คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ll ERROR ll CHAPTER 3
ERROR
CHAPTER 3
หลังจากวันนั้นอี้ชิงจึงไปที่บ้านของคริสทุกวันอย่างรู้หน้าที่ หลังเลิกเรียนในยามใกล้ค่ำร่างเล็กต้องอยู่ที่หน้าตึกวิศวะรอคนที่ขู่บังคับฉุดกระฉากลากไปอย่างไม่เต็มใจ ถึงแม้จะยิ้มได้บ้างยามอยู่ในกลุ่มเพื่อนแต่เมื่อช่วงเวลานั้นพ้นผ่านรอยยิ้มพลันไร้ค่าไร้ราคา ความรู้สึกที่อยู่ในใจกำลังอัดอั้นสุมเข้าเรื่อยๆจนเพิ่มพูน ถึงคริสไม่ได้ทำอะไรแตะเนื้อต้องตัวยังไม่มีทว่าอี้ชิงก็เกลียดเข้าไส้ไปแล้ว
“อี้ชิง!”
มัวแต่นั่งเหม่อต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงของเพื่อนรักที่เอ่ยเรียก ตอนนี้อี้ชิงกำลังนั่งล้อมวงพร้อมหน้าพร้อมตาสี่สหายทำงานให้คณะ ละเลงสีวาดป้ายเชียร์สำหรับกีฬาภายในที่กำลังจะมาถึง แล้วนั่นคนที่เอ่ยเรียกไม่พูดเปล่าหากยังเอาสีมาจิ้มเล่นที่คอจนเลอะเทอะอีกต่างหาก
“เล่นอะไรเนี่ยจงอินฉันเปื้อนหมดแล้วเห็นไหม?”
“ฉันเรียกนายตั้งนานไม่ยักจะหันมา นั่งเหมออะไรอยู่ได้เกือบครึ่งชั่วโมงเนี่ย?”
“อ...เอ่อ”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เหม่อมองอี้ชิงเพิ่งจะรู้ตัว ได้ฟังจงอินพูดคงจะจริงอย่างว่า ในหัวของเขาไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำตรงหน้าเลยสักนิด
“เป็นอะไรหรือเปล่าช่วงนี้ดูไม่ค่อยสู้ดีเลย กลับไปพักผ่อนหน่อยไหม? เดี๋ยวป้ายพรุ่งนี้วันเสาร์ค่อยมาทำต่อให้เสร็จก็ได้” จงอินเสนอชวนเพื่อนคนอื่นให้เก็บข้าวของ เห็นอี้ชิงแสดงอาการไม่สบายใจออกจะชัดเจนจงอินทั้งเป็นห่วงและเป็นกังวล
“ไม่เป็นไรหรอกจงอินเดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันวันงาน เรื่องของฉันมันเล็กน้อยอย่าได้ใส่ใจเลย ”
“รู้ว่านายเป็นคนตรงต่อเวลา แต่อีกตั้งนานกว่าจะถึงวันนั้นไม่เห็นต้องเร่งรีบเลยอี้ชิง ไปๆเก็บของ แล้วไปล้างสีที่คอนายด้วยนะเดี๋ยวมันแห้งแล้วจะล้างยาก”
ใบหน้าหวานทำได้แค่พยักขึ้นลงตามที่จงอินบอก ลุกขึ้นยืนช่วยเพื่อนเก็บของพลันเดินเข้าห้องน้ำไปล้างคาบสีที่โดนแกล้งไว้เสียดูไม่ได้
สีเริ่มแห้งแล้วแบบนี้จะล้างออกให้สะอาดดูท่าว่าจะยาก จงอินเล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยให้ตายสิ
“ไม่ออกจริงๆด้วย”
กวักน้ำล้างคาบสีที่ลำคอขาวจางไปเพียงนิดเท่านั้น อี้ชิงออกแรงถูมันไปมาล้างน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลันต้องถอนหายใจด้วยความท้อแท้ คงต้องอาบน้ำชำระล้างกายถึงจะออกจนไร้คราบให้ผิวสะอาดเหมือนเดิม
เดินออกจากห้องน้ำก็กลับมายังโต๊ะประจำที่มีผองเพื่อนนั่งรออยู่ อี้ชิงบอกลาทุกคนแล้วแบกเบ้ใส่หลัง แต่นั่นซิ่วหมิ่นทำท่าว่าจะเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์เพราะตอนนี้ใกล้มืดไม่อยากให้เพื่อนต้องรอเพียงคนเดียว หากทว่าอี้ชิงกลับส่ายหน้าปฏิเสธเพราะมีภาระหน้าที่ต่อจากนี้อีก
ขาเล็กเดินถึงหน้าตึกวิศวะจึงหย่อนกายนั่งลงที่โต๊ะไม้หินอ่อนรอใครบางคนที่กำลังจะลงมาเหมือนทุกวัน เสียงข้อความในไลน์เตือนบอกให้ต้องล้วงเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงออกดู และนั่นไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่ส่งมานั้นเป็นใคร
[อีกสิบนาทีเดี๋ยวลงไป อย่าหนี]
อี้ชิงกล้าพูดได้เลยว่าข้อความที่ส่งมาเหมือนว่าอีกคนจะก็อปปี้ไว้เป็นร้อยๆ ทุกคำพูดเหมือนกันทุกวันไร้ศัพย์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลง ไม่ต้องส่งมาอี้ชิงจำใส่สมองรู้ดีอยู่แก่ใจ ก่อนจะตอบกลับอีกคนไปเหมือนเดิมเพียงคำห้วนสั้นหากว่าได้ใจความ
[อืม]
สิบนาทีผ่านไปร่างสูงโปร่งเยี่ยงนายแบบก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้า มองจ้องอี้ชิงนิ่งทำเอาคนถูกสำรวจรีบก้มหน้างุดหวาดระแวง อี้ชิงไม่พูดไม่จาทำได้แค่ลุกยืนเต็มความสูงแล้วเดินตามคนใจร้ายไปที่รถอย่างไม่มีข้อแม้
หลายครั้งหลายคราที่ถูกหญิงสาวมากหน้าหลายตาเหลือบมองด้วยความริษยา บ้างว่าเขาเข้าไปยุ่งกับคริสแต่บางรายก็แอบมองเพราะชอบในตัวเขาอยู่เหมือนกัน
เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถจึงรัดเข็มขัดเพราะเดี๋ยวคนขับจะทำให้ทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ ใบหน้าหวานเสมองออกนอกหน้าต่างยามล้อทั้งสี่เคลื่อนไหวไปตามทาง เสียงเพลงแผ่วเบาที่คลอเปิดอยู่ไม่ได้ช่วยให้ผ่อนคลายเลยสักนิด กลับแย่ยิ่งกว่าเมื่อบางเพลงกำลังย้ำให้จิตใจต้องปวดช้ำไร้การเยียวยา เวลาผ่านไปใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้น เห็นจะมีส่วนดีที่อี้ชิงคิดไปเองคืออีกคนใจร้ายน้อยลง
“ทานอะไรมาบ้างหรือยัง?” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่นั่งนิ่งพลางเหล่มอง จริงๆคริสเองเป็นห่วงแต่คนตัวเล็กน่ะดื้อจนต้องดุด่าว่ากล่าว
“…………….”
ไม่มีเสียงตอบกลับทว่าใบหน้าหวานทำเพียงแค่ส่ายไปมารัวให้เป็นคำตอบ
เพียงแค่นั้นก็เงียบเป็นเป่าสากอีกครั้ง ถึงบ้านคนใจร้ายอี้ชิงจึงลงจากรถโดยไม่ต้องให้ใครสั่ง เดินดุ่มนำเข้าไปทันทีราวกับว่าอยู่มานานเสียคุ้นชิน แต่นี่มันย่างสองอาทิตย์แล้วที่บ้านของคริสเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวให้อี้ชิงถึงแม้จะไม่เต็มใจอยากมาก็ตามที
“หิวแล้ว ทำอะไรให้ทานหน่อย”
คนที่ยังไม่ทันเดินเข้าบ้านดีเอ่ยออกคำสั่งคนอย่างอี้ชิงจะทำอะไรได้ วางกระเป๋าลงบนโซฟาจึงเดินกระแทกเท้าตึงตังหน้างองุ้มเข้าห้องครัวไป เรียกรอยยิ้มที่มุมปากได้รูปจากคนที่มองอยู่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เสียงในครัวดังมาเป็นระยะทั้งกลิ่นหอมโชยเตะจมูก ขายาวจึงก้าวเป็นจังหวะเข้าไปซ้อนหลังคนหน้าหวานที่กำลังปรุงอาหารแล้วสวมกอดรอบเอวไว้แน่น โน้มใบหน้าฝังจมูกลงที่ซอกคอระหงษ์พลางสูดกลิ่นหอมเข้าปอดเหมือนที่ชอบทำอย่างวันที่ผ่านมา
แต่นั่นพอผละออกกลับต้องค้างนิ่งชะงักงันเมื่อนัยน์ตาคมสบเห็นสีจางที่ลำคอสวยมีรอยให้ในอกเริ่มคุกรุ่นโหมแรงโทสะให้ผุดขึ้น
คนที่ถูกสวมกอดไม่วายก็อึดอัดเช่นกันแต่ขัดคืนไปอี้ชิงมีแต่จะถูกทำร้าย ยอมยืนนิ่งไม่ไหวติงให้คริสสวมกอดไม่พูดจา แต่คนด้านหลังกลับไม่เหมือนอย่างทุกวันจนหัวใจดวงเล็กเริ่มสั่นคลอนด้วยความกลัว ก่อนไม่นานจะถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่เมื่อร่างสูงโปร่งด้านหลังได้ผละออกแล้วเดินกลับไปนั่งรอที่โซฟาเหมือนเดิม
อี้ชิงสงสัยที่อยู่ๆคริสอยากจะมาก็มาแล้วจากไปไม่พูดแม้แต่คำ อาการแปลกประหลาดทำให้เขาเริ่มใจไม่ดีทั้งยังนึกหวั่นอยู่ในอกอย่างไม่รู้สาเหตุ
เตรียมสำรับกับข้าวบนโต๊ะเสร็จจึงถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ที่เดิมของมันก่อนจะเดินไปตามคนตัวสูงที่นั่งอยู่บนโซฟา เห็นอีกคนโค้งตัวไปข้างหน้ากุมมือประสานไว้แน่นทำให้อี้ชิงเริ่มแน่ใจว่าคริสคงมีเรื่องในอกอยู่เป็นแน่ แต่นั่นยังคงใจดีสู้เสือเอ่ยเรียกด้วยใจระรัวอย่างกล้าๆกลัวๆ
“คริส ทานข้าวได้แล้ว”
ทำหน้าที่เสร็จสับพลันเดินไปหยิบเป้ขึ้นสะพายใส่หลังทำท่าจะเดินออกจากบ้าน หากแต่เสียงทุ้มกลับเอ่ยห้ามทำเอาต้องหยุดเท้านิ่งอยู่กับที่อีกครั้ง
“จะไปไหนฉันยังไม่ได้อนุญาตสักหน่อย?” เอ่ยพูดทั้งที่นั่งหันหลังให้กัน คริสเป็นอะไรอี้ชิงไม่เข้าใจ
“ก็หน้าที่ของฉันเสร็จแล้ว เมื่อวานนายยังให้กลับได้เลย”
“แต่วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน”
กายสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหันมาประจันใบหน้าหวาน อี้ชิงรีบก้มงุดทันทีเพียงแค่สายตาคมของอีกคนทอดมองมาราวกับว่าไม่ชอบใจ เขาทำอะไรผิดหรือ...ก็ไม่มีนี่นา
“ล...แล้วฉันต้องทำอะไรอีก?” อี้ชิงเอ่ยถามความต้องการเสียงสั่นเครือ ก้มหน้าเหมือนเดิมไม่มองสบเพียงนิดให้ขวัญหนีดีฝ่อ
“รอยที่คอนั่นของใคร?”
ไม่อ้อมคอมทั้งยังตรงไปตรงมา รอยสีแดงเจือจางที่ซอกคอขาวทำให้คริสนึกโกรธ คิดไปแล้วว่าคนตัวเล็กที่ว่าใสซื่อกลับสำส่อนมั่วไม่เลือก
“ร...รอยอะไร?”
“อย่ามาทำไขสือไปหน่อยเลย มึงไปเอากับใครบอกกูมาเดี๋ยวนี้!”
ขายาวย่างสามขุมเข้าหาอี้ชิงพลันรั้งข้อมือบางแล้วบีบไว้แน่น จ้องเขม่นคาดโทษอย่างเอาเรื่องที่คนตัวเล็กกล้าดีสมสู่กับคนอื่นโดยไม่นึกเกรง
เสียงตะคอกรุนแรงทำให้อี้ชิงสะท้านทั้งร่าง สะดุ้งสุดตัวจึงรีบผละหลังถอยออกห่างจากคนใจยักษ์ตรงหน้าเลิกลั่ก นัยน์ตาคู่สวยเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำสีใสรวยรินดั่งสายเลือดยากจะหยุดยั้ง เขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น
คริสอยากจะรับฟังหรือเปล่า
“ฉ...ฉันไม่รู้เรื่องนะ นายกำลังพูดถึงอะไร?”
“รอยที่คอมึงเนี่ยของใครบอกกูมา! กล้ามากนะที่ทำกันหลับหลังกู”
ไม่รับฟังคำอธิบายจากอีกคนคริสจึงฉุดกระฉากลากกายเล็กเข้าห้องนอนไม่รอช้า ดึงกระเป๋าเป้ของคนหน้าหวานมาถือไว้แล้วโยนให้พ้นทาง ผลักกายบางให้ล้มนอนราบไปกับเตียงนุ่มพลันขึ้นคร่อมทันทีด้วยโทสะ ซุกใบหน้าไซร้ลำคอระหงษ์แล้วตรึงข้อมือเล็กให้ไร้การต่อต้าน ความอดทนของคริสไม่เหลือเลยแม้แต่นิด ใจเย็นไม่เป็นทั้งยังไม่คิดจะรับฟัง
“ฮือ..ฉ..ฉันไม่รู้เรื่องนะ ฮึก..รอยนั่นมัน..เป็นสีต่างหาก”
ถึงลำบากที่จะพูดเพราะอีกคนกำลังลุกล้ำร่างกายจนต้องกัดปากระงับอารมณ์ แต่นั่นอี้ชิงไม่คิดจะยอมแพ้ถึงแม้รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงเขาไม่มีทางรอดแน่นอน
“…………”
“อ๊ะ...อื้อ”
เป็นอย่างที่ว่าเพราะคริสไม่รับฟังสิ่งใดเลย แม้อี้ชิงจะพร่ำบอกคำอธิบายเป็นร้อยเป็นพันครั้งคนใจร้ายกลับไม่เห็นใจ เรียวฟันที่ฝังลงกับเนื้อผิวทำให้ต้องร้องครางห้ามตัวเองไม่อยู่ หยาดน้ำไร้สีกลิ้งไหลลงแหม่ะกับเนื้อฟูกชั้นดียามหันใบหน้าเลี่ยงคนที่กำลังทำร้ายอยู่อย่างยากเย็น แต่ยังไงเรี่ยวแรงที่มีก็ยังต้านทานไม่ได้อยู่ดี ร่างกายของอี้ชิงกำลังอ่อนแรง เหนื่อยล้าเกินกว่าจะลืมตาขึ้นสบมอง เพียงนิดที่ลมหายใจยังอยู่ราวกับว่าร่างกายเบาหวิวคล้ายปุยนุ่น
“มึงบอกกูมาว่ารอยที่คอมันเป็นของใคร?”
“ฮึก...ฉันบอกแล้วว่ามันเป็นรอยสี ฮือ..นายคิดจะฟังกันบ้างหรือเปล่า?”
“คิดว่าโกหกกูได้เหรอ? เห็นกูโง่มากสินะ”
มือหนาออกแรงบีบข้อมือเล็กจนช้ำรอยจางให้ได้เห็น จ้องมองคนใต้ร่างที่นอนตัวสั่นเทาเพราะความกลัวหากแต่ยังกล้าทำเรื่องไม่ดีลับหลัง คริสทนไม่ได้ทั้งยังโมโหจนหน้ามืดตามัว
“ฮืก...แล้วทำไม? ถ้าจะมีอะไรกับใครต้องขออนุญาตนายด้วยเหรอ ฮึก...ทำไมนายต้องเป็นเดือดเป็นร้อนไม่ทราบ! เราเป็นอะไรกันหรือไงก็ไม่ใช่! นายก็ได้แค่ร่างกายฉันแหละวะไอ้เลว! เกลียดกันมากนักฆ่ากันให้ตายเลยสิ!”
อี้ชิงสบมองกลับด้วยความแข็งกร้าว ทำดีก็แล้วคริสใช่ว่าจะพอใจ ไม่รับฟังพอเขาอธิบายก็ไม่เคยผ่อนปรน อยากทำอะไรทำเลยเพราะอี้ชิงคนนี้ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
“มึงกล้ามากนะที่พูดออกมา เราเป็นอะไรกันน่ะเหรอ? ถ้ายังไม่รู้กูจะย้ำให้มึงจำได้ว่าร่างกายมึงเป็นของกูมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“ฮึก…อย่านะ ออกไป!”
ร่างกายเล็กดิ้นพล่านยกมือขึ้นปัดป่ายยามใบหน้าหล่อโถมเข้าหาซุกไซร์ลำคออีกระลอก สร้างรอยฝังเขี้ยวไร้ความปราณียากจะให้ทำใจได้อีก หันใบหน้าหลบหนีเท่าไหร่กลับไม่ได้ผลทั้งยังเป็นการเปิดทางให้คนบนร่างทำตามใจไม่เลิกลา อี้ชิงเหนื่อยแล้วพยายามเท่าไหร่ยังไงก็เป็นได้แค่ที่ระบายอารมณ์ให้อีกคนเท่านั้น มีเพียงชีวิตเดียวเคยได้ดีกับใครไหมช่างสมเพชตัวเองยิ่งนัก แต่ที่หนักคือเป็นได้แค่คนใต้ร่างให้คริสเสพสมร่างกายจนพอใจแล้วสุดท้ายก็ทำร้ายกันอย่างเยือกเย็นเหมือนเดิน
วงเวียนชีวิตอันโสโครกโสมมอี้ชิงขยาดมัน....
“อี้ชิง!.....อี้ชิง”
ร่างที่แน่นิ่งไปทำให้คริสหยุดการกระทำอันอุกอาจลงฉับพลัน เงยหน้าขึ้นจากซอกคอขาวยกมือแตะเบาๆที่ข้างแก้มในคนที่สลบไปได้รู้สึกตัว
เลื่อนตำแหน่งทาบมือลงที่หน้าผากบางวัดอุณหภูมิพลันต้องตกใจเมื่อความร้อนระอุแผ่ออกมาจนรับรู้ได้ ก่อนจะแน่ใจว่าคนตัวเล็กไม่สบายทำให้คริสใจหล่นวูบทั้งยังทำอะไรไม่ถูกอีกต่างหาก
กายสูงลุกลี้ลุกลนหยัดกายขึ้นวิ่งไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้อี้ชิงทันที เผลอเหลือบมองใบหน้าหวานที่ซีดเซียวก็ไม่ปฏิเสธเลยสักนิดว่าชอบทั้งยังแอบชื่นชม หัวใจเต้นระรัวยามเปลือกตาบางหลับพริ้มดูน่ารัก
แต่สุดท้ายคริสกลับยังใจร้ายได้ลงคอ คนที่นอนแน่นิ่งอยู่นั่นไงที่ทำให้เขาต้องร้อนรุ่มใจได้ตลอดเวลาจนเผลอให้โทสะเข้าครอบงำแล้วทำสิ่งเลวร้ายลงไปยามขาดสติ
มือหนาออกแรงบิดผ้าให้หมาดน้ำ ขยับเข้าใกล้จึงค่อยๆบรรจงเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อีกคน ทั้งใบหน้าแขนขาวและเนื้อผิวใต้เสื้อนักศึกษาตัวบาง ก่อนจะเช็ดยังลำคอที่แต้มไปด้วยรอยบางอย่างจนนึกโมโหได้อีกครั้ง
“หืม?”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อบางสิ่งบางอย่างหลุดกร่อนติดผ้าขาวออกมา รอยเจือจางนั้นมีกลิ่นคล้ายสีน้ำมันที่ใช้ทำป้าย พอแน่ใจจึงทำให้คริสต้องยกมือขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดที่มีในอก
อีกครั้งที่ไม่เชื่อใจอี้ชิง รอยที่ว่ามันเป็นสีอย่างที่คนตัวเล็กพร่ำบอก คริสนี่ช่างโง่เคลาสิ้นดี…
.
.
.
ล่วงเลยผ่านจนสองทุ่มคนหน้าหวานบนเตียงถึงเริ่มขยับตัว งัวเงียตื่นทั้งยังจำเหตุการณ์ก่อนหน้าไม่ค่อยจะได้ พยายามหยัดตัวขึ้นนั่งทว่าในหัวมันกลับหนักอึ้งปราดเข้าสมองจนปวดไปหมด ทำอะไรไม่ได้เลยล้มตัวลงนอนที่เดิมพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผากด้วยอาการหมดแรง
“ไม่สบายทำไมไม่บอก?”
เสียงทุ้มของคนที่นั่งอยู่กับพื้นข้างเตียงเอ่ยถาม ในมือถือหนังสือเล่มหนาไว้อ่านฆ่าเวลารอคนป่วยได้ตื่นขึ้นมาพูดคุย
ด้านอี้ชิงที่เห็นคริสนั่งข้างเตียงก็ถึงกับตกใจหยัดตัวลุกขึ้นอีกครั้งแล้วพยายามถดตัวหนี เนื้อตัวสั่นเทาเพราะความกลัวที่มีไม่ได้ลดน้อยลงแม้เพียงนิด ไม่วายยังปวดจี๊ดที่ศีรษะเหมือนอย่างตอนแรกไม่มีผิด ทำให้คนตัวสูงข้างเตียงที่คอยเป็นบุรุษพยาบาลจำเป็นให้ต้องส่ายหน้าไปมาเพลียใจ
“นอนลงไปเลยไป ไม่สบายยังทำอวดเก่งอีก”
“ฉันจะกลับบ้าน! ลู่หานต้องรออยู่แน่ๆ รายนั้นจะได้ทานข้าวหรือยังไม่รู้เลย”
ถึงกายจะป่วยไม่วายยังนึกเป็นห่วงน้องชายตัวดีมากกว่าตัวเองเสียอีก นึกกังวลว่าลู่หานจะได้ทานข้าวหรือยัง ใครจะดูแล อยู่คนเดียวจะเหงาหรือเปล่าอี้ชิงกระวนกระวายใจ
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันโทรบอกลู่หานแล้วว่านายจะค้างที่นี่ ลู่หานโอเค”
“แต่ฉันไม่อยากอยู่ ฉันอยากกลับบ้าน!”
“สภาพแบบนี้จะไปไหนได้อย่าทำเก่งไปหน่อยเลยอี้ชิง แค่จะลุกขึ้นนั่งยังทำไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ?”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นเชิงถามย้อนให้ดูตัวเอง ลุกยืนเต็มความสูงแล้วยกสองแขนสอดประสานกันขึ้นแนบอกมองจ้องคนป่วยผู้อวดเก่ง
“แล้วนายรู้เบอร์ลู่หานได้ยังไง? น้องฉันไม่ได้ให้เบอร์ใครพร่ำเพื่อสักหน่อย”
“จากมือถือนายไงไม่เห็นจะยาก?” ไหล่แกร่งไหวเล็กน้อยคล้ายไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำให้อี้ชิงต้องส่งสายตาทอดมาด้วยความไม่ชอบใจ
“พาฉันกลับบ้านเถอะนะ ฉันอยากกลับบ้านจริงๆ”
อี้ชิงเริ่มอ้อนวอน อยู่ๆก็อยากจะร้องไห้มันเสียดื้อๆเพราะกลัวจึงอยากออกห่างจากคนใจร้ายตรงหน้า อยู่ไปเขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าร่างกายจะปลอดภัย ได้นึกห้วนถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาความไว้ใจที่มีให้อีกคนมันพังทลายไปเสียหมด
“อย่าดื้อ! ฉันซื้อข้าวต้มมาให้แล้ว กินเสร็จกินยาจะได้นอนพักผ่อน”
คริสเอ่ยสั่งอย่างเด็ดขาด เขาแอบไปซื้อข้าวต้มให้อี้ชิงตอนที่เจ้าตัวหลับไปเพราะทำอะไรไม่เป็นเลยต้องใช้เงินเข้าช่วย ตอนเห็นว่าอีกคนสลบแน่นิงคริสเองก็ทุรนทุรายกระวนกระวายใจยากจะควบคุมเหมือนกัน
“แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่านายจะไม่ทำอะไรแปลกๆกับฉัน?”
“ไอ้แปลกๆที่ว่ามันคืออะไร แล้วตอนนี้ฉันทำอะไรนายหรือยัง?”
“ไม่ได้ทำ แต่เมื่อเย็นก็เกือบ” อี้ชิงพึมพำบ่นเบาๆคนเดียว ใบหน้าหวานงองุ้มเพราะถ้าเขาไม่เป็นลมสลบไปก่อนคริสคงไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก
ร่างกายเล็กยังสั่นเล็กน้อยเพราะนึกผวากลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอย เหลือบมองคนตัวสูงที่ยืนข้างเตียงเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้ยามไม่อยากเห็นหน้า เป็นแบบนี้พาลแต่จะทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า เขาป่วยอยู่นะบางทีคนใจร้ายควรจะเห็นใจ
“เดี๋ยวฉันไปเทข้าวต้มมาให้ นอนอยู่กับที่ล่ะห้ามลุกไปไหน”
พูดเสร็จจึงเดินออกไป อี้ชิงนอนหันหลังเหมือนไม่สนใจทว่าได้ยินมันชัดเจน ยังดีอยู่บ้างที่คริสไม่ใจร้ายตอนที่เขาไม่สบายแบบนี้ ไม่งั้นชาตินี้อี้ชิงคงไม่เหลือความเป็นคนได้อีก
.
.
.
ควันฉุยลอยเหนือชามเซรามิคลอยเตะจมูก คนป่วยที่ลุกขึ้นนั่งได้แล้วมองมันท่าเดียวแต่ไม่คิดจะทานแม้แต่คำ ช้อนม่านตาขึ้นสังเกตคนใจร้ายที่นั่งจ้องหน้าเขาบนเตียงเดียวกันแว้บนึงจึงหลุบตาหนี กินไม่ลงอี้ชิงอยากพร่ำบอก ช่วยออกไปจากตรงหน้าทีเป็นแบบนี้ใครมันจะกระเดือกลง
“กินสักทีก่อนมันจะเย็นหมด ไม่ต้องกลัวหรอกฉันไม่ได้ใส่ยาพิษ”
อี้ชิงไม่ได้กลัวยาพิษแต่กลัวคนพูดเสียมากกว่า อยู่ใกล้ทำไมออกไปให้ห่างเลยยิ่งดี เกิดอยากมาดูแลอะไรตอนนี้อี้ชิงไม่ต้องการ
“เอ่อ...”
“ทานดิฉันไม่กวนแล้ว จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้แหละ”
นี่ล่ะที่อี้ชิงอยากจะบอก คริสไม่ได้กวนจริงอย่างว่าแต่ไอ้การนั่งตรงหน้ามันทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลง
สุดท้ายได้แต่ทำใจตักข้าวต้มในชามทานไปเงียบๆ เห็นจะมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่งปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง อี้ชิงก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้มอย่างตั้งใจส่วนคริสเองก็ก้มหน้าอ่านหนังสือเข้าสู่โลกส่วนตัวไม่ต่างกัน
คนตัวเล็กแอบเหลือบมองใบหน้าหล่อของคนตรงหน้าไปด้วยเป็นระยะๆ พออีกคนเหล่มองกลับจึงรีบก้มงุดทำท่าว่าทานข้าวต้มอร่อยเสียเหลือเกิน ก่อนจะรีบกินมันให้หมดเพราะความอึดอัดเริ่มเข้าเป็นเจ้าที่อีกครั้ง
“อิ่มแล้ว”
เอ่ยบอกแค่นั้นอี้ชิงจึงวางช้อนลง หยิบยาขึ้นทานไม่ต้องรอเจ้าของบ้านสั่งเลยสักนิดอย่างรู้หน้าที่
“ทำไมกินน้อยจัง?” คริสเอ่ยถามเมื่อเหลือบมองข้าวต้มในชามแล้วเห็นว่ามันไม่ได้พร่องมากไปกว่าเก่า
“ปกติก็ทานแค่เท่านี้”
“ไม่น่า? ตัวอย่างกับลูกหมา”
สิ้นเสียงทุ้มอี้ชิงทำได้แค่กัดฟันกรอดก่นด่าอีกคนในใจ คริสช่างปากดีผิดกับนิสัยเย็นชา มีอย่างที่ไหนมาว่าเขาเหมือนลูกหมามันน่านัก
“เอ่อ...ตกลงฉันกลับบ้านไม่ได้ใช่ไหม?” อี้ชิงตัดสินใจเอ่ยถามอีกครั้งเพราะยังหวังอยู่ลิบลี่ รู้ดีอยู่แก่ใจว่ายังไงอีกคนที่บอกคือคำไหนคำนั้น
“ฉันมั่นใจว่าเคยบอกนายไปแล้วนะ”
ความหวังเพียงนิดพลันดับวูบไร้แสงสว่างสไว อี้ชิงพยักหน้าเล็กน้อยตอบรับเข้าใจไม่ขัดขืน เพราะรู้ดีว่าอีกคนนั้นเอาแต่ใจอยากได้อะไรคือต้องได้อี้ชิงจึงยินยอม
“ขอนอนนะ”
“เดี๋ยว!”
อี้ชิงสะดุ้งอีกครั้งแล้วรีบก้มหน้า เดาอารมณ์คริสเคยถูกหรือก็ไม่ คล้ายคนจะเป็นลมยามเสียงทุ้มเอ่ยออกมาแต่ละคำทำเอาร่างกายชาวาบขนลุกเกรียว
แต่นั่นอารมณ์ทุกอย่างกลับหยุดลงฉับพลันราวกับว่าร่างกายถูกแช่แข็ง คางมนถูกเชยขึ้นให้มองสบตา เพียงชั่วครู่ความอึ้งยังไม่เท่าริมฝีปากที่ถูกขโมยจูบไปอย่างน่าตาเฉย ความอุ่นชื้นที่กลีบปากทำเอาร่างกายร้อนวาบไปทั้งทรวง ไม่เหมือนทุกครั้งที่ถูกอีกคนกระทำหากแต่ครั้งนี้มันอ่อนโยนให้อี้ชิงสัมผัสได้ ไม่ถูกลุกล้ำเพียงแค่ริมฝีปากแตะกันเบาๆมันกลับทำให้ทุกอย่างรู้สึกขึ้นดีได้อย่างน่าประหลาดใจ
“พักผ่อนได้แล้ว คืนนี้เตียงของฉันให้นายยืม” คริสพูดแค่นั้นทำท่าว่าจะเดินจากไป หากแต่อี้ชิงที่อึ้งอยู่ยังไม่เข้าใจจึงเอ่ยรั้งให้กายสูงต้องหันสบมองอีกครั้ง
“อ...เอ่อ...แล้วนายจะนอนไหน?”
“โซฟามี...ตรงนั้น ฉันนอนได้” ชี้มือไปยังโซฟาสีสะอาดตาพลันเดินหอบผ้านวมและหมอนไปวางจอง มองหน้าคนป่วยบนเตียงทั้งเลิกคิ้วกวนเล็กน้อยก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายตัวเอง
ด้านอี้ชิงที่อีกคนเดินจากไปหัวใจพลันโลดแล่นแปลกประหลาดให้เก็บเอามาคิดไม่เลิก ย้ำตัวเองว่าอีกคนน่ะใจร้ายไม่เคยปราณีกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เผลอใจได้หากแต่ไม่ให้ใจอ่อน จุมพิตเมื่อครู่ก็แค่การแสดง เตือนร่างว่าความอ่อนโยนมันเป็นเพียงภาพบังหน้าให้หลงกล ผลสุดท้ายก็จบตรงที่เดิมคือความเจ็บปวดไม่เคยจางหายไป เจ็บแล้วจำควรย้ำใส่สมองให้เข็ดหลาบ ไม่งั้นก็คงโง่อยู่เรื่อยเพราะมัวแต่เป็นคนดีเกินไปเลยไม่ทันใครอย่างที่ลู่หานพร่ำบอก...
...ERROR…
*** ตอนสามค่ะ มันสั้นใช่ไหม? TT ดูรวบรัดแบบไม่รู้ตัว ฮ่าๆ
โปรโมทต่อ ตอนนี้ไรท์รีปริ้นเรื่อง THE WIZARD นะคะ ฝากด้วยนะคะ ^^
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=897176&chapter=29
ความคิดเห็น