คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ll ADOLESCENT 11 ll
ADOLESCENT 11
เพียงแค่กลับถึงบ้านเลย์ก็เดินขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองทันที ปิดประตูลงกลอนทั้งยังไม่คิดจะพูดคุยกับใครอีกเลย หัวใจที่มันเจ็บปวดทำให้เขานึกสมเพชตัวเอง นึกโทษตัวเองที่ยอมโง่ให้คนที่เขามอบหัวใจไปให้ทั้งดวงหลอกเขาได้อย่างง่ายดาย คิดอยู่แล้วว่าอีกคนคงไม่จริงใจ แต่เพราะรักไม่ใช่หรือยังไงถึงยอมเชื่อใจและไว้ใจอีกคนโดยไม่มีข้อแม้
“คุณหนูคะ ออกมาทานข้าวหน่อยเถอะนะคะ” เสียงแม่บ้านที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของเลย์เอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง เห็นคุณหนูของบ้านร้อนรุ่มใจเธอเองก็เป็นเดือดเป็นร้อนทั้งยังกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
“วันนี้ผมไม่หิวครับป้า เก็บโต๊ะได้เลย”
“ปกติคุณหนูไม่ทานข้าวตอนกลางวันไม่ใช่หรอคะ? ควรจะทานมื้อเย็นบ้างก็ดีนะ เดี๋ยวก็เป็นลมกันพอดี”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทานมาบ้างแล้ว” เสียงหวานตะโกนโกหกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนไปเพื่อให้อีกคนสบายใจ เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้นเดินด้วยซ้ำ เข้าใจแล้วว่าความรักมันมีอิทธิพลถึงเพียงนี้ก็เมื่อมาเจอเองกับตัว
“ตามใจคุณหนูนะคะ ถ้าต้องการอะไรบอกป้าได้ทุกเมื่อเลยนะ”
“ครับป้า”
พูดแค่นั้นก็ฟุบใบหน้าหวานลงกับหมอนนุ่มด้วยความเหนื่อยอ่อน ภาพเหตุการณ์ในตอนเย็นมันยังฝังใจและวนเวียนภายในห้วงความคิดอยู่ตลอดเวลา ภาพที่ทำให้เขาเจ็บ เจ็บแทบขาดใจเมื่อใครอีกคนที่เขารักทำความเชื่อใจของเขาให้พังทลาย แล้วแบบนี้จะยังไว้ใจได้อีกไหม ถ้าทำแบบนั้นเขาจะเจ็บอีกสักกี่ครั้งกัน
ติ๊ด ติ๊ด ~
เสียงเตือนของข้อความทำให้เลย์ต้องหันไปมอง เพียงแค่จะเงยหน้าขึ้นก็ไม่อยากแล้ว อยากพักผ่อนให้ลืมเรื่องราวที่ติดตา แต่นั่นเพียงแค่เหลือบม่านตาเห็นเบอร์และชื่อที่โชว์หราอยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยมร่างทั้งร่างก็ต้องรีบเด้งขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ
“อู๋ฟาน?”
มือบางรีบกดเปิดข้อความดูในทันทีด้วยความร้อนรน ทั้งที่ยังเสียใจและเป็นคนขอแยกทางจากอีกคนแล้วทำไมคริสถึงยังส่งข้อความมาหากันอีก ทำแบบนี้แล้วเขาจะใจแข็งได้อีกนานแค่ไหน
[ลงมาคุยกันหน่อย ฉันอยู่หน้าบ้านนาย]
เลย์รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังหน้าต่างของห้องนอนที่สามารถมองเห็นประตูหน้าบ้านได้ ค่อยๆแง้มผ้าม่านสีอ่อนดูว่าอีกคนพูดจริงหรือเปล่า ก่อนจะเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยยืนอยู่หน้าประตูรั้วขนาดใหญ่ด้วยสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัว
เลย์ไม่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้เขาดีใจหรือเสียใจกันแน่ ทุกอย่างมันสับสนวกวนไปหมด เหมือนกับพลัดตกลงไปในเหวลึกที่มาพร้อมกับพายุโหมกระหน่ำ เขาควรจะทำยังไงดี ทั้งเสียใจและดีใจคนปกติเขาเป็นแบบนี้กันหรือเปล่า
ติ๊ด ติ๊ด~
[ฉันขอโทษ แต่ฉันอธิบายได้]
นัยน์ตาคู่สวยมองข้อความในโทรศัพท์ด้วยความไม่เข้าใจ เห็นอยู่ตำตาว่าคริสทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้นยังต้องมีเรื่องให้อธิบายอีกหรือ แต่นั่นเลย์ก็ไม่คิดจะส่งข้อความตอบกลับไป เขาอยากจะทำใจแข็งทั้งๆที่มันอ่อนยวบสิ้นดี
ติ๊ด ติ๊ด ~
[พรุ่งนี้ฉันจะไปจีนแล้วนะ ขอเห็นหน้านายหน่อยได้ไหม?]
เพียงแค่ได้อ่านข้อความสั้นๆจากอีกคน หยาดน้ำสีใสก็พลันเอ่อคลอที่รอบดวงตาจนพร่ามัวไปหมด ร้อนผ่าวและรับรู้ได้ถึงน้ำตาที่ไหลอาบข้างแก้มในเวลาต่อมา เลย์สะอื้นไห้เมื่อเห็นคริสที่ยืนอยู่หน้าบ้านของเขาก้มหน้ามองพื้นนิ่งๆท่ามกลางสายฝนเม็ดเล็กที่เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งหลังจากหยุดไปได้ไม่นาน แต่นั่นเขาจะไม่ใจอ่อน ถ้าอีกคนยังรักกันจริงก็ขอให้เวลาและการกระทำเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจก็แล้วกัน
ติ๊ด ติ๊ด ~
[ขอโทษที่มารบกวน ถ้างั้นฉันกลับแล้วนะ อย่าลืมทานยาก่อนนอนด้วยเดี๋ยวไม่สบาย]
ก้มมองข้อความในหน้าจอสี่เหลี่ยมจากอีกคนรอยยิ้มบางก็เผยให้เห็นบนใบหน้าสวย เลย์สามารถยิ้มได้ทั้งน้ำตาในขณะที่หัวใจกำลังสับสน หากแต่ก้มหน้ามองดูข้อความได้ไม่นานเงยขึ้นมาอีกทีร่างสูงโปร่งที่หน้ารั้วบ้านก็หายไปซะแล้ว ม่านตากลมกวาดมองไปรอบๆจนรู้ว่าคริสคงจะไปแล้วจริงๆ จึงเดินมาล้มตัวลงนอนที่เตียงของตัวเองเหมือนเดิม พลางถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่พร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ยอมรับว่าเสียใจ แต่สุดท้ายก็เลิกรักอีกคนไม่ได้อยู่ดี
“...ขอให้ฉันได้มั่นใจในตัวนายบ้างได้ไหมอู๋ฟาน?”
…ADOLESCENT…
เช้าวันใหม่ที่อึมครึมเหมือนกับเมื่อวานก็ไม่มีผิด คนตัวเล็กที่นั่งทานข้าวอยู่เพียงคนเดียวที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่กำลังเหม่อลอยเหมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ เวลาเดินไปเรื่อยๆหากแต่คนที่นั่งอยู่ที่เดิมกลับนิ่งเงียบไม่ไหวติง
เขาไม่อาจหยุดคิดเรื่องของใครอีกคนที่ทำให้เขาเสียใจได้เลย ทั้งเมื่อคืนก็เอาแต่นอนร้องห่มร้องไห้อย่างไม่เข้าใจตัวเอง หงุดหงิดที่เป็นแบบนี้ รู้สึกงี่เง่าเมื่อมีหลายคนที่รักเขาแต่นั่นกลับต้องการความรักจากคนที่มองข้ามเขาไปซะอย่างนั้น
“เหม่อลอยแบบนี้แล้วจะได้ไปเรียนสักทีไหม?” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยพูดขัดห้วงความคิด นั่นก็เรียกสติให้เลย์กลับมาสนใจเรื่องของปัจจุบันได้อีกครั้ง
“แอลโจ...”
“ใช่! ฉันเองแหละ นายเป็นอะไรน่ะอี้ชิง ยังเสียใจเรื่องเมื่อวานอยู่อีกหรือไง?” แอลโจเอ่ยถามพลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามคนหน้าหวานที่เอาแต่เหม่อลอยอยู่เมื่อครู่
“นั่นไม่ใช่เรื่องของนาย” เลย์บอกปัดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าวไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะรื้อฟื้นมันอีก แต่นั่นสุดท้ายมันก็ห้วนกลับเข้ามาให้เขาคิดถึงมันอยู่เหมือนเดิม
“เมื่อไรจะเลิกรักมัน?”
เมื่อได้ยินอีกคนที่เอ่ยถามขึ้นมาคนหน้าหวานก็ถึงกับชะงักงันทั้งยังไม่พอใจ พลางปล่อยช้อนที่ถืออยู่ในมือลงที่จานข้าวแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“นายอย่าเข้ามายุ่ง!”
“จะไม่ให้ฉันยุ่งได้ยังไง ในเมื่อไอ้นั่นมันทำให้นายเสียใจมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว?” แอลโจรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องในอดีตและปัจจุบันของเลย์ และนั่นเขาก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“แต่มันเป็นเรื่องของฉันนะแอลโจ ฉันรู้ว่าฉันควรจะทำยังไง” ใบหน้าหวานหันกลับไปสบนัยน์ตาสีนิลของอีกคนนิ่ง ฉายแววของความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามล้ำเส้นของเขาจนเกินเหตุ
“นายก็รู้ว่าฉันคิดยังไงกับนาย แล้วที่ตามมาที่นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่เข้าใจ?”
“เฮ้อ! เลิกพูดเรื่องนี้ได้ไหมแอลโจ ถ้านายยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ก็เลิกคิดมันซะ”
“ในเมื่อนายยังเลิกรักไอ้หมอนั่นไม่ได้ แล้วนายมีสิทธิ์อะไรถึงมาห้ามหัวใจฉัน”
เลย์ถึงกับเหนื่อยใจเมื่อเพื่อนในสมัยเด็กของเขายังไม่เลิกคิดเรื่องแบบนี้อยู่อีก เลย์รู้ดีว่าแอลโจคิดยังไงกับเขาเพราะเจ้าตัวเคยบอกเขามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นมันก็เป็นแค่ความรู้สึกของเด็กๆที่มีให้กันก็เท่านั้น เลย์เข้าใจว่าแอลโจคงจะสับสน และนั่นเขาก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับอีกคนให้มากความ
“ไปโรงเรียนกันเถอะ”
พูดตัดบทสนทนาแค่นั้นเลย์ก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายใส่หลังพลันเดินออกจากบ้านไปในทันที รู้ดีว่าวันนี้แอลโจคงบังคับเขาให้ไปโรงเรียนด้วยกันแน่ๆ รู้เท่าทันไม่รอให้อีกคนต้องมาฉุดกระชากลากขึ้นรถเลย์ก็หย่อนกายเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับอย่างรู้งาน
เมื่อมาถึงที่โรงเรียนคนตัวเล็กก็ลงจากรถโดยไม่ร่ำลาเพื่อนที่เป็นสารถีให้ในวันนี้เลยแม้แต่น้อย สาวเท้าเดินขึ้นไปบนห้องเรียนก็รีบจัดหนังสือที่ชั้นวางเพื่อนเตรียมตัวเรียนในคาบแรกเหมือนอย่างทุกวัน หากแต่วันนี้เขามาสาย ทำให้ต้องรีบเร่งเพราะอีกไม่กี่นาทีอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของวิชาจะเริ่มเข้าสอนแล้ว
“เลย์ ไอ้คริสอ่ะ?” แบคฮยอนเอ่ยถามเมื่อเห็นวันนี้เพื่อนตัวสูงที่นั่งข้างกันยังไม่มา และนั่นก็เห็นว่าเลย์คงจะรู้ดีเป็นที่สุด
“เอ่อ...เห็นบอกว่าจะไปจีน” เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างแผ่วเบา คิดว่าจะลืมอีกคนซะแล้วแต่นั่นพอได้ยินแค่ชื่อก็ทำให้อดจะคิดถึงไม่ได้
“อ้าวหรอ? มันก็ไม่คิดจะบอกฉันเลยนะ แล้วนายรู้หรือเปล่าว่ามันไปทำไม?”
“ก็...ไปเดินแบบน่ะ สองสามวันคงกลับ”
พูดแค่นั่นเลย์ก็รีบเดินหนีแบคฮยอนมานั่งหย่อนกายลงที่โต๊ะเรียนของตัวเองอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาคู่สวยเริ่มร้อนผ่าวเมื่อทุกครั้งที่ได้คิดถึงคนตัวสูงก็ทำเอาหัวใจเจ็บปวดได้ตลอด และนั่นก็เป็นแบคฮยอนที่สังเกตอาการของเลย์อยู่พลันนึกสงสัยในความผิดปกติที่มันไม่เหมือนเดิมอย่างเห็นได้ชัดของเพื่อนหน้าหวาน
ทั้งคาบของการเรียนเลย์ไม่มีแม้แต่สมาธิในการจดจ่ออยู่กับเนื้อหาบนกระดานที่อาจารย์เจ้าของวิชาพร่ำสอนเลยสักนิด ม่านตากลมเอาแต่เสมองออกไปนอกหน้าต่างบ้างก็เหม่อลอยไปไหนต่อไหนจนแทบจะกู่ไม่กลับ รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาพักเที่ยงเสียแล้ว และกิจวัตรก็เหมือนเดิมคือไปนั่งรับความเงียบสงบที่ห้องสมุดในขณะที่ภายในอกกำลังกระวนกระวาย
“ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่านายต้องอยู่ที่นี้”
เพียงแค่เข้ามานั่งที่โต๊ะในมุมหนึ่งของห้องสมุดได้ไม่นาน เพื่อนตัวเล็กต่างห้องก็วิ่งทักๆเข้ามาหาด้วยอาการหอบเทิ้ม ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามทำท่าเหมือนมีเรื่องสำคัญ
“ว่าไงลู่หาน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เลย์เอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นลู่หานมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี และนั่นเขาก็อดจะเป็นห่วงเสียไม่ได้
“นายเป็นอะไรน่ะเลย์ ไม่สบายหรือเปล่า?” ลู่หานไม่ได้ตอบเลย์เลยสักนิดหากแต่ตั้งคำถามสวนกลับไปให้เพื่อนหน้าหวานแทน
“เปล่าหรอก ฉันก็แค่นอนไม่พอน่ะ ว่าแต่นายเถอะวิ่งหน้าตาตื่นมาหาฉันมีอะไรหรือเปล่า?”
“เอ้อ! คือตอนนี้ฉันติดต่อเซฮุนไม่ได้เลยอ่ะ โทรไปหาตอนแรกก็ติดอยู่ดีๆ จากนั้นก็ปิดเครื่องหนีฉันไปเลย นายถามคริสให้ฉันหน่อยดิว่าเขารู้หรือเปล่าเซฮุนไปไหน?”
ลู่หานเอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยความร้อนรุ่มใจ ตั้งแต่เมื่อวานที่วางสายจากเซฮุนลู่หานโทรกลับไปอีกคนก็ไม่รับสายของเขาอีกเลย จนมาวันนี้ก็ยังปิดเครื่องหนีเขาไปอีก ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเขาที่ทำให้อีกคนหนีไปก็ไม่รู้
“เอ่อ... ค...คริสไม่อยู่หรอก ไปจีนอ่ะ” เลย์ไม่เคยรู้สึกเลยว่าจะมีครั้งไหนที่เอ่ยชื่อของอีกคนได้ยากลำบากเท่านี้มาก่อน แล้ววันนี้มันเป็นอะไรล่ะ ทุกคนเอาแต่ถามเขาเรื่องของคริสจนทำเอาน้ำตาก่อตัวขึ้นมาได้ตลอดเวลา
“อ่าว แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะเลย์ เซฮุนต้องโกรธฉันแน่ๆเลยเรื่องเมื่อวานที่ฉันไม่ยอมคุยกับเขา แล้วนี่ก็หายไปเฉยๆฉันเป็นห่วงเขาอ่ะ”
ลู่หานดูแตกต่างไม่จากเมื่อก่อนมากและนั่นเลย์ที่เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนสนิทกลับเผยรอยยิ้มออกมาเสียเฉยๆเมื่อได้รู้ว่าคนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างที่คิดไว้
“นายใจเย็นก่อนนะลู่หาน เซฮุนอาจจะมีธุระต้องไปทำเลยไม่ทันได้บอกนายก็ได้ คิดในแง่ดีสิ”
“โอเคๆ ฉันจะพยายามแล้วกัน ถ้างั้นฉันไปทานข้าวก่อนนะ”
“อื้อ”
เมื่อลู่หานเดินจากไปเลย์ก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเต็มแรง ส่ายหน้าไปมาเมื่อสุดท้ายก็ช่วยอะไรลู่หานไม่ได้เหมือนเดิม ก็แล้วจะให้เขาไปช่วยได้ยังไงในเมื่อเรื่องของตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด เรื่องของความรักนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ถ้าคิดอย่างคนที่เห็นแก่ตัวก็คล้ายเรียนผูกต้องเรียนแก้กันเอาเอง
เลย์ขึ้นเรียนคาบบ่ายในสภาพที่ไม่ต่างอะไรไปจากเมื่อเช้าเลยแม้แต่น้อย หัวใจที่ห่อเหี่ยวมันโดนปล่อยลมซะแฟ่บแบนจนยากจะพองโตได้เหมือนเดิม นั่งฟังอาจารย์สอนก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ปล่อยความรู้ให้มันเข้ามาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเหมือนดั่งสายลม แล้วไม่ต้องคิดเลยนะว่าจะไปเรียนพิเศษในตอนเย็น เรียนไปก็มีค่าเท่าเดิม สู้ไปนอนหลับพักผ่อนให้สติกลับคืนมาเสียจะดีกว่า ทั้งวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ยังไงก็ขอเว้นมันไปสักวันก็แล้วกัน
“จะกลับบ้านหรือยัง เดี๋ยวไปส่ง?” เสียงทุ้มของของสารถีเมื่อเช้าเอ่ยถามในขณะที่เลย์กำลังจะเดินออกจากห้องเรียน ก่อนคนตัวเล็กที่โดนคนตัวสูงกว่าขวางทางอยู่จะเงยใบหน้าขึ้นมองด้วยท่าทางเรียบนิ่ง
“นายกลับไปก่อนเถอะ วันนี้คนขับรถฉันมารับ” เสียงหวานตอบกลับไปก็เบนใบหน้าหนีไปทางอื่นอีกครั้ง เลย์กำลังรำคาญ เขานึกรำคาญแอลโจเป็นอย่างมากที่ชอบวุ่นวายกับเขาจนเกินเหตุ
“นายเปลี่ยนไปนะอี้ชิง”
“อืม แล้วไง ฉันจะเปลี่ยนไปยังไงสุดท้ายฉันก็คือฉันอยู่ดี” เสียงถอนหายใจแผ่วเบาทำให้แอลโจต้องขมวดคิ้วมุ่น เลย์แสดงออกอย่างชัดเจนจนแอลโจรู้สึกเจ็บปวด
“นายคนเดิมหายไปแล้วจริงๆ แต่ยังไงธุระของฉันก็เสร็จแล้วล่ะ”
“ธุระอะไรของนาย?”
เมื่อเห็นอีกคนพูดแฝงไปด้วยความนัยบางอย่างนั่นก็ทำให้เลย์นึกสงสัยขึ้นมาทันที หากแต่แอลโจก็ไม่คิดจะปริปากพูดให้เขาได้รู้ทั้งยังเดินหนีไปทำเอาคนหน้าหวานต้องมองตามด้วยความเป็นกังวล
เท้าเล็กพาร่างที่อ่อนล้าลงมายังชั้นล่างของอาคารเรียน เดินไปหน้าโรงเรียนก็ยืนรอคนขับรถมารับเหมือนอย่างทุกวัน บางทีการที่ไม่มีคริสมาคอยรบกวนมันก็เหมือนว่าขาดอะไรไปบางอย่าง แต่นั่นในความรู้สึกเดียวกันก็แฝงไปด้วยความสงบของหัวใจ และสุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยความรู้สึกเหงาทั้งยังคิดถึงอีกคนเอามากๆ
ใบหน้าหวานส่ายไปมาไล่ความคิดทั้งหมดให้ออกไปจากหัว พยายามแล้ว รอบที่เท่าไหร่ของวันที่อยากจะลืมเรื่องของอีกคน แต่นั่นอยากลืมกลับจดจำ แล้วต้องทำยังไงถึงจะลืมใครคนนั้นไปจากหัวใจได้สักที
“เลย์!”
ร่างบางถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงทุ้มของใครบางคนเอ่ยเรียกในขณะที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว วันทั้งวันใครๆก็เอาแต่เรียกหาเขา ก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกเขาเมื่อครู่
“จงอิน...”
จงอินที่ซ้อมสเก๊ตบอร์ดอยู่แถวนั้นเมื่อเห็นคนหน้าหวานมายืนรอคนขับรถที่หน้าโรงเรียนเหมือนอย่างทุกวันจึงวิ่งเข้ามาหา
“ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”
“ฉันหรอ?” มือบางชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นเชิงถามทั้งยังแสดงสีหน้ามึนงง พลางสังเกตอาการของเพื่อนผิวเข้มที่ดูท่าไม่สบายใจและเป็นกังวลให้เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยความสงสัย
“เรื่องไอ้คริส”
เพียงแค่ได้ยินชื่อที่มีผลต่อหัวใจเลย์ก็ชะงักไปในทันที หันใบหน้าหนีไปอีกทางก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ กะพริบตาปริบเมื่อรู้สึกได้ว่าอีกไม่นานหยาดน้ำสีใสคงจะไหลออกมาเป็นแน่ อ่อนแอ อ่อนแอกับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคริส
“ฉันไม่อยากฟังอ่ะจงอิน”
“นายเป็นอะไร? มีปัญหาอะไรกับไอ้คริสมันหรือเปล่า?” คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ยิ่งเห็นใบหน้าหวานที่ซีดเผือดของเลย์แล้วจงอินก็พอจะเดามันได้ไม่ยาก
“ไม่มีหรอก ฉันแค่ไม่อยากรับรู้เรื่องของคนๆนั้นอีกแล้ว” พูดแค่นั้นนัยน์ตาคู่สวยก็แดงก่ำพร้อมทั้งหยาดน้ำสีใสที่คลอหน่วย สุดท้ายภูมิต้านทานของเขาก็น้อยเกินกว่าจะเก็บกักความเสียใจเอาไว้ได้
“ทะเลาะกันสินะ ฉันไม่รู้หรอกว่าระหว่างนายกับไอ้คริสมันเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ฉันจะบอกมันสำคัญ”
“มันสำคัญแค่ไหนกัน นายจะมาแก้ตัวแทนอู๋ฟานงั้นหรอ?”
“อู๋ฟาน?” จงอินดูท่าจะงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคนหน้าหวานพูดถึงเพื่อนตัวสูงของเขาในชื่อที่ไม่คุ้นเคย
“ก็คริสนั่นแหละ!”
“อ่อ! ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันยังไม่รู้เลยว่าพวกนายมีเรื่องผิดใจอะไรกัน แต่ฉันอยากจะบอกว่า...”
“พอเถอะจงอิน!”
เลย์รีบยกมือขึ้นห้ามอีกคนให้หยุดพูดพลางปิดหูตัวเองแล้วส่ายหน้าไปมา น้ำตามากมายกำลังไหลลู่อาบข้างแก้มเนียนใสโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด และนั่นจงอินก็ถึงกับตกใจในอาการที่ดูจะเป็นหนักของเพื่อนหน้าหวานเป็นอย่างมาก
“นายไม่อยากฟังเรื่องที่ฉันจะพูดหน่อยหรอ? บางทีเรื่องนี้อาจจะมีนายคนเดียวที่ช่วยได้นะเลย์”
“ฮึก...ไม่เอาแล้ว” ใบหน้าหวานส่ายไปมาทำท่าไม่อยากรับรู้ เลย์แพ้แล้ว เขาแพ้ให้กับความอ่อนแอของตัวเองและเขาจะไม่ยอมสานต่อมันอีกต่อไป
“นายรู้ไหมว่าตอนนี้ไอ้คริสมันอยู่ไหน?” จงอินเอ่ยถามอีกครั้ง
“ฮึก...จีนไง... ขอโทษนะ คนขับรถฉันมาแล้ว ฉันต้องไปก่อน” พูดแค่นั้นเลย์ก็รีบเดินไปยังรถที่จอดเทียบท่ารออยู่ เอื้อมมือหมายจะเปิดประตูเข้าไปนั่งหากแต่ก็ต้องหยุดชะงักเท้าไปอีกครั้งเมื่อเสียงที่เอ่ยตามมามันดึงดูดให้เขาต้องหยุดฟัง
“ไอ้คริสไม่ได้ไปจีน มันอยู่ที่คอนโดของมันนั่นแหละ ถ้าไม่ใจร้ายกับมันก็ไปหามันหน่อยนะ ใกล้ตายแล้วมั้งนั่นน่ะ อะนี่! คีย์การ์ด”
จงอินโยนคีย์การ์ดที่มีชื่อคอนโดหรูที่คนตัวเล็กเคยไปหลับนอนมาให้ ก่อนมือบางจะยื้อไปรับมันมาถือไว้อย่างไม่เข้าใจ แต่นั่นก็ส่ายหัวไปมาเหมือนเดิมทำท่าไม่อยากจะสนใจ หย่อนกายเข้าไปนั่งในรถด้วยความสงสัยว่าทำไมจงอินถึงต้องเอาสิ่งๆนี้มาให้เขา แต่ที่สงสัยที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องของคริสที่ไม่ได้ไปจีนอย่างที่เขาได้คิดไว้ โกหกกันอีกแล้วหรือยังไง
...ADOLESCENT…
เป็นเวลานานที่คนหน้าหวานเอาแต่นั่งจ้องคีย์การ์ดที่จงอินให้มาเมื่อตอนเย็นอยู่นิ่งๆ เขากำลังรู้สึกใจไม่ดีที่จงอินทำท่าเหมือนจะบอกอะไรบางอย่างแต่กลับไม่พูดมันออกมา หรือว่าจงอินจะมีเรื่องที่ปิดบังเขาอยู่ แล้วอะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนั้นน่ะหรอ คงเป็นความรู้สึกของเขาล่ะมั้ง
“ไอ้คริสไม่ได้ไปจีน มันอยู่ที่หอของมันนั่นแหละ ถ้าไม่ใจร้ายกับมันก็ไปหามันหน่อยนะ ใกล้ตายแล้วมั้งนั่นน่ะ อะนี่! คีย์การ์ด”
“เหอะ! ใกล้ตายหรอ? แล้วฉันล่ะอะไร” ปากอิ่มแสยะยิ้มสมเพชตัวเอง เอาเถอะว่าถ้าอีกคนใกล้ตายเขาเองก็ไม่ต่างกันหรอก แล้วใครกันแน่ที่น่าสงสาร ว่าแต่ที่ใกล้ตายนี่มันหมายความว่ายังไง
เลย์พยายามนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาภายในห้องเงียบๆคนเดียว ไม่ยอมลงไปทานข้าวทานปลาเหมือนเมื่อวานก็ไม่มีผิด เขาไม่รู้จะไปปรึกษาใครได้เลย ลู่หานก็มีปัญหาหัวใจของตัวเอง ส่วนจะโทรไปหาจงอินก็ไม่มีเบอร์อีกน่ะสิ แต่นั่นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ คิดได้ดังนั้นหัวใจก็พลันหล่นวูบไปอยู่กับพื้นทันที ก่อนจะรีบปรี่ออกจากห้องแล้วถลาลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
เลย์วิ่งออกจากรั้วบ้านไปยังป้ายรถเมล์อย่างไม่คิดชีวิต ไม่ฟังเสียงท้วงถามของแม่บ้านทั้งยังคนขับรถอย่างโฮดงเลยสักนิด วิ่งไปก็ปาดน้ำตาตัวเองไปด้วย เขาลืมเรื่องบางอย่างไป บางอย่างที่เขามองข้ามจนตอนนี้กลับรู้สึกใจไม่ดีเอามากๆ
ครั้งที่สองของการขึ้นรถเมล์ ครั้งแรกที่ขึ้นกับคริสเขาก็พยายามจดจำรถเมล์สายที่เขาเคยขึ้นมา ทำเหมือนอย่างที่อีกคนเคยพาทำ ก่อนจะมาลงที่ป้ายรถเมล์แถวละแวกคอนโดของคริส
เท้าเล็กออกวิ่งเข้าไปยังตัวคอนโดหรูด้วยร่างกายที่เปียกโชกเพราะฝ่าเม็ดฝนมาตามทาง กระวนกระวายใจเมื่อรับรู้ได้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆที่จงอินทำเหมือนจะบอก ขึ้นลิฟท์ก็แทบยืนไม่ติดที่ มือไม้สั่นเทาทั้งยังหายใจไม่ทั่วท้อง แต่นั่นในที่สุดก็มาถึงหน้าห้องที่คุ้นเคยด้วยอาการหอบแฮ่กจนได้
“สุดท้ายฉันก็มา งี่เง่าชะมัด!”
คนหน้าหวานชั่งใจอยู่นานว่าควรจะเข้าไปข้างในดีหรือเปล่า แต่ด้วยความเป็นห่วงคนในห้องทำให้เลย์ไม่อาจใจแข็งได้อีกต่อไป ก็เล่นหอบสังขารมาถึงที่นี่แล้วจะให้มันเสียเวลาเปล่าไปเพื่ออะไรกัน
มือบางเสียบคีย์การ์ดเข้าที่ช่องของประตูก็ค่อยๆผลักมันเข้าไปอย่างช้าๆ นี่เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้วที่เขาเดินทางมาถึงที่นี่ ก่อนจะกวาดม่านตามองภายในห้องที่มืดสนิทราวกับว่าไม่มีคนอยู่
เท้าเล็กย่องเดินเข้าไปอย่างแผ่วเบา มองหาคนตัวสูงท่ามกลางความมืดมิดด้วยความยากลำบาก หาสวิตซ์ไฟไม่เจอก็เดินไปเปิดผ้าม่านที่ปิดสนิทในตอนแรกให้แสงสว่างรอดผ่านเข้ามาได้มองเห็นบ้าง นั่นก็ทำให้เลย์เห็นร่างของใครบางคนนอนคว่ำหน้าอยู่ที่เตียงพลางผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเพียงไม่นานคนบนเตียงก็ค่อยๆพยับพลิกตัวจนทำให้เขายืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
“กูบอกมึงแล้วไงจงอินว่าไม่ต้องมา กูดูแลตัวเองได้” เสียงทุ่มที่เอ่ยผะแผ่วทำให้เลย์หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใช่! เขากำลังตื่นเต้นเมื่อรู้ได้ว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ข้างเตียงของคนตัวสูงในความมืด
“………….”
“กูไม่ตายง่ายๆหรอกน่ะ แค่กๆ มึงกลับไปได้แล้วไป กูจะนอน!”
เลย์แทบไม่มีแรงจะหยัดยืนเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าของอีกคนที่ดูท่าว่าจะไม่สบายและมันก็มีผลต่อหัวใจของเขาเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็ยังไม่คิดจะพูดอะไรออกไปเลยสักนิด เอาแต่ยืนนิ่งในความมืดที่มีแสงไฟสลัวจากภายนอกสาดส่องเข้ามาพลางมองร่างที่เป็นเงาของคนบนเตียงเงียบๆ
“.................”
“กูบอกให้มึงออกไปไงจงอิน กูอยู่คนเดียวได้”
เมื่ออีกคนเริ่มเอ่ยปากไล่เพราะคิดว่าเขาเป็นเพื่อนผิวเข้มคนสนิท เลย์ก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เตียงนอนของคริสมากขึ้นเรื่อยๆ เอื้อมมือที่สั่นเทาไปเปิดโคมไฟข้างหัวเตียงก่อนมันจะสว่างขึ้นมาพอให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนที่นอนอยู่ได้อย่างชัดเจน แต่นั่นสิ่งที่ได้เห็นทุกอย่างมันกลับบีบเค้นหัวใจของเขาจนแทบแตกสลาย เมื่อสิ่งที่เขาคิดไว้ในตอนแรกมันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
“ฮึก...นายเป็นอะไร?” เสียงหวานเอ่ยถามทั้งน้ำตา เลย์สะอื้นไห้เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มันเคยเนียนใสไร้ที่ติ หากแต่ตอนนี้กลับฟกช้ำขึ้นสีแดงสีม่วงเต็มใบหน้าไปหมด
“อี้ชิง...ม...มาได้ยังไง แล้วทำไมตัวเปียกแบบนั้น?”
ถึงกับเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงหวานที่คิดถึงคริสก็รีบเด้งตัวลุกจากที่นอนอย่างรวดเร็ว แต่นั่นความรีบร้อนกลับทำให้เขาปวดหัวจนแทบจะระเบิด เพราะไม่ใช่แค่ร่างกายที่บอบช้ำแต่ยังรวมไปถึงไข้ที่ขึ้นสูงเพราะยืนตากฝนรอคนตัวเล็กที่หน้าบ้านในเมื่อวานด้วยเช่นกัน
“ค่อยๆลุกสิ ไม่สบายแบบนี้ทำไมไม่คิดจะบอกคนอื่นบ้าง ฮึก... ทำเป็นเก่ง!” คนตัวเล็กทำท่าจะรีบเข้าไปช่วยพยุงอีกคนแต่นั่นมือหนากลับยกขึ้นสั่งห้ามไว้เสียก่อน
“มาได้ยังไง?” คริสเอ่ยถามเสียงเรียบ พลางหันหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กได้เห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขา
“ฉัน ฮึก...ฉันมันบ้า! ฉันไม่รู้ว่าฉันจะโกรธนายได้เกินสามวันหรือเปล่า เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ที่สุดเลย ฮือ...” เลย์สะอึ้นไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาของอีกคน ทรุดฮวบนั่งลงที่พื้นข้างเตียงก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลอาบข้างแก้มด้วยความเสียใจ
“ฉันขอโทษ แต่ฉันรักนาย รักนายมากจริงๆนะอี้ชิง” คริสรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกแรงกดทับที่หัวใจของเขาจนมันแน่นไปหมด ไม่รู้กี่ครั้งที่ทำให้เลย์เสียใจ แต่นั่นเขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่เคยจะนอกใจอีกคนเลยสักนิด
“ใครทำให้นายเป็นแบบนี้ บอกฉันได้ไหม ฮึก...?” เสียงหวานเอ่ยถามทั้งยังร้องไห้โฮ คริสโดนซ้อมนั่นเลย์พอจะรู้ว่าเป็นเพราะใคร แต่นั่นเขาอยากให้มั่นใจและอยากได้ฟังจากปากของคริสเอง
“ไม่รู้ ฉันจำไม่ได้”
“ตั้งแต่ตอนไหน?” เลย์เอ่ยถามอีกครั้งก่อนจะยกมือบางกุมเข้าที่หัวใจของตัวเอง เห็นคริสเป็นแบบนี้แล้วเขาก็ยิ่งเจ็บปวด
“ก็...เมื่อวานหลังจากที่กลับมาจากบ้านนาย” เอ่ยพูดแค่นั้นคริสก็ค่อยๆหมุนตัวนั่งหันหลังในเลย์ เห็นเลย์จ้องใบหน้าของเขาด้วยแววตาทรมานแบบนั้นคริสก็แทบจะทนไม่ได้ อยากจะปรี่เข้าไปกอดแต่นั่นตอนนี้เขามันสกปรกเกินไปที่จะทำแบบนั้นกับอีกคน
“เล่ามาให้ละเอียด นายบอกฉันมาว่ามันทำอะไรนายบ้าง?”
“นายจะอยากรู้ไปทำไม? ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”
“ฮึก...นายกำลังทำให้ฉันเสียใจอีกแล้วนะอู๋ฟาน ฉันไม่ควรรู้มันใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แบบนั้น เฮ้อ! ก็ได้ นี่นายกำลังบังคับคนป่วยนะ...”
“ต...แต่ฉันเป็นห่วง ฮึก...”
คริสถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อคนที่นั่งอยู่กับพื้นห้องข้างเตียงเอ่ยออกมา และนั่นมันก็ทำให้หัวใจของเขาเริ่มคืนสภาพได้เป็นอย่างดี
“หลังจากที่ฉันไปยืนรอนายที่หน้าบ้าน สุดท้ายนายก็ไม่ออกมาหา ฉันเลยจะเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายหน้าปากซอย ระหว่างทางก็เจอคนกลุ่มนึง อยู่ๆมันก็มารุมซ้อมฉันจนสภาพเป็นแบบนี้ พอมีสติอยู่บ้างก็เลยโทรหาไอ้จงอิน ส่วนไอ้ฮุนไม่รู้หายหัวไปไหน”
คริสพยายามเล่าเรื่องย่อๆให้คนตัวเล็กได้เข้าใจด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า ทั้งยังนั่งหันหลังให้กับเลย์อยู่เหมือนเดิม เขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใครและต้องการอะไรจากตัวเขากันแน่ที่ทำแบบนี้
“แล้วทำไมไม่ขับรถกลับ ขึ้นรถเมล์ทำไม?” เลย์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็....”
“ก็อะไร?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เลย์แสดงออกว่าไม่พอใจที่คริสมัวแต่อ้ำอึ้งไม่พูดอะไรออกมาสักที
“เจสสิก้าเอากุญแจรถฉันไป…”
เอาเถอะว่าเลย์ในตอนนี้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุดเมื่อได้ยินชื่อของผู้หญิงคนนั้น แต่นั่นก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่นิ่งเงียบแล้วนั่งมองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงที่นั่งหันหลังก้มหน้าให้เขาอยู่บนเตียง
“แล้วไง? เล่ามาดิ”
เลย์พยายามทำใจดีสู้เสือเพื่อรับฟังเหตุผลของอีกคน เผื่อใจไว้บ้างถ้าหากว่าเรื่องที่ได้รับฟังมันจะทำให้ความรู้สึกของเขาแย่ลงไปอีก
“ตอนที่มีคนโทรมา เบอร์นั้นเป็นเบอร์ของเจสสิก้า เธอบอกว่าเก็บกุญแจรถฉันได้ ฉันไม่รู้ว่าไปทำหล่นไว้ที่ไหนก็เลยรีบกลับไปเอาที่เธอ เรื่องจูบนั่นก็เป็นข้อตกลงในการเอากุญแจรถคืน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่คิดว่าทำให้มันจบๆไปจะได้เลิกวุ่นวายกันสักที ไม่คิดว่าสุดท้ายจะทำให้นายเสียใจขนาดนี้ แต่ที่ฉันจะบอกคือฉันก็เสียใจไม่แพ้กันนะอี้ชิง”
พูดเสร็จคริสก็นิ่งเงียบไม่ไหวติง ชันเข่าขึ้นสองข้างก่อนจะวาดแขนกอดรัดมันไว้แน่น ฟุบหน้าลงพลันปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆในขณะที่คนหน้าหวานอีกคนก็เอาแต่สะอึกสะอื้นไม่ต่างกัน ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ที่เหมือนจะไปได้ดีในตอนแรกหากแต่ตอนนี้มันกลับเลวร้ายมากกว่าที่ควรจะเป็น
“แล้วนายก็ต้องทำตามข้อตกลงที่เจสสิก้าให้สินะ ฮึก...”
“ขอโทษ ฉัน...ก็แค่อยากให้มันจบๆไป แค่กๆ นายกลับไปเถอะอี้ชิง เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง”
“ไล่ฉันทำไม?” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ ทั้งๆที่มาหาคริสถึงที่นี่แต่อีกคนกลับผลักไสเขาให้กลับไปซะอย่างนั้น
“ป...เปล่า”
“อะไรคือเปล่า? ฉันเป็นห่วงนายนะถึงมาหา ฮึก...ทำไมต้องไล่ฉันด้วย!” เลย์คิดว่าน้ำตามันกำลังจะหมดไปอยู่แล้วเชียว แต่นั่นกลับไหลออกมาไม่หยุด ไม่คิดจะทำเป็นเข้มแข็งอีกแล้ว เขาทำมันไม่ได้
“นาย...เป็นห่วงฉันจริงๆหรออี้ชิง?” เห็นคนตัวเล็กเป็นแบบนี้คริสก็พอจะเดาได้อยู่หรอก แต่นั่นเขาก็อยากมั่นใจขึ้นไปอีก
“เออดิ! แล้วคิดว่าฉันล้อเล่นหรือไง? ฮือ...” ช่างน่าตลกที่เลย์มักจะเข้มแข็งต่อหน้าคริสเสมอ แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไป ทุกอย่างมันเผยในเห็นพร้อมกันภายในวันเดียว
“ถามหน่อยได้ไหม? นายเคยรักฉันบ้างหรือเปล่า บางทีฉันอาจจะคิดไปเองว่านายรู้สึกดีๆกับฉันเกินเพื่อนบ้าง?”
เลย์ถึงกับนิ่งไปในทันทีเมื่ออีกคนไม่ใช่แค่ถามแต่ยังหันกลับมามองเขาที่นั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นห้อง นั่นเลย์ก็ต้องก้มใบหน้าหลุบสายตาหนีอีกคนไปอย่างไม่มีข้อแม้ ตอบยากมากๆ เรื่องแบบนี้พยายามจะพูดแล้วแต่สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกไปเลยสักครั้ง
“……………..”
“แค่อยากรู้ว่านายคิดยังไง ฉันจะได้รู้สถานะของตัวเองสักทีว่าควรยืนตรงจุดไหน”
นัยน์ตาคู่คมฉายแววเสียใจออกมาอย่างชัดเจน คริสไม่อาจบอกได้เลยว่าตอนนี้เขากลัวคำตอบของเลย์เอามากๆ ต่อไปจะยังเดินเคียงข้างอีกคนต่อไปได้ไหมนั่นคือสิ่งที่เขานึกกลัว
“ถ...ถามอะไรโง่ๆ ก็แล้วถ้าไม่รัก ฮึก... จะมานั่งร้องห่มร้องไห้แบบนี้ไหมล่ะ? ไอ้บ้า ฮือ...”
ท้ายประโยคตะโกนใส่อีกคนก็รีบหันหน้าหนีคริสทันที เสมองไปทางอื่นเมื่อสุดท้ายก็พูดมันออกไปอย่างที่ใจคิด ยกมือขึ้นปาดน้ำตาก็ก้มหน้ามองมือตัวเองเงียบๆไปคนเดียวอีกครั้ง ที่เงียบก็ไม่ใช่อะไรเลย เพราะอีกคนที่มันกำลังอึ้งนั่นแหละเลย์เลยทำตัวไม่ถูก
“โกหก!”
เลย์ถึงกับใจหล่นวูบเมื่อได้ยินอีกคนพูดแบบนั้น
ในเมื่อเขาพูดความจริงแต่ทำไมถึงยังไม่เชื่อใจกันอีก
“ใครโกหก?”
“ก็นายไงที่โกหก ทั้งๆที่ฉันบอกรักนายไปนานแล้วทำไมนายยังทำตัวปกติได้อยู่อีกล่ะอี้ชิง?”
“ก็ตอนนั้นฉันคิดว่านายโกหกฉัน นายก็แค่จะล้อเล่นกับฉันเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ”
“ฉันไม่ได้โกหก! ไม่ได้ล้อเล่น! ถ้าฉันคิดจะเล่นๆกับนาย ฉันคงชิงความบริสุทธิ์ของนายแล้วทิ้งนายไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่ยึดติดกับใคร แต่กับนายมันไม่ใช่ ฉันอยากดูแลนาย อยากทะนุถนอมนาย อยากให้นายเป็นของฉันจะแย่ นายนั่นแหละที่โกหกว่ารักฉัน...”
ไม่ว่าหัวใจจะคิดตรงกันยังไง แต่สุดท้ายความเชื่อใจก็ยังไม่เต็มร้อยเหมือนเดิม
เหมือนเสาที่ตั้งฉากกับพื้น ทำเหมือนจะมั่นคงแต่พอโดนลมแรงๆเข้าก็สั่นไหวได้เหมือนกัน
“คิดว่าฉันโกหกใช่ไหม? เออ! นายอยากคิดอะไรก็คิดไปเลย ฉันจะกลับบ้านแล้ว!”
พูดแค่นั้นกายเล็กก็หยัดยืนขึ้นในทันที มองจ้องอีกคนอย่างรู้สึกผิดหวัง ไหนบอกว่าอยากได้ยินคำว่ารักจากปากของเขาไง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยจะเชื่อใจกัน โง่เหลือเกิน โง่ที่ยอมหอบหัวใจตัวเองมาหาถึงที่นี่
“เดี๋ยวสิอี้ชิง!” คริสรีบลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะสวมกอดคนตัวเล็กจากทางด้านหลังไว้แน่น
“ฉันต้องกลับบ้านแล้ว ฮึก...” เสียงหวานเอ่ยบอก สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดที่ร้อนผ่าวของอีกคนที่ไข้ขึ้นสูงพลางยกมือขึ้นปาดน้ำที่ข้างแก้มของตัวเองแล้วก้มหน้านิ่ง
“คืนนี้อยู่กับฉันนะ” กระซิบแผ่วเบาข้างใบหูสวยของคนให้อ้อมกอด คริสก็กดจูบลุ่มลึกที่หลังท้ายทอยขาวของอีกคน จูบที่ร้อนไม่ต่างไปจากอุณภูมิในร่างกายของเขาเลยสักนิด
“อะไรของนายอีกล่ะ?” ใบหน้าหวานหันไปมองทั้งยังมีหยาดน้ำสีใสไหลอาบข้างแก้ม ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ สับสนกับกิริยาอาการที่แสดงออกแปลกๆทั้งยังดูไม่ออกของคนตัวสูง
“ขอบคุณที่รัก...กัน”
พูดแค่นั้นร่างสูงโปร่งของคนด้านหลังก็ทรุดฮวบลงไปนอนกับพื้นทันทีทำเอาเลย์ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“อู๋ฟาน! เป็นอะไร?”
เลย์ร้องตะโกนถามด้วยความลุกลนเมื่อเห็นคริสลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับสติที่ดับวูบไป คริสนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงทั้งยังใบหน้าหล่อที่มีรอยฟกช้ำก็ซีดเผือดไร้ชีวิตชีวา นั่นก็ทำเอาเลย์ถึงกับใจหล่นวูบเมื่ออีกคนที่เห็นว่าแข็งแรงหากแต่ตอนนี้กลับช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้
เลย์ค่อยๆใช้แรงทั้งหมดที่มีพยุงร่างสูงโปร่งขึ้นจากพื้นด้วยความทุลักทุเล กึ่งลากกึ่งประคองคนที่ไม่ได้สติให้ไปนอนลงที่เตียงเหมือนเดิม ไม่วายลากร่างสูงไปร่างกายของเขาก็ล้มลงไปนอนกับอีกคนด้วย ตัวหนักเป็นบ้า รู้ว่าไม่ไหวก็ยังทำเป็นเก่งไม่ดูสภาพร่างกายตัวเอง ผลสุดท้ายเป็นยังไงล่ะ เป็นลมล้มพับไม่เป็นท่า เกิดถ้าเขาไม่มาหาจะเป็นยังไง คริสจะดูแลตัวเองได้ไหม
ม่านตากลมกวาดมองสำรวจใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ปิดเปลือกตาสนิทด้วยความเป็นห่วงและเป็นกังวล วางมือทาบลงที่เรียวหน้าได้รูปก็เกลี่ยนิ้วเบาๆตามรอยช้ำที่พอได้เห็นก็ทำให้หัวใจเจ็บปวดจนแทบแตกสลาย โน้มตัวลงก็กดจมูดเล็กลงที่แก้มกร้านของคนตัวสูงเบาๆแล้วผละออกเงียบๆ ดึงผ้านวมผืนหนาขึ้นมาห่มให้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้อุณภูมิในร่างกายของคริสคงที่ ก่อนจะลูบเส้นผมสีบลอนด์ทองของอีกคนเล่นไปพรางๆอย่างแผ่วเบา
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงเรียกเข้าทำให้คนหน้าหวานต้องผละมือออกจากกลุ่มผมนุ่ม ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงที่เปียกหมาดๆแล้วดึงเครื่องมือสื่อสารขึ้นมามองดูปลายทางที่โทรเข้ามา และนั่นก็ทำให้อารมณ์ที่เงียบสงบได้ไม่นานของเขาโหมโทสะขึ้นอีกครั้งเมื่อใครอีกคนที่โทรเข้ามาทำให้เขาโกรธได้อย่างถึงที่สุด
“นาย...” เสียงหวานกรอกลงไปเรียบนิ่งไร้ซึ่งความอ่อนหวาน ไม่มีแม้แต่แววของความเป็นมิตรพลางกัดฟันกรอดด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่นอกระเบียงเพื่อไม่ให้รบกวนคนที่นอนอยู่
“นายอยู่ไหน? ฉันไปหานายที่บ้านก็ไม่เจอ”
“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมแอลโจว่าอย่ามายุ่งกับเรื่องของฉัน” เลย์ไม่ได้ตอบคำถามของอีกคนเลยสักนิด ในตอนนี้แอลโจกำลังทำให้เขาโมโห นั่นเลย์ก็พร้อมจะใจร้ายกับอีกคนได้ทุกเมื่อ
“ฉันถามว่านายอยู่ไหน?” แอลโจเอื้อนเอ่ยผ่านโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่แพ้เลย์ เขาเริ่มจะรู้แล้วว่าเพื่อนตัวเล็กของเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“นายทำแบบนี้ทำไม นายให้คนมารุมซ้อมอู๋ฟานทำไม?”
“นายจำได้หรือเปล่าว่าฉันเคยบอกนายว่าอะไร? ใครที่มันทำให้นายเสียใจฉันจะจัดการมันเอง”
คนหน้าหวานเงียบไปชั่วครู่หลังจากที่ได้ฟังแอลโจเอ่ย ใช่! เลย์เริ่มจดจำคำพูดนี้ที่แอลโจเคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้วได้อยู่ร่ำไร เขาก็เคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบแต่แอลโจก็ยังทำเพื่อเขาในสิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการ เพราะฉะนั้นที่คริสมีสภาพเป็นแบบนี้เขาก็มีส่วนผิดด้วยเต็มๆ
“ฉันเคยบอกหรอแอลโจว่าฉันต้องการ? นายคิดเองเออเองตลอด”
“แต่ฉันรักนาย นายรู้ดีแก่ใจอี้ชิง?”
“นั่นมันเป็นความรู้สึกของเด็กเจ็ดขวบเท่านั้นแหละนายจะไปรู้อะไร ตอนนั้นนายรู้ใจตัวเองแล้วหรือไงแอลโจ?”
เลย์ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเพื่อให้แอลโจเข้าใจ อยากให้อีกคนเลิกคิดกับเขาแบบนั้นสักที มันไม่ได้รู้สึกดีหรอกนะที่เขาจะทำให้ใครต่อใครต้องมาผิดหวังเพราะเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฉันก็ไม่เคยรู้หรอกว่าสุดท้ายฉันจะรักนายมาได้นานถึงทุกวันนี้”
สิ้นเสียงทุ้มเลย์ก็เงียบเสียงไปอีกครั้ง ถอนหายใจออกมาพลางยกมือขึ้นกุมขมับตัวเองแล้วนวดคลึงเบาๆ ความเครียดรุมเร้าเมื่อทุกอย่างมันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
“แต่นายก็ไม่ควร นายไม่ควรให้พวกของพ่อนายไปรุมซ้อมอู๋ฟาน”
“เพราะมันทำให้นายเสียใจ ถูกลงโทษก็สมควรแล้วหนิ”
แอลโจไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เลย์เตือนเลยสักนิด แอลโจอาจยังไม่รู้ว่าเลย์รักคริสมากแค่ไหน บางทีการไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งนั่นก็ทำให้อีกคนมองภาพบางอย่างผิดไป
“ฉันรักอู๋ฟาน บางทีนายอาจจะยังไม่รู้ว่าฉันรักเขามากจนไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว ต่อให้เขาไม่สนใจฉัน ทำให้ฉันเสียใจฉันก็เลิกรักเขาไม่ได้อยู่ดี ถึงนายจะใช้วิธีป่าเถื่อนเพื่อแก้แค้นแทนฉัน ยังไงฉันก็เปลี่ยนใจไปรักนายไม่ได้หรอก และในตอนนี้นายกำลังทำให้ฉันเสียใจและผิดหวังมาก นายจะลงโทษตัวเองยังไงแอลโจ?”
สิ้นเสียงหวานแอลโจก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย คำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับเลย์ว่าถ้าหากใครทำให้เลย์เสียใจ คนๆนั้นก็จะต้องถูกลงโทษ แต่ในครั้งนี้กลับเป็นเขาเองที่ทำให้อีกคนเสียใจ แล้วอะไรล่ะที่เขาจะสามารถลงโทษตัวเองได้
“ฉันทำให้นายเสียใจใช่ไหมอี้ชิง?” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างสั่นเครือ แอลโจกำลังโดนผลที่เขาได้กระทำไปกลับมาเอาคืนอย่างโหดร้าย คำพูดหวานหูหากแต่มันเหมือนคมมีดแหลมคมที่กรีดลงมาที่ก้อนเนื้อข้างซ้ายดีๆนี่เอง
“ใช่! นายทำให้ฉันเสียใจ...ที่สุด” เลย์พยายามกัดฟันพูดด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่ถึงยังไงเขาก็ยังมองแอลโจเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงอยู่เหมือนเดิม
“ฉันจะลงโทษตัวเอง...ด้วยการไม่มายุ่งกับนายอีก ฉันรักษาสัญญาอยู่แล้ว แต่ฉันรักนายจริงๆนะอี้ชิง มันไม่ได้เป็นความคิดแบบเด็กๆ ฉันรู้ใจตัวเองนานแล้ว”
“ขอโทษนะแอลโจ ฉันรักอู๋ฟานมากเกินกว่าจะรักใครได้อีก แต่นายยังเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอนะ”
เลย์ถึงกับยิ้มได้เมื่ออีกคนดูท่าว่าจะไม่ติดใจเอาความ เลย์รู้ดีว่าแอลโจจะไม่ผิดสัญญา เพื่อนคนนี้ตั้งแต่เด็กก็ทำให้เขาเชื่อใจได้เสมอ ถึงแม้บางครั้งจะทำอะไรที่ขัดหูขัดตาเขาไปบ้างแต่นั่นแอลโจก็ทำเพื่อเขาทั้งหมด
“ฉันเข้าใจแล้ว ถ้างั้นแค่นี้นะ ส่วนค่ารักษาพยาบาลไอ้หมอนั่นฉันไม่มีทางจ่ายให้แน่นอน”
“อื้ม ขอบคุณที่นายเข้าใจ”
พูดแค่นั้นคนหน้าหวานก็วางสายจากอีกคนพร้อมทั้งรอยยิ้มบางๆ โล่งอกโล่งใจเมื่อแอลโจไม่คิดจะสาวต่อความให้มันยืดยาว แต่นั่นก็อดจะเป็นกังวลไม่ได้ในเมื่อครั้งนี้เขาทำความหวังของเพื่อนอีกคนให้มันพังทลายไป แต่หัวใจเขามีแค่ดวงเดียว เพราะฉะนั้นเขาถึงรักคนได้แค่คนเดียวเท่านั้น
“ใครคือแอลโจ?”
เสียงทุ้มเย็นชาที่ดังมาจากด้านหลังทำให้คนหน้าหวานที่ยืนยิ้มอยู่ตรงระเบียงของคอนโดสูงต้องหันขวับไปมองด้วยความตกใจ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองไปมาแก้เก้อเมื่อคนที่เอ่ยถามมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง แล้วนั่นยังลุกขึ้นมาไหวอีกหรือยังไง เดี๋ยวก็ได้ทรุดไปอีกรอบ
“ข...เขาเป็นเพื่อนที่จีนของฉัน”
“หรอ?”
คริสหรี่ตาจับผิดคนตัวเล็กพลางวาดแขนกอดอกยืนพิงขอบประตูกระจกมองราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ
และนั่นคนที่ถูกจ้องมองจำต้องอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้คริสเข้าใจมันมากขึ้น
“เขาเป็นเพื่อนฉันอีกคนหลังจากที่นายย้ายมาอยู่ที่เกาหลี”
คริสพยักหน้าเข้าใจแต่นั่นก็ยังคงมองจับผิดเลย์อยู่ดี
“คุยกับเพื่อนมันซีเรียสขนาดนั้นเลยหรอ?” คริสเลิกคิ้วถามอีกครั้ง
“นายรู้ได้ยังไง แล้วมาตอนไหนเนี่ย?” ใบหน้าหวานฉายแววตกใจเป็นอย่างมาก อย่าบอกนะว่าคริสได้ยินเรื่องที่เขาคุยกับแอลโจ
“มาตั้งแต่ ‘ฉันรักอู๋ฟานมากเกินกว่าจะรักใครได้อีก’ ...อื้ม ตอนนั้นแหละ”
สิ้นเสียงทุ้มเลย์ก็ดูจะอึ้งไปไม่น้อย ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองด้วยความเขินอาย นั่งยองลงที่พื้นระเบียงก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงเลยสักนิด และนั่นคริสที่มองดูอยู่ก็อดจะนึกขันเสียไม่ได้
“เป็นอะไรล่ะอี้ชิง? ก็ฉันมาตอนนั้นจริงๆนี่นา”
“เลิกพูดได้แล้ว!”
พูดอู้อี้ไปกับมือที่ปิดหน้าของตัวเองอยู่เลย์ก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ ย่างก้าวอย่างระมัดระวังผ่านคริสเข้าไปในห้องอย่างเก้ๆกังๆ แวกนิ้วเล็กหน่อยให้พอเห็นทางพลันรีบเดินให้ห่างจากอีกคนเข้าไว้ อายไม่ไหวแล้ว ทุกคำพูดที่มันออกมาจากหัวใจของเขาคริสคงได้ยินมันแล้วสินะ คงจะเชื่อกันได้สักที
“อื้อ ปล่อยฉันนะอู๋ฟาน! นายเดินไม่ไหวก็ยังจะลุกขึ้นมาอีก ไม่ดูสภาพร่างกายตัวเองบ้าง”
เดินผ่านอีกคนไปได้ไม่ไกล ร่างกายบอบบางก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่ร้อนระอุจากพิษไข้ของคนตัวสูงเสียแล้ว ดิ้นขลุกขลักไปมาต่อต้านแต่นั่นก็ทำอะไรได้ไม่มากในเมื่อกลัวอีกคนมันจะล้มลงไปกองกับพื้นอีกน่ะสิ
“..................”
“นายเป็นอะไรมากป่ะเนี่ย? ทำไมไม่พูด”
เสียงหวานเอ่ยถามพลางหันหน้าไปมองอีกคนที่เอาแต่ฟุบหน้าไปกับลาดไหล่ของเขา เลย์อดจะเป็นห่วงไม่ได้เลยเมื่อเห็นคริสเป็นแบบนี้ ตัวก็ร้อน หน้าตาก็ฟกช้ำทั้งแผลที่หางคิ้วที่แตกอีกคนก็ไม่คิดจะทำแผลให้ตัวเองเลย
“คืนนี้อยู่ด้วยกันนะ”
สิ้นเสียงทุ้มที่เอ่ยขอคำเดิมคนตัวเล็กก็นิ่งชะงักไปชั่วครู่ แรงกอดรัดที่รอบเอวทั้งยังคางแหลมที่เกยอยู่กับไหล่ของเขาเหมือนออดอ้อนมันทำให้เลย์เริ่มใจสั่น
“ต้องการอะไร? ก่อนหน้านั้นนายยังไม่เชื่อคำพูดฉันเลย”
“แล้วนายพูดว่าอะไรนะ ฉันลืม” คริสแสร้งถามพลางยิ้มกริ่ม เอาเถอะว่าถึงตอนนี้จะรู้สึกผิดกับอีกคนที่ทำเรื่องเลวร้ายลงไป แต่นั่นสุดท้ายก็ไม่สามารถปล่อยเลย์ให้ไปเป็นของใครได้ แล้วคนในโทรศัพท์นั่นเขาก็ไม่ไว้ใจด้วยเหมือนกัน
“ของดีมีครั้งเดียว นายเคยได้ยินไหม?” คำว่ารักมันจะบอกบ่อยๆได้ยังไง เขารักคริสแต่นั่นจะให้พูดให้อีกคนฟังทุกนาทีมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก
“อี้ชิง...”
คริสเอ่ยผะแผ่วด้วยเสียงที่แหบพร่าข้างใบหูของคนตัวเล็กในอ้อมกอด
ก่อนจะเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยประโยคต่อมา
“มาเป็นเจ้าของฉันเถอะ ฉันจะเชื่อฟังนายเพียงคนเดียว”
พูดเสร็จก็กดปลายจมูกโด่งลงคลอเคลียที่ข้างแก้มนิ่มจนคนตัวเล็กในอ้อมกอดต้องเบนหนีน้อยๆอย่างน่าเอ็นดูพลางสูดดมกลิ่นหอมชวนให้สมองฟุ้งซ่านประจำกายของคนตัวเล็กเข้าไปฟอดใหญ่จนพอใจ
คริสไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าไข้หวัดที่รุ่มเร้าในตอนแรกมันเริ่มหายไป รู้ตัวอีกทีร่างกายก็มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่นั่นมันไม่ต้องเดาเลย เพราะใครอีกคนที่อยู่ข้างกันในตอนนี้กำลังทำให้เขาป่วยกายในตอนแรกหายไปได้จริงๆ และนั่นไข้ใจของเขาก็หายไปทั้งยังกลับมาเริ่มพองโตอีกครั้ง
“นายกำลังจะขอฉันเป็นแฟน?” เสียงหวานเอ่ยถาม ก่อนจะค่อยๆหมุนตัวเข้าหาอีกคนที่ตัวสูงกว่า
“อืม ก็รอนายมานานแล้วหนิ บอกรักก็ตั้งนานแล้ว”
“บอกรักตั้งนาน แต่เคยมีสักครั้งไหมที่จะขอฉันเป็นแฟน?”
เพียงแค่เลย์พูดจบคริสก็ดูจะอึ้งไม่น้อย ใช่! เขาบอกรักเลย์ก็หลายครั้ง เอาแต่พร่ำบอกคำเดิมๆให้อีกคนได้ฟัง ทั้งๆที่อยากเป็นเจ้าของคนตัวเล็กจะแย่แต่นั่นกลับไม่เคยเอ่ยปากขอเลยสักครั้งเดียว
“เป็นแฟนกันนะ ฉันว่าคำว่าเพื่อนมันเขียนยาวไป” พูดเสร็จมือหนาก็ยกขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ อมยิ้มจนแก้มแทบปริ ไม่ยักจะรู้ว่าตัวเองจะเขินอีกคนได้มากขนาดนี้
“ที่มันเขียนยาวก็แสดงว่าความสัมพันธ์มันยาวนานไง” เลย์ทำหน้าใสซื่อพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงบอกว่าที่พูดน่ะเป็นความจริง
“อี้ชิงอ่า ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนอ่ะเข้าใจไหม ฉันต้องการนายอย่างที่ผู้ชายคนนึงต้องการ?” พูดไปมือหนาก็ส่งไปกุมมือเล็กทั้งสองข้างของอีกคนพลางออกแรงเขย่ามันขึ้นลงไปมาเหมือนกับเด็กน้อยก็ไม่ปราน
“ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนหนิ”
สิ้นเสียงหวานปากเรียวก็ยกยิ้มทันทีด้วยความดีใจ คริสบีบมือของเลย์ไว้แน่น ทุกอย่างมันเร็วจนเขาตามแทบไม่ทัน เมื่อวานทะเลาะกัน วันนี้มีความสุข ทุกอย่างมันเร็วเหมือนกับรถที่วิ่งผ่านหน้าไป คริสไม่อาจบอกถึงความดีใจของเขาในตอนนี้ได้เลย สิ่งที่เขาต้องการจากอีกคนมันกำลังจะเป็นจริงแล้วใช่ไหม
“ฉันรักนายจริงๆนะ เชื่อฉันเถอะขอร้อง”
“นายไม่ได้รักคนอื่นนอกจากฉันใช่ไหม?” เลย์เอ่ยถามเหมือนจะยังชั่งใจ ถึงจะมอบกล่องดวงใจไปให้อีกคนจนหมดแล้ว แต่นั่นเขาก็อยากมั่นใจว่าคริสจะไม่โกหกกัน
“ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลยตั้งแต่จากนายมา ไม่เคยคิดว่าจะรักใครได้จนมาพบกับนายอีกครั้ง ต้องเป็นนายคนเดียวนะอี้ชิง”
พูดเสร็จใบหน้าหล่อก็ค่อยๆโน้มเข้าไปหาอีกคนช้าๆ กดริมฝีปากทาบทับกลีบปากอิ่มสีชมพูอ่อนธรรมชาติอย่างแผ่วเบา ดูดเม้มอ่อนโยนเนิบนาบสร้างความประทับใจท่ามกลางแสงจากโคมไฟสลัวภายในห้อง สอดมือเข้าที่ซอกคอขาวไม่รอช้าก็ส่งลิ้นร้อนเข้าไปกวาดตอนความหอมหวานภายในโพรงปากชวนหลงใหล เกี่ยวกระกวัดแลกเปลี่ยนความสุขให้กันและกัน เหลือบมองอีกคนก็เห็นว่าใบหน้าหวานนั้นเห่อแดงอย่างน่ารัก น่ารักจนคริสไม่อยากจะผละริมฝีปากออกเลยให้ตายสิ
“ฉันจะเชื่อใจนายอีกครั้ง แต่ถ้ามีครั้งต่อไป...” เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบากับอีกคนทั้งที่ใบหน้าสวยยังขึ้นสีระเรื่ออ่อน แต่นั่นก็เงียบไปจนคริสที่รอฟังถึงกับขมวดคิ้วสงสัย
“อะไร?”
“เฮ้อ! ช่างเถอะ!” เลย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ทั้งยังส่ายหน้าไปมาบอกอีกคนว่าไม่มีอะไร
“ทำไมอี้ชิง?” เมื่อเห็นว่าเลย์ดูท่าไม่ค่อยสู้ดี คริสก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้ ดึงร่างกายเล็กเข้ามากอดไว้แน่นก่อนจะลูบหัวทุยไปมาอย่างอ่อนโยน
“ฉันรักนาย...”
สิ้นเสียงหวานคริสก็ยกยิ้มร่าหัวใจพองโตจนตัวแทบลอย โอบกอดอีกคนไว้แน่น กดหัวทุยให้จมไปกับแผ่นอกของเขาก่อนจะรู้สึกได้ถึงลำแขนเล็กที่กอดรัดรอบเอวของเขาไว้ด้วยเช่นกัน
“ฉันก็รักนายอี้ชิง”
“ถึงแม้นายจะทำให้ฉันเสียใจ ยังไงก็เลิกรักนายไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นอย่าใจร้ายกับฉันนะอู๋ฟาน”
เลย์น่ารักเกินไปแล้ว คริสแทบอยากจะกดอีกคนลงกับที่นอนซะให้รู้แล้วรู้รอดถ้าไม่ติดว่าสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้มันไม่อำนวย เขารอฟังคำๆนี้จากปากของเลย์มานาน และนั่นพออีกคนพูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานทั้งยังแฝงไปด้วยความจริงจังทำให้คริสหลงหัวปักหัวปำขึ้นไปอีก
“ฉันขอโทษที่ทำให้เสียใจ แต่ฉันไม่เคยคิดจะนอกใจนายเลยนะอี้ชิง”
คริสกดปลายจมูกโด่งลงที่แก้มนิ่มเนียนใสของคนตัวเล็กเมื่อพูดจบ ก่อนจะกดจูบลุ่มลึกที่ริมฝีปากมันวาวธรรมชาติอีกครั้ง ไม่ลุกล้ำไม่เอาเปรียบ แต่นั่นที่ไม่เอาเปรียบก็เพราะสภาพร่างกายมันไม่เป็นใจหรอกนะ
“นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ ตัวยังไม่แห้งดีเลยเดี๋ยวจะไม่สบายเอา ว่าแต่มาที่นี่ได้ยังไง ลุงโฮดงมาส่งหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ยกมือขึ้นทาบไปบนเรียวหน้าสวยก็เกลี่ยนิ้วหัวแม่มือที่แก้มนิ่มของคนตัวเล็กอย่างเพลิดเพลิน
“นั่งรถเมล์มา”
“ห๊ะ! นายเนี่ยนะ?”
คริสดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นอีกคนมาที่นี่อย่างที่เขาไม่คาดฝัน นัยน์ตาคู่คมเบิกโพลงอย่างนึกแปลกใจ
ไม่คิดว่าลูกคุณหนูอย่างเลย์จะยอมนั่งรถเมล์เพื่อมาหาเขาที่นี่
“ทำไม? ฉันเหมือนคนทำอะไรเองไม่เป็นหรอ?” ใบหน้าหวานงองุ้มนึกงอนอีกคนขึ้นมาเสียดื้อ ร้อนถึงคนตัวสูงต้องรีบโน้มเข้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากเพื่อเป็นการง้อในทันที
“เปล่าครับ แต่ไม่คิดว่านายจะทำเพื่อฉันถึงขนาดนี้ ขอบคุณนะ”
“ก็กลัวคนแถวนี้จะตาย” เอาเถอะว่าเลย์ก็ยังปากดีเหมือนเดิม
“ถ้าตายแล้วจะเสียใจ” ตรงจุดจนไปไม่เป็น เลย์เชื่อแล้วว่าคริสมักจะทำให้เขาแพ้ได้เสมอ
“ว่าแต่นายเถอะ ไหนว่าจะไปจีน?”
“นายก็นะ สภาพฉันเป็นแบบนี้แล้วจะให้ไปได้ยังไง?”
“เอ่อ...เออน่านดิ แล้วแม่นายไม่ว่าหรอ?”
เลย์ไม่กล้าบอกว่าที่คริสเป็นแบบนี้เพราะใคร เขาหวังว่าถ้าคริสลืมๆมันไปเรื่องก็คงจะจบ
แต่นั่นเขาก็ไม่รู้ว่าจะโกหกคริสเรื่องที่แอลโจส่งคนมารุมเขาได้นานขนาดไหน
“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ฉันบอกท่านไปว่าไม่สบายน่ะ”
“อ้อ ก็ดีแล้ว”
“นายไปอาบน้ำเถอะ” คริสเอ่ยบอกพลางออกแรงดันหลังของคนตัวเล็กเบาๆให้เข้าไปในห้องน้ำ เปิดไฟภายในห้องให้สว่างก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวยื่นให้แล้วฉีกยิ้มละมุน
“อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวทำแผลให้นะ นายไม่ดูแลตัวเองเลย”
สิ้นเสียงหวานใบหน้าหล่อก็พยักขึ้นลงตอบรับ ส่งยิ้มไปให้อีกคนก็เกลี่ยนิ้วไปกับพวงแก้มใสของคนหน้าหวาน คริสเชื่อฟังเลย์อย่างไม่มีข้อแม้ เขารักเลย์และนั่นหัวใจของเขาก็มีได้แค่เลย์แต่เพียงผู้เดียว
“รักนายนะ” เสียงทุ่มเอ่ยผะแผ่วในขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะปิดประตูห้องน้ำ ทำเอาร่างกายบอบบางชะงักกึกอย่างทำอะไรไม่ถูก ยกมือขึ้นเกาศรีษะตัวเองก็เลิ่กลั่กหันมองนู่นมองนี่ หัวใจแทบจะปริแตกเมื่ออีกคนมองจ้องราวกับว่าจะกลืนกิน
“อ...อืม ก็รู้แล้ว อาบน้ำนะ?”
เอ่ยพูดอย่างเคอะเขินเลย์ก็ไม่ได้สบตากับคนตัวสูงเลยสักนิด ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อน่ารักจนคนที่ยืนมองอยู่อดจะปริ่มที่หัวใจเสียไม่ได้ สุดท้ายนิสัยของเลย์ก็ไม่เคยเปลี่ยน เกราะป้องกันที่สร้างขึ้นมันโดนคริสพังทลายไปจนหมด ความอ่อนโยน ความอ่อนหวาน ทั้งยังความซื่อตรงของเลย์ทำให้คริสรู้ได้ว่าหัวใจของเขาจะตั้งหลักปักฐานไม่ไปไหนอีกแล้ว
... ADOLESCENT…
*** เวลาไม่ได้อัพฟิคนานๆแล้วมันไม่ค่อยมีความมั่นใจเลย 555555
กำลังเครียดๆว่าสำนวนการแต่งของไรท์ไม่ค่อยจะเหมือนเดิม แง่งงง TT0TT
แต่อะนะ มาอัพแล้วววววว นานแต่มานะคะ กรั่กๆ ^^
ความคิดเห็น