำเป็น” คริสพูดเสร็จก็หันกลับไปมองข้างหน้าทันที ไม่รู้มีอะไรให้สนใจนักหนา ก่อนจะมีเสียงจากศาสตราจารย์ท่านหนึ่งบอกให้นักเรียนทุกคนเงียบเสียงลงเมื่อศาสตราจารย์เอริคเดินเข้ามา อย่าคิดว่าผมรู้นะครับว่าศาสตราจารย์เอริคเป็นใคร ผมเห็นเพื่อนๆเขาพูดกัน
“นานเกินไปไหมเนี่ย เมื่อไหร่จะพูดจบ ง่วงจะแย่” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อรู้สึกไม่ไหวกับการบรรยายของศาสตราจารย์เอริค มันนานเกินไปจนทำให้ผมเบื่อ แต่เมื่อผมเห็นว่าศาสตราจารย์เอริคมองมาที่ผม ผมก็ส่งยิ้มกลับไปให้โดยอัตโนมัติ สองหน้าไหมล่ะครับ
“ไม่มีมารยาท”
“นายว่าอะไรนะ?”
“……………..”
ผมรู้ว่าคริสพูดกับผม แต่พอผมถามกลับเขาก็เข้าโหมดเงียบอีกครั้ง นี่คริสจะไม่พูดกับผมจริงๆสินะ ผมเริ่มท้อกับคนๆนี้แล้ว เฮ้อ!
“ก็มันน่าเบื่อจริงๆหนิ ง่วงก็ง่วง” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆอีกครั้ง ตอนนี้ผมคิดถึงเตียงนอนนุ่มๆกับอาหารดีๆสักมื้อ เพราะตั้งแต่ตื่นมาก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย จริงๆผมตื่นสายเองนี่แหละ แต่ผมไม่ผิดนะก็ผมไม่รู้อ่ะ
“นายควรจะให้เกียรติเจ้าของโรงเรียนบ้างก็ดี” คริสกระซิบกับผมแต่หน้าก็ไม่ได้หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย ดูเอาเถอะครับ
“เจ้าของโรงเรียนหรอ?” ผมตกใจนะ ก็เมื่อกี้ผมเพิ่งได้รับรอยยิ้มจากเจ้าของโรงเรียนอย่างศาสตราจารย์เอริคสุดหล่อ เขาหล่อจริงๆ ถึงจะดูมีอายุก็เหอะ
จากนั้นต่อให้ง่วงแค่ไหนผมก็ต้องถ่างตาให้ตื่นตลอดเวลาเพื่อเป็นการให้เกียรติท่านศาสตราจารย์เอริคที่ยืนพูดอยู่บนเวทีซึ่งตอนนี้ไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
“ต่อไปนี้จะเป็นพิธีอันสำคัญของเดอะวิซาร์ดเพื่อแสดงว่าทุกคนเป็นนักเรียนของเดอะวิซาร์ดอย่างเต็มตัว ผมขอให้ทุกคนตั้งใจ”
สิ้นเสียงของศาสตราจารย์เอริค ผมก็เห็นเขาร่ายคาถาอะไรสักอย่างก่อนจะชี้ไปรอบๆห้องโถงกลางแห่งนี้ เขาทำอะไรผมก็ยังไม่เข้าใจ แต่ดูแล้วน่าสนใจดี
.
“ตอนนี้ทุกคนก็เป็นนักเรียนของเดอะวิซาร์ดอย่างเต็มตัวแล้ว ผมหวังว่าทุกคนจะตั้งใจเรียนและเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพื่อเป็นพ่อมดที่ดีและมีคุณภาพ พวกคุณคือความหวังของเดอะวิซาร์ด ผมขอขอบคุณ”
สิ้นเสียงศาสตราจารย์เอริค นักเรียนทุกคนก็พร้อมใจกับปรบมือกอรปกับเสียงเฮที่ดังลั่นห้องโถงแห่งนี้ ก่อนที่ศาสตราจารย์เอริคจะเดินออกจากโถงกลางไปพร้อมกับคณาจารย์ทั้งหลายที่เดินตามหลังไปไม่ห่าง ศาสตราจารย์เอริคหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจากไป เมื่อเห็นดังนั้นผมก็รีบก้มหัวให้เขาทันทีเลย เกือบก้มไม่ทันนะครับเมื่อครู่ มัวแต่มองเพลิน แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แค่เขาร่ายคาถาแล้วก็บอกว่าทุกคนเป็นนักเรียนของที่นี่จากนั้นก็เดินออกไป แค่นี้หรอผมไม่เห็นรู้สึกอะไรสักนิด
“อะแฮ่ม! นักเรียนทุกคนฟังทางนี้ก่อน” ศาสตราจารย์มินวูที่ผมรู้จักตอนที่ท่านแนะนำตัวเมื่อครู่เอ่ยเรียกความสนใจจากนักเรียนทุกคนให้หันไปมอง
“วันนี้จะมีงานเลี้ยงรับน้องใหม่ในตอนเย็น ขอให้ทุกคนมาให้พร้อมเพรียงกัน และพรุ่งนี้จะเป็นฟรีเดย์หนึ่งวันก่อนการเริ่มเรียนจริง ขอให้ทุกคนสนุกนะครับ เต็มที่กันไปเลย”
ทุกคนเฮลั่นห้องโถงด้วยความดีใจกับประกาศเมื่อครู่ มีก็แต่ผมนี่ล่ะที่ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย ต้องการนอนเต็มที่แล้ว
“ไงเลย์ นายไม่ดีใจหรอ นายได้เป็นนักเรียนของที่นี่เต็มตัวแล้วนะ แล้วยังจะได้หยุดอีกวันพรุ่งนี้” ไคเดินเข้ามาคุยกับผม เขาเป็นมิตรมากครับแถมยังหน้าตาดีอีกด้วย
“ไม่รู้สิ แต่ฉันงงอ่ะ แค่ร่ายคาถาพวกเราก็เป็นนักเรียนของที่นี่แล้วหรอ?”
“ฮ่าๆ นายซื่อหรือไม่รู้จริงๆกันแน่ นายลองก้มมองที่หน้าอกนายสิ” ไคบอกผม
ผมค่อยๆ ก้มมองที่หน้าอกก่อนจะเห็นว่าที่หน้าอกด้านซ้ายของผมเป็นรูปมังกรตัวสีแดงกับตราโรงเรียนติดอยู่ที่เสื้อโค้ท ทั้งยังมีรหัสนักเรียนที่เป็นตัวเลขหกหลักปักอยู่ด้วย
“130001” เลขนี้หรอรหัสผม ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นแต่ยังไม่รู้ที่มาของเลขอยู่ดี
“นายเลขที่ 1”
“อะไรนะ?” ผมถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เลขที่หนึ่งงั้นหรอ
“ก็เลขสองตัวหน้าคือปีที่เราเข้ามาเรียนที่นี่ เลข1 ตัวสุดท้ายก็เลขที่นาย นายเลขที่แรกของนักเรียนปี1 ปราสาทดราก้อน ส่วนของฉันเลขที่3”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ มิหน้าล่ะผมถึงได้นั่งหน้าสุดทั้งยังนั่งเก้าอี้ตัวแรกอีก มีแต่เรื่องให้ผมสงสัยอยู่ตลอดเวลาเลยจริงๆ
“งั้นฉันไปก่อนนะไค ง่วงไม่ไหวแล้วอยากนอนอ่ะ” ผมบอกไคก่อนจะโบกมือลาเขาแล้วเดินออกจากโถงกลางไป เตรียมตัวตรงดิ่งยังหอพักทันที หากแต่...
“เฮ้ เดี๋ยวก่อน!”
ใครอีกวะ?...ไม่ทันที่ผมจะก้าวพ้นประตูโถงกลางเลยด้วยซ้ำ ก็มีใครสักคนรั้งผมไว้ก่อนที่ผมจะหันไปมองหน้าเขาชัดๆ อีกที
“ฉันหรอ? นายมีอะไรหรือเปล่า?” ผมถามคนที่รั้งแขนผมอยู่ แต่ผมก็ต้องแปลกใจกว่าเดิมเมื่อยูนิฟอร์มที่เขาสวมใส่ไม่เหมือนของผม คงเป็นนักเรียนจากปราสาทอื่น ว่าแต่ผ้าผันคอสีเขียวนี่ปราสาทไหนนะ
“นายชื่ออะไร?” คนแปลกหน้าถามผมพร้อมทั้งรอยยิ้ม
“เอ่อ...นายถามทำไม?”
“ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนาย”
“ห๊ะ! อยากเป็นเพื่อนกับฉันเนี่ยนะ?”
ผมมึนงงเข้าไปอีก อยู่ๆคนๆนี้ก็อยากมาเป็นเพื่อนกับผม แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เขาแค่อยากรู้ชื่อเฉยๆนี่นา
“อ๊ะ!”
ผมกำลังจะเอ่ยปากบอกชื่อกับอีกคน แต่ผมก็ถูกมือแกร่งของคนที่เข้ามาใหม่ดึงออกจากคนแปลกหน้าเสียก่อน และในตอนนี้ผมก็ได้ยืนอยู่ข้างๆเขาโดยมีมือของเขาโอบรอบเอวผมอยู่
“คริส!” ผมตกใจไม่น้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วรู้ว่าเขาเป็นใคร รูมเมทสุดหล่อของผมเอง
“พอดีพวกเรารีบ ขอตัวก่อน” คริสพูดกับคนแปลกหน้าที่เข้ามาถามชื่อผม ก่อนจะลากผมให้ออกไปจากที่ตรงนี้ทันที
“เดี๋ยวๆคริส นายจะพาฉันไปไหน?” ผมเอ่ยถามเมื่ออีกคนลากผมออกมาแต่กลับไม่พูดอะไรกับผมเลยแม้แต่คำเดียว
“นายไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนปราสาทเซนทอร์” คริสเอ่ยแต่มือก็ยังโอบรอบเอวผมอยู่ เราอยู่ใกล้กันมาก ผมเริ่มเสียสมดุลแล้วครับขอบอก
“ปล่อยฉันก่อน”
เมื่อคริสรู้ตัวว่ากำลังโอบเอวผมอยู่ เขารีบชักมือกลับไปในทันที หากแต่สีหน้าที่เรียบนิ่งนั้นผมก็ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ขอโทษ” คริสขอโทษผม โอ้! นี่ผมฝันไปแน่ๆอ่ะ
“เขาถามชื่อฉัน เขาแค่อยากเป็นเพื่อนกับฉันก็แค่นั้น” ผมบอกคริสไปตามความจริง ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้จริงๆหนิครับ
“กลัวจะไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนน่ะสิ”
“นายว่าอะไรนะ?”
“เปล่า”
ผมได้ยินนะว่าเขาพูดอะไร แต่ผมก็แค่แกล้งถามกลับไปงั้นแหละ บางทีคริสก็มีมุมอีกมุมนึงที่ผมคิดว่ามันน่าค้นหา เขาก็แค่ฟอร์มจัดแต่จริงๆแล้วเขาอ่อนโยนมากเลยทีเดียว ผมคิดว่างั้นนะ เพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“แม็ก! ขอยืมตำราปรุงยาหน่อย”
เมื่อเห็นพี่ชางมินเดินผ่านคริสก็เข้าไปทักทันที แต่ดูเหมือนจะยืมของซะมากกว่า คริสไม่ยอมเรียกสรรพนามนำหน้าแต่กลับเรียกชื่อพี่ชางมินตรงๆ ผมเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามไปด้วยทันที ว่าแต่ผมเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะเนี่ย
“เอาไปทำไม?” พี่ชางมินถามคริสกลับด้วยความสงสัย
“ก็แค่อยากอ่าน”
“นายอยู่แค่ปีหนึ่งจะอ่านของปีสองไปทำไม?”
“เอามาเหอะน่า อย่าทำหวง”
“เออๆ เดี๋ยวเอาไปให้ที่หอ ตอนนี้ไม่ได้ถือมา แล้วเลิกเรียกฉันว่าแม็กได้แล้วบอกไม่รู้กี่หน” พี่ชางมินดูท่าว่าจะไม่ชอบใจนัก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพี่เขาถึงไม่ชอบให้เรียกว่าแม็ก ออกจะดูดีนะผมว่า
“จะเรียกอ่ะทำไม ก็เรียกมาตั้งแต่เกิดแล้ว จะให้มาเปลี่ยนอะไรตอนนี้”
ถ้าผมเป็นพี่ชางมิน ผมจะต่อยผ่าหน้าคริสสักทีสองที หน้าเขาตอนพูดนี่กวนส่วนที่เดินได้สุดๆอ่ะ
“ไอ้น้องคนนี้หนิ! เอ้อ แล้วแม่โอนเงินมาให้รึยัง บอกแม่โอนค่าหนังสือมาให้ฉันด้วยนะ”
“ไม่รู้ แต่ถ้าแม่โทรมาจะบอกให้”
ผมเพิ่งรู้ว่าโรงเรียนที่ห่างไกลขนาดนี้มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย แถมเขาทั้งสองคนยังคุยเรื่องโอนเงินอีก นั่นแสดงว่าที่โรงเรียนต้องมีตู้เอทีเอ็มแน่นอน ผมรู้สึกว่ามันโอเคมากกับการอยู่ที่นี่ ว่าแล้วก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียวจนลืมไปว่ายังมีอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“หวัดดีเด็กน้อย น้องฉันมันทำความเดือดร้อนอะไรให้นายหรือเปล่า?” อยู่ๆ พี่ชางมินก็หันมาถามผม ผมที่ยังหมกหมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าแล้วกำลังจะอ้าปากตอบพี่ชางมินไป แต่...
“คำถามนี้นายต้องถามฉันมากว่านะแม็ก” คริสเอ่ยตัดบทผมแบบไม่ใยดี จนผมต้องยู่หน้าด้วยความไม่พอใจ
“เลย์ทำอะไรให้นาย?”
“ก็จะอะไรล่ะ พอรู้ว่าเปิดปิดไฟยังไงก็นั่งเล่นไฟมันทั้งคืน ทำเอาฉันไม่ได้นอนนึกว่าอยู่ในผับอ่ะดิ”
คริสบ่นผมให้พี่ชางมินฟังก่อนจะเหลือบมองผมเล็กน้อย เขาพูดเยอะขึ้นมากผิดกับคริสที่ครั้งแรกเคยเจอกัน คงเพราะได้อยู่กับพี่ชายที่สนิทกันเลยปล่อยความเป็นตัวเองออกมาซะหมด พี่ชางมินก็เอาแต่หัวเราะจนผมต้องหดหัวด้วยความรู้สึกผิด บวกกับความอายเพราะเสียงหัวเราะพี่ชางมินนี่แหละ คนอะไรหล่อก็หล่อ แต่เสียงหัวเราะ...
“งั้นฉันไปก่อนนะ ต้องเตรียมงานเลี้ยงให้พวกนายเย็นนี้ แล้วเจอกัน... ฉันไปนะเลย์”
“ครับรุ่นพี่” ผมโค้งให้พี่ชางมินจนเห็นว่าพี่เขาเดินลับตาไปแล้ว ผมจึงส่งสายตาค้อนน้อยๆส่งไปให้คริสที่เล่นเผาผมซะหมดเปลือก
“มองฉันทำไม?” ดูมันสิครับ คำพูดคำจาน่าหมั่นไส้
“ก็นายไปเล่าเรื่องน่าอายของฉันให้พี่ชางมินฟัง”
“ก็มันเรื่องจริง”
พอคริสตอบกลับมา ผมก็ถึงกับจุกพูดไม่ออก ผมกรอกตาไปมาอย่างรู้สึกเซ็งเป็นบ้า แต่ก็เถียงไม่ได้ในเมื่อมันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่คริสว่า ผมตื่นเต้นอ่ะ ในชีวิตนี้ผมก็เพิ่งเปิดปิดไฟแบบนี้เป็น ผมผิดหรอ
“จะไปกันได้รึยัง?” อยู่ๆคริสก็หันมาพูดกับผม งงอ่ะ อะไรของเขา
“ไปไหน?”
“ไปนอน...เพราะนายฉันเลยไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม” เอาอีกแล้ว เขาทำผมรู้สึกผิดอีกแล้ว ผมก้มหน้างุดจนคางชิดอกเพราะรู้สึกไม่กล้ามองหน้าคริสในตอนนี้
“ไปดิ ก็แค่สงสัยไม่คิดว่านายจะชวน เห็นทุกทีไม่ยักจะพูดกับฉัน หนิ” ผมบอกอย่างที่รู้สึกในตอนนี้ เพราะเขาไม่เคยพูดกับผมจริงๆนะครับ
“แล้วไม่ดีรึไง? หรือจะให้ฉันไม่พูดกับนายอีกล่ะ” คริสยกคิ้วถามผม โห้แทบทรุดเลยครับ ขอร้องอย่าทำแบบนี้อีกเลย หล่ออ่ะหล่อมาก ผมอยากระเบิดตัวเอง โอ้ยยยย….
“ไม่เอาอ่ะ พูดกับฉันเยอะๆน่ะดีแล้ว ฉันชอบ” ผมฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้มส่งไปให้คริส ดูเขาจะชะงักไปนิดนึงนะผมเห็น ผมพูดอะไรผิดหรอครับก็ผมอยากให้เขาพูดกับผมเยอะๆนี่นา
“………….”
“อ่าว! รอฉันด้วยสิ”
คริสไม่พูดอะไรอีกเลยแต่กลับเดินหนีผมไปซะเฉยๆ ไม่รอช้าผมก็รีบสาวเท้าเดินตามเขาไปติดๆ เป็นอะไรของเขาอีกก็ไม่รู้ บางทีก็เข้าใจยากจนผมเริ่มตามอารมณ์ไม่ทัน แต่ผมก็ยอมนะ เพราะอย่างน้อยก็รู้สึกดีที่คริสเปิดใจกับผมบ้าง ไม่ใช่เห็นผมเป็นธาตุอากาศอะไรก็ไม่รู้
ความคิดเห็น