คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ll ERROR ll CHAPTER 2
ERROR
CHAPTER 2
หลังจากที่ทานอาหารร่วมกับน้องชายเสร็จอี้ชิงจึงกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวออกไปทำรายงานที่บ้านของเพื่อนผิวเข้มนามจงอิน หยิบกระเป๋าเป้สะพายใส่หลังก่อนจะตรวจสภาพร่างกายของตัวเองที่หน้ากระจกเป็นสิ่งสุดท้าย
อี้ชิงเลือกสวมเสื้อที่ปกปิดรอบคอของเขาให้มากที่สุด รองพื้นด้วยบีบีครีมแล้วทับด้วยแป้งพับอีกที อย่าคิดว่าเขามีของพวกนี้เลยเชียว แต่นั่นเพราะไปหามาจากห้องของคนเป็นแม่ต่างหาก เห็นท่านไม่อยู่เลยถือโอกาสค้นมาใช้เสีย ถึงในตอนนี้สภาพร่างกายจะยังไม่สู้ดีเท่าไหร่แต่ยังไงอี้ชิงก็ขอมองโลกในแง่ดีแล้วลืมเรื่องเลวร้ายที่พบเจอไปซะดีกว่าจะเอาแต่หมกหมุ่นอยู่กับมันจนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะคนเราต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเสมอ เวลาไม่เคยรอใครจึงต้องคอยเดินตามมันให้ทัน
ขาเล็กก้าวเป็นจังหวะสม่ำเสมอเพื่อไปรอรถเมล์ที่หน้าปากซอยเหมือนอย่างทุกวัน มือทั้งสองกระชับเป้สีม่วงใบโปรดไว้มั่น มองทางข้างหน้าก็ลองยิ้มให้กับตัวเองดูสักครั้ง อากาศในยามเช้าที่สดใสพอจะทำให้จิตใจที่บอบช้ำดีขึ้นได้บ้างเล็กน้อย ถึงแม้จะหลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าไม่เป็นอะไรก็ตามที แต่ที่มันยังฝังใจเพราะอี้ชิงคนนี้มีตำหนิเสียแล้ว
“ไปไหน?”
เสียงทุ้มที่เอ่ยถามทำให้เท้าเล็กที่ก้าวเดินต้องหยุดชะงักนิ่ง เสียงที่ได้ยินช่างคุ้นหูจนไม่อยากจะหันกลับไปมอง แต่สุดท้ายจำต้องทำใจพึมพำนับหนึ่งถึงสามแล้วหมุนตัวช้าๆเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่พูดนั้นเป็นใคร
“.............”
เพียงแค่หันกลับไปพบกับใครที่ไม่อยากพบเจออี้ชิงถึงกับไม่อยากจะพูดคุยสาวความให้ยืดยาว รีบก้าวฉับเดินไปข้างหน้าโดยไม่ฟังเสียงเรียกท้วงติงใดๆทั้งสิ้น สับขาให้เร็วขึ้นตามความร้อนรุ่มในอกพลันเปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อหนีคนใจร้ายให้พ้นทาง ถึงจะเจ็บที่สะโพกอยู่บ้างแต่ในเวลาแบบนี้คนที่ตามเขามานั้นช่างน่ากลัวกว่าทุกสิ่งอย่างบนโลกเสียอีก
“ฉันถามว่าจะไปไหน?”
ต่อให้วิ่งเร็วยังไงแต่ช่วงขาที่สั้นกว่าจึงทำให้อี้ชิงถูกมือหนาฉุดกระชากให้หันกลับไปเผชิญหน้า เพียงแค่ได้สบนัยน์ตาคมใบหน้าหวานก็เอาแต่ก้มงุดทั้งตัวสั่นเทาจนน่าสงสาร แววใสเลิกลั่กราวกับคนที่หวาดระแวงจนขาดสติ น้ำตาเอ่อคลอเมื่อความกลัวมันโหมเข้าใส่ คิดว่าจะไม่เจอคนตรงหน้าอีกแล้วแต่นั่นสิ่งที่คิดไว้ก็พลันมลายหายสิ้นไปต่อหน้าต่อตาจนต้องกลับมามองโลกในแง่ร้ายอีกครั้ง
“…………..”
“ฉันถามว่านายจะไปไหน?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามอีกครั้งพลันข่มอารมณ์ให้ใจเย็น แต่นั้นอี้ชิงก็เอาแต่ส่ายหน้าเป็นพัลวันทั้งยังก้มงุดให้หยาดน้ำสีใสหยดแหมะปะทะพื้นคอนกรีตอย่างเงียบเชียบ
“………….”
“ไม่ตอบใช่ไหม? มานี่!”
พูดแค่นั้นมือหนาก็ออกแรงฉุดข้อมือบางให้เดินตาม แต่ร่างกายเล็กที่คิดว่าไม่มีเรี่ยวแรงกลับยื้อไว้ต่อต้านอย่างถึงที่สุด
“ปล่อยฉันนะ! ช่วยด้วยครับ ช่วย...อื้อ...อ”
ไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคอีกคนก็ส่งมือมาปิดเรียวปากไว้แน่น ไม่วายยังอุ้มใส่บ่าเหมือนว่าไม่รู้สึกหนักก่อนจะเดินไปที่รถคันเดิมที่อี้ชิงเคยเห็นในเมื่อวาน
“โอ้ย! มันเจ็บนะ”
มาถึงรถอีกคนที่อุ้มอี้ชิงอยู่ก็ทุ่มร่างเล็กลงที่เบาะข้างคนขับอย่างไม่ปราณี ถึงกลับกระอักน้ำตาเล็ดเมื่อความเจ็บมันแล่นปราดเข้าสะโพกไม่สามารถทนได้ ทั้งจุกทั้งโมโหแฝงไปด้วยความกลัวราวกับได้อยู่ในขุมนรกอีกครั้ง ทำอะไรไม่ได้ก็เอาแต่นั่งพิงแผ่นหลังไปกับเบาะนิ่งๆ เสมองออกนอกหน้าต่างรถท่าเดียวเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางต่อต้านอะไรอีกคนได้เลย
“ฉันจะถามนายอีกครั้งว่านายกำลังจะไปไหน?”
“…………..”
อี้ชิงยังคงนิ่งไม่ตอบอยู่เหมือนเดิม เบี่ยงตัวหันหลังให้คนขับรถก่อนจะเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะถามต่อคนตัวสูงจึงออกรถทันทีอย่างไม่รีรอ ตรงดิ่งยังสถานที่เดิมที่เมื่อคืนได้ทำร้ายอีกคนไว้อย่างไม่นึกจะเห็นใจ จอดรถเข้าที่จึงหย่อนกายลงเหยียบพื้นหยาบแล้วเดินไปเปิดประตูอีกฝั่งให้คนที่เอาแต่นั่งนิ่งมาตลอดทาง แต่นั่นภาพที่คริสเห็นคือคนหน้าหวานกำลังเข้าสู่นิทราหลับตาพริ้มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
“เฮือก!”
อี้ชิงที่เหมือนจะรู้ว่ารถหยุดเคลื่อนไหวจึงค่อยๆงัวเงียตื่นขึ้นอย่างไม่รู้เหตุการณ์ก่อนหน้า ถึงกับตกอกตกใจเมื่อแค่ลืมตาใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ยืนมองอยู่ทำให้นึกกลัวอีกระลอก ผละกายเล็กให้ออกห่างแต่สุดท้ายมือหนาก็ส่งมาควับหมับเข้าที่ข้อมือของอี้ชิงแล้วพาให้ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงต้องเดินตามเข้าบ้านไปอย่างไม่มีข้อแม้
“ถอดเสื้อ!” ถึงห้องนอนจึงเอ่ยสั่ง เสียงแข็งไร้ความเห็นใจทำเหมือนอี้ชิงไม่ใช่คน
“ห...ห๊ะ? ม...ไม่! นายจะทำอะไรฉันอีก” ใบหน้าหวานส่ายไปมาเป็นพัลวันพลางกอดกระเป๋าเป้ไว้แนบอกแน่น หลบสายตาคมของอีกคนทั้งยังเอาแต่ก้มหน้าแล้วหันเหไปทางอื่นอย่างหวาดระแวง
“ก็บอกให้ถอดไง! พูดดีๆไม่รู้เรื่องใช่ไหม?”
“นายอย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฮึก...ฉันขอโทษถ้าทำอะไรให้นายโกรธแค้น ฉันก็แค่อยากจะใช้ชีวิตได้ตามปกติ ฮึก...แบบคนทั่วๆไป”
นัยน์ตาคู่สวยเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำสีใสที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลัน อ้อนวอนอีกคนถึงแม้ไม่อยากทำเลยก็ตาม แต่เรื่องแบบนี้อี้ชิงไม่สามารถรับได้ แค่ครั้งเดียวก็เกินพอสำหรับหัวใจที่บอบช้ำของเขา ตอนนี้ทั้งร่างกายของอี้ชิงมันสกปรกเกินกว่าจะล้างให้มันสะอาดได้อีก
“ก็ฉันบอกให้ถอดไง...”
เสียงทุ้มที่เอ่ยสั่งเรียบนิ่งทำให้อี้ชิงไม่มีทางเลือก ค่อยๆวางกระเป๋าเป้ที่กอดอยู่แนบอกลงที่โซฟา ถอดเสื้อตัวบางที่ตัวเองสวมใส่ด้วยมืออันสั่นระริกให้ออกไปจากร่างกายทั้งน้ำตามากมายที่ไหลเป็นพยานกับความพ่ายแพ้
“…………”
“นั่งลง!”
เสียงเข้มเอ่ยสั่งอีกครั้งให้อี้ชิงต้องผวาสะดุ้งโหยงพลันรีบนั่งลงที่โซฟาทันทีตามใจไม่อยากขัด ร้องห่มร้องไห้จนใบหน้าหวานเต็มไปด้วยน้ำตาคล้ายจะขาดใจ จมูกรั้นแดงก่ำทั้งดวงตาคู่สวยก็ฉายแววหม่นแสงลงอย่างชัดเจน
เมื่อนั่งลงกับที่เรียบร้อยใบหน้าหล่อของอีกคนพลันส่งเข้าใกล้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว อี้ชิงผงะไปด้านหลังทั้งยังหลับตาปี๋เมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องพบเจออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภาวนาขอให้ทุกอย่างมันหยุดเวลาอยู่แค่นี้ อย่ามากไปกว่านี้อีกเลย
แต่นั่นสถานการณ์เหมือนดูจะแปลกไปเมื่อสัมผัสที่แผ่วเบาตรงผิวกายทำให้ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมองอีกครั้งทั้งความสงสัยที่ผุดขึ้นเต็มไปหมด
“น...นายจะทำอะไร?”
อี้ชิงเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกคนนำบางสิ่งบางอย่างมาทาที่รอยแผลตามร่างกายของเขาอย่างแผ่วเบา ถึงกับงงและทำอะไรไม่ถูกเพราะทุกอย่างที่คิดไว้มันผิดไปหมด
“ทายาให้ไงตาบอดหรอ?”
“เพื่ออะไร?”
“อย่าถามมากได้ไหม นั่งนิ่งๆ!”
สิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ยสั่งอี้ชิงจึงยอมนั่งตัวตรงดิ่งให้อีกคนทายาอย่างว่าง่าย เพราะแผลที่อยู่บนร่างมากมายมันเป็นเพราะไอ้คนหน้าหล่อตรงหน้านี่ไง แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมถึงต้องแกล้งทำดีกับเขาทั้งๆที่เพิ่งจะทำร้ายกันแท้ๆ
“...อย่าเสียเวลาเลยแผลแค่นี้ฉันไม่เจ็บหรอก มันยังน้อยไปถ้าเทียบกับหัวใจของฉันเพราะในตอนนี้...ฉันเกลียดนายไปแล้ว”
คนฟังถึงกับนิ่งค้างเมื่อได้ยินเสียงหวานที่ปล่อยคำพูดชวนรู้สึกผิดเข้ากระแทกใจเต็มๆ แต่นั่นก็ยังทำหูทวนลมไม่สนใจแล้วทายาที่รอยแผลตามร่างกายของคนหน้าหวานไปอย่างเงียบๆ นึกหงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่รู้จักรอบคอบ คนทั้งคนยังจับมาได้ผิดตัว ทั้งคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ดูไร้พิษสงทั้งยังไร้เดียงสาเสียด้วยซ้ำ
“นายกำลังจะไปไหนตอนที่ออกจากบ้าน?” อยู่ๆคนที่กำลังทำแผลให้ก็เอ่ยถาม
อี้ชิงต้องขมวดคิ้วมุ่นสงสัยพลางเหลือบม่านตามองอีกคน เห็นถามอยู่นั่นแหละเขาไม่ตอบก็ยังไม่เลิกลา
“เรื่องของฉัน ไม่ได้เกี่ยวกับนายหนิ”
“หึ! เดี๋ยวก็รู้ว่าเกี่ยวไหม?”
พูดแค่นั้นเรียวปากได้รูปก็ส่งเข้าไปกดจูบลุ่มลึกที่กลีบปากอิ่มอมชมพูสวยในทันที เชยคางมนให้เงยขึ้นก่อนจะกดเบาๆให้กลีบปากเผยอออกแล้วส่งลิ้นร้อนเข้าไปควานหาความหอมหวานโดยไม่ปล่อยให้พลาดเลยแม้แต่นิด แต่นั่นก็ไม่ง่ายเมื่อคนที่ถูกกระทำกำลังดิ้นพล่านต่อต้านจนต้องใช้กำลังขู่บังคับให้ยินยอม
...และนั่นไม่นานจึงแน่นิ่งเพราะสุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อรสจูบอันเร่าร้อนของคนที่ตัวสูงกว่า…
“ฮึก...เมื่อไหร่จะปล่อยฉันไปสักที ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรให้นายไม่พอใจ ฉัน...ผิดที่ตรงไหนช่วยบอกกันได้หรือเปล่า?”
อี้ชิงไม่รู้ว่าต้องทำยังไงชีวิตของเขาถึงจะหลุดพ้นจากคนใจร้ายคนนี้ ทำไมต้องทำเหมือนใจดีแล้วก็จบด้วยการทำให้หัวใจของเขาบอบช้ำเหมือนอย่างเคย เขาเป็นผู้ชายด้วยกันแล้วอีกคนไม่คิดว่ามันขยะแขยงบ้างเลยหรือยังไง
“เมื่อไรก็เมื่อนั้น บอกได้เลยนายหนีฉันไม่พ้นหรอก แล้วจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ตกลงจะตอบได้หรือยังว่านายกำลังจะไปไหน?”
“ฮึก... ไปทำรายงานบ้านเพื่อน!” อี้ชิงตอบอย่างไม่อีดออด ยอมแล้วขอแค่อีกคนอย่ายุ่งกับร่างกายเขาเป็นพอ
“หึ! ตอบตั้งแต่แรกก็จบจะได้ไม่ต้องโดนแบบเมื่อครู่ แล้วต่อจากนี้ไป...นายต้องมาหาฉันที่บ้านทุกเย็นหลังเลิกเรียน”
“ห๊ะ! ไม่!”
ตอบทันทีอย่างไม่ต้องคิดหลังสิ้นเสียงทุ้ม มองจ้องอีกคนเขม่นและขอไม่ยอมอีกต่อไป ก่อนจะรู้สึกเจ็บที่ปลายคางมนเมื่อคนที่เอ่ยออกคำสั่งส่งมือมาบีบแล้วขู่บังคับเหมือนอย่างทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจ
“ลองไม่มาดิ ฉันตามไปสร้างความสุขให้นายถึงที่บ้านแน่!”
เพียงแค่นั้นอี้ชิงก็หมดคำพูดที่จะเอื้อนเอ่ย ในตอนนี้ถ้าเทียบกับผู้หญิงอี้ชิงก็ผู้หญิงขายตัวดีๆนี่เอง แต่นั่นเขากลับไม่ได้อะไรตอบแทนเลยสักอย่าง เงินหรือ รถหรือก็ไม่ได้อย่างผู้หญิงพวกนั้น มีแต่ความเจ็บปวดที่ได้รับกลับมาแบบไม่ยั้ง ไม่มีทางเลือกทั้งยังต้องทำตามโดยห้ามขัดขืน
“………….”
“เข้าใจไหมว่าต้องมา?”
เสียงทุ้มที่เอ่ยย้ำทำให้ใบหน้าหวานต้องพยักขึ้นลงระรัวอย่างขัดไม่ได้ ทำได้แค่สะอื้นไห้เงียบๆแล้วก้มหน้ากอดเข่าตัวเองไม่พูดไม่จา
“แล้วฉันจะไปได้หรือยัง? ฮึก... เพื่อนรอทำรายงานอยู่”
“ยัง?”
“ฮึก...แล้วนายจะเอาอะไรจากฉันอีก...”
“ใส่เสื้อก่อนค่อยไป เดี๋ยวไปส่ง”
สิ้นเสียงทุ้มอี้ชิงก็ทำท่าว่าจะอ้าปากโต้ตอบอีกครั้ง หากแต่นั่นจำต้องกลืนคำพูดทุกคำลงคอในทันทียามไอ้คนใจร้ายเอาแต่จ้องนิ่งทำเอาร่างกายชาวาบไร้การต่อต้าน รีบเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่ถอดอยู่ข้างๆมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว หยิบกระเป๋าเป้สะพายใส่หลังด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะรีบเดินตามคนใจร้ายออกไปขึ้นรถตามคำสั่งอย่างสงบปากสงบคำ
รถคันหรูนี่นั่งสบายก็จริงหากแต่จิตใจของคนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถกลับทรมานอย่างถึงที่สุด ความเงียบเข้าปกคลุมตั้งแต่ล้อทรงกลมขับเคลื่อนออกจากตัวบ้าน ไม่มีบทสนทนาทำเอาความอึดอัดจุกขึ้นอยู่ที่อก ทำได้แค่นั่งนิ่งแล้วเบือนใบหน้าออกไปมองวิวนอกรถแทนการทนเห็นเสี้ยวหน้าหล่อคมของคนด้านข้าง แค่นี้ก็ทรมานมากแล้วที่คนอย่างอี้ชิงได้รับ
“จอดตรงนี้แหละ! ถึงแล้ว”
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยบอกพลางปลดเซฟตี้เบลพร้อมลงจากรถ เปิดประตูได้ก็รีบเพ่นหนีอย่างร้อนรน แต่มือหนาของอีกคนยังไม่วายรั้งให้หันกลับไปพูดคุย
“อย่าลืมว่าทุกวันหลังเลิกเรียนต้องมาหาฉัน วันนี้ยกให้หนึ่งวัน”
“รู้แล้ว!”
จิ๊ปากไม่สบอารมณ์อี้ชิงจึงสะบัดมือเล็กออกจากการกอบกุม ผลักประตูรถให้ปิดลงก็เดินย่ำเท้าเข้าไปในบ้านของเพื่อนสนิทอย่างไม่รีรอ ไม่หันกลับไปมองอีกคนให้รู้สึกแย่ แม้แต่ชายตามองอี้ชิงก็ไม่ทำ
“อี้ชิงมาแล้ว ทำไมมาช้าจังเลย?”
เสียงทุ้มของเพื่อนผิวเข้มเอ่ยถามทันทีเมื่อคนหน้าหวานผิดเวลาแปลกไปจากเดิม อี้ชิงไม่เคยเป็นแบบนี้และนั่นจงอินถึงกับนึกสงสัย อยากจะโทรไปถามแต่กลัวจะเป็นการรบกวน รอเพื่อนหน้าหวานอย่างใจจดใจจ่อเป็นชั่วโมงเจออีกคนอยู่ตรงหน้าพลันยิ้มกว้างจนตาหยี
“พอดีไปทำธุระนิดหน่อยน่ะ ขอโทษที่ผิดเวลานะจงอิน” ตอบกลับไปก็ยิ้มหวานอย่างที่ชอบทำเป็นนิสัย
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ใครมาส่งนายอ่ะ?”
“ห...ห๊ะ?”
คำถามที่อีกคนส่งมาให้ทำเอาอี้ชิงถึงกับอึกอักไปไม่ถูก คำถามที่ไม่ได้เตรียมคำตอบมาก่อนหน้า เห็นสายตาจับผิดที่เพื่อนผิวเข้มมองมาก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ร้อนรนทั้งยังนึกกลัวไม่ต่างๆนาๆว่าอีกคนจะรับรู้ว่าเขานั้นไม่ใช่อี้ชิงผู้ใสสะอาดคนเดิม
“อ...เอ่อ...คนรู้จักน่ะ พอดีฉันไปทำธุระแล้วเจอกัน เขาเลยใจดีอาสาแวะมาส่ง”
ไม่รู้ว่าคำตอบที่ให้ไปจะเพียงพอหรือเปล่า แต่อี้ชิงมีความสามารถแค่นี้จริงๆ เพราะเกิดมาโกหกใครเป็นหรือไม่เคยเลยสักครั้ง
“อ้อ อย่างนั้นเอง? ถ้างั้นเข้าบ้านกันเถอะ เซฮุนกับซิ่วหมินรออยู่แล้ว”
ใบหน้าหวานพยักหงึกหงักให้เป็นคำตอบ สาวเท้าเดินตามจงอินพลันต้องหันหน้าไปอีกทางพลางถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่เพื่อระบายความอัดอั้น อี้ชิงในตอนนี้เหมือนคนที่ทำผิดแล้วกำลังหลบหนีก็ไม่ปราน ทั้งๆที่ชีวิตนี้ความผิดคืออะไรอี้ชิงเองก็ไม่เคยรู้จักมันเลย
“สวัสดีเซฮุน ซิ่วหมิน”
“สวัสดีอี้ชิง”
เมื่อเอ่ยทักทายเพื่อนทั้งสองที่นั่งเล่นเกมส์รออยู่หน้าทีวี สองเสียงก็ประสานตอบกลับมาพร้อมกันทำเอาอี้ชิงหลุดยิ้มอย่างง่ายดาย ก่อนจะเข้าไปนั่งร่วมวงด้วยอีกคนแล้วรอเวลาอันสมควรเพื่อเริ่มลงมือทำงาน
“อี้ชิง ไม่คิดจะพาน้องชายมาให้รู้จักบ้างหรอ?”
เจ้าของบ้านอย่างจงอินที่ถือถาดน้ำเข้ามาบริการจึงเอ่ยถาม ได้ยินมาเหมือนกันว่าน้องชายอี้ชิงน่ะน่ารักเหมือนพี่ แต่เจ้าตัวก็หวงน้องเสียยิ่งกว่าอะไรดี
“ไม่ได้หรอก รอให้โตกว่านี้ก่อน”
“ลู่หานจะเข้ามหาลัยแล้วนะ ไม่โตแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
พูดเสร็จจงอินก็ทำหน้าเสียดายอย่างชัดเจน อยากเจอน้องชายเพื่อนรักจะแย่ ตั้งแต่รู้จักกับอี้ชิงมาสมัยมัธยมไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นหน้าค่าตาน้องชายที่คนหน้าหวานชอบคุยอวด
“ลู่หานยังไม่โตหรอก รอให้เข้ามหาลัยก่อนแล้วกันจะพามาให้รู้จัก”
สิ้นเสียงหวานจงอินเลยพยักหน้ารับรู้ส่งๆ เหนื่อยแล้วเหมือนกันที่จะง้อเพื่อนสนิท อี้ชิงเห็นแบบนี้แต่หัวแข็งใช่ย่อย บอกว่าไม่ก็คือไม่ คำไหนคำนั้นจงอินรู้ดีมาตลอด
การทำงานดำเนินไปเรื่อยๆจนดึกดื่น สี่สหายช่วยกันจัดพิมพ์ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการเข้าเล่ม รายงานที่คาดฝันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจ แต่นั่นประเด็นหลักก็ขอยืมสมองของอี้ชิงอีกนั่นแหละ ทุกคนแทบไม่ได้ทำอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ เรียกว่ารายงานเล่มนี้เป็นของอี้ชิงคงจะถูก เซฮุน ซิ่วหมินและจงอินก็แค่ตัวประกอบ แต่ทว่าสุดท้ายก็ได้ขึ้นชื่อว่างานกลุ่มล่ะนะ
“ฉันต้องกลับแล้ว ยังไงเจอกันพรุ่งนี้ที่มหาลัยนะทุกคน”
อี้ชิงโบกมือลาเพื่อนทั้งสามทั้งรอยยิ้มหวาน เขาขอกลับก่อนเพราะไม่อยากให้ลู่หานต้องอยู่คนเดียว แต่จะว่าไปเขาหรือลู่หานกันแน่ที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่ใช่รายนั้นหนีเที่ยวเหมือนอย่างทุกครั้งอีกนะ
“อี้ชิงเดี๋ยวฉันไปส่ง มันดึกแล้วกลับคนเดียวอันตราย”
“ไม่เป็นไรหรอกจงอิน ลำบากนายเปล่าๆ”
“ลำบากอะไรกัน นายมาทำรายงานถึงที่บ้านฉันนี่ไม่ลำบากกว่าหรอ?”
ไม่มีทางเลือกอี้ชิงถึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ ไม่อยากให้เพื่อนเสียน้ำใจแต่ยังไงก็เกรงใจจงอินอยู่ดี จงอินยังดื้อดึงเหมือนเมื่อก่อนไม่เลิก เขาไม่ยอมยังโน้มน้าวให้ยอมอยู่ตลอด คิดได้แค่นั้นพลันส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม แต่จะยิ้มมันได้นานสักแค่ไหนกัน คิดถึงพรุ่งนี้อี้ชิงก็ถึงกับเหนื่อยใจ ใบหน้าของคนใจร้ายที่ลอยวนเวียนอยู่ในสมองทำเอาจิตใจห่อเหี่ยวจนอยากจะฟื้นฟู อี้ชิงคนนี้จะเป็นยังไงต่อไปยังไม่รู้เลย
…ERROR…
“ไปทานข้าวที่ไหนดีล่ะวันนี้?” เซฮุนเอ่ยถามหลังจากจบวิชาเรียนในคาบเช้า เหลือวิชาเอกคาบบ่ายอีกตัวที่ต้องสู้กันจนยิบตา
สี่สหายนักศึกษาปีหนึ่งที่ใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยกันอยู่เดือนกว่า คณะบริหารที่ขึ้นชื่อว่ารวบรวมรูปหล่อพ่อรวยก็เห็นจะไปด้วยกันได้ เดินออกจากห้องเรียนพลันหมดเรี่ยวหมดแรง นี่แค่ปีหนึ่งยังไม่คิดถึงอีกสามปีข้างหน้า ไม่วายยังมีกิจกรรมรับน้องในตอนเย็นทำเอาหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็ตัวเหนื่อยดีๆนี่เอง
“ไปโรงสามเหอะ อยากกินต๊อกโบกีป้าเยซึง” ซิ่วหมินเสนอความเห็นของตัวเองอย่างออกนอกหน้า ที่ทำแบบนี้เพราะอยากกินเองเสียมากกว่า
“เอาดิ ฉันเบื่ออาหารโรงสองแล้วเหมือนกัน ไปกินทุกวันไม่ค่อยถูกปาก”
จงอินว่าพร้อมกับออกเดินนำหน้า ก่อนจะเป็นสามเกลอที่เดินตามหลังอยู่ติดๆเว้นระยะห่างไม่มากนัก
ที่มหาลัยมีโรงอาหารอยู่สามโรง แล้วแต่ใครถูกใจที่ไหนก็เลือกไปที่นั่นกันตามใจชอบ
อี้ชิงที่หอบหนังสือมากมายได้แต่เดินตามหลังอย่างทุลักทุเล ถึงเพื่อนทั้งสามจะแบ่งไปช่วยถือบ้างทว่าความเกรงใจของอี้ชิงเจ้าตัวถึงไม่อยากรบกวน เดินไปเรื่อยหนังสือเล่มบางพลันร่วงหล่นลงพื้นให้ก้มตัวลงเก็บ หยิบมันขึ้นวางในอ้อมแขนแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสามที่หยุดรอทั้งรอยยิ้ม
หากแต่นั่นถ้ามองดีๆคนที่กำลังเดินสวนมาทำเอาลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ ใบหน้าคมของคนที่ไม่อยากจะพบเจอกำลังเดินสวนมาทางนี้ ใจหล่นวูบทั้งร่างกายก็ราวกับว่าโดนสาป
นัยน์ตากลมเบิกโพลงเมื่อทำอะไรไม่ถูกเสมือนเวทมนตร์สะกดจิตให้เคว้งคว้าง ร่างกายแข็งทื่อทั้งในหูก็อื้ออึ้ง ก้มหน้าก้มตาหลบเลี่ยงอย่างถึงที่สุดไม่อยากพบเจอให้อีกคนได้รับรู้ว่าเขามีตัวตน
“อี้ชิงตามมาเร็วๆสิ”
เพื่อนบ้าที่เอ่ยเรียกไม่ถูกเวล่ำเวลาทำเอาคนหน้าหวานใจหายยากจะตามกลับ คนที่อี้ชิงกำลังหลบเลี่ยงพลันหันมามองทันทีเพราะชื่อที่คุ้นเคยทำให้ต้องเหลียวตามเหมือนใจสั่งได้
ใช่ว่าอี้ชิงจะตกใจแค่ฝ่ายเดียวหากแต่คนตัวสูงเลือนผมสีบลอนด์ที่มีใบหน้าตรึงใจสาวน้อยสาวใหญ่ในมหาลัยที่หันมาเจอก็ตกใจเช่นเดียวกันที่ได้พบคนหน้าหวานที่นี่อย่างไม่คาดคิด ก่อนใบหน้าหล่อที่อึ้งนิ่งในตอนแรกนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มจนอี้ชิงขนลุกเกรียวยามได้เห็น
“ไอ้คริส! มึงเป็นอะไรรีบเดินดิวะ อาจารย์ปาร์คยิ่งเฉ่งหัวพวกเราอยู่ไปช้าแม่งเดี๋ยวโดนด่าอีก”
ชายหนุ่มตัวสูงหน้าตาดีอีกคนเอ่ยเรียกสติคริสให้กลับคืน ก่อนจะผลักหัวคนเหม่อไปหนึ่งทีอย่างจังเพราะเวลาเร่งด่วนแบบนี้มันดันยืนอึ้งบ้าอึ้งบออะไรอยู่ก็ไม่รู้
“แล้วมึงผลักหัวกูทำไมชานยอล? ไอ้หูโต้ลม!”
ว่าเพื่อนกลับไปคริสก็พลันออกเดินสวนอี้ชิงทั้งรอยยิ้ม เฉียดไหล่บางของอีกคนได้ไม่ลืมจะเอ่ยเตือนย้ำความทรงจำให้คนตัวเล็กกว่าไม่ลืมสัญญา
“เย็นนี้เจอกันที่บ้านนะ”
อี้ชิงตัวชาไร้ความรู้สึกเมื่อเสียงทุ้มย้ำว่าเขาไม่ได้ตาฝาดและหูเพี้ยน ทุกอย่างเกิดขึ้นในรั้วมหาลัยที่เขาคิดว่าอยู่แล้วมีความสุขกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดฝันไว้เลยสักนิด
ขาเล็กรีบเดินเข้าหากลุ่มเพื่อนที่ยืนรอทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เกิดเรื่องบ้าอะไรคนใจร้ายถึงเรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน ใบหน้าหวานตอนนี้ซีดเผือดจนน่าตกใจ กลัว...อี้ชิงกำลังกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
“อี้ชิงเป็นอะไร? ทำไมหน้าตาดูไม่สู้ดีเลย” จงอินรีบเอ่ยถามพลางจับไหล่เล็กของเพื่อนไว้มั่น เห็นดูท่าไม่ดีก็อดจะนึกเป็นห่วงเสียไม่ได้
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกจงอิน คงเพราะก้มไปเก็บหนังสือเมื่อครู่เงยขึ้นมาอีกทีเลยหน้ามืดน่ะ”
“ถ้างั้นพวกเรารีบไปทานข้าวกันเถอะอี้ชิงจะได้มีแรง”
เซฮุนเอ่ยบอกก่อนทุกคนจะพยักหน้าตามเห็นด้วย เดินเข้าโรงอาหารไปก็หาที่นั่งสุมหัวเพื่อพักร่างกายก่อนขึ้นเรียนคาบต่อไป
ในขณะทานข้าวอี้ชิงไม่แม้แต่จะอ้าปากร่วมบทสนทนากับสามเกลอเลยสักนิด ยิ้มบ้างบางเวลายามเพื่อนรักหันหา เพราะในตอนนี้สมองของเขาดันมีแต่ภาพของคนที่เพิ่งพบเจอเมื่อครู่ลอยวนเวียนย้ำความกลัวให้ลุกฮืออยู่ตลอด
หลังจากเรียนช่วงบ่ายเสร็จก็ถึงเวลาของการรับน้อง วันนี้มีคัดเลือกดาวเดือนเพื่อเป็นตัวแทนแข่งขันให้มีหน้ามีตาแก่คณะ หนึ่งในนั้นคืออี้ชิงที่ตอนนี้กลายเป็นเดือนของคณะบริหารไปแล้ว ส่วนฝ่ายดาวก็กูฮาร่าที่สดใสเข้ากับตำแหน่งของเธอ
“ตอนนี้อี้ชิงและฮาร่าได้เป็นตัวแทนของคณะเราแล้วนะ อีกหนึ่งเดือนจะถึงการประกวดดาวเดือนมหาลัย พี่อยากให้น้องทั้งสองไปเตรียมการแสดงไว้เพื่อแข่งในครั้งนี้ พวกเราโอเคใช่ไหม?”
มินโฮเดือนคณะปีที่แล้วเอ่ยบอกเฟรชชี่หน้าใหม่ ถึงเขาจะพลาดเดือนมาหาลัยอย่างหวุดหวิดแต่นั่นก็ยังเข้าตาแมวมองจนจับไปเป็นนายแบบเสียโด่งดัง และนั่นเมื่อเห็นอี้ชิงและกูฮาร่าพยักหน้าเข้าใจมือหนาจึงส่งไปตบเข้าที่บ่าของรุ่นน้องทั้งสองอย่างฝากฝัง
อี้ชิงรับรู้หน้าที่ของตัวเองเสร็จจึงเอ่ยลากูฮาร่าแล้วเดินกลับเข้าไปยังกลุ่มสามเกลอที่นั่งรออยู่ หย่อนกายนั่งลงเสียก็ถอนหายใจจนทุกคนในกลุ่มหันเหมองมาเป็นตาเดียว
“เป็นอะไรอี้ชิง ไม่อยากประกวดหรอ?” จงอินเอ่ยถามยามเสียงถอนหายใจของเพื่อนรักทำเอาเป็นเดือดเป็นร้อนด้วยไม่น้อย
“เปล่าหรอก ฉันคงเรียนเหนื่อยไปเลยเพลียๆน่ะจงอิน”
“ถ้างั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะนี่ก็จะมืดค่ำแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนตัวสำคัญคงเหนื่อยกว่าวันนี้แน่ๆ” ซิ่วหมินเอ่ยชวนพลางดึงทุกคนให้ลุกขึ้นยืน เดินออกจากรั้วมหาลัยพร้อมกันถึงข้างหน้าจึงแยกย้ายคนละทิศคนละทาง
เมื่อเพื่อนทั้งสามกลับไปหมดแล้วอี้ชิงถึงกับถอนหายใจอีกครั้ง คนใจร้ายให้ไปหาทำอย่างไรได้เพราะไม่อาจขัดขืน รวบรวมความกล้าพร้อมจะโบกรถเมล์ตามความเคยชิน หากทว่ามันดูจะแปลกไปหรือเปล่า เคยไปบ้านอีกคนจริงแต่นั่นใช่ว่าจะจำทางได้นี่นา
อี้ชิงตัดสินใจกลับบ้านของตัวเองเพราะลืมเส้นทางไปบ้านคนใจร้ายเสียสนิท แม้แต่ชื่อเขาเองยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ เห็นที่รับรู้ได้ไม่เคยลืมเลือนคงจะมีเพียงความเจ็บปวดที่ได้รับให้จำฝังใจ
เดินเข้าซอยก็คิดไปแล้วว่าอีกคนคงต้องโมโหมากแน่ๆที่ผิดคำพูด ทว่าไม่มีทางเลือกสักทางเพราะจุดหมายเดียวที่อี้ชิงนึกขึ้นได้ในตอนนี้นั่นก็คือบ้านของเขานั่นเอง
“บอกให้ไปหา วันแรกก็คิดจะเบี้ยวแล้วหรือไง?”
ว่าแล้วเชียว ไม่ทันขาดคำคนใจร้ายพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า เครื่องแบบนักศึกษาฟอร์มเดียวกันย้ำว่าอี้ชิงไม่ได้จำคนผิดอย่างแน่นอน อีกครั้งกับความกลัวที่โหมขึ้นโดยไม่ต้องตั้งเคล้า ร่างกายสั่นเทาพลันรีบก้มหน้างุดรอรับชะตากรรมที่จะพบเจอ
“ค...คือ คือว่า....”
“คือว่าอะไร?”
แขนยาวสองข้างสอดประสานกันขึ้นแนบอก มองใบหน้าหวานของคนที่กลัวจนตัวสั่นก็ถึงกับนึกขำ กลัวมากแต่เพราะอะไรทำไมชอบทำให้เขาอารมณ์เสียอยู่เรื่อย
“ฉ...ฉันจำทางไม่ได้อ่ะ”
ตอบเสียงแผ่วเบาก็ค่อยๆแหงนหน้ามองคนตัวสูงกว่า อี้ชิงจะล้มทั้งยืนอยู่แล้วเมื่ออีกคนยังเอาแต่จ้องเขม่นไม่ลดละ
“แน่ใจว่าไม่ได้โกหก?”
“แล้วทำไมฉันต้องโกหก ไม่ไปก็ดุก็ว่าฉันรู้อยู่แก่ใจ จำทางไม่ได้จริงๆไม่ได้จะแก้ตัว”
“อืม ให้อภัยก็ได้ แต่พรุ่งนี้ตอนเย็นต้องกลับพร้อมฉันนะ ห้ามหนี ห้ามขาด ห้ามลา ไม่งั้น...”
“รู้แล้ว!”
อี้ชิงรีบพูดขึ้นก่อนอีกคนจะเอ่ยจบประโยค รู้ดีว่าจะโดนอะไรบ้างถึงได้รู้ทันจนต้องเบ้ปากทำหน้าไม่พอใจ
“อยากเข้าบ้านนาย...ได้หรือเปล่า?” ใบหน้าหล่อหันมองตัวบ้านจากนอกรั้ว ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าหวานของคนตัวเล็กกว่าที่ยืนคิ้วขมวดชั่งใจด้วยความรู้สึกไม่ดี
“……………”
“ได้หรือเปล่า?” ถามย้ำคำเดิมพลางจดจ้องใบหน้าหวานอย่างรอคอยคำตอบ
“เอ่อ...”
“ว่าไง?”
“ด...ได้ๆ”
เห็นอีกคนมองมาแบบนั้นอี้ชิงมีทางเลือกด้วยหรือ เอ่ยอนุญาตถึงแม้ไม่เต็มใจแต่ยังไงคงต้องยินยอม
เดินนำคนตัวสูงเข้าบ้านอี้ชิงก็ยังไม่หายหวาดระแวงเลยแม้แต่วินาที ถึงตอนนี้อีกคนจะยังไม่ทำอะไร เนื้อตัวไม่แตะต้องแต่ทว่าเสือไม่สิ้นลายยังไงเลยเสียไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น
“นั่งรอตรงนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันเอาน้ำมาให้” อี้ชิงเอ่ยบอกพลางทำท่าจะเดินเข้าในครัว แต่มือหนากลับรั้งไว้ให้หันสบมองอีกครั้ง
อี้ชิงสะบัดมือออกทันทีตามสัญชาตญาน ผละกายหนีเล็กน้อยทั้งยังตัวสั่นริกชัดเจนมากกว่าเดิม สัมผัสจากอีกคนอี้ชิงไม่ชอบ ถึงแม้จะได้รับการเยี่ยวยาเมื่อวานแล้วก็ตามที คนใจร้ายที่พยายามทำดีทายาให้เขายังไงอี้ชิงยังไม่คิดจะใจอ่อน
“กลัวขนาดนั้นเลยหรือไง? ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แค่จะบอกว่าไม่ต้องไปเอาหรอกน้ำน่ะ อยากขึ้นห้องนายพาไปหน่อยสิ”
“ห๊ะ? ขึ้นไปให้นายทำอะไรบ้าๆกับฉันหรือยังไงล่ะ ไม่เอาไม่ขึ้น!”
“คิดว่าฉันพิศวาสนายมากสินะ จะพาขึ้นไปดีๆหรือต้องให้....”
ไม่ทันจะเอ่ยจบประโยคคนตัวเล็กกว่าพลันเดินกระแทกเท้าตึงตังเดินนำขึ้นชั้นสองของบ้านอย่างไม่มีข้อแม้ เล่นเอาคริสแทบจะหลุดขำออกมาเสียต่อหน้า แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าก่อนหน้าที่ได้เห็นร่างเล็กสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวคริสเองก็ปวดหนึบที่หัวใจไม่แพ้กัน
เดินขึ้นมาในห้องของอี้ชิงม่านตาคมจึงกวาดมองสำรวจให้ทั่ว ห้องใหญ่กว้างขวางทั้งยังสะอาดสะอ้านเหมือนเนื้อผิวเจ้าตัวไม่มีผิด แต่แล้วคริสกลับแตะต้องมันจนเป็นรอย สร้างตำหนิให้อีกคนโดยไม่ได้ตั้งใจ
“นายอยู่กับใคร?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามเจ้าของห้องที่นั่งกุมมือเกร็งตัวแล้วก้มหน้าอยู่ที่ปลายเตียง เพียงแค่เขาเอ่ยถามรายนั้นก็สะดุ้งเฮือกผวาอยู่ทุกครั้ง
“ถามทำไม?”
“ก็ถ้าไม่มีคนอยู่ด้วยฉันจะมาอยู่เป็นเพื่อน”
คริสรู้อยู่แล้วว่าอี้ชิงไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ถ้าไม่ใช้ไม้นี้อีกคนจะปริปากพูดหรือยังไงกัน ดื้อดึงทั้งยังอวดดีไม่รู้จักเข็ดก็ให้มันรู้กันไป
“อ...อยู่กับน้อยชาย!”
“แล้วไหนน้องชายไม่อยู่บ้านหรอ?” เอ่ยถามอีกครั้งอย่างคาดหวัง คริสอยากรู้เหมือนกันว่าลู่หานจะมีใบหน้าค่าตาเป็นแบบไหน เหมือนอี้ชิงอย่างในรูปหรือเปล่า
“รายนั้นยังไม่กลับมาหรอก ต้องเที่ยวก่อนถึงจะกลับเข้าบ้านได้”
“ถ้าน้องชายนายไม่อยู่ ฉันนอนเล่นที่บ้านนายก่อนได้ใช่ไหม?”
“อะไรนะ? ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวลู่หานกลับมาเห็น”
ตอนแรกที่ว่าเอาแต่ก้มหน้ากลับเงยขึ้นฉับพลันด้วยอาการตื่นตระหนก ให้อีกคนอยู่ในห้องมีหวังอี้ชิงไม่เป็นสุขแน่ๆ แล้วลู่หานคงจะไม่ชอบใจถ้าให้ใครล้ำเส้นถึงความเป็นส่วนตัวในบ้านหลังนี้
“ลู่หานคือใคร?”
คริสแสร้งถามแล้วหย่อนกายนั่งลงข้างคนตัวเล็กที่ปลายเตียง เห็นอีกคนทำท่าจะขยับกายหนีเลยถือโอกาสรวบเอวเล็กเข้าไว้แนบอกเสียให้หนีไปไหนไม่รอด
“ล...ลู่หาน ก็น้องชายฉันไง ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ดิ้นพล่านทั้งพยายามเบี่ยงตัวหลบ ไม่วายคนใจร้ายยังโอบกอดจนแน่นทำเอาตอนนี้ใบหน้าหวานแนบชิดแผ่นอกกว้างจนไปไหนไม่ได้ รับรู้ได้ถึงเสียงก้อนเนื้อในอกซ้ายของอีกคนพลันต้องชะงักงันนึกแปลกใจ อย่าบอกนะว่าคนใจร้ายกำลังโกรธน่ะ หัวใจเต้นแรงไปหรือเปล่า คิดได้เลยจำต้องนิ่งเงียบอยู่เฉยๆให้อีกคนกอดอย่างไม่มีข้อแม้ อี้ชิงกลัวความโหดร้ายจากคนตัวสูงหน้าหล่อจนขึ้นสมองยากจะกู่ให้กลับ
“นายรู้ไหมฉันชื่ออะไร?”
อยู่ๆคนที่กอดเขานิ่งโพล่งเอ่ยถาม อี้ชิงได้แต่ส่ายหน้าไปมาในอ้อมอ้อดอยู่อย่างนั้นไร้เสียงเปล่งวาจา ทำไมถึงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากอีกคนอี้ชิงไม่อยากจะเชื่อ นึกหงุดงิดตัวเองเสียที่โดนทำให้เจ็บจนแทบขาดใจหากทว่ายังมีหน้าคิดให้คนใจร้ายกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้อีก
“……………”
“คริส...คือชื่อของฉันนายควรจะจำไว้”
เอ่ยบอกแค่นั้นแล้วออกแรงล้มร่างกายเล็กในอ้อมกอดให้ราบไปกับเตียงนุ่ม โถมตัวเข้าหาพลันจ้องลึกสบสายตาแล้วลูบหัวทุยไปมาอย่างอ่อนโยน
อี้ชิงพยายามต่อต้านในตอนแรกแต่เมื่อเห็นสายตาคมของคนตรงหน้าที่จดจ้องส่งลงมาก็ทำได้แค่นอนนิ่งตัวสั่นอยู่กับที่ กะพริบตาปริบหยาดน้ำสีใสพลันเอ่อไหลกลิ้งลงจากหางตาโดยอัตโนมัติ คิดไว้แล้วเชียวว่ายังไงมันต้องจบไม่สวย ร่างกายของเขาก็ต้องแปดเปื้อนเป็นรอบสองถึงจะหวังให้มันจบแค่ครั้งแรกก็ตามที ครั้งเดียวว่าเกินทน ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีกร่างกายของเขาจะสลายไปให้หายจากโลกใบนี้ ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกันโลกที่แสนโหดร้าย อยากหนีไปให้ไกลเกินกว่าใครจะหาเจอ อี้ชิงจะไม่กลับมาอีก
แต่นั่นทุกอย่างกลับไม่ใช่อย่างที่คิด ความอบอุ่นทำให้อี้ชิงเริ่มผ่อนคลาย ร่างกายที่สั่นเทาในตอนแรงคลายลงในทันตาเพียงแค่อ้อมกอดอ่อนโยนที่อีกคนมอบให้ ทั้งคำพูดที่ชวนวูบไหวภายในหัวใจกลับทำให้รู้สึกแปลกจนน่าประหลาด
“ขอโทษนะ”
คริสเอ่ยกระซิบข้างใบหูของคนใต้ร่าง โอบกอดไว้แน่นถ่ายเททุกความรู้สึกที่มีให้แปรเปลี่ยนเป็นการถนุถนอม
อี้ชิงอยากจะต่อต้านกับอ้อมกอดจอมปลอมนี้เหลือเกิน แต่ทำไมร่างกายมันถึงไม่สั่งการทั้งยังคล้อยตามจนนึกสมเพชตัวเอง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆมองฝ้าเพดานห้องเหมือนคนไร้วิญญาณอยู่ในกาย เขาควรจะต่อต้านสิไม่ใช่ใจง่ายให้อีกคนโอบกอดอยู่เหมือนคนไร้ค่า ควรจะผลักไสไล่ส่ง บอกกับตัวเองแท้ๆว่าจะไม่มีวันให้อภัยแล้วทำไมตอนนี้ร่างกายถึงได้อ่อนยวบเพียงเพราะความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากใครมันช่างโง่เคลาสิ้นดี
พลั่ก!
“อี้ชิง...เอ่อ...”
คนที่เข้ามาไม่ได้เคาะประตูถึงกับชะงักอึ้งเพราะพี่ชายหน้าหวานกำลังถูกผู้ชายที่ไหนโอบกอดก็ไม่รู้ ทำเอาคนทั้งสองที่อยู่บนเตียงต้องรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งลุกลี้ลุกลน ก่อนอี้ชิงจะพรวดพราดก้มหน้าเช็ดน้ำตาให้เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว
“กลับมาแล้วหรอลู่หาน? ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง” เอ่ยถามก็พยายามปรับเนื้อเสียงให้เป็นปกติที่สุด ยิ้มบางๆให้น้องชายตัวดีทว่าคนหน้าประตูกลับไหวไหล่ให้เป็นคำตอบเชิงไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะนายกับแฟนนะ แต่หิวแล้วทำอะไรให้ทานหน่อย”
เยี่ยม! ลู่หานโผล่ใบหน้าน่ารักมาแค่นั้นก็หลุบหายไปแล้วปิดประตูลงเหมือนเดิม
คริสที่มองดูอยู่ก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด นิสัยของลู่หานกับอี้ชิงช่างแตกต่างกัน ทว่าดูไปลู่หานใช่ว่าจะเลวร้ายเสียเท่าไหร่ทำไมแบคฮยอนถึงไม่ชอบใจมากจนนึกแค้น ก่อนจะเหลือบมองคนที่นั่งก้มหน้านิ่งแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยื่นมือให้คนตัวเล็กตรงหน้าได้จับมัน แต่นั่นใบหน้าหวานกลับส่ายปฏิเสธแล้วลุกขึ้นเองโดยไม่สนใจไยดีมือหนาที่ยื่นให้ตรงหน้าอย่างหวังดี
อี้ชิงและคริสเดินลงมายังชั้นล่างของบ้านก็เห็นลู่หานนั่งเล่นโทรศัพท์นั่งรอที่โต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว เห็นดังนั้นคริสคงต้องขอตัวกลับ ให้พี่น้องเขาอยู่ด้วยกันคงจะดีกว่าเขาที่เป็นคนแปลกหน้าจะเข้าไปวุ่นวาย
“พี่ก็อยู่ทานข้าวด้วยกันสิครับ”
คริสกำลังจะอ้าปากบอกลาทว่าลู่หานกลับเรียกรั้งไว้จนต้องกลืนคำพูดลงคอ ใบหน้าหล่อได้แต่พยักตอบรับแล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามคนที่เอ่ยชวนอย่างเงียบๆ อี้ชิงเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เดินเข้าครัวไปทำหน้าที่ของตัวเองไม่อีดออด เบื่อจะโวยวายจึงเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดจา
“อี้ชิง คณะนายสอบเข้าต้องใช้คะแนนเท่าไหร่อ่ะ?” ลู่หานเอ่ยถามเสร็จก็นั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อีกครั้งรอการตอบกลับจากพี่ชายเพียงแค่เอี้ยวหูฟัง
“คณะบริหาร? ฉันจำไม่ได้แล้วอ่ะเดี๋ยวยังไงจะดูให้อีกทีนะ ว่าแต่วันนี้กลับเร็วการบ้านเยอะหรอ?”
“เปล่า! แค่เบื่อๆ”
“แค่เบื่อเองเรอะ? ตังหมดก็ว่ามาเถอะ”
สิ้นเสียงพี่ชายลู่หานก็เบะปากแล้วนั่งกดหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้ายิกๆโดยไม่รู้เลยว่ายังมีสายตาคมของใครอีกคนจับจ้องการกระทำอยู่ตลอด
ลู่หานก็แค่เด็กเอาแต่ใจดูท่าว่าไม่มีพิษไม่มีภัยเห็นจะใช่...
คริสพยายามรวบรวมความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลับไม่เห็นว่าเด็กคนนี้จะทำให้แบคฮยอนโกรธเคืองอะไรได้เลย ถึงจะดูแรงก็เถอะแต่จากประสบการณ์แล้วลู่หานก็แรงเฉพาะภายนอกเท่านั้น เด็กคนนี้หรือที่เขาต้องจัดการ
“พี่จ้องผมนานแล้วนะเดี๋ยวอี้ชิงก็หึงเอาหรอก พี่หล่อจริงผมไม่เถียงแต่ใช่ว่าจะได้ใจผมนะ”
คริสเหลือบมองอี้ชิงที่พอได้ยินน้องชายโพล่งพูดก็ต้องหันกลับมาจ้องเขม่นคาดโทษ เด็กนี่มันติงต๊องชัดๆ เห็นแล้วก็ตลกดี
“อี้ชิงไม่หึงหรอก” คริสตอบกลับไปพลางเผยยิ้มบางๆแถมไปด้วย
“พี่ชอบผมหรอ? อันนี้ต้องขออี้ชิงก่อนนะ...ว่าไงอี้ชิงพี่คนนี้ให้ฉันได้หรือเปล่า?”
ประโยคแรกเอ่ยพูดกับคริสหากทว่าท้ายประโยคพลันหันกลับไปเอ่ยถามกับพี่ชายหน้าหวาน ก่อกวนเสียอี้ชิงอยู่แทบไม่เป็นสุข
“ลู่หาน! พูดอะไรไม่เข้าท่า พูดแบบนั้นได้ยังไงเล่า”
“หึงก็บอก งุ้ย! พี่เขาหล่อจริงแต่ไม่ใช่สเป็คฉันหรอก!”
“ไม่ได้หึงสักหน่อยอย่ามั่ว! ยังไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ”
เสียงหวานท้ายประโยคเอ่ยเสียผะแผ่วแล้วหันกับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อทันที ลู่หานคงยังไม่รู้ว่าธาตุแท้ของชายตรงหน้าว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น
“โกหก! อย่ามาบอกเลยว่าไม่ใช่แฟน กอดกันตัวกลมอยู่บนเตียงชัดเจนจะตาย”
“ลู่หาน!”
สองพี่น้องที่กำลังมีปากเสียงตอบโต้สู้กันจนยิบตาทำเอาคริสต้องลอบยิ้มหลุดหัวเราะแต่แล้วก็ต้องรีบเก็บอาการในทันที ถึงจะเป็นแบบนี้ดูท่าว่าพี่น้องเขาจะรักกันกว่าที่คิด อี้ชิงดูหวงลู่หานอย่างชัดเจน ลู่หานเองถึงไม่ได้แสดงออกแต่สายตาที่ทอดมองยังพี่ชายดูเป็นห่วงเป็นใยใช่ต่างกัน
“คุยกันมาซะยืดยาว ว่าแต่พี่ชื่ออะไรหรอครับ?” ลู่หานเอ่ยถามคนตรงหน้าที่นั่งนิ่งอยู่นาน ยังไม่รู้ชื่อเสียด้วยซ้ำก็เอ่ยแซวกวนบาทาไปแล้วหลายยก
“ชื่อคริสครับ”
“เรียนที่เดียวกันกับอี้ชิงหรอ?”
“อืม เรียนที่เดียวกัน”
“แล้วคณะอะไรปีไหน?”
“วิศวะโยธาปีสอง”
คนที่นั่งคุยกันจนออกรสบนโต๊ะอาหารทำให้อี้ชิงต้องลอบมอง ยู่หน้าเล็กน้อยที่เห็นลู่หานทำตัวสนิทสนมกับอีกคนเสียขนาดนั้น นี่เพิ่งจะเจอกันวันแรกนะ แบบนี้ไงถึงไม่อยากพาไปรู้จักใคร เจ้าตัวเป็นคนน่ารักถึงบางครั้งจะร้ายกาจไปหน่อยก็เถอะ ใครเห็นใครก็เอ็นดูอี้ชิงหวงน้อง
คนหน้าหวานยกจานสปาเก็ตตี้ไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร ไม่ลืมเผื่ออีกคนที่มาโดยไม่นัดหมายด้วยอีกจาน หย่อนกายนั่งลงข้างน้องชายตัวดีก็รวบช้อนบนโต๊ะขึ้นตักเจ้าเส้นสีเหลืองเข้าปากอย่างไม่รีรอ ทว่ากลับรู้สึกแปลกจากสายตาคมที่จ้องมองมาจากฝั่งตรงข้ามทำเอากลืนไม่ลงคอกันเลยทีเดียว
“พี่คริส วิศวะเรียนยากหรือเปล่า เรียนหนักมากไหมผมอยากรู้?”
ไม่เงียบนานลู่หานก็เอ่ยถามอีกครั้ง ไม่รู้จะอยากรู้อยากเห็นอะไรกันนักหนา ไม่วายยังพูดจาดีกว่าตอนที่พูดกับอี้ชิงที่เป็นพี่ชายเสียอีกช่างน่าน้อยใจ
“อืม จริงๆจะว่ายากก็ยาก งานเยอะจนบางทีไม่มีเวลาเที่ยวเลยล่ะ”
“แล้วทำไมพี่ถึงเลือกเรียนอ่ะ โดนบังคับหรอ?”
“ไม่หรอกพี่เลือกเรียนเอง ชอบเรื่องคำนวนเลยลองสอบดู”
ใบหน้าน่ารักพยักขึ้นลงอย่างเข้าใจ ก่อนจะเริ่มตักอาหารเข้าปากอีกครั้งแล้วเคี้ยวตุ้ยๆพลางนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ด้านคนถูกถามพอลู่หานเงียบเลยเอาแต่ลอบมองคนหน้าหวานที่นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นว่าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเลยส่งเท้าเข้าสะกิดที่หน้าแข้งให้เงยขึ้นสบมอง และอีกคนก็เงยหน้าขึ้นมองกันจริงๆ ไม่วายยังส่งสายตาไม่พอใจแต่นั่นไม่นานก็หลุบลงเสมองหนีไปอีกทางเหมือนเดิม
“อิ่มแล้วฉันไปเล่นเกมส์บนห้องก่อนนะอี้ชิง ไปแล้วนะครับพี่คริส”
บทจะไปก็ไปแบบไม่มีเยื่อใยเลยนะลู่หาน เห็นดังนั้นอี้ชิงจึงรีบยื้อน้องชายไว้สุดชีวิต อย่าไปจากเขาตอนนี้ได้ไหมล่ะ ให้อยู่กับคริสสองต่อสองได้ยังไงไอ้น้องบ้า
“ลู่หานกลับมาก่อน...”
ไปแล้วไปลับวิ่งขึ้นชั้นบนของบ้านไปโดยไม่เห็นแม้แต่เงา อี้ชิงอ้าปากค้างถึงกับอึดอัดเมื่อน้องชายตัวดีทิ้งเขาไว้โดยไม่คิดจะสนใจ หันกลับมาที่เดิมก็เห็นว่าคนตัวสูงเอาแต่ยกยิ้มมุมปากถึงอยากจะต่อว่าแต่ต้องสงบปากเก็บคำด่าทอไว้ในใจ
“น้องนายน่ารักดี”
“อย่ายุ่งกับลู่หานเด็ดขาด!” อี้ชิงเอ่ยขู่เสียงแข็ง กำช้อนที่ถืออยู่เสียแน่นก่อนจะเสมองไปทางอื่นแล้วขบกัดริมฝีปากล่างระงับอารมณ์โทสะที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมา
“ทำไมอ่ะ ฉันหล่อไม่พอหรือไง?”
“บอกว่าห้ามยุ่งก็คือห้าม! ฉันไม่อยากให้น้องชายต้องสกปรกเหมือนฉัน”
พูดแค่นั้นก็กระแทกช้อนลงกับจานจนเกิดเสียง ลุกพรวดพราดขึ้นยืนแล้วเดินหนีทำเอาคริสต้องรู้สึกผิดอีกครั้ง
ขายาวก้าวฉับตามร่างเล็กจนประชิดตัว ยื้อข้อมือให้หยุดเดินแล้วออกแรงดึงกายบางให้เข้าหาสู่อ้อมกอด กระชับให้แน่นถึงแม้อีกคนจะดิ้นขลุกขลักต่อต้านแค่ไหนก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ คริสอยากรู้เหมือนกันว่าที่ไม่อยากให้น้องชายสกปรกน่ะ ได้ถามหรือยังว่ารายนั้นแปดเปื้อนมาก่อนหรือเปล่า
“ปล่อยฉันเถอะ แค่นี้ฉันก็เจ็บมากพอแล้ว นายอย่ามาทำดีทั้งๆที่ทำร้ายฉันอย่างเลือดเย็นอีกเลย ฮึก...มันทำให้ฉันเกลียด!”
สิ้นเสียงหวานกายสูงก็ถึงกับชาไปทั่วทั้งร่าง คริสรู้ดีว่าอีกคนต้องคิดแบบนี้ เขาทำร้ายอี้ชิงอย่างไม่ปราณี ถึงแม้จะเกิดจากความผิดพลาดแต่อย่างไรแล้วอี้ชิงก็ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนผ้าขาวสะอาดอีกต่อไป
“รู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา นายกำลังทำให้ฉันโกรธ แล้วรู้ใช่ไหมว่า..."
"แล้วรู้ไหมว่าถ้าฉันของขึ้นนายจะเป็นยังไง แบบนี้ใช่ไหม?" อี้ชิงช่วยต่อท้ายประโยคให้อย่างรู้ทัน ยืนสะอื้นไห้ไหล่สั่นไหวด้วยความเจ็บปวด
มือหนาบีบไหล่เล็กทั้งสองข้างปรานจะบดขยี้ จ้องเขม่นตาแข็ง เห็นร่างบางสั่นเทานึกกลัวแต่ยังกล้าปากดีโทสะพลันปะทุคุกรุ่น คิดจะขัดใจคนอย่างคริสหรือไงกล้ามากไปหรือเปล่า
“ป...ปล่อยนะ! ฉันเจ็บ”
ร้องเสียงหลงยามมือหนาบีบแรงขึ้นจนกระดูกคล้ายจะแตกหัก น้ำตาพลันรินไหลโดยไม่ต้องสั่งถึงจะอดกลั้นแล้วก็ตาม
“ทีหลังอย่าคิดจะอวดดีกับฉันอีก! นายไม่มีทางเลือก ถ้าไม่อยากนอนโทรมอยู่บนเตียงแล้วล่ะก็ ห้ามขัดขืน...”
กระซิบข้างใบหูสวยเรียวลิ้นพลันแตะสัมผัสจนคนที่กลัวเป็นทุนเดิมต้องรีบหดคอหนีเพราะความรังเกียจ ก่อนจะผลักร่างเล็กให้ออกไปห่างแล้วเอ่ยสั่งประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
“พรุ่งนี้อย่าผิดนัด ตอนเย็นเจอกันตึกวิศวะ! ถ้ารู้ว่านายคิดจะหนี ฉันก็จะตามหานายจนเจอ แล้วคงไม่ต้องให้ย้ำเป็นครั้งที่สองว่าร่างกายของนายมันจะแหลกละเอียดแค่ไหน...”
หลังจากคนใจร้ายเดินออกจากบ้านไปแข้งขาพลันไร้เรี่ยวแรงจนยากจะหยัดยืน นัยน์ตาคู่สวยแดงก่ำช้ำสีเลือดอย่างน่าสงสาร อี้ชิงทรุดตัวลงนั่งที่พื้นเย็นเฉียบด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว ก้มใบหน้าร้องไห้โฮตัวโยนทั้งสั่นระริก คริสมีหัวใจหรือเปล่า คำพูดเพียงนิดก็ถึงกับฉุนเฉียว เอ่ยขู่เหมือนคนไร้ความรู้สึกทั้งไร้หัวใจใช่คนทั่วไปเขาเป็นกัน เกิดมาอี้ชิงเพิ่งเคยพบเคยเห็น ทำอะไรผิดใยยังไม่รู้ตัว อารมณ์ขึ้นลงแบบนี้ใครมันจะตามทัน อี้ชิงทำเวรทำกรรมอะไรมาถึงได้พบเจอเรื่องเลวร้ายมากมายกว่าคนอื่น...
…ERROR…
***เปลี่ยนพล็อตตรงบทพูดไปเยอะ กว่าโดนแบนอีก =__=
บรรยายเยอะเกิน แต่อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ ^^
อัพสองรอบเน็ทกากมากเพลียจริงๆ TT
ความคิดเห็น