คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ll THE WIZARD ll Chapter 19
THE WIZARD 19
LAY TALK
ในขณะที่ผมกำลังวิ่งไปที่ห้องพยาบาลเพราะได้รับรู้ข่าวจากไคว่าคริสฟื้นแล้ว ผมบอกได้เลยว่าตอนนั้นหัวใจของผมมันกลับมาเบิกบานอีกครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ น้ำตาเอ่อไหลออกมาเป็นสายธารด้วยความดีใจ เรี่ยวแรงที่มีก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนนักหนาจนสัมผัสได้ ผมวิ่งไปเรื่อยๆอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งๆที่เท้าก็มีเลือดไหลซิบออกมาเต็มไปหมดแต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าเจ็บเลยแม้แต่น้อย คิดแค่ว่าผมต้องไปหาคริสให้เร็วที่สุด ผมคิดถึงเขา ผมอยากได้ยินเสียงเขา ผมคิดแค่นั้นจริงๆ
“คริส!”
เพียงแค่ผมได้เห็นเขาที่ตื่นขึ้นมานั่งมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ไม่อาจเก็บกักน้ำตาที่ไหลอยู่ให้เหือดแห้งไปได้เลย ผมรีบวิ่งถลาเข้าไปหาคริสเพราะผมโหยหาเขามาตลอด ช่วงเวลาที่เขานอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่นั้นผมก็ภาวนาเสมอว่าขอให้เขาตื่นขึ้นมาคุยกับผม มากอดผมเพราะผมอยากได้รับสัมผัสนั้นอีกครั้ง และตอนนี้เขาก็ตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ ผมเห็นด้วยตาของผมเอง มันคือเรื่องจริงที่ทำให้ผมดีใจที่สุด
“นายเป็นใคร?”
คำถามนี้เลยครับที่ทำเอาความดีใจและเรี่ยวแรงที่มีในตอนแรกของผมมันหายวับไปกับตา ผมไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะได้ยินคำๆนี้หลุดออกมาจากปากของคนที่พร่ำบอกผมอยู่เสมอว่าเขารักผมมากแค่ไหน ถึงตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะแตะเนื้อต้องตัวอีกคนผมก็ยังไม่กล้าเลย รับรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้ผมคงไม่มีสิทธิ์อีกต่อไปแล้ว
“นายจำฉันไม่ได้เลยหรอ?”
ผมเอ่ยถามออกไปทั้งน้ำตา แทบจะขาดใจเลยล่ะครับ ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง พระเจ้าให้เขาจากผมไปผมยังไม่รู้สึกโกรธเท่ากับตอนนี้เลย ใจร้ายกับผมเหลือเกิน และนั่นคริสกลับไปตอบคำถามของผม เขาเอาแต่ส่ายหน้าแล้วมองไปหาพี่ชางมินเพื่อต้องการคำตอบว่าผมเป็นใครกัน
“เลย์ไงคริส เขาเป็นคนรักของนาย”
“คนรัก?”
คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมเป็นยังไง ร่างกายผมมันไม่มีเรี่ยวแรงอีกต่อไปแล้ว นั่งทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาของตัวเอง แต่นั่นคริสก็ไม่ผิดหรอกครับ ก็ถ้าเขาจะจำผมไม่ได้จริงๆ ผมจะพยายามทำให้เขาจำผมให้ได้เร็วที่สุด
“นายจำใครได้บ้างไหม?” ไม่รู้คิดอะไรอยู่ แต่ผมก็ถามเขาออกไปแบบนั้นเพราะต้องการอยากจะรู้ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันต้องเจ็บปวด และคำตอบของมันก็...
“พอจะจำได้ทุกคน....ยกเว้นนาย!”
หึ! มันหน้าน้อยใจไหมล่ะครับ คริสจำทุกคนได้เลือนลางแต่กับผมที่เป็นคนรักของเขา ใช้ชีวิตอยู่กับเขาแทบตลอดเวลาที่ผ่านมา เขากลับจำผมไม่ได้ น่าสมเพสตัวเองจริงๆ
ถึงตอนนี้ผมก็ไม่อาจอยู่มองหน้าคริสได้อีกแล้ว ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี สะอื้นไห้ไปก็ปาดน้ำตาตัวเองไปด้วย ไม่มีประโยชน์หรอกครับถ้าจะเอาแต่ร้องไห้แต่ผมก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาให้มันหยุดไหลได้เลย ในเมื่อเขาจำผมไม่ได้อยู่คนเดียวผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ผมยกมือขึ้นบอกเขาว่าไม่เป็นไร แค่ยกมือขึ้นก็แทบจะไม่มีแรง มันสั่นไปหมดอย่างควบคุมไม่อยู่ ผมทำไปแล้วครับ บอกคริสว่าผมไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี แต่นั่นผมจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง หัวใจผมมันแตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดีเลย
“จะไปไหนน่ะเด็กน้อย?”
พี่ชางมินรีบเอ่ยถามผม ผมรู้ว่าพี่เขาเป็นห่วงแต่ผมไม่อาจยืนมองหน้าคริสได้นานกว่านี้อีกแล้ว รู้สึกเหมือนผมเป็นใครก็ไม่รู้ที่อีกคนไม่รู้จัก ไม่มีแม้แต่แววตาที่สื่อออกมาว่าเคยมีความรู้สึกดีๆต่อกัน จะเย็นชาเกินไปไหมนะ
“ผมขอตัวกลับไปหอก่อนนะครับ ผมเหนื่อยเหลือเกินครับรุ่นพี่”
“นายอย่าเพิ่งคิดมากนะ สักวันคริสต้องจำนายได้แน่ๆ”
พี่ชางมินพยายามจะพูดปลอบผม ถึงอย่างนั้นสิ่งที่พี่เขาพูดมามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีได้เลย ผมค่อยๆหันหลังให้คริสที่จ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาว่างเปล่า เห็นแบบนั้นแล้วก็แทบจะหนีหายไปไกลๆ ไกลที่สุด ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเจอหน้าคริสอีก แต่ผมก็บอกกับตัวเองไว้แล้วว่าจะทำให้เขาจำผมให้ได้ จะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
หลังจากวันนั้น คริสก็พักดูอาการที่ห้องพยาบาลอยู่สองสามวัน ผมไม่ได้เจอหน้าเขาเลย ไม่กล้าไปให้เขาเจอทั้งๆที่บอกเองว่าจะทำให้เขาจำผมให้ได้ แต่มันท้อครับ เจอแบบนี้แล้วผมที่ทำอะไรเองไม่ค่อยจะเป็นก็ปล่อยเวลาให้มันผ่านไปวันๆอย่างไร้ประโยชน์ และผมก็มารู้ทีหลังว่าที่คริสเป็นแบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าความจำเสื่อม
ศาสตราจารย์แอนดี้บอกผมว่าคริสโดนพวกพ่อมดดำล้างความทรงจำ นั่นเขาถึงจำไม่ได้เลยว่าเขาโดนพวกนั้นทำอะไรไปบ้าง และความทรงจำที่เขาโดนล้างไป มันเป็นส่วนที่คริสจะจดจำสิ่งนั้นได้มากที่สุด ความทรงจำที่คริสจะจดจำได้เสมอมันจะหายไป ถ้าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง มันน่าจะเป็นเรื่องของผมนั่นแหละครับ ผมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ซะหน่อย อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
“แล้วเมื่อไหร่คริสจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรอครับศาตราจารย์?”
“เรื่องนี้ฉันก็ให้ข้อสรุปไม่ได้หรอกนะเลย์ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครที่หายจากอาการแบบนี้เลยสักคน”
“ไม่มีทางเลยหรอครับ?”
“คงอาจจะมี แต่เพราะไม่มีใครแก้คำสาปนี้ได้ เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
หัวใจผมหล่นวูบทันทีที่ศาสตราจารย์แอนดี้บอกว่าไม่มีคนหายจากอาการนี้ นั่นคริสจะจำผมไม่ได้ตลอดไปหรือ ในอกของผมมันร้อนรุ่มเพราะไม่อาจรับความจริงในข้อนี้ได้ ไม่มีทางที่จะทำให้ความทรงจำดีๆของผมกับเขากลับมาได้เลย ไม่มีทาง
.
.
เมื่อร่างกายของคริสเริ่มกลับมาเป็นปกติ เขาก็กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม นอนห้องเดียวกันกับผม เป็นรูมเมทของผม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือความรู้สึกของเราที่มันเปลี่ยนไป เหมือนวันแรกที่คริสกับผมเจอกันก็ไม่มีผิด ไม่มีใครพูดกับใครก็ปล่อยให้ห้องมันเงียบไปอย่างนั้น คริสไม่ปลุกผมตอนไปเรียนจนผมไปเข้าคลาสสายอยู่ทุกวัน แต่นั่นเราก็ยังนั่งด้วยกันเหมือนเดิมครับ
“นายไม่ปลุกฉัน” ผมพูดกับเขา มันคุ้นๆเลยใช่ไหมล่ะครับ แต่นั้นเขากลับเอาแต่นั่งก้มหน้าอ่านตำราบนโต๊ะไปโดยไม่สนใจอะไรผมเลย
“………………..”
“บางทีก็น่าจะปลุกกันบ้าง” เห็นเขาเงียบผมก็พูดต่อ ทำเมินกันไปเถอะ
“จำเป็นด้วยหรอ?” จุกเลยครับ จุกอกจริงๆ
“แต่เราเป็นแฟน....”
ผมเผลอพูดออกไปแล้ว ใช่แล้วล่ะ ผมจะพูดว่าเราเป็นแฟนกันนะ แต่พอเห็นคริสหันกลับมามองผมตามสไตล์เย็นช้าของเขา บอกได้เลยว่าพูดไม่ออก ไอ้บ้าเอ้ย ผมไม่พอใจนะบอกเลย
ผมทำใจไม่ได้อยู่หลายวันครับ นอนคลุมโปงร้องไห้ทุกคืนเลย แม้คริสจะอยู่ในห้องด้วย แต่บางครั้งผมก็จะออกไปที่นอกระเบียงเพื่อสะอื้นไห้กับตัวเองอยู่เงียบๆ ได้มองท้องฟ้ายามค่ำคืนบ้างก็รู้สึกโล่งใจขึ้นนิดหน่อย นึกถึงวันนั้นที่เขาเข้ามายืนซ้อนหลังผมแล้วกอดผมไว้แน่น มันอบอุ่นมากจนตอนนี้ผมก็โหยหามันอีกแล้ว วันนั้นที่เขาจากผมไป ผมคิดอยู่แล้วว่ามันต้องเกิดเรื่อง ผมรู้สึกไม่ดีเลย มันเป็นลางบอกเหตุที่จริงใช่ไหมล่ะครับ ปัจจุบันผมก็ทำใจไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ แต่เรียกว่าชินจะดีกว่า เพราะนี่มันก็เดือนนึงแล้วที่เขาไม่เคยใส่ใจผมเลย
END
LAY TALK
…THE WIZARD…
ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองที่นั่งข้างกันพลางจรดปากกาขนนกจดเนื้อหาในคลาสเรียนยิกๆอย่างขะมักเขม่น ไม่ได้สนใจซึ่งกันและกันเลยสักนิด ต่างคนต่างนั่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ไม่มีบทสนทนาที่น่ารื่นรม มีแต่บรรยากาศคุกรุ่นที่มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อหมดเวลาเลิกเรียนก็รีบพับหนังสือเก็บโดยไม่รีรอ เดินออกมาจากคลาสก็เห็นคู่รักเพื่อนสนิทที่ยืนรออยู่เหมือนเช่นทุกวัน
“ไปทานข้าวกัน” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มผิวเข้มเอ่ยชวน ทุกวันก็ไปทานข้าวที่แคนทีนเหมือนปกติ นั่งทานข้าวพร้อมกับกับคริสและเลย์ แต่นั่นก็เป็นทุกวันที่คนทั้งคู่แทบจะไม่เอ่ยปากพูดกันดีๆ เลยสักครั้ง
“วันนี้ฉันไม่ไปนะไค ง่วงนอนอ่ะ” เลย์เอ่ยตอบไปก่อนจะยกมือขึ้นหาววอด ทำท่าให้รู้ว่าง่วงมากจริงๆ
“ฉันก็ไม่ไป” ใบหน้าหวานก็ถึงกับหันขวั่บไปหาคนตัวสูงทันทีอย่างไม่เข้าใจ
“นายก็ไปสิ ไม่หิวรึไง?”
“ฉันง่วงเหมือนกัน ผิดหรอ?”
สิ้นเสียงทุ้มที่ตอบกลับมาอย่างเรียบๆ เลย์ก็ถึงกลับหน้าเจือนไปเสียสนิท แววของความอ่อนโยนที่เคยมีให้เขามันหายไปไหนหมดนะ เห็นแบบนี้แล้วก็คิดว่าคบกับมันมาได้ยังไง เขาต้องผิดปกติแน่ๆ
“เลย์อ่า เชือกรองเท้านายหลุดน่ะ ระวังจะหกล้มเอา” ดีโอที่เหลือบไปเห็นรองเท้าของเพื่อนสนิทที่เชือกมันหลุดออกมาก็เอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง เลย์ยิ่งซุ่มซ่ามอยู่แล้วทุกคนก็รู้ดี
ได้ยินดังนั้น ม่านตากลมจึงเหลือบไปมองคนที่เป็นรูมเมทน้อยๆ ทุกครั้งจะเป็นคริสที่ผูกมันให้เขาอยู่เสมอ แต่คงลืมไปว่าตอนนี้อีกคนนั้นจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย
“ขอบคุณนะดีโอ ฉันนี่สะเพร่าจริง!” ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก็ค่อยๆย่อตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้น วางหนังสือไว้ข้างกายแล้วเอื้อมมือไปผูกเชือกรองเท้าให้กลับไปอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง
“ถ้าพวกนายไม่ไปทานข้าว งั้นฉันกับดีโอไปแคนทีนกันก่อนนะ”
“อื้ม ตายสบาย”
เอ่ยบอกเพื่อนรักทั้งสองเสร็จ เลย์ก็หันไปหาคนตัวสูงที่ยืนข้างๆในทันที หากแต่พอหันไปเท่านั้นอีกคนก็เดินนำไปก่อนแล้ว ไม่เคยคิดจะรอ ไม่เคยคิดจะเอ่ยชวน เชื่อเถอะว่ายังมีปากอยู่
“อ้าปากบอกกันสักคำมันจะตายไหม?” บ่นพึมพำกับตัวเองตามประสา นึกหงุดหงิดแต่ก็เข้าใจอีกคนเป็นอย่างดี เหมือนตอนที่เข้ามาเรียนที่นี่ใหม่ๆก็ไม่ปราน เหมือนได้เริ่มต้นกันอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่ละ เริ่มต้นใหม่ที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนเดิม
.
.
คนหน้าหวานเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เดินเข้ามาก็ไม่วายทำเสียงดังตึงตังเรียกร้องความสนใจจากคนตัวสูงที่นอนพิงแผ่นหลังไปกับหัวเตียงอยู่ สุดท้ายก็ลงเอยเหมือนเดิมเพราะคริสก็ยังไม่สนใจ แม้แต่สายตาก็ยังไม่เหลือบมามอง ให้มันได้อย่างนี้ตลอดดิ
“มีอะไรจะพูดไหมคริส?” เมื่อรู้สึกอึดอัด เลย์ถึงเอ่ยออกไปถามอีกคน ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงของตัวเองแล้วนั่งขัดสมาธิเข้าหาคริสอย่างรอคอยคำตอบ
คนตัวสูงค่อยๆหย่อนขาลงจากเตียงช้าๆ ยกขาเรียวยาวข้างหนึ่งขึ้นไขว้ห้างพลางมองหน้าอีกคนที่อยู่ตรงข้ามกันไม่วางตา สำรวจใบหน้าขาวเนียนนั้นจนคนตรงหน้าถึงกับต้องเสมองไปทางอื่นอย่างจำใจ
“ฉันเป็นแฟนกับนายจริงๆหรอ?” คำถามที่ทำเอาเลย์ก็ถึงกับสะอึก คริสกล้าถามแบบนี้ได้ยังไง แต่ใช่สินะ จำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย
“ทำไม? ฉันมันดูไม่น่าให้คบกับนายรึไง?”
“……………………………” คริสไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ไหวไหล่น้อยๆอย่างไม่คิดจะใส่ใจ ก่อนจะค่อยๆล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อของตัวเองแล้วดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาสู่สายตาของอีกคน
“สร้อยกับแหวนเส้นนี้นายมีเหมือนกันใช่ไหม?”
“อื้ม ก็นายซื้อให้ฉันเป็นของขวัญครบรอบสามเดือน”
“หรอ?” พูดแค่นั้นก็พยักใบหน้าหล่อขึ้นลงอย่างเข้าใจโดยไม่คิดจะสงสัยอะไรอีก และคนที่นั่งรอคอยคำถามต่อไปอย่างเลย์อยู่นั้นก็แทบจะนั่งไปติดที่ เดาอารมณ์จากสีหน้าหล่อๆที่เย็นช้าของคริสไม่ได้เลย
“………………………….”
“เป็นแฟนกันแล้วเลิกได้รึเปล่า?”
เลย์ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ หัวใจหล่นวูบทั้งตัวก็ชาไปหมด ไม่คิดว่าอีกคนจะถามคำถามนี้ออกมา เข้าใจว่าในตอนนี้คริสอาจไม่ได้รู้สึกดีๆกับเขาแล้ว แต่ไม่คิดจะเห็นใจเขาบ้างหรือว่ารักคนตัวสูงคนนี้มากแค่ไหน
“ถ....ถามทำไม? อยากเลิกหรอ?” ไม่รู้ว่าเสียงที่พูดออกไปมันสั่นมากรึเปล่า แต่เลย์ก็พยายามแล้ว พยายามจะอดกลั้นมันเพราะไม่อยากแสดงด้านที่อ่อนแอให้กับอีกคนได้เห็น ถึงแม้ตอนนี้อยากจะร่ำไห้มากสักเพียงไหนก็ตาม
“อือ...เลิกได้ไหม?”
มือบางกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมด มันไม่ใช่ฝันและเลย์ก็ไม่ได้หูเพี้ยนขนาดฟังไม่รู้เรื่องว่าคริสพูดมามันหมายความว่าอย่างไร คำพูดของคริสมันดังก้องอยู่ในโสตประสาทจนไล่ออกไปไม่ได้ ดังวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เลิกได้ไหมงั้นหรอ
“ถ...ถ้านายต้องการอย่างนั้น...ก็ได้...เพราะที่เป็นอยู่มันก็ไม่เหมือนคนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว”
นัยน์ตาคู่สวยที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำสีใส จ้องมองใบหน้าหล่อของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะยกมือที่ไร้เรี่ยวแรงปาดมันออกไป ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นไห้ มีเพียงแค่น้ำใสๆที่ไหลลงข้างแก้มเงียบๆ มันเลยจุดของคำว่าเสียใจมาแล้ว เลย์ผ่านจุดนั้นมาจนแทบจะด้านช้ากับความรู้สึกแบบนี้เสียแล้ว
“ฉันขอโทษ”
“หึ! ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก ฉันเจ็บมาตลอดอยู่แล้วหนิ เจ็บอีกนิดจะเป็นไรไป จริงๆก็ด้านชาแล้วแหละ” ปากก็บอกไปแบบนั้น หากแต่ในใจมันคืออะไร สวนทางกับคำพูดซะเหลือเกิน เจ็บปวดเหมือนค้อนที่ทุบลงมาไม่ยั้งมือ ไม่เจ็บนิดแต่เจ็บจนแทบขาดใจ มันจบแล้วสินะ ถึงวันของมันแล้ว วันนี้มันมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ซะอีก
“สร้อยกับแหวน”
คริสยื่นของที่คนทั้งคู่มีเหมือนกันมาให้ตรงหน้าของเลย์ ทำร้ายจิตใจกันไม่พอ ยังตอกย้ำด้วยการเอาสร้อยที่ตัวเองซื้อให้มาตอกย้ำกันอีก
“นายเก็บมันไว้เถอะ เผื่อสักวันนายจะจำฉันได้บ้าง แค่สักนิดในเศษเสี้ยวความทรงจำของนายก็ยังดี”
พูดแค่นั้นก็พาตัวเองให้ออกไปจากห้องที่น่าอึดอัดนี้ทันที ปิดประตูลงก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างเหลืออด วิ่งลงจากบันไดได้ก็หาที่ไหนสักแห่งที่ไม่ต้องพบเจอกับอีกคนได้ง่ายๆ ที่ๆจะได้ร้องไห้อยู่กับตัวเองเงียบๆคนเดียว
“อ๊ะ!”
มัวแต่ก้มหน้าก้มตาวิ่งโดยไม่ได้มองทาง จึงเผลอชนกับใครบางคนเข้าอย่างจังจนเซไปด้านหลัง หากแต่นั่นอีกคนก็ยังรั้งเอาไว้ช่วยไม่ให้ต้องลงไปนั่งกับพื้น ก่อนจะค่อยๆเงยใบหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้าช้าๆ เพื่อต้องการรู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร
“ร้องไห้ทำไม?”
“เทา!”
เพียงแค่รับรู้ว่าอีกคนเป็นใครก็โผลเข้ากอดทันทีอย่างลืมตัว จนคนที่ได้รับสัมผัสก็ถึงกับตกอกตกใจเป็นอย่างมาก อึ้งได้สักพักก็ต้องยกมือหนาขึ้นลูบหลังให้คนหน้าหวานเพื่อปลอบประโลม ในตอนนี้เลย์ขอแค่ใครสักคนที่เป็นที่พักพิงให้เขาได้ ใครก็ได้จริงๆ
“เป็นอะไรเลย์ ทะเลาะกับคริสมาหรอ?”
เหมือนจะรู้ว่าที่คนหน้าหวานเป็นแบบนี้ก็คงเป็นกับคนๆเดียว หากแต่จะเป็นไปได้ยังไง เพราะทุกครั้งที่เทาเห็น คริสก็ดูแลอีกคนเป็นอย่างดีจนเขาก็ยอมมอบเลย์ไปให้คริสได้โดยไม่ต้องเป็นกังวล ถึงแม้จะเป็นฝ่ายที่เจ็บปวดเองก็ยอม
“เขาไม่ได้รักฉันแล้ว ฮึก...”
“ทำไมคิดแบบนั้น คริสเขารักนายมากนะเลย์”
“เมื่อก่อนน่ะใช่ ฮึก...แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่มีความรักให้ฉันอีกต่อไปแล้วล่ะเทา ...”
พูดแค่นั้นก็ร้องไห้โฮจนคนที่ปลอบอยู่ก็ถึงกับนึกสงสาร รักมากก็เจ็บมากเทาเข้าใจดี และที่เขาเห็นเลย์เป็นแบบนี้ เขาก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าคนตรงหน้าเหมือนกัน
“เลย์” มือหนาสะกิดคนตัวเล็กเบาๆเหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
“มีอะไร?”
“………………..”
เทาไม่ตอบอะไรกลับไป นัยน์ตาคู่คมมองเลยผ่านหัวทุยของคนตัวเล็กไปด้านหลัง มองคนที่ยืนทำหน้านิ่งอย่างนึกโมโห เขาเห็นคริสยืนมองเขากับเลย์กอดกันมาได้สักพักแล้ว และนึกแปลกใจเป็นอย่างมากที่อีกคนทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งๆที่เมื่อก่อนแทบจะวิ่งเข้ามาฆ่าเขาก็ไม่ปราน
“ไปจากตรงนี้กันเถอะเทา”
เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่รอช้าเลย์จึงตัดสินใจลากเทาให้ออกไปที่อื่นอย่างไม่รีรอ ไม่อยากเจอหน้าคริส ไม่อยากแม้แต่จะได้ยินชื่อของอีกคนด้วยซ้ำ คนที่ทำให้เขามีความสุขแล้วก็ทุกข์ในเวลาเดียวกัน
.
.
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนายไม่คุยกันดีๆ เป็นแบบนี้แล้วจะเข้าใจกันสักทีหรอ?” เดินมาหยุดอยู่ที่คูน้ำข้างโรงเรียนได้สักพัก เทาก็เอ่ยถามอีกคนด้วยความอยากรู้ เขาไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยสักนิด
“คุยไปก็ไม่เข้าใจกันหรอกเทา ฉันกับคริสไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?”
“เราเลิกกันแล้ว”
สิ้นเสียงหวานใบหน้าเข้มของเพื่อนต่างปราสาทก็ดูจะตกใจเอาเสียมากๆ ขมวดคิ้วมุ่นและไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ถึงเทาจะไม่ชอบขี้หน้าคริสแต่นั่นก็รู้ดีว่าคริสจะไม่มีทางทิ้งเลย์ไปแน่ๆ แต่มันเพราะอะไรกัน
“ทำไมพวกนาย...”
“จริงๆ เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของคริสหรอก จิตวิญญาณของเขาไม่ใช่คริสคนเดิมที่ฉันเคยรู้จัก มันก็แค่คนที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเท่านั้น แต่ข้างในมันกลับไม่ใช่เลย"
เพราะคำพูดของคนหน้าหวานทำให้คนที่ฟังอยู่ก็ถึงกลับไม่เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีก เทารู้ว่าคริสโดนจับตัวไป และหลังจากนั้นเทาก็ไม่รู้อีกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
คนตัวเล็กเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับเด็กเซนทอร์ฟัง ให้เทาได้เข้าใจว่าที่คริสเป็นแบบนี้เหตุมันเกิดจากอะไร ให้เข้าใจว่าคริสไม่ได้ผิด คริสไม่ได้ทิ้งเขา แต่เป็นเพราะเขาเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะเลย์ เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย มันเป็นแค่ความเข้าใจผิดกันเอง”
“เพราะเป็นความเข้าใจผิดยังไงล่ะ คริสถึงโดนพ่อมดดำจับตัวไป ทั้งๆที่ต้องเป็นฉันไม่ใช่เขา”
เอ่ยจบก็ก้มหน้านิ่งมองพื้นน้ำตรงหน้าอยู่เงียบๆคนเดียว เขาต้องชดใช้ให้กับอีกคนยังไงถึงจะไม่เป็นหนี้ชีวิตของกันและกัน จะทำยังไงถึงจะได้คริสคนเดิมกลับมา หรือเขาต้องตาย มันจะใช่แบบนั้นหรือเปล่า เพราะพวกพ่อมดดำก็คิดจะเอาชีวิตของเขาอยู่แล้ว มันต้องเป็นแบบนี้สินะ
“เฮ้อ! ไม่เอาน่า เลิกเครียดๆ สักวันทุกอย่างมันจะดีเอง ฉันเอาใจช่วยนะ ถึงฉันจะชอบนายมากขนาดไหน แต่ฉันคิดว่าไอ้หน้าหล่อนั่นแหละที่เหมาะกับนายที่สุด”
มุมปากเรียวของเด็กเซนทอร์ยกยิ้มไปให้อีกคน ยอมรับว่าชอบเลย์มาก ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น แต่นั่นเทาก็ไม่คิดจะแย่งอีกคนมาในสถานการณ์แบบนี้แน่นอน มันไม่วิถีของลูกผู้ชาย ทั้งๆที่โอกาสที่จะทำคะแนนกับอีกคนก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าเห็นๆ แต่เขาก็คิดว่าคนที่เข้าใจเลย์และรักเลย์ที่สุดก็คือคริสคนเดียวเท่านั้น
.
.
ฟ้ามืดสนิทมาเป็นเวลานาน หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนต่างปราสาทและระบายเรื่องที่อัดอั้นในใจออกไปเสร็จ คนหน้าหวานก็กลับมาที่ห้องเหมือนเดิม หันซ้ายแลขวาเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป เพราะคิดว่าคนตัวสูงคงจะนอนแล้ว แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า โล่งอกไปบ้างกลัวว่าจะเข้าหน้าอีกคนไม่ติดและทำตัวไม่ถูกเพราะในตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับคริสได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เฮ้อ!”
ถึงกลับโล่งใจเมื่อไม่พบอีกคนอยู่ในห้อง ขาเล็กจึงพาตัวเองให้เดินเข้าไปนั่งหย่อนกายลงที่เตียงก่อนทำท่าจะนอนลงเพราะรู้สึกเหนื่อยมากเหลือเกิน หากแต่ก็ต้องค้างท่านั้นไปเสียก่อนเพราะอีกคนที่คิดว่าไม่อยู่กลับเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างหน้าตาเฉย
“นึกว่าจะไม่กลับมา”
“ก็ฉันต้องนอนที่นี่แล้วจะให้ไปไหนได้ล่ะ?”
“ฉันก็คิดว่าจะไปแอบนอนที่ปราสาทอื่นซะอีก”
สิ้นเสียงทุ้ม มือบางก็กำเข้าหากันแน่นด้วยความโมโห จ้องเขม่นไปหาอีกคนที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวให้รู้ว่าไม่พอใจจริงๆ คริสชักจะดูถูกเขาเกินไปแล้ว
“อ๊ะ!” ร้องเสียงหลงออกมา เมื่อคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆเตียงกลับยื่นมือมาดึงข้อเท้าของเขาขึ้นไปสำรวจดู จนหัวทุยๆต้องดิ่งเอนไปด้านหลังอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“เท้าหายดีรึยัง?” เสียงทุ้มเอ่ยถามไม่วายก็จ้องสำรวจบนเท้าเล็กของอีกคนที่ไม่มีผ้าพันแผลอยู่แล้ว คริสรู้ว่าเลย์มีแผลที่เท้าเว่อะหว่ะไปหมดเพราะวิ่งมาหาเขาที่ห้องพยาบาลในวันนั้น
“ไอ้บ้า! ขอดูดีๆไม่ได้รึไงเล่า! ทำไมต้องรุนแรง”
“หายดีแล้วหนิ” ไม่ได้ฟังเสียงค้านหวานของอีกคนเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าเท้าของเลย์หายดีแล้ว ก็ปล่อยมันลงพื้นในทันทีอย่างไม่ใยดี
“มันหายนานแล้ว ก็เดือนนึงแล้วหนิ” ใบหน้าหวานงองุ้มอย่างไม่ชอบใจ บ่นพึมพำไม่มีเสียงพลางจ้องอีกคนที่ทำอะไรก็ไม่เคยจะเบามือเอาเสียเลย คริสก็แค่ทำเหมือนเป็นห่วงแต่จริงๆแล้วแค่ทำตามหน้าที่ของรูมเมทที่ดีก็เท่านั้น
“ไปอาบน้ำสิจะได้นอน ไฟสว่างแบบนี้ฉันนอนไม่หลับหรอกนะ” ประโยคท้ายมันเหมือนเดจาวูยังไงอย่างนั้น เลย์ถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเห็นอีกคนเดินไปนั่งที่เตียงของตัวเอง คนหน้าหวานจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำเพราะถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนสักที
.
.
ขาเล็กพาตัวเองเดินออกมาจากห้องน้ำเมื่อชำระร่างกายเสร็จสับ เห็นอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ไม่รอช้า รีบเเต่งเนื้อแต่งตัวแล้วถลาไปยังเตียงนอนของตัวเองทันที ยกมือขึ้นชี้ไฟในห้องให้ดับสนิทก่อนจะเอนกายลงนอนแล้วตะแคงหันไปมองแผ่นหลังกว้างของอดีตคนรักที่ตอนนี้นอนหันหลังให้เขาอยู่
นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา จำได้ว่าอีกคนจะต้องมาขออาศัยนอนที่เตียงของเขาในทุกๆวันแล้วปล่อยให้เตียงข้างๆมันว่างอย่างไม่คิดจะสนใจ ทั้งในตอนนี้ก็จำได้ว่าจะต้องมีอ้อมกอดที่อบอุ่นคอยประคองกอดเขาให้นอนหลับสบายทุกคืนไป มีจูบฝันดีที่หน้าผาก บ้างก็จุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปากที่ทำให้ใจเต้นหวิวได้ตลอด มีอีกคนที่บอกฝันดี กระซิบคำว่ารักที่ข้างหูอย่างไม่รู้จักเบื่อ มีคนที่คอยห่มผ้าให้ ทำให้ทุกอย่างที่ในตอนนี้ไม่มี ไม่มีอีกแล้วช่วงเวลาดีๆแบบนั้น
“นอนสักที จ้องฉันแบบนี้ทุกคืนไม่เบื่อรึไง?”
ถึงกับตกใจเมื่อเสียงทุ้มของคนที่นอนอยู่อีกเตียงเอ่ยพูดทั้งๆที่ยังนอนหันหลังให้กันอยู่ คริสรู้ได้ยังไงว่าเขายังไม่หลับแล้วที่สำคัญคือรู้ได้ยังไงว่าเขาจ้องมองอยู่ทุกคืน
“หึ! ฉันเนี่ยนะจ้องนายทุกคืน รู้ได้ไง?”
“แล้วทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ ฝันดี”
สิ้นเสียงทุ้มก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้คนหน้าหวานถึงกับตกใจ ประโยคที่เขาคิดว่าจะไม่ได้ยินมันอีกแล้ว แต่ในคืนนี้เขาได้ยินมันเต็มสองหูเลย คริสบอกเขาว่าฝันดี ถึงจะเป็นคำที่ห้วนไปนิด แต่มันก็ทำให้หัวใจลุกขึ้นเต้นโครมครามได้อีกครั้งจริงๆ
“อ...อื้อ ฝันดีเหมือนกันนะ”
… THE WIZARD…
*** ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย รึเปล่า? น่าเบื่อด้วย รึเปล่า? 5555555
ใกล้จบแล้ว รึเปล่า? คาดว่าไรท์อาจจะโดนรองเท้าจากรีดเดอร์ทุกคน :”D
อยากเพิ่งเบื่อนะคะ ทุกอย่างมันจะดีขึ้น รึเปล่า? 555555
รักรีดเดอร์นะคร้า ^^
ความคิดเห็น