คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ll ADOLESCENT 10 ll
ADOLESCENT 10
เช้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆหมอกสีดำลอยเคว้งอยู่บนอากาศสูงบ่งบอกได้ดีว่าอีกไม่นานคงจะแปรเปลี่ยนเป็นเม็ดฝนห่าใหญ่ ร่างสูงโปร่งเยี่ยงนายแบบที่เดินขึ้นบันไดของตึกเรียนมาทว่าดูท่าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เปรียบเสมือนท้องฟ้าที่มืดมนกับอารมณ์ของเขาที่คล้ายคลึงกันก็ไม่ปราน อากาศแบบนี้ใครเขาตื่นมาเรียนกันบ้าง แต่นั่นแม่คนที่สองกลับปลุกให้แหกขี้ตาตื่นมาโรงเรียนด้วยกันเสียหนิ
“จะนอนตายตรงนี้เลยไหม?” เสียงหวานเอ่ยถามอีกคนที่อ่อนเปลี้ยแรงน้อยคลานขึ้นบันไดมาอย่างน่าสมเพช กับอีแค่ตื่นมาโรงเรียนเหมือนทุกๆวันทำเอาอยากตายเลยหรือยังไง
“ปากหรือนั่นน่ะที่พูด จริงๆวันนี้นายควรจะปล่อยให้ฉันนอนโอบกอดหมอนข้างใต้ผ้าห่มน่าจะดีกว่านะอี้ชิง” คริสบ่นค่อนขอดเพื่อนตัวเล็กที่ไม่รู้จะให้บอกกี่ครั้งว่าไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน มือหนาออกแรงรั้งราวบันไดในขณะเดินขึ้นตึกอย่างอ่อนแรงพลางค่อยๆเดินตามอีกคนทั้งบ่นพึมพำไปตลอดทาง
“เออ รู้งี้ฉันปล่อยให้นายนอนตายในห้องก็ดี รำคาญเสียงบ่นนายมากบอกตรงๆ มลพิษทางเสียงโคตร!” ทิ้งประโยคเจ็บแสบไว้ให้คนตัวสูงเลย์ก็เดินตึงตังขึ้นบันไดเข้าไปในห้องเรียนก่อนอย่างไม่รีรอ
“แล้วที่ฉันบ่นแบบนี้เพราะใครล่ะ ก็ไม่ใช่นายหรือยังไง ย๊า! อุ้ย...”
ตะโกนโวยวายไล่หลังอีกคนไปคริสก็ถึงกับตกอกตกใจเมื่อหันไปเห็นรุ่นน้องผู้หญิงสองคนเดินขึ้นบันไดมาแล้วเจอกับเขาในสภาพใกล้ตายก็พากันหลุดขำคิกคัก วันนี้มันวันซวยหรือไงนะ แล้วคอยดูเถอะข่าวของเขาจะแพร่สะพัดทั่วทั้งโรงเรียนจนเสียภาพพจน์เทพบุตรสุดหล่อหมด
“อี้ชิง....”
“อะไร? ออกไปไกลๆเลยไป” เลย์ที่ยืนจัดหนังสือที่ชั้นวางเบี่ยงตัวหลบหนีมือหนาที่เอะอะเดี๋ยวกอดเอะอะเดี๋ยวลูบคลำทำเอาเขาระแวงไปหมด
คนที่ถูกเอ่ยไล่ก็ไม่ไปไหนเลยสักนิด เห็นใบหน้าขาวเนียนที่เติมแต่งไปด้วยแพขนตาสวยธรรมชาติทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะชื่นชม เรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็ไม่มีใครทำให้เป็นแบบนั้นได้ถ้าไม่ใช่เขา พวงแก้มวาววับที่ต้องแสงสะท้อนมันละเอียดใสน่าส่งปลายจมูกโด่งเข้าไปดอมดม ทั้งยังกลีบปากสีชมพูอวบอิ่มที่อีกคนส่งลิ้นออกมาเลียมันน้อยๆให้ชุ่มชื้นทำเอาคริสลอบกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่อย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
“มองอะไร?”
“…………..”
คริสไม่ได้ตอบคำถามของเลย์แต่กลับโน้มใบหน้าเข้าไปกดจูบที่ริมฝีปากสีสวยชวนลิ้มลองอย่างแผ่วเบา แตะสัมผัสอุ่นพลางดูดเม้มเล็กน้อยพอให้วูบหวาม เมื่ออีกคนดูท่าว่าจะไม่ขัดขืนลิ้นร้อนก็ส่งเข้าไปทำหน้าที่ในทันทีอย่างไม่รีรอ คริสไล่กวาดต้อนทุกอณูในโพรงปากอันน่าหลงใหลของอีกคนอย่างไม่รู้จักหยุดความต้องการ
เลย์ก็เหมือนกับวิตามินหรืออาหารเสริมราคาแพง ส่วนเขาก็พร้อมจะยอมป่วยไข้นอนโทรมเพื่อให้ได้รับอาหารเสริมตัวนั้นให้สุขภาพแข็งแรง และนั่นคริสก็ต้องการมันทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นเช้าเที่ยงหรือเย็น ได้แบบนี้บ่อยๆนี่อายุยืนยาวร้อยปีพันปีเลยนะขอบอก
“นายทำอะไรเนี่ยอู๋ฟาน?”
เพียงแค่คริสผละริมฝีปากบางออกให้เป็นอิสระ ไอ้เจ้าอิสระนั่นล่ะก็เปล่งเสียงต่อว่าเขาทันทีอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อครู่ไม่อยากจะประจานนะว่าเจ้าตัวน่ะอ้าปากให้เขาเข้าไปลิ้มลองเองโดยไม่ขัดสักคำ
“จูบไงไม่รู้จักหรอ?”
“แล้วนายไม่รู้จักคำว่าห้องเรียนหรือยังไง?”
“ถ้างั้นเรามาเปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นห้องนอนกันไหม?”
“หือ ไอ้ลามก!”
ต่อว่าแค่นั้นเลย์ก็สะบัดใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อหนีคริสไปทันที เดินทะแทกเท้าตึงตังจนพื้นสะเทือนไปฟาดหนังสือลงที่โต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด้วยความหงุดหงิด
“โอ้ย! มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเลยว้อย!” คริสลอยหน้าลอยตาพูดเย้ยอีกคนอย่างอารมณ์ดี สุนทรีย์บังเกิดแก่ตัวเขาตั้งแต่ได้รับอาหารเสริมในยามเช้าที่แสนจะอึมคลึม รู้งี้ทานมันตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นอนซะก็ดี
“มีแรงมากขึ้นไหม?” ใบหน้าหวานหันไปถามอีกคนพลางส่งสายตาเขม่นอย่างเอาเรื่อง
“อืม...ตื่นตัวเลยอ่ะ”
“แล้วอยากไม่ตื่นอีกเลยมะ?” เลย์แทบจะปรี่เข้าไปปล่อยหมัดใส่ไอ้หน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรลงมาจุติยังพื้นไม้ปาเก้ซะเหลือเกิน ทำเอาอารมณ์เสียตั้งแต่ตื่นนอนยันจะเข้าเรียนในคาบแรกก็ไม่ปราน
“ทำอะไรกันอยู่หรอโหวกเหวกโวยวายเชียว?” คนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องเป็นบุคคลที่สามเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แบคฮยอนมาก็ดีแล้ว เอาเพื่อนนายไปเก็บในโรงที”
“โรงอะไร?”
“โรงศพน่ะ” เลย์ช่างปากหนักทั้งยังร้ายกาจกว่าที่คิด นั่นทำเอาคริสนึกขำมากกว่าโกรธเคืองเสียอีก ก็ไม่สังเกตหรือไงว่าเลย์พูดมากกว่าประโยคห้วนสั้น ถึงไม่ได้น่าฟังแต่มันก็รู้สึกดี
“โรงศพมันคงแคบไป โรงแรมดีกว่าไหมอี้ชิง?”
สิ้นเสียงทุ้มหนังสือที่ถืออยู่ในมือเล็กก็ลอยละล่องเข้าเบ้าหน้าหล่อๆของคริสไปเต็มแรง ร้อนถึงบุคคลที่สามต้องรีบเข้าไปช่วยดูอาการทั้งไม่วายต้องหัวเราะจนลงไปนอนแด้ดิ้นกับพื้นทำเอาปวดเอวไปหมด
“พ่อมึงเป็นตลกหรอแบคฮยอน หัวเราะทำไม?” คริสยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่ขึ้นรอยแดงจากสันหนังสือเรียนของคนตัวเล็ก หันไปมองคนที่ลอบทำร้ายเขาก็เห็นเจ้าตัวขยับปากไม่มีเสียงส่งมาให้ว่าสมน้ำหน้ากระแทกหน้าอกหน้าใจเข้าเต็มๆ
“กูก็หัวเราะมึงนั่นแหละ! ป่านนี้มึงไม่อยู่เฉยหรอกคริส หน้าหล่อๆของมึงมีริ้วรอยเล็กน้อยมึงก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว นี่สงสัยจะเกรงใจคนสร้างรอยแดงๆล่ะสิท่า”
“กูก็โกรธอยู่เนี่ย! โกรธนะคนที่ทำอ่ะ โกรธจริงๆ” ประโยคแรกเอ่ยกับแบคฮยอนหากแต่ท้ายประโยคเอ่ยพูดลอยๆประชดคนตัวเล็กที่สร้างรอยแดงบนใบหน้าของเขา ทำเอาแบคฮยอนต้องส่ายหน้าเพลียใจ ดูยังไงก็ไม่เห็นแววโกรธในตัวคริสเลยสักนิด
“โกรธมากไหม?” เลย์เอ่ยถามพลางทำหน้าเห็นใจ
“โกรธมาก รอคนมาขอโทษอยู่” โคตรเด็ก เด็กที่เรียกร้องความสนใจ คริสกำลังเป็นแบบนั้น
“อ้อเหรอ? โกรธไปดิ โกรธเลย”
ไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อเลย์ไม่แม้แต่จะเห็นใจ ร่างเล็กเดินลงส้นตึงตังมาเก็บหนังสือที่หล่นอยู่ที่พื้นทำเอาคริสตกใจถอยกรูดไปข้างหลังเพราะคิดว่าอีกคนจะเดินมาลงไม้ลงมือกับเขาถึงที่ แต่นั่นพอได้หนังสือแล้วเลย์ก็เดินกลับไปยังโต๊ะเรียนตัวเดิมพร้อมทั้งหย่อนกายนั่งลงโดยไม่สนใจคริสอีกเลย
“โกรธไปดิ โกรธเลย… ยังจะโกรธเขาลงอีกไหมครับไอ้คนหล่อ?” แบคฮยอนล้อเลียนเพื่อนตัวสูงทั้งหัวเราะร่วน ทำเอาคริสต้องยกมือผลักทุยเล็กๆของแบคฮยอนจนปลิวไปอีกทาง แต่นั่นแบคฮยอนก็ยังคงยิ้มร่าเริงอยู่ดี เสือสิ้นลายจ่ะบอกเลย
“………………..”
“เห้ย! เมื่อกี้กูได้ยินมึงเรียกเลย์อีกชื่อนึง มึงบอกกูมานะคริสว่ามันเป็นชื่อเรียกระหว่างมึงกับเลย์แบบลับๆกันสองคนใช่ไหม?” แบคฮยอนเอ่ยถามหลังจากนั่งลงประจำที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
“เออ แล้วเกี่ยวอะไรกับมึงไอ้เตี้ย!?”
“เตี้ยบ้านอาม่ามึงสิ! เขาเรียกผู้ชายมิติที่สาม”
คริสถึงกับเหลือบตามองแบคฮยอนด้วยความมึนงง ก่อนจะส่ายหน้าไปมากับคำพูดแปลกๆของเพื่อนสนิท
“…………..”
“มึงบอกกูมาเลยว่ามึงมีซัมธิงอันเดอร์แวร์อะไรกับเลย์? พลีสเทลมี!”
“อันเดอร์แวร์มันชุดชั้นในป่ะวะ?” คริสเริ่มเข้าใจแล้วว่าไอ้ผู้ชายมิติที่สามนี่คืออะไร นอกจากรูปร่างไม่ได้มาตรฐานแล้วสติสตางค์ยังไม่สมประกอบอีกด้วย
“เอ้า! นี่อย่าบอกนะว่ามึงไม่เข้าใจความหมายของกู คริส...มึงนี่หล่ออย่างเดียวจริงๆ” แบคฮยอนส่งมือเล็กกะทัดรัดเข้าไปตบที่บ่าหนาของเพื่อนรักพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่จริงๆมีดีที่หล่ออย่างเดียวก็พอแล้วแหละ เกี่ยวหญิงกลับห้องสบายหวือ
“มึงอย่ายุ่งน่าแบค เป็นเรื่องของกูกับอี้...เอ่อ กับเลย์น่ะ”
“เออก็ได้ๆ แต่กูมีอีกเรื่องที่จะถามมึง กูเห็นพวกผู้หญิงในโรงเรียนเขาคุยกันว่ามึงวิดพื้นที่บันไดมันจริงเปล่าวะ?” ในเมื่อเรื่องนี้สอดรู้ไม่สำเร็จขอเรื่องอื่นแทนก็ได้ และนั่นในขณะที่แบคฮยอนเดินขึ้นมาบนตึกนักเรียนหญิงที่เดินผ่านเขาก็คุยเรื่องคริสกันหนาหูไปหมดทำเอาเขาต้องมาถามเจ้าตัวให้แน่ใจ
“ไอ้เหี้ย! ข่าวเร็วไม่พอ ตอกไข่ใส่สีกูอีก”
คริสถึงกับกุมขมับฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความเพลียใจ บ้านใครเขาวิดพื้นที่บันไดวะ คนเขาแค่ไม่มีแรงจะเดินขึ้นเลยเกาะราวจับพักให้หายเหนื่อยเฉยๆ แต่เอาเถอะมันซวยมาตั้งแต่เห็นท้องฟ้าดำมืดแล้ว ถ้าไม่มาเรียนเรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แล้วตอนกลางวันจะไปทานข้าวยังไงคนปล่อยข่าวมันคิดถึงใจเขาบ้างไหม แต่สุดท้ายเขาก็มานั่งหัวโด่อยู่ในห้องเรียนแล้วนี่หว่าทำไงได้ ก็แม่(เลย์)สั่งให้มาขัดได้ที่ไหนล่ะ
...ADOLESCENT…
“ทำไมมาด้วยกันได้?”
เซฮุนเอ่ยถามขณะเดินเข้ามาในบ้านก็เจอกับคนเป็นพ่อและแม่นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะอาหาร เขานึกแปลกใจไม่น้อยที่ร้อยวันพันปีจะมีสักครั้งที่พวกเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้นทำไมทุกคนถึงมาอยู่กันที่นี่
“ไปไหนมาน่ะเซฮุน กลับมาซะเช้าเลย?” คนเป็นแม่เอ่ยถามขณะนั่งจิบกาแฟราคาสมฐานะพลางอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย ไม่ได้เงยหน้ามองลูกชายเพียงคนเดียวเลยสักนิดทั้งๆที่ไม่เจอหน้าค่าตากันนานเป็นเดือน
“ก็คงจะหนีเที่ยวอีกล่ะสิ” คนเป็นพ่อเสริมทัพทำเอาเซฮุนยืนนิ่งไม่ไหวติงด้วยความเสียใจ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรอีกคนก็จับผิดเขาไปซะทุกอย่าง
“คุณพ่อไม่ได้อยู่กับผมตลอดรู้ได้ยังไงว่าผมหนีเที่ยว?”
“พอเถอะ นั่งทานข้าวสิลูก” มือกร้านพับหนังสือพิมพ์เก็บก่อนจะเอ่ยขัดบทสนทนาของพ่อลูกแล้วชวนเซฮุนให้นั่งทานข้าวด้วยกัน
เซฮุนนั่งก้มหน้าทานข้าวด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นชิน ปกติโต๊ะหลังใหญ่นี้จะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่นั่งมันในมื้ออาหาร นอกจากพักหลังๆจะมีลู่หานมาอยู่ด้วยเป็นครั้งคราวก็ทำให้เขาไม่ต้องนั่งเปลี่ยวทานข้าวเพียงคนเดียว
“คุณคิดจะลงหุ้นกับสายการบิน K หรอคะคุณโอ? ฉันไม่เห็นด้วย” เพียงไม่นานเรื่องธุรกิจของครอบครัวก็เข้ามาในช่วงเวลาแบบนี้อยู่ตลอด และนั่นเซฮุนก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบแล้วถอนหายใจทิ้งเท่านั้น
“คุณไม่ควรเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ผมขอจัดการเอง”
“แต่ฉันก็มีส่วนในการตัดสินใจ คุณต้องได้รับการอนุมัติจากฉันก่อน”
เสียงถกเถียงเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจที่มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งทำให้เซฮุนเริ่มจะชินชา เขาคิดว่าสงครามแบบนี้ไม่นานมันก็จะจบไปสักวัน แต่นั่นก็ไม่เลยเมื่อตั้งแต่ที่เขาจำความได้พ่อกับแม่ก็สนใจแต่เรื่องของธุรกิจมากกว่าตัวเขาที่เป็นลูกเสียอีก
“คุณโอ! คุณต้องมาคุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อน”
“ผมไม่คุย! คุณอย่ามายุ่งกับผมจะได้ไหม?” เสียงโวยวายลั่นบ้านกลับมาอีกครั้งหลังจากที่มันหายไปนาน กลับมาพร้อมกับคนเป็นพ่อแม่ที่ห่วงเรื่องเงินๆทองๆโดยไม่คิดจะเหลียวมองมาที่เขา
นัยน์ตาคู่คมกำลังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำไร้สีที่นานมากแล้วไม่ได้ไหลออกมา ความอึดอัดทั้งความน้อยใจที่คนเป็นพ่อแม่ไม่เคยมาเหลียวแลทำให้เซฮุนอ่อนแอ บางทีเขาควรจะยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้ที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยไปด้วยเงินทองแต่ยากจนขัดสนเรื่องของความรัก เขาก็เป็นคนนี่นา มีความรู้สึกนึกคิด มีจิตใจเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วมันจะผิดไหมถ้าเขาขอหวังให้สักวันสงครามแบบนี้ได้จบลงแล้วเป็นสุขตลอดไป
“อะนี่เซฮุน! ค่าขนมของเดือนนี้” มือกร้านสมวัยของหญิงกลางคนส่งบัตรเครดิตสีดำขลับไม่จำกัดวงเงินให้ลูกชายบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็สะพายกระเป๋าแบรนด์เนมที่ทะนุถนอมมากกว่าลูกชายในสายเลือดเสียอีกออกไปนอกบ้านด้วยอารมณ์คุกรุ่น พลันเหยียบคันเร่งรถคันหรูฉิวออกนอกรัวบ้านไปอย่างรวดเร็ว
“ใครเขาต้องการแบบนี้กัน” มือหนากำบัตรเครดิตจนแผ่นสีดำขลับนั้นบาดลึกลงที่ผิวเนื้อ เลือดสีแดงฉานไหลออกมาตามร่องนิ้วเอื่อยๆจนมันเต็มฝ่ามือไปหมด แต่นั่นเซฮุนกลับไม่รับรู้ถึงความเจ็บที่แผลเลยสักนิดถ้าเทียบกับความเจ็บปวดที่ผู้ใหญ่ทั้งสองได้สร้างให้
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? เดี๋ยวป้าทำแผลให้” ป้าแม่บ้านรีบเข้ามาดูแผลที่มือของเซฮุนด้วยความร้อนรน เห็นคุณหนูที่ดูแลมาตั้งแต่เด็กเจ็บเธอเองก็เจ็บไปแพ้กัน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวฮุนทำเองดีกว่า”
“คุณหนู! แล้วนั่นคุณหนูจะไปไหนหรอคะ?”
เซฮุนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ขายาวรีบพาตัวเองเดินออกจากบ้านหลังใหญ่โตแต่ไร้ซึ่งความอบอุ่นพลันสอดตัวเข้านั่งในรถคันหรูแล้วเร่งเครื่องออกไปทันที
ในเวลาแบบนี้ขอแค่ใครสักคนที่ทำให้เขาสบายใจได้ ให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ คิดได้ดังนั้นมือหนาจึงยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาพลางกดโทรออกถึงคนปลายทางที่เป็นหัวใจดวงสุดท้ายของเขาอย่างคาดหวัง
“ลู่หาน นายว่าง....”
“โทษทีนะเซฮุนฉันเรียนอยู่ ตอนนี้มีโครงงานต้องทำด้วย เดี๋ยวฉันโทรกลับนะ”
ไม่ทันที่เซฮุนจะได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นเสียงหวานจากปลายสายก็โพล่งขึ้นมาทำเอาเขาต้องหยุดฟังคนตัวเล็กพูดให้จบ ทั้งๆที่เขาก็มีเรื่องอยากจะพูดและระบายให้อีกคนฟังเช่นเดียวกัน
“อื้อ”
เซฮุนทำได้แค่เพียงตอบรับอีกคนในลำคอเมื่อรู้ว่าคนรักคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาคุยกับเขา สุดท้ายหัวใจที่อ่อนแรงของเขาก็เจ็บปวดจนไม่ได้รับการเยียวยา ก่อนมือหนาจะหักพวงมาลัยรถเปลี่ยนเป้าหมายจากคอนโดของลู่หานเป็นริมแม่น้ำฮันแทน บางทีเขาควรต้องอยู่คนเดียวให้เป็น รักษาบาดแผลของตัวเองให้ได้ เพราะต่อไปในวันข้างหน้าไม่รู้ว่าชีวิตของเขาจะจบลงที่ตรงไหน และจะมีใครเดินเคียงข้างเขาไปในขณะที่เขาไม่เหลือใครหรือเปล่า
...ADOLESCENT…
มือบางที่กำลังเก็บหนังสือหลังจากเลิกเรียนแล้วลงกระเป๋าถูกหยุดด้วยมือหนาของใครบางคนที่มายืนอยู่ตรงหน้านานมากพอตัว แต่นั่นเขาก็ไม่คิดจะสนใจ ปล่อยให้อีกคนยืนอยู่อย่างนั้นทั้งยังสะบัดมือเล็กให้ออกจากการกอบกุมอย่างไม่ไยดี
“ช่วยเก็บ” คริสยื้อหนังสือในมือเล็กที่อีกคนกำลังยัดมันลงกระเป๋ามาถือไว้ก่อนจะช่วยเก็บข้าวของที่กองอยู่บนโต๊ะเรียนให้เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
“ไหนว่าโกรธ โกรธมากเลยไม่ใช่หรือไง?” เลย์เหลือบม่านตากลมมองอีกคนที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่พร้อมทั้งตั้งคำถามส่งไปให้
“หายโกรธละ ไม่มีคนมาง้อสักที”
“เหอะ! หน้าสงสารเนาะ?”
“โห! อี้ชิง ใจร้ายกับฉันจังเลยนะ ก็รู้ว่าฉันคิดยังไงกับนายจะอ่อนโยนให้กันบ้างไม่ได้เลยหรือไง?”
สิ้นเสียงทุ้มใบหน้าหวานก็รีบหันซ้ายแลขวามองว่ามีใครอยู่ในห้องด้วยหรือเปล่า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อในห้องเรียนมีเพียงเขากับคริสแค่สองคน ก็ที่อีกคนเอ่ยออกมาน่ะใครได้ยินจะคิดยังไง รุ่นน้องทั้งโรงเรียนไม่มารุมทึ้งเขาเรอะ ก็ขวัญใจของหญิงสาวพวกนั้นหลงตัวมารักเขาเองนี่นา
“แล้วนี่มีอะไรกับฉัน?”
“ไปนั่งรอฉันซ้อมบอร์ดก่อนดิค่อยไปเรียนพิเศษ” คริสเอ่ยกับอีกคนพลางแสดงสีหน้าขอร้อง
“แต่ฝนมันจะตก”
“ถ้ามันจะตกก็ตกไปนานแล้ว ไปกับฉันนะอี้ชิง”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงคริสก็ดึงกระเป๋าของคนตัวเล็กมาถือไว้อย่างไม่รีรอ รั้งมือบางของอีกคนให้ออกไปจากห้องเรียนพร้อมกันโดยคนที่ถูกฉุดไปก็ไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยอมเดินเคียงข้างกันจนถึงลานกว้างหน้าโรงเรียน สถานที่สำหรับฝึกซ้อมสเก็ตบอร์ดของพวกเขาเมื่อมีเวลาว่าง
“อ้าว! สวัสดีครับพี่มินโฮ” เมื่อเดินมาถึงที่หมายใครบางคนที่คุ้นเคยก็ทำให้คนตัวเล็กแปลกใจก่อนจะเอ่ยทักทายพร้อมทั้งรอยยิ้ม และนั่นคริสที่มองดูอยู่ก็อดจะนึกสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้
“สวัสดีอี้ชิง”
“ทำไมพี่มินโฮมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?”
“พี่มาตามหาคนน่ะ” พูดเสร็จมินโฮก็เหลือบมองไปยังร่างสูงที่เดินเคียงข้างมากับน้องชายคนสนิทของเขา ก่อนจะไล่สายตาลงมายังมือหนาที่กอบกุมมือเล็กอยู่
“พี่มินโฮรู้จักอี้ชิงได้ยังไง?” คริสเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดูท่าไม่ชอบใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาจนมันชัดเจน
“นี่ไงอี้ชิง คนที่พี่เคยบอกว่าจะแนะนำให้รู้จัก แต่คงไม่ต้องแล้วมั้ง ดูท่าจะรู้จักกันแล้วแถมรู้จักกันดีซะด้วย”
เมื่อเห็นสายตาที่มินโฮมองมากรุ้มกริ่มเลย์จึงรีบดึงมือตัวเองออกจากการกอบกุมของอีกคนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ใช่อย่างที่มินโฮคิด แต่นั่นคริสกลับคว้ามือเล็กมากุมไว้เหมือนเดิมทำเอามินโฮเชื่อไม่ลงเลยจริงๆ
“พี่ยังไม่ตอบผมเลยว่ารู้จักอี้ชิงได้ยังไง?” คริสเอ่ยถามอีกครั้ง
“อี้ชิงเคยอยู่ในทีมฉัน”
คริสพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะตั้งคำถามที่ค้างคาใจไปให้มินโฮเพื่อคลายความสงสัย
“พี่ไม่ได้คิดอะไรนะ?”
คำถามของคริสทำเอารุ่นพี่ตัวสูงหลุดขำออกมาในทันที ดูก็รู้ว่าที่ถามน่ะหึงหวงอีกคน แต่นั่นมินโฮก็ไม่คิดจะแกล้ง ก็ที่มาหาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องกับคนตรงหน้านี่นา
“คิดอะไร อี้ชิงน่ะน้องชายฉันนะ”
“ก็ดีแล้ว ว่าแต่พี่มาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า?”
“อืม ฉันอยากให้นายลงแข่งครั้งหน้า” มินโฮเอ่ยบอกอย่างที่เขาต้องการจะพูดกับอีกคน ครั้งที่แล้วก็มาง้อให้คริสลงแข่งแต่เจ้าตัวกลับบอกปัดเพราะความไม่พร้อม
“ผมขอคิดดูก่อน”
“เหอะ! เล่นตัวเป็นตุ๊ดไปได้... แต่ยังไงฉันก็จะรอนายจนถึงวันแข่งนะ”
พูดแค่นั้นมินโฮก็เดินจากไป ไม่วายทิ้งทายโบกมือลาน้องชายคนสนิทที่มักจะคอยให้คำแนะนำเขาได้เสมอเวลาต้องการความช่วยเหลือ
คริสเดินเข้าไปวางกระเป๋าที่โต๊ะข้างล้านกว้างพลางดันไหล่บางของคนตัวเล็กให้นั่งรอเขาอยู่ตรงนี้โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ก่อนจะสไลด์แผ่นกระดานไม้ไปซ้อมกับจงอินและแบคฮยอนที่กำลังโชว์ลวดลายอยู่อย่างสนุกสนาน นั่นทำให้เลย์ต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความคล่องใจว่าอีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วนั่นจะตกลงยอมแข่งอย่างที่มินโฮบอกหรือเปล่า
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงเรียกเข้าทำให้เลย์เลิกคิดเรื่องต่างๆแล้วมองหาที่มาของเสียง โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆแต่นั่นกลับไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของคนที่กำลังซ้อมสเก๊ตบอร์ดอยู่ เลย์จึงคว้ามันมาถือไว้ก่อนจะเดินเอาไปให้คนตัวสูงที่เล่นท่าโชว์พาวอยู่ให้รับมันเผื่อมีเรื่องสำคัญ
“โทรศัพท์นาย” เลย์ยื่นมันไปให้อีกคนที่เหงื่อออกโชกเต็มตัวก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะไม้ตัวเดิมอีกครั้ง
“อี้ชิง เดี๋ยวฉันมานะ” คริสเดินตามมาที่โต๊ะก่อนจะเอ่ยบอกคนตัวเล็กแล้วทำท่าจะเดินออกไป
“ไปไหน?”
“ฉันลืมของไว้อ่ะ เดี๋ยวมา”
คริสรีบวิ่งออกไปจากลานกว้างแล้วตรงดิ่งเข้าโรงเรียนโดยมีสายตาของเลย์ที่มองตามด้วยความไม่เข้าใจ คริสร้อนรนแปลกๆ แต่นั่นเลย์ก็ไม่คิดจะสนใจแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้านของตัวเองที่เปิดคาอยู่บนโต๊ะ
“เลย์ ไอ้คริสอ่ะ?” ใบหน้าหวานเงยขึ้นอีกครั้งเมื่อใครอีกคนเดินมาหย่อนกายนั่งลงอยู่ฝั่งตรงข้าม
“อ้าว จงอินหรอ?”
“ใช่แล้ว นึกว่าจะไม่รู้จักฉันซะอีก”
“อ้อ ฉันรู้มาจากคริสอีกทีน่ะ”
“ว่าแต่ไอ้คริสมันวิ่งไปไหน ดูเร่งรีบเชียว?” จงอินเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนตัวสูงอยู่ๆก็วิ่งออกจากลานไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีทั้งยังร้อนรนเอามากๆ
“เห็นบอกว่าลืมของไว้ คงกลับไปเอาล่ะมั้ง”
ครืด ครืด~
เสียงเตือนข้อความที่สั่นอยู่บนโต๊ะทำให้เลย์ต้องเหลือบมองก่อนจะยกมันขึ้นมาดู หมายเลขปลายทางที่ไม่คุ้นเคยทั้งยังไม่แสดงชื่อของผู้ส่งทำให้เลย์นึกสงสัย
[เจอกันที่ห้องสมุด]
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจว่าคนที่ส่งมาต้องการอะไร แต่นั่นพอคิดได้ว่าปลายทางคงส่งมาผิดจึงเลิกสนใจแล้ววางเครื่องมือสื่อสารลงที่โต๊ะไว้เหมือนเดิม
ครืด ครืด ~
[รีบๆมาด้วยล่ะ เลย์]
ข้อความล่าสุดที่ส่งเข้ามาทำให้รู้ได้ว่าคนปลายทางไม่ได้ส่งมาผิด แต่นั่นใครกันล่ะที่ส่งมาแล้วมีเรื่องอะไรกับเขา
“ฉันขอตัวก่อนนะจงอิน” เลย์เอ่ยบอกเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกัน เดินออกมาจากลานกว้างแล้วตรงดิ่งเข้าโรงเรียนไปยังสถานที่ที่ข้อความในโทรศัพท์เครื่องหรูได้นัดไว้ แต่ เอ๊ะ! หรือเขาจะต้องโทรไปถามก่อนดีว่าอีกคนเป็นใคร
เลย์โทรกลับหาหมายเลขนั้นหวังต้องการรู้ว่าคนที่ส่งมาเป็นใครกันแน่ หากแต่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับหรือกดรับสายของเขาเลยสักนิด คิดได้แค่นั้นก็เกิดความสงสัย ไม่รอช้าจึงเดินเข้าห้องสมุดไปทันทีอย่างไม่รีรอ
ความเงียบเชียบทำให้ต้องเหลียวหลังมองเนื่องจากตอนนี้ห้องสมุดอันกว้างขวางของทางโรงเรียนไม่มีนักเรียนเลยสักคนนอกจากบรรณารักษ์ที่ทำหน้าที่อยู่บางส่วนเท่านั้น ก่อนเรียวขาเล็กจะพาตัวเองเดินเข้าไปยังด้านในสุดของห้องสมุดพลางสอดส่องสายตามองหาบุคคลดังกล่าว แต่นั่นเลย์กลับไม่พบใครสักคนที่นัดเขามาเจอ
“ก็ไม่เห็นมีใครหนิ”
ทำท่าจะหันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องสมุดหากแต่เสียงแผ่วเบาบางอย่างทำให้เลย์ต้องหยุดเท้าไว้เพียงแค่นั้น เท้าเล็กค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เสียงของที่มาอย่างช้าๆ ในซอกหลืบของห้องสมุดแบบนี้จะมีใครอยู่อีกหรือ หลังเลือกเรียนที่ห้องสมุดใกล้จะปิดยังมีคนอยู่อีกได้ยังไง แต่นั่นความคิดที่ว่ามีคนส่งข้อความมาหาเขาก็ลอยเข้ามา คงเป็นคนๆนั้นสินะ ไม่รอช้าก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปยังมุมอับของชั้นหนังสือในทันทีพร้อมจะพูดคุยกับอีกคนให้หายคล่องใจ
เพียงแค่เดินเข้ามาภาพตรงหน้าก็ทำเอาร่างกายบด้านชาจนขยับไปไหนไม่ได้ เลย์เข้าใจที่มาของเสียงแล้วว่ามันคืออะไร เสียงดูดเม้มของริมฝีปากที่ทำให้หัวใจของเขาถูกบีบรัดจนหายใจไม่ออก ภาพของใครอีกคนที่บอกว่าไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนกับเขาและผู้หญิงที่ไม่ชอบขี้หน้าเขาเอามากๆกำลังนัวเนียกันในมุมหนึ่งของห้องสมุด
“มาแล้วหรอ?” เสียงหญิงสาวที่เหมือนจะรู้ตัวว่าคนตัวเล็กยืนอยู่ก็ผละริมฝีปากออกจากคนตัวสูงแล้วหันมามองเขาด้วยสายตาเหยียดยาม ทั้งเรียวปากสวยที่แสยะยิ้มชวนขนลุกก็ถูกส่งมาด้วยเช่นกัน
“อี้ชิง...” คริสถึงกับตกใจเมื่อเห็นว่าเลย์ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะรีบผลักหญิงสาวไปให้พ้นตัวแล้วปรี่เข้าประชิดตัวเลย์ทันที
“นี่ใช่ไหมของที่นายลืมไว้?” เสียงหวานสั่นเครือพร้อมทั้งแววตาที่ฉาบไปด้วยหยาดน้ำคลอหน่วย เขาอุตส่าห์มองคริสในแง่ดีทั้งยังเชื่อใจ แต่นั่นเขากลับกลายเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกอยู่ดี
“มันไม่ใช่นะ ฉันอธิบายได้” คริสรีบคว้าข้อมือบางมากุมไว้เพื่อให้อีกคนเชื่อใจเขาแต่นั่นเลย์กลับสะบัดมันออกอย่างไม่ไยดี
“คริส นายก็บอกไปเลยสิว่านายถูกใจฉัน”
“หยุดไปเลยเจสสิก้า! นั่นมันเพราะเธอไม่ใช่หรือไง?!” คริสกัดฟันกรอดด้วยความโมโห ถ้าเห็นว่าเธอเป็นผู้ชายเชื่อเถอะว่าเขาจะไม่ปราณีเลย
“พอที! อย่าแก้ตัวอีกเลย นายอยากทำอะไรก็เรื่องของนายไม่เกี่ยวกับฉัน!” พูดแค่นั้นเลย์ก็สะบัดข้อมือออกจากการกอบกุมของอีกคน หันหลังกลับเดินออกมาจากห้องสมุดพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลลู่อาบข้างแก้มโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
เขาก็คงเป็นแค่ของเล่นสำหรับคริสเพียงชั่วคราว ในต้องแรกก็ต้องการใจจะขาดเพื่อจะได้มันมาเล่นให้พอสนุก หากแต่เล่นไปนานๆก็ชักจะเบื่อเลยเขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดีทั้งยังสร้างบาดแผลจนของเล่นชิ้นนั้นพังไม่เป็นท่า เห็นเขาโง่มากเลยสินะถึงหลอกกันได้ลงคอ
มือบางยกขึ้นปิดปากตัวเองสะอื้นไห้จนตัวโยน เลย์เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตาของเขาเอง ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่มันย้ำเตือนให้เขาเจ็บปวดจนหัวใจแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่อึมครึมเหมือนหัวใจของเขาในตอนนี้ ในขณะเดียวกันกับที่สายฝนโปรยปรายลงมากระทบเข้าที่ใบหน้าตอกย้ำความเสียใจจนแทบจะเดินไม่ไหว
“อี้ชิง! ฟังฉันก่อน นายต้องฟังฉันนะ!” คริสที่วิ่งตามอีกคนออกมายื้อแขนเล็กไว้ก่อนจะรั้งให้หันกลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง
“ปล่อยฉัน! เลิกยุ่งกับฉันสักที ฮึก..เราเป็นอะไรกันหรอทำไมต้องมาสนใจ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย ฮือ...” ปากก็บอกไปแบบนั้นหากแต่หยาดน้ำสีใสที่ไหลออกมาปนเปกับสายฝนมันสวนทางจนไม่น่าเชื่อถือ
“...ขอโทษ แต่ฉันมีเหตุผล”
“เลิกแกตัวเถอะอู๋ฟาน! นายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรทำไมฉันจะไม่รู้ ฮึก... นายเปลี่ยนตัวเองไม่ได้หรอก กลับไปหาผู้หญิงคนนั้นเถอะ”
“แต่ฉันรักนายนะอี้ชิง รักนายได้ยินไหม?!” คริสตะโกนฝ่าสายฝนที่เริ่มกระหน่ำเทหนักขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายเปียกปอนไปทั้งตัว และนั่นเลย์ก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
“ไม่! นายโกหก นายโกหกฉัน!” เมื่อเริ่มเหลืออดเลย์ก็ตะโกนกลับอีกคนไปเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขาอึดอัดมากเหลือเกิน แรงกดดันมันทำให้เขาอยากพูดทุกอย่างออกไปให้หมด อยากพูดอะไรขอให้วันนี้ได้พูดอย่างที่ใจคิด
“ฉัน...อุตสาห์เชื่อใจนายได้แล้วเชียว ฮึก... แต่นายก็ปลี่ยนความคิดของฉันไม่ได้อยู่ดี นับตั้งแต่วันนี้เราเดินกันคนละทางเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว เหนื่อยกับความเชื่อใจ เหนื่อยกับความรักจอมปลอมของนาย...”พูดแค่นั้นเลย์ก็ค่อยๆถอยห่างออกจากอีกคน มองใบหน้าหล่อที่เขาเคยมอบหัวใจไปให้ชั่วครู่ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วออกเดินท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก
“อี้ชิงอย่าไป!”
“ได้โปรด...อย่าตามฉันมา ถ้ายังรักกันอย่าตามฉันมาอีกเลย...”
ฝนที่เทลงมาเหมือนรู้ว่าเขากำลังเสียใจ โปรยปรายลงมาตอกย้ำกันอย่างไม่มีผ่อนปรน น้ำตาที่ไหลออกมากลืนไปกับเม็ดฝนที่ตกกระทบลงที่ใบหน้าขาวเนียน เลย์เจ็บปวดอย่างไม่สามารถอธิบายได้ หัวใจที่เคยถูกสูบลมเข้าไปจนแทบปริแตก ตอนนี้มันกลับโดนเจาะด้วยเข็มนับร้อยนับพันเล่มจนแฟ่บแบนทั้งห่อเหี่ยวยากที่จะฟื้นคืน
“สุดท้ายก็โดนหักหลัง หึ!น่าสมเพชอะไรแบบนี้”
เดินออกห่างจากคริสมาไกลลับสายตาขาทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรงจนหยัดยืนไม่ไหว ทรุดฮวบลงนั่งกับพื้นโดยไม่อายต่อสายฝนที่โปรยปรายมาเยาะเย้ย ก้มหน้าสะอื้นไห้ปลดปล่อยความเสียใจออกมาให้หมด ไม่เคยมีความสวยงามสำหรับความรักของเขา ถึงอยากจะพูดความในใจออกไปให้หมดยังไง แต่มีคำนึงที่เขายังไม่เคยได้พูดมันออกมาและคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พูดมันอีกแล้วก็คือคำว่า ‘รัก’ ที่ต้องการจะพูดให้อีกคนฟังมาตลอด
“ขี้แยเหมือนเดิมเลยนะ มานั่งทำไมตรงนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี” เสียงทุ้มของใครบางคนที่ยืนถือร่มอยู่เรียกความสนใจจากเลย์ให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาหวานแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแม้จะเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนก็ตาม
“นาย...แอลโจ” เลย์เอ่ยเสียงเบาแหบพร่า พึมพำชื่ออีกคนทั้งแววหวานที่ฉายเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ลุกขึ้นเถอะอี้ชิง เดี๋ยวฉันไปส่ง ตัวเปียกแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นไข้กันพอดี”
“นายมาได้ยังไง? แล้วจะมายุ่งอะไรกับฉัน ฉันจะเป็นจะตายก็ปล่อยไปเถอะ”
“ฉันตามนายมาถึงที่นี่อย่าพูดกับฉันแบบนี้สิ” แอลโจเอ่ยทั้งรอยยิ้ม มือหนาข้างหนึ่งสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างก็ถือร่มให้กับคนที่นั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ที่พื้นด้วยความเป็นห่วง
“แล้วใครใช้ให้นายมา ฉันเคยร้องขอหรือยังไง?”
“ก็ยังปากดีเหมือนเดิม เลิกพูดมากแล้วลุกขึ้นได้แล้ว เดี๋ยวฉันไปส่งที่บ้าน”
พูดแค่นั้นแอลโจก็ค่อยๆพยุงคนที่นั่งอยู่ให้ยืนขึ้น ลากข้อมือบางให้ไปที่ลานจอดรถของโรงเรียนด้วยกัน ก่อนจะพาคนตัวเล็กไปส่งยังที่หมายปลายทางตามที่ได้บอกไว้ แอลโจเพิ่งมาถึงเกาหลีเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขาสืบค้นจนรู้ว่าเลย์อยู่ที่ไหนและเรียนอยู่โรงเรียนอะไร จากนั้นก็ไม่อยากเลยที่เขาจะตามหาอีกคนให้เจอ...
...ADOLESCENT…
TALK ** มันสั้นใช่ไหม? ไรท์ขอโทษค่ะ แต่คิดว่าตัดตรงนี้น่าจะดีกว่า 5555
ไรท์จะเปิดเรื่องใหม่นะคะ ชื่อ IT HAS TO BE YOU ฝากติดตามด้วยน้า น่าจะได้อัพตอนแรกเร็วๆนี้
ถ้าในแชปนี้มันมีคำผิดหรือพิมพ์สลับกันบ้างไรท์ต้องขอโทษจริงๆ
เพราะต้องตรวจคำผิดในเรื่อง THE WIZARD ค่ะทำให้ตาลาย สมองก็ประมวลการทำงานผิด @_@
มันก็เป็นแค่ข้อแก้ตัวนะคะ 55555 สุดท้าย รักรีดเดอร์ทุกคนนนนนนนนนนนนน ^^
ความคิดเห็น