คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : INTRO + ll ADOLESCENT 1 ll
INTRO
ล้านกว้างตรงข้ามโรงเรียนมัธยมปลายอินเตอร์ที่มีเนื้อที่ให้สำหรับเด็กวัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่าเด็กบอร์ดได้มารวมตัวกันเพื่อฝึกซ้อมและวาดลวดลายโชว์ศักยภาพของตัวเองโดยกระดานล้อลื่น ที่พวกผู้ใหญ่มีอายุมักจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เด็กวัยรุ่นพวกนี้ทำซะเท่าไหร่ ทั้งยังไม่เห็นด้วยกับการเอาเวลาอันมีค่ามาทิ้งไว้กับอุปกรณ์กระดานไม้ธรรมดาอันนี้ แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กวัยรุ่นพวกนี้มีโลกทัศน์ที่กว้างมากขึ้น
“เฮ้ยคริส! มึงเห็นผู้ชายคนนั้นป่าวว่ะ กูว่าเขาน่าสนใจนะเว้ย?” นิ้วเรียวของเพื่อนสนิทอย่างโอเซฮุนชี้ไปยังเด็กหนุ่มร่างบางผิวขาวออร่าที่กำลังยืนรอคนขับรถมารับอยู่ที่หน้าโรงเรียนอย่างเช่นทุกวัน
“ทำไม?”
“กูได้ข่าวมาว่าเขาเคยเป็นเด็กบอร์ดเก่า เก่งมาก แต่ตอนนี้กลับเลิกเล่นไปซะเฉยๆ ไม่มีใครรู้ด้วยว่าเขาเลิกเล่นมันเพราะอะไร น่าเสียดายว่ะ”
“อื้ม แล้วไง?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนักหากแต่นัยน์ตาคมก็ไม่วายจับจ้องร่างกายบอบบางนั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้อยากมองหากแต่คนหน้าหวานคนนั้นกำลังดึงดูดใจเขามากเหลือเกิน อยู่ไกลกันขนาดนั้นก็ยังเรียกความสนใจได้ถึงขนาดนี้
“นี่มึงไม่สนใจหรอวะ? ถ้าเราเอาเขามาเข้ากลุ่มได้กูว่าเวิร์คอ่ะ” เซฮุนเสนอความคิดเห็น เมื่อเขาได้ยินคำร่ำลือมาหนาหูเกี่ยวกับคนหน้าหวานคนนั้น ทำให้เซฮุนสนใจมากเป็นพิเศษ
“ปล่อยเขาไปเหอะ บางทีเขาอาจจะมีเหตุผลที่เลิกเล่นมัน” คริสเอ่ยขึ้นก่อนจะมองตามร่างบางที่กำลังขึ้นรถคันหรูอย่างไม่วางตา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นใคร นักเรียน ม.ปลายปีสอง ห้องเดียวกันกับเขา...เลย์...
ช่วงเวลาพักเที่ยงมักเป็นเวลาที่เหล่านักเรียนทุกคนต่างตั้งตารอคอยไม่แพ้เวลาของการเลิกเรียนในตอนเย็นซักเท่าไหร่ เวลาไม่มากไม่น้อยนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเลือกจะไปที่แคนทีนของโรงเรียนหากแต่ไม่ใช่กับคนหน้าหวานที่มักจะใช้เวลาในช่วงนี้คลุกตัวอยู่ที่ห้องสมุดของโรงเรียนอยู่เป็นประจำ
“เลย์! ไม่ไปทานข้าวหรอ?” เสียงหวานของเพื่อนรักต่างห้องที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเลย์มักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ถึงแม้รู้ว่าชวนแล้วเพื่อนจะปฏิเสธหากแต่ลู่หานก็ยังจะชวนเหมือนอย่างทุกวัน
“ชั้นไม่ค่อยหิวอ่ะลู่หาน ว่าจะไปห้องสมุดสักหน่อย นายไปทานข้าวเถอะไม่ต้องเป็นห่วงชั้นหรอก” เอ่ยบอกเพื่อนรักไปพลางมือบางก็ทำหน้าที่เก็บหนังสือเรียนลงกระเป๋าเป้ทีละเล่มอย่างใจเย็น
“อ่า นายควรจะทานข้าวเที่ยงบ้างนะ มันเป็นมื้อที่สำคัญต่อร่างกายมนุษย์อย่างเรานะเลย์”
“ฉันรู้น่า แต่ฉันไม่หิวจริงๆนี่นา” พูดแค่นั้นก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อนตัวเล็กได้สบายใจ ให้รู้ว่าดูแลตัวเองได้ไม่ต้องเป็นกังวล
“โอเคๆ งั้นเดินลงไปข้างล่างพร้อมกันนะ” ใบหน้าหวานพยักเป็นการตอบรับ พลันกอดคอเพื่อนตัวเล็กที่เดินเคียงข้างกันไปไม่ห่าง
.
.
.
“แยกกันตรงนี้นะลู่หาน ฉันไปล่ะ” เลย์โบกมือลาให้เพื่อนสนิท พลันใบหน้าหวานก็เปื้อนรอยยิ้มจางๆ อีกครั้ง เมื่อมองไปเบื้องหน้าก็พบกับสถานที่ที่ให้ความสงบสุขกับเขาได้เสมอ
ขาเล็กพาร่างตัวเองให้เดินเข้าไปด้านในห้องสมุดอย่างไม่รีรอ พลันมือบางก็กระชับกระเป๋าที่สะพายใส่หลังมาให้ถนัดมากขึ้น เดินเข้าไปก็มองหามุมที่เป็นส่วนตัวในทันที เมื่อได้ที่สงบๆแล้วจึงวางกระเป๋าเป้ใบโปรดลงพลันเดินวนหาหนังสือที่ต้องการจะอ่านอย่างสนใจ
“ประวัติศาสตร์อยู่ไหนน้า” พึมพำกับตัวเองก่อนม่านตากลมจะสอดส่ายไปตามชั้นหนังสือเพื่อหาเรื่องที่ต้องการหากแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้ร่างกายเหมือนโดนแช่แข็งพลันหัวใจก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
ภาพตรงหน้าที่มีเด็กนักเรียนหญิงและชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองกำลังพอดรักกันอยู่ในที่ที่ไม่สมควร ภาพกายสูงตรงหน้าที่อยู่ห้องเดียวกันกำลังจูบกับหญิงสาวร่างสะโอดสะองอย่างดูดดื่ม ทำให้ใบหน้าหวานต้องหันหนีภาพตรงหน้าอย่างทนดูมันไม่ได้
“ว้า หมดสนุกแล้วสิ” ชายหนุ่มเงยใบหน้าขึ้นก่อนจะหันมองคนที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว คิดว่าเวลาแบบนี้จะลับตาคนแล้วซะอีกหากแต่ก็ยังไม่วายมีคนมาเห็นเข้าจนได้
“ฉ...ฉันขอโทษที่มาขัดจังหว่ะ ก็แค่จะเดินมาหาหนังสือแถวนี้” พูดออกไปหากแต่ใบหน้าหวานนั้นก็ยังไม่หันไปมองคนทั้งคู่เลยสักนิด
“เจสสิก้า เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันไม่มีอารมณ์จะต่อแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าอยู่ในฐานะอะไร ก่อนเธอคนนั้นจะทำท่าทางไม่พอใจแล้วเดินตึงตังจากไปในทันที
“…………………………….”
“จะไม่หันหน้ามามองกันหน่อยรึไง? มันเสียมารยาทนะ” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้พูดกับคนหน้าหวานตรงหน้าไม่ใช่หญิงสาวคนเมื่อครู่ที่เพิ่งจะเดินออกไป
“ก็ไม่มีอะไร แค่จะมาหาหนังสืออ่าน” พูดเสร็จเลย์ก็เดินเข้าไปหาหนังสือหมวดประวัติศาสตร์ที่ต้องการในทันทีอย่างรู้สึกประหม่า
“เดี๋ยว!”
“อะไร? …อุ๊บ!”
ไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางสีโอรสก็โดนครอบครองโดยเรียวปากสวยของอีกคนในทันที ม่านตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจพลันมือบางก็ยกขึ้นผลักอกแกร่งนั้นหวังให้รู้ว่าไม่ได้เต็มใจ หากแต่ไม่เป็นผลเลยสักนิดเมื่ออยู่ๆก็ลืมตัวเผยอกลีบปากให้อีกคนได้เข้ามาควานหาความหอมหวานจากด้านในอย่างไม่อาจควบคุม หมดเรี่ยวแรงในการต่อต้านใดๆ ขาที่มันยืนหยัดอยู่ก็อ่อนยวบแทบจะทรุดหากแต่ได้มือหนาที่ช่วยประครองไว้ให้ยืนอยู่ได้เหมือนเดิม
“โทษฐานที่นายทำให้ฉันค้างจากเมื่อครู่ ขอเอาคืนจากนายก็แล้วกันนะ”
ใบหน้าหล่อผละออกมองคนตรงหน้า เอ่ยกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูของอีกคนพลางยกมือหนาตบเบาๆที่พวงแก้มใสก่อนปากเรียวจะกระตุกยิ้มอย่างนึกพอใจแล้วเดินจากไปในทันที ปล่อยให้คนที่ถูกกระทำถึงกับทรุดฮวบนั่งลงกับพื้นอย่างหมดกำลัง
“นี่ใช่นายคนที่ชั้นเคยรู้จักจริงๆหรอ? อู๋ฟาน น่ารังเกียจจริงๆ”
... ADOLESCENT…
รถสปอร์ตคันหรูจอดเทียบที่หน้าโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดังในตอนเย็นอย่างเช่นทุกวัน พร้อมกับกายบอบบางที่เอื้อมมือไปเปิดประตูด้านหลังแล้วหย่อนกายเข้าไปนั่งโดยไม่รอให้คนขับรถประจำตระกูลลงมาเปิดให้เลยสักครั้ง เมื่อได้ที่เรียบร้อยก็ไม่ลืมทักทายคนที่มีอายุมากกว่าเหมือนอย่างเคย
“สวัสดีครับลุงโฮดง”
“สวัสดีครับคุณหนู วันนี้จะไปไหนต่อไหมครับ? หรือว่าจะกลับบ้านเลย” เสียงแหบประจำตัวเอ่ยถาม พลันส่งยิ้มกว้างผ่านกระจกส่องหลังไปให้คุณหนูประจำตระกูลผู้น่ารักอย่างนึกเอ็นดู
“อ่อ ตอนแรกก็ว่าจะไปเรียนพิเศษน่ะครับ แต่ตอนนี้ไม่ไปแล้ว ผมเหนื่อยนิดหน่อยอยากกลับไปพักผ่อนมากกว่า ยังไงกลับบ้านเลยก็ได้ครับ” เอ่ยบอกแค่นั้นก่อนจะหันออกไปมองนอกกระจกรถที่มีกายสูงเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองยืนถือสเก็ตบอร์ดอยู่อย่างเช่นทุกๆวัน พร้อมทั้งภาพที่ฉายซ้ำเมื่อตอนกลางวันที่มันก็หวนวกเข้ามาย้ำเตือนอยู่ทุกห่วงเวลา
...ชั้นอยู่ใกล้นายแค่นี้ แต่ทำไมมันเหมือนไกลกันเหลือเกินนะ...
…หวังว่าสักวันจะจำกันได้…
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง ~~~~
เสียงเรียกเข้าทำให้ใบหน้าหวานต้องละจากภาพเบื้องหน้าก่อนจะหันกลับมาสนใจปลายสายที่โทรเข้ามา ม่านตากลมเหลือบมองจอสี่เหลี่ยมที่แสดงชื่อที่คุ้นเคยพลันริมฝีปากบางก็เผยรอยยิ้มกว้างในทันทีด้วยความดีใจ
“ว่าไงลู่หาน คิดยังไงถึงโทรมาหาฉันเนี่ย? วันนี้ก็หนีกลับก่อนเลยนะ” กรอกเสียงลงไปหาคนในสายพลันไม่ลืมเอ่ยแซวเพื่อนตัวดีที่นับวันพันปีถึงจะยอมเสียเงินในโทรศัพท์มือถือโทรมาหาเขาสักครั้ง
“โห้ยโทษทีๆ วันนี้ฉันมีธุระด่วนน่ะ ตอนแรกว่าจะไปหานายที่ห้องก่อนแล้วแหละ”
“อื้ม แล้วที่ยอมเสียตังโทรมาหาฉันเนี่ยมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า?” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก็จริงอย่างที่ว่า เลย์มักจะเป็นฝ่ายโทรไปหาลู่หานเสมอ ซึ่งเพื่อนตัวดีก็มักจะส่งข้อความมาหาเขาให้โทรกลับอยู่ตลอด เริ่มชินแล้วจริงๆ
“ก็เปล่าหรอก ก็แค่จะโทรมาบอกเรื่องนี้แหละ แล้วพรุ่งนี้ไปไหนรึเปล่า? มาหาฉันที่คอนโดหน่อยสิ พอดีฉันซื้อผ้าม่านมาใหม่ ช่วยติดหน่อย” ในที่สุดลู่หานก็พูดมันออกมา ไม่พ้นเรื่องที่ต้องเสียตังโทรมาก็เพราะอยากจะขอความช่วยเหลือนี่เอง ลู่หานสไตล์...
“ตลอดอ่ะ ไม่มีเรื่องก็คงไม่โทรมาหาฉันสินะ” เลย์บ่นค่อนขอดเพื่อนสนิทไปหากแต่ก็เต็มใจ เต็มใจเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือเพื่อนคนนี้
“โธ่เลย์ อย่าน้อยใจฉันสิ อะไรที่มันประหยัดได้ก็ควรจะประหยัดนะ”
“ฮ่าๆ โอเคๆ ฉันก็ล้อเล่นไปอย่างนั้นแหละ พรุ่งนี้เจอกันนะ”
พูดเสร็จเลย์ก็กดตัดสายไปในทันที นึกถึงเรื่องเมื่อครู่ก็อดจะนึกขันไม่ได้ ลู่หานไม่ใช่คนไม่มีเงินซะหน่อย พ่อเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่อยู่ที่แดนมังกรหากแต่เจ้าตัวไม่รู้จะงกไปถึงไหน ประหยัดจนเกินเหตุ บางครั้งก็เป็นเลย์เองที่ต้องควักเงินเป็นเสี่ยจ่ายแทนให้ไปอย่างไม่มีข้อแม้ ลู่หานช่างน่ารักจริงๆ...
…ADOLESCENT…
ปัง ปัง ปังๆๆ
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่เป็นเหมือนความสุขที่มีน้อยนิดพลันมลายหายสิ้นไปในทันที เมื่อร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มกำลังนึกฝันละเมออย่างมีความสุขอยู่ในตอนแรกกลับถูกรบกวนด้วยเสียงเคาะประตูที่ไม่รู้ว่าใช้มือหรือใช้เท้ากันแน่เคาะมัน น่าโมโหที่สุด
“สิบโมง โอ้ย! ใครมันมาแต่เช้าเลยวะ? นี่มันวันหยุดนะเว้ย” ลู่หานบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย สำหรับเขาแล้ววันหยุดถือเป็นวันพักผ่อนที่มีค่ามากที่สุด หากแต่คนที่มารบกวนเอาตอนนี้นี่คืออะไร ทั้งไอ้เสียงเคาะประตูนั่น อยากจะเอารองเท้าปาหน้าคนเคาะจริงๆ
ปัง ปัง ปังๆๆ
“เออๆ จะไปเปิดแล้วเนี่ย จะเคาะหาพระแสงเลเซอร์อะไรนักหนาวะ” พูดเสร็จก็ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองซะจนยุ่งเหยิง พลันขาเล็กก็รีบเดินไปเปิดประตูให้กับคนเถื่อนหน้าห้องทันที
“ทำไมมึงมาเปิดช้าจังวะคริ... เห้ยผี!!”
ไม่ทันจะได้พูดจบ เมื่อเจอหน้าเจ้าของห้อง ผู้ยืนเคาะประตูอยู่เนิ่นนานก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจทันที
“ผีบ้านนายสิ!! ฉันมาร์กหน้าเว้ย! แล้วนี่นายเป็นใครมาเคาะห้องฉันทำไม รู้จักกันรึไง? รู้ไหมว่าเวลานี้มันเป็นเวลาพักผ่อนของฉัน นายไม่รู้หรอกว่าฉันเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์ มันน่าโมโหไหมเนี่ย เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ มาเคาะห้องฉันแต่เช้า แล้ว...โอ้ย หงุดหงิด!!”
เสียงหวานบ่นใส่อีกคนเป็นชุดโดยไม่แม้แต่จะให้มีช่องว่างในการหายใจเลยแม้แต่น้อย นึกโมโหเมื่อคนที่มาเคาะเป็นใครก็ไม่รู้ทั้งยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แถมต้องเสียเวลาเดินมาเปิดประตูให้ ทำเอาอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าเลยให้ตายสิ
“เดี๋ยวๆ นี่นายจะไม่ให้ฉันพูดอะไรบ้างเลยรึไง? ...เห็นมาร์กหน้าซะดำปี๋ขนาดนี้ก็นึกว่าผีอ่ะดิ”
“อ้าวไอ้นี่! มาว่าฉันหน้าดำเหมือนผีได้ไง ไอ้...เผือก! ไอ้หน้าติ๋มเอ้ย” เจ้าของห้องตัวเล็กไม่คิดจะยอมแพ้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยสักนิด แต่คนอย่างลู่หานซะอย่าง เคยกลัวใครซะที่ไหน
“นายว่าใครหน้าติ๋มห๊ะ?! นาย....”
เสียงทุ้มกำลังจะกร่นดาอีกคนอย่างที่ใจต้องการเอาคืนหากแต่ประตูสีน้ำตาลบานหนาของห้องข้างๆกลับเปิดออกมาขัดจังหว่ะเอาเสียก่อน
“เซฮุน มึงไปทำอะไรอยู่หน้าห้องคนอื่นเขา?”
เจ้าของห้องเพื่อนบ้านเปิดประตูออกมาพร้อมด้วยกายสูงโปร่งที่ใส่แค่กางเกงบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้น ยืนโชว์สรีระอยู่หน้าประตูโดยไม่แคร์สายตาใครเลยสักนิด นั่นมันรู้จักอายบ้างไหม
“อ้าว! นี่ไม่ใช่ห้องมึงหรอกหรอคริส?”
เซฮุนเอ่ยถามออกไปพลันหน้าตาก็เลิกลั่กอย่างน่าตลก ก็เล่นเคาะห้องคนอื่นเขาจนเป็นเรื่อง ที่ไหนได้ผิดห้องนี่หว่า
“ห้องกูอยู่นี่ 905 นั่นห้อง 904” คริสตอบเสียงเรียบกพลันชี้เลขห้องประกอบเพื่อให้เพื่อนดูหมายเลขให้ดีๆ
“มีอะไรกันอ่ะลู่หาน?” ผู้มาใหม่อีกคนที่โชคร้ายเข้ามาในเหตุการณ์วุ่นวายก็คงพ้นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทของคนตัวเล็กที่นัดกันไว้ในวันหยุดอันมีค่านี้
“เลย์มาพอดีเลย ก็ไอ้หน้าติ๋มนี่อ่ะดิ เคาะห้องผิดแล้วยังจะมาว่าฉันหน้าดำเหมือนผีอีก”
“ใจเย็นน่าลู่หาน ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน” เลย์พยายามพูดในเพื่อนตัวเล็กใจเย็นหากแต่ก็ไม่นำพาคนอย่างลู่หานเอาซะเลย
“อยู่ตรงนี้ก่อนนะไอ้ติ๋ม เดี๋ยวฉันไปล้างหน้าก่อน มาร์กหน้าอยู่มันด่าคนไม่ถนัดเว้ย!...อย่าเพิ่งไปไหนล่ะเดี๋ยวฉันกลับมาด่าต่อ” พูดเสร็จเจ้าของห้องตัวเล็กก็ยกมือขึ้นชี้หน้าเซฮุนอย่างคาดโทษก่อนจะหายเข้าไปภายในห้องตัวเองอีกครั้ง
“ต้องขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ ลู่หานก็ใจร้อนแบบนี้เสมอแหละ” สิ้นเสียงหวาน หัวทุยก็โค้งน้อยๆให้กับกายสูงเจ้าของชื่อเรียกไอ้ติ๋ม พอมองเลยไปด้านหนังคนตรงหน้าอีกนิดนึงก็ถึงกับหัวใจวูบโหวง พลันคิดถึงเรื่องเมื่อวานก็อยากจะหนีหายไปจากที่ตรงนี้ในทันที เจอกันอีกจนได้ …อู๋ฟาน…
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เซฮุนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเลย์อาการแปลกไป ทั้งหน้าตาที่ดูขาวใสอมชมพูกลับซีดไร้เลือดจนน่าตกใจ
“ป…เปล่าครับ ผมโอเค” ตอบคำถามอีกคนเสร็จ ใบหน้าหวานก็หันหลบหนีสายตาคมของคริสที่จ้องมาในทันที
“ไม่ต้องพูดเพราะกับพวกเราหรอก นายก็ดูเหมือนจะรุ่นเดียวกันหนิ” เซฮุนเอ่ยบอกให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายก่อนเจ้าของใบหน้าหวานจะยอมพยักหน้าทำตามอย่างว่าง่าย พลันรู้สึกเกร็งไปหมดเมื่อสายตาคมที่จ้องมองมาไม่คิดจะละออกจากหน้าเขาสักที
“ฉันมาละ ไหนๆ ไอ้ติ๋มมันไปรึยัง?” ยังไม่ทันได้โผล่หน้าออกมาจากในห้อง ลู่หานก็แหกปากส่งเสียงมาก่อนตัวซะอีก
“อย่าน่าลู่หาน ให้เรื่องมันจบๆไปเหอะ” เลย์เอ่ยห้ามเมื่อลู่หานที่ตอนนี้ล้างหน้าล้างตาออกมาจากห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โวยวายจนคนที่พักอยู่ชั้นเดียวกันต้องโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นิ่งทำไมไอ้ติ๋ม ใบ้กินรึไง? ทำไมไม่ด่าฉันกลับล่ะ แหมๆทีเมื่อกี้ล่ะ ฮื้ม...” เมื่อเห็นอีกคนเอาแต่ยืนนิ่ง ลู่หานก็โวยวายเสียยกใหญ่ นึกโมโมจริงๆที่มาด่าเขาว่าหน้าดำเหมือนผี จะจำไปจนวันตายเลย
“เข้าห้องกันดีกว่านะลู่หาน อายคนอื่นเขา เห็นไหมคนออกมายืนดูกันแล้วเนี่ย” พูดเสร็จเลย์ก็จัดจากลากเพื่อนตัวเล็กเข้าห้องไปอย่างทุลักทุเล ไม่วายลู่หานก็ยังกร่นด่าเซฮุนไม่หยุดอีก ท่าทางจะแค้นฝั่นหุ่นเลยด้วยซ้ำ
“ฝากไว้ก่อนนะไอติ๋มกิมจิ อย่าให้ฉันเจอนายเชียว ไม่ตายดีแน่! ย๊า!”
.
.
.
“น่ารักสัส!” เหมือนกับละเมอเมื่อคนตัวเล็กอารมณ์ร้อนเข้าห้องไปแล้ว เซฮุนที่เอาแต่นึกโมโหอยู่เมื่อครู่กลับยืนนิ่งอย่างใจเย็นพลันไม่ขยับเขยือนไปไหนเมื่อได้เห็นว่าหน้าใสๆที่ไร้ซึ่งมาร์กสีดำปิดบนใบหน้าน่ารักนั่นมันช่างโดนใจเขาจริงๆ คนนี้แหละใช่เลย
“จะยืนให้ชาวบ้านเขามองอีกนานไหมไอ้ฮุน? รีบเข้าห้องมาเร็วๆ ทีหลังก็อย่าไปเคาะห้องผิดจนเดือนร้อนอีกล่ะ”
“กูว่าเขาไม่ได้มองกูหรอกคริส เขามองมึงนั่นแหละ! จะออกมาเดินนอกห้องก็ช่วยแต่งตัวให้มันเหมือนคนปกติเขาบ้าง ล่อเสือล่อจระเข้อ่ะกูพูดเลย”
ก่อนจะเป็นเป้าสายตาให้อาจุมม่าแทะโลมไปมากกว่านี้ พูดเสร็จเซฮุนก็เดินตามเพื่อนตัวสูงเข้าไปในห้องทันที ไม่วายก่อนเดินเข้าก็เหลือบมองบานประตูห้องคนน่ารักอีกสักครั้งให้ชื่นใจเล่น คนอะไรน่ารักเป็นบ้า
.
.
.
.
“ลู่หาน ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ คนข้างห้องนายอ่ะ....” เลย์เอ่ยถามด้วยความสงสัยหลังจากเดินเข้าห้องมาแล้ว ใบหน้าหวานแสดงออกเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหากแต่ในใจกลับกู่ก้องอยากรู้เรื่องของคนตัวสูงเต็มที่
“อ๋อ คริสน่ะหรอ? ก็เพื่อนห้องเดียวกับนายหนิ อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักกัน”
“เอ่อ...ไม่ใช่อย่างนั้น ก็พอรู้จักบ้างนิดหน่อยแต่ไม่เคยคุยกัน นายรู้จักเขาได้ยังไงอ่ะ?” ยิ่งแปลกใจขึ้นมากไปอีก ลู่หานไปรู้จักคริสตอนไหนนั่นเป็นสิ่งที่อยากรู้ที่สุด
“ก็เคยคุยกันครั้งสองครั้ง เพื่อนบ้านกันหนิทำความรู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย” เลย์หน้าถอดสีไปเล็กน้อย ทั้งๆที่เขาอยู่ห้องเดียวกันกับคริสมาปีกว่าๆแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เคยคุยกันสักครั้ง ผิดกับลู่หานที่ดูจะรู้เรื่องของคริสดีกว่าเขาซะอีก
“งั้นหรอ?”
“มีอะไรหรือเปล่าเนี่ยเลย์?” เมื่อเห็นเพื่อนหน้าหวานทำตัวแปลกไป ลู่หานเลยถามด้วยความเป็นห่วงพลันลอบสังเกตุสีหน้าเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ดูจะอยากรู้เรื่องของเพื่อนบ้านเขาเอามากๆซะด้วย
“เปล่าๆ ไม่มีไร ไหนละผ้าม่านที่จะให้ช่วยติด”
“เปลี่ยนเรื่องทันทีเลยนะ แหมๆ สนใจเขาอ่ะดิ” ลู่หานเอ่ยแซวเมื่อรู้ว่าอีกคนดูจะสนใจคริสไม่น้อย
“พูดบ้าอะไรน่ะลู่หาน ฉันก็แค่ถามดูเฉยๆ”
“แล้วทำไมต้องหน้าแดง… จริงๆคริสก็หล่อดีนะ สนใจไหมเดี๋ยวฉันติดต่อให้” เมื่อเห็นว่าเลย์จนมุม คนอย่างลู่หานก็ไม่เคยจะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆเลยสักครั้ง ปากแข็งดีนักต้องแกล้งซะให้เข็ด
“ฉันจะโกรธนายจริงๆนะ ถ้าไม่เลิกพูดเรื่องนี้” ใบหน้าหวานยู่ลงพลันหันหน้าหนีเพื่อนตัวดีขี้แกล้งก่อนจะเดินตึงตังไปหยิบผ้าม่านเพื่อไปติดที่หน้าต่างในทันที
“งอลชั้นทำไมเนี่ย? แค่ล้อเล่นเองทำเป็นจริงเป็นจังไปได้” พูดเสร็จลู่หานก็ไม่วายโดนสายตาหวานของเพื่อนรักจับจ้องมาจนเสียวสันหลัง ก็แค่ล้อเล่นไม่คิดว่าอีกคนจะจริงจังขนาดนี้ น่าสงสัย
.
.
.
.
.
“เสร็จสักที ฉันขอไปสูดอากาศตรงระเบียงก่อนนะ” เลย์เอ่ยบอกเพื่อนรักตัวเล็กหลังจากช่วยกันติดผ้าม่านสีอ่อนเสร็จสับ ไม่รอช้าก็พาร่างตัวเองให้เดินออกมายืดเส้นยืดสายมองวิวเบื้องหน้าเพื่อผ่อนคลายร่างกายในทันที หากแต่...
“ดูมีความสุขจังเลยนะ” เสียงทุ้มจากระเบียงห้องข้างๆเอ่ยขึ้นลอยๆอย่างไม่คิดจะใส่ใจ มือหนาคีบบุหรี่ขึ้นสูบอย่างใจเย็นก่อนจะหันกลับมามองคนร่างบางที่ออกมายืนสูดอากาศเมื่อครู่
“……………………..”
“เป็นเพื่อนกับลู่หานหรอ?” คริสเอ่ยถามอีกครั้ง แต่ดูเลย์จะไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูดอยู่เหมือนเดิม
“พูดกับใคร?”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้ว่าอีกคนหมายถึงใคร ไม่อยากจะสนทนากับคนห้องข้างๆเลยจริงๆ หากแต่ก็คงหนีไม่พ้นสินะ พลันนึกหงุดหงิดที่คริสดูจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเอาซะเลยทั้งๆที่เมื่อวานเพิ่งจะขโมยจูบแรกของเขาไปหมาดๆ
“แล้วนายเห็นคนอื่นนอกจากฉันกับนายอีกไหมล่ะ?”
“อ้อหรอ? ก็นึกว่าพูดกับเมฆกับหมอกแถวนี้ซะอีก” ตัวเล็กพริกขี้หนูเหมือนกับเพื่อนสนิทไม่มีผิด นั่นยิ่งทำให้คริสต้องมองคนหน้าหวานคนนี้ใหม่อีกครั้ง
“ปากดี…”
“ว่าใคร?”
“เปล่า!” เสียงทุ้มปฏิเสธไปลอยๆพลางมือหนาก็ยกม้วนบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้ง
“……………………..”
“ถ้านายเป็นเพื่อนกับลู่หาน งั้นก็เป็นคนจีนน่ะสิ?” สิ้นเสียงทุ้ม เลย์ก็หันใบหน้าไปหาอีกคนทันที ช่างใจคิดอยู่ว่าคริสจะจำเขาได้หรือเปล่า หากแต่สังเกตุจากสีหน้าแล้วก็คงจบลงเหมือนเดิม ไม่เคยคิดจะจำ
“อืม มาอยู่เกาหลีตั้งแต่เด็กแล้ว” ตอบกลับไปก่อนจะหันไปมองเบื้องหน้าเหมือนเดิม ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้เห็นแววตาที่ไร้ความรู้สึกแบบนั้นส่งมาให้ นี่คริสจำเขาไม่ได้จริงๆหรือ
“ฉันก็เป็นคนจีนเหมือนกัน”
“แล้วมาบอกฉันทำไม?” เลย์สวนขึ้นทันควันจนอีกคนก็ดูจะแปลกใจไม่น้อย ที่พูดไปแบบนั้นไม่ใช่อะไรเลย รู้ดีอยู่แล้วต่างหากว่าคนที่คุยด้วยเป็นใครมาจากไหน แต่อีกฝ่ายกลับจำเขาไม่ได้ซะงั้น
“โทษที ก็นึกว่าอยากรู้” ปากเรียวกระตุกยิ้มบางชวนหมั่นไส้ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทันที พลันในใจก็รู้สึกถูกชะตากับคนหน้าหวานเมื่อครู่เป็นอย่างมาก ช่างเป็นคนที่น่าค้นหาจริงๆ
.
.
คริสเดินเข้ามาในห้องที่เพื่อนผิวขาวฉายาไอ้ติ๋มนั่งอยู่ที่โซฟา ก่อนร่างสูงโปร่งจะหย่อนกายนั่งลงข้างๆ พลันมือหนาก็ขยี้ม้วนบุหรี่ทิ้งเมื่อสูบมันเสร็จ
“กูรับข้อตกลงนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกคนเป็นเพื่อนตามข้อตกลงที่ได้ขอไว้ ทำให้เซฮุนที่นั่งหมกหมุ่นอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆในตอนแรกถึงกับถลึงตาตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“มึงตกลงง่ายไปปะเนี่ย? ผีเข้าป่ะไอ้คริส?”
“ถ้างั้นกูเปลี่ยนใจก็ได้”
“เดี๋ยวๆ กูยอมมึงละ อย่าลืมนะมึง สืบเรื่องเลย์มาให้ได้ กูว่าเขาน่าสนใจดี ส่วนกูจะเข้าทางเพื่อนเขาเอง” พูดเสร็จเซฮุนก็กอดคอเพื่อนตัวสูงพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี
“เข้าทางลู่หานน่ะหรอ? มึงแน่ใจนะว่าเขาจะยอมให้มึงเข้าหา คิดว่าง่ายสินะ” ปากเรียวกระตุกยิ้มบางเหมือนอย่างที่ชอบทำ รู้ดีว่าเซฮุนคิดอะไรอยู่ ที่เข้าหาไม่ใช่อะไรเลยถ้าไม่ได้อยากสานต่อความสัมพันธ์แบบนั้น
“เชื่อกูดิท่านคริส นี่ใคร! โอเซฮุนนะครับมึง” ใบหน้าขาวแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้นึกถึงคนน่ารักข้างห้องเพื่อนสนิท ไม่คิดเลยว่าการเคาะห้องผิดจะทำให้ได้พบกับคนๆนี้ โอเซฮุนเชื่อไปแล้วว่ามันคือพรมลิขิต
“ครับไอติ๋ม….ว่าแต่เมื่อไหร่จงอินมันจะมาวะ นี่ก็เลยเวลานัดมานานแล้วนะ” คริสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมก๊วนซ้อมสเก็ตบอร์ดยังไม่โผล่หัวมาให้เห็น พูดนักพูดหนาว่าไม่สายแน่นอนหากแต่ก็ไม่วายติดเชื้อเดิมๆอยู่ดี
“เอ้อ! มันโทรมาบอกกูว่าไปรอที่สนามซ้อมแล้ว น่าจะอยู่กับแบคฮยอนอ่ะ”
“อืม งั้นเราก็ไปซ้อมกันเถอะ” ใบหน้าหล่อพยักขึ้นลงอย่างเข้าใจก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพลันไม่ลืมหยิบสเก็ตบอร์ดคู่ใจแล้วสไลด์กับพื้นออกจากห้องไปในทันที คิดว่าชีวิตนี้คงขาดไอ้ไม้กระดานล้อลื่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว....
…ADOLESCENT…
** ฟิคเรื่องนี้ไรท์เตอร์สนองนิดตัวเองสุดๆค่ะ 5555 แค่เห็นรูปพี่คริสที่แต่งตัวเป็นเด็กฮิพเลยเกิดอยากแต่งขึ้นมาซะเฉยๆ ^^เริ่มมาก็แอบป่วงเลย ฮุนหานดูมาเด่นกว่าคริสเลย์ซะอีก ><
อารมณ์แบบว่ามาแย่งซีนสุดๆ คริคริ ฝากติดตามด้วยนะคะ ^^
ความคิดเห็น