ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ¾` FIC T U T O R (HUNBAEK ft.EXO)

    ลำดับตอนที่ #4 : ¾` fic tutor chapter 3 : Promise with ชานม

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 58


     


     






     







    ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงคุณเจ้าของบ้านก็เอาเสื้อผ้ามาให้เขาจนได้ แบคฮยอนรับเสื้อผ้ามาจากมือของอีกฝ่ายทั้งๆที่ไม่มองหน้า แล้วก็เดินเลี่ยงฉิวออกไปที่ห้องน้ำในทันที เดินมั่วๆคลำๆทางไปนั่นแหละ เซ้นส์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ห่าอะไรล่ะ เดินออกมาจากห้องตามทางเดินแคบๆผ่านห้องๆนึ่งสามก้าวหันไปทางซ้ายก็เจอแล้ว

     





     

    ร่างเล็กใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เขาเสียเวลาไปกับการสำรวจสิ่งของในห้องน้ำราวยี่สิบนาที มองตั้งแต่พื้นกระเบื้องสีขาวที่เหยียบเข้ามา สิ่งของข้างในนี้เป็นสีขาวทั้งหมดยกเว้นดอกไม้ที่อยู่ในแจกันบนอ่างล้างหน้าและกำแพงกระเบื้องที่อยู่เหนืออ่างอาบน้ำที่ใช้เป็นสีเขียวมะนาวเพื่อไม่ให้สีห้องน้ำดูจืดและน่าเบื่อเกินไป ดวงตาใสเหล่มองซ้ายมองขวาในขณะที่กำลังขยี้เส้นผมที่เปียกแฉะด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก





     

    “นี่กูกำลังทำบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย”




     

    ตอนนี้เขาควรที่จะกลับไปที่หอหรือทำอะไรซักอย่าง ตอนนี้เขาต้องการกระเป๋าใส่งานกับโน้ตบุ๊คสำหรับเตรียมไปแก้เอฟที่มหาลัย กุญแจเข้าห้องด้วย กับที่นี่น่ะแค่คืนเดียวก็พอแล้ว แบคฮยอนมีความเกรงใจมากพอที่จะไม่รบกวนใครให้ลำบากหรอกน่า จริงๆนะ





     

    มือเรียวคว้าลูกปิดประตูแล้วเดินออกมาจากในห้องน้ำทั้งๆที่ยังมีผ้าขนหนูอยู่บนหัว กางเกงขาสามส่วนโคร่งๆที่ต้องผูกเชือกเอาไว้ไม่ให้มันหลุดลงไปอยู่ที่เท้า เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนสกรีนลายกราฟฟิคอาร์ตๆที่ใหญ่กว่าตัวคนใส่นิดหน่อย นับว่าเป็นอะไรที่โอเคทีเดียวถ้าหากเทียบกับเมื่อเช้า





     

    แล้วก็ต้องผงะเมื่อได้กลิ่นไหม้ๆโชยเข้ามาแตะที่ปลายจมูก แบคฮยอนเดินตรงออกมาเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปที่ห้องครัว




     

    ไม่สิ นี่มันแค่โซนครัวเฉยๆต่างหาก




     

    ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเห็นควันไหม้โขมงจากกระทะกับแผ่นหลังกว้างๆของเจ้าของบ้านที่มัวแต่ยืนนิ่งเฉยๆ กลิ่นเหม็นไหม้แทงเข้ามาในจมูกจนเขาต้องยกมือปิดจมูกเอาไว้





     

    “นี่-มัน-เชี่ย-อะ-ไร-เนี่ย”




     




     

    [BAEKHYUN]




     

    “...”

     



     

    “...”

     



     

    “ไอ้นี่มันคืออะไร ไหนอธิบายมาดิ๊”ผมยกมือขึ้นกอดอกในขณะที่ดวงตาจ้องมองไปที่วัตถุไหม้ๆสีดำทมิฬน่าสยองขวัญที่นอนอยู่บนกระทะ กลิ่นไหม้คละคลุ้งแถมควันขโมงไปทั่วจนผมต้องบอกให้เจ้าของบ้านเดินไปเปิดหน้าต่างแล้วปิดแอร์ซะก่อนที่อะไรๆจะแย่ไปกว่านี้

     


     

    “ก็ไข่เจียวไง”

     


     

    “ไข่เจียว ? มึงจะผลิตขีปนาวุธแข่งกับเกาหลีเหรอ”แบคฮยอนจิ้มไอ้วัตถุประหลาดๆนั่นด้วยตะเกียบ  ให้ตายเถอะ มันไหม้จนกรอบ กรอบจนไม่รู้จะเปรียบเทียบแบบไหน กรอบชนิดที่ว่ากรอบจนเกรียม ถ้าเดินมาช้าอีกหน่อยบ้านนี้ต้องไฟไหม้แน่ๆกูฟังธงเลย

     


     

    “ก็ตอนนั้นผมเอาเสื้อผ้าไปให้คุณที่ห้อง เวลาที่ผมคำนวณไว้มันเลยเคลื่อนไปนิดหน่อย แค่ศูนย์จุดแปดหนึ่งเอง”ว่าหน้าซื่อไปละมึง โยนความผิดมาให้กูอี๊ก จ้า ขอบคุณ

     


     

    “ไม่ต้องมาโบ้ย มึงมีเครื่องครัวไว้แขวนประดับบ้านเฉยๆเหรอ แค่ไข่เจียวยังเกรียมขนาดนี้ถ้ามึงไปทำอย่างอื่นครัวแม่งไม่กลายเป็นสนามรบแล้วเหรอกูถามหน่อย”

     



     

    “ย่าห์ พูดให้มันดีๆเลยนะคุณ ผมอุตส่าห์หวังดีทำข้าวเช้าให้เพราะไม่อยากให้คุณกินอาหารสำเร็จรูปเลยนะ”ผู้ชายตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าตึงๆแถมทำปากเป็ดใส่อีก คิดว่าตัวเองเป็นอะไร เด็กสามขวบเหรอ ถ้ากูเป็นแม่มึงกูเอาไม้แขวนเสื้อไล่หวดดากมึงไปแล้วเพื่อน

     



     

    “มาขึ้นเสียงใส่เดี๋ยวก็โบกหน้าให้นี่ เป็นเจ้าของบ้านแล้วเจ๋งเหรอเนี่ยหา”

     


     

    “แล้วเป็นเมทร่วมบ้านนี่เจ๋งมากเหรอหา ?”นั่น ได้ทีล่ะกวนกูใหญ่เชียว

     


     

    “พูดมากนะเราอ่ะ มะนาวอยู่ไหนวะ”ผมเลิกเถียงคนข้างๆตัวแล้วหันไปเปิดเคาท์เตอร์ลอยเพื่อหามะนาวแทน อย่าว่างั้นงี้เลย ไม่มีเก้าอี้ให้กูเหยียบหน่อยเหรอวะ เขย่งนานแล้วมันปวดนิ้วเท้ามั้ย ตัวผมไม่ได้เตี้ยนะ คือมันก็มาตรฐานผู้ชายอ่ะแหละ เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็สูงกว่าคยองซูอ่ะ แล้วบนนี้ไม่มีอะไร.. โอ้โห ขนมทั้งนั้น กาแฟยี่ห้อแพงหน้าสั่นสามสี่แพ็คใหญ่อีกต่างหาก นี่ตุนไว้เผื่อน้ำท่วมเหรอวะ

     




     

    เลิกพยายามเขย่งได้แล้วคุณ ตัวก็แค่นั้น มะนาวมันจะอยู่ตรงนั้นทำไมเล่า นู่น ตู้เย็นนู่น”เจ้าของเสียงดึงแขนของผมให้หันไปหาตู้เย็นแล้วใช้แรงผลักเบาๆเพื่อให้ผมเดินไปตรงนั้น ครับ ใดๆในโลกนี้ก็ด่ากูเตี้ย พวกคุณทั้งหลายดูไว้นะครับว่าความเตี้ยมันส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตแค่ไหน นมโรงเรียนมีก็กินๆไปเถอะ โตไปจะได้ไม่ลำบากเช่นกู

     



     

    “พูดมากนักก็ไปเอาดินปืนในกระทะออกไป”

     


     

    “นั่นไข่เจียวต่างหาก”โอ้โหนี่มึงยังหาญกล้าเรียกมันว่าไข่เจียวอีกเหรอ

     


     

    “โอ๊ย ไข่เจียวเจียวก็ไข่เจียว แล้วแต่จะคิดเลยพ่อคุณ ใส่น้ำในกระทะด้วย”

     


     

    “กระทะเนี่ยนะ ? ใส่เท่าไหนอ่ะ”

     


     

    “เท่าไหนก็ใส่ไปเถอะ”ผมหันไปเปิดตู้เย็นแล้วก้มลงไปค้นลิ้นชักชั้นล่างสำหรับใส่ผักผลไม้(คิดว่างั้น) หยิบถุงซองพลาสติกที่บรรจุมะนาวออกมาแล้วหยิบมันออกมาทั้งถุง ไม่เท่านั้นหรอก ผมหยิบหมูสามชั้นที่อยู่ในช่องแช่แข็ง หอมหัวใหญ่กับต้นหอมที่อยู่ในลิ้นชักแล้วก็กิมจิออกมาด้วย โว้วๆๆๆๆ ของดีทั้งนั้นเลยโว้ย

     


     

    “ใส่แล้วครับ แล้ว ..คุณกำลังจะทำอะไร ?”

     


     

    “ไม่ได้ทำขีปนาวุธแน่นอนละกัน เอาไป”ผมยื่นถุงใส่หมูสามชั้นไปให้คนตรงหน้าในขณะที่อีกคนยื่นหน้าหนี อะไร นี่หมูสามชั้นนะไม่ใช่แมลงสาบ กลัวอะไรขนาดนั้น ไม่เอาฟาดหน้าให้ดั้งยุบก็ดีเท่าไหร่แล้ว หมั่นไส้ หล่อนัก

     


     

    “อะไร เอาไปแช่น้ำล้างนู่น”ผมพยักเพยิดไปที่ซิงค์ล้างจาน อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วเดินไปแต่โดยดี ทำหน้าเหมือนกูบังคับมึงทำ เออ ก็บังคับนี่แหละ ทำเหมือนไม่เคยจับหมูสามชั้นไปได้ คนเรานี่ก็แปลก กินก็กินอยู่แทบทุกวันพอมาเห็นวิธีทำกลับไม่กล้าทำเพราะรังเกียจซะงั้น

     



     

    จะถามล่ะสิว่าผมทำกับข้าวเป็นรึเปล่า ก็ไม่ขนาดนั้น ถึงจะรสชาติไม่ดีระดับภัตตาคารห้าดาว แต่ไม่เป็นขีปนาวุธทำลายล้างกระเพาะอาหารใครแน่ เชื่อเถอะ

     


     

    ผมหันไปหยิบเขียงไม้สำหรับรองหั่นสี่เหลี่ยมขนาดเหมาะมือกับมีดออกมาจากที่วาง ฝานมะนาวหนึ่งลูกออกเป็นแผ่นๆด้วยท่าทางชำนาญแล้วโยนใส่กระทะที่ด้านในมีน้ำอยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง หมุนหัวเตาแก๊สโดยที่หมุนไปหาไฟอ่อนมากกว่าไฟแรง แล้วก็หันมาปลอกเปลือกและหั่นหัวหอมกับผักที่เหลือต่อ

     


     

    “เฮ้ หุงข้าวเป็นมั้ย ?”ผมหันไปหาคนที่กำลังยืนล้างหมูสามชั้นอย่างตั้งใจ โอ้โหนี่ต้องจดจ่อขนาดนั้นเลยเหรอ กะล้างเป็นชั่วโมงเลยมั้ย ไม่ใช่ว่ามึงเอาน้ำยาล้างจานล้างหรอกนะนั่น

     


     

    “หือ ผมเหรอ ?”

     


     

    “มีอันอยู่สองคนจะให้ฉันพูดคนเดียวรึไงล่ะ นายนั่นแหละ”

     


     

    เซฮุนทำหน้างงๆเพียงชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้ารับเบาๆ แต่ท่าทางของมันทำเอาผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าเจ้าตัวจะทำเป็นจริงรึเปล่า แต่แค่หุงข้าวเอง คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

     


     

    “ถ้าข้าวไม่ได้ล้างหรือซาวอัตราส่วนจะเป็น 1 : 1.5 - 1.7 ถ้าข้าวที่ซาวหรือทำความสะอาดกับน้ำแล้วจะเป็น 1 : 1.3 - 1.5 คิดเป็นอัตราส่วนข้าวต่อน้ำ”

     


     

    โอเค ......ผมคงโง่เกินไปกว่าที่จะเข้าใจในสิ่งที่มันพูด ทำไมคนเรามันชอบพูดอะไรยากๆนี่กูสงสัยจริง เอาเป็นว่าคงทำเป็นละกัน กินได้ไม่ได้ก็กินๆไป ถ้าแย่ก็ออกไปซื้อร้านสะดวกซื้อเอา

     


     

    “งั้นพอ ไม่ต้องล้างแล้วหมูน่ะ เอาวางไว้ในจานนั่นแหละ ไปหุงข้าวไป จะล้างจนมือเปื่อยเลยมั้ยพ่อคุณ”นั่น แขวะไปหนึ่งดอก

     


     

    “ผิดอีก”

     


     

    “ผิดตั้งแต่ทำครัวไหม้แล้ว”

     


     

    “คุณเป็นพวกทำผิดแล้วชอบซ้ำเติมรึไงหืม ? ผิดแล้วต้องให้อภัยแล้วแก้ไขสิ ไม่ใช่ซ้ำเติมคนอื่นเขา มันเป็นวิถีทางที่คนโง่เขาชอบทำกันนะรู้มั้ย”

     


     

    ว่าอย่างงี้เอาหม้อข้าวมาฟาดหน้ากูเลยสิ เอ้อ ใช่ซี๊ กูมันโง๊

     


     

    ผมละจากการหั่นผักแล้วหันไปมองมะนาวฝานที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในน้ำที่เริ่มเดือดปุดๆ ไอร้อนและกลิ่นของมะนาวที่ลอยขึ้นไปบนอากาศทำเอาผมหายใจทั่วท้องมากขึ้น แม่บ้านที่ชอบทำครัวไหม้จำใส่หัวไว้เลยนะครับ เผื่อวันนึงทำไฟไหม้ครัวแล้วกลัวผัวได้กลิ่นขึ้นมา เอาน้ำเทใส่กระทะผ่ามะนาวแล้วโยนๆๆๆลงไปเลย น้ำเดือดเมื่อไหร่กลิ่นหายทันที

     


     

    “กลิ่นหายแล้วนี่”เซฮุนที่ดูเหมือนจะหุงข้าวเสร็จแล้วหันมาหยุดยืนอยู่ข้างๆผมในขณะที่ผมกำลังปิดหัวแก็สแล้วเอาน้ำในกระทะไปเททิ้งลงซิงค์ล้างจานอย่างทุลักทุเล โอ่ย หนักโว้ย

     



     

    “แล้ว ..ผมต้องทำอะไรต่อมั้ย ?”คนข้างๆที่ยังคงตามติดไม่หยุดหันมาถาม โอ๊ย นี่มึงจะโคฟเป็น INSIDIOUS วิญญาณยังตามติดเหรอ อึดอัดโว้ย

     



     

    “พอ พอแล้ว เลิกตามฉันได้แล้ว ไปเล่นกับหมานายข้างนอกนู่นไป”ผมยกมือทำท่าปางห้ามญาติใส่หน้ามันเป็นเชิงบอกว่ามึงพอแล้วแล้วก็โบกมือใส่

     


     

    “เช้าแบบนี้เนี่ยนะ ..จาจังยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ”

     


     

    “แล้วไหนเมื่อกี้ทำไมมึงบอกว่าไม่ให้กูเปิดประตูให้หมา ?”

     


     

    “แต่ผมก็ไม่ได้บอกคุณว่ามันตื่นแล้วนี่ หมาที่ไหนจะตื่นเช้าล่ะ ถึงคุณจะเหมือนหมาแต่ก็ใช่ว่าหมาทุกตัวจะเหมือนคุณนะแบคฮยอน”ร่างสูงกว่าว่าเสียงเนือย เดินหันหลังล้วงกระเป๋ากางเกงออกไปจากโซนครัวแล้วลัดออกมานั่งที่เก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์แทน

     



     

    ทำไมคำพูดมันงงๆวะ มันว่ากูเหมือนหมาหรือมันบอกว่าหมาเหมือนกูหรืออะไรกันแน่ เออ ช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่าหมายังไม่ตื่น

     



     

    “คิดยังไงตั้งชื่อหมาว่าจาจัง”ผมถามมันในขณะที่ตัวเองกำลังง่วนอยู่กับการลงมือหันผักทั้งหลายแหล่แล้วเอาใส่ถ้วยใบเล็กๆไว้ วางกระทะที่ล้างแล้วลงบนเตาพร้อมจุดไฟอ่อนๆเพื่อให้น้ำข้างในมันระเหยออกไป  ที่ถามไม่ใช่อะไรหรอก ผมไม่ใช่พวกที่ชอบอยู่เงียบๆซักเท่าไหร่ เงียบๆแบบนี้มันทำให้ผมมีเวลาคิดมากกับเรื่องอื่น หมายถึงเรื่องอื่นที่ไม่ค่อยดีน่ะนะ

     



     

    “แล้วคุณคิดยังไงถึงถามล่ะ ?”นั่น เสียงกวนตีนแบบนี้ไม่หันไปมองหน้ากูก็รู้ว่ามึงทำหน้าแบบไหนอยู่

     


     

    “กูต้องการคำตอบมั้ยล่ะ ไม่ใช่คำถามกลับ เดี๋ยวพ่อเอากระทะฟาดให้ดั้งยุบ”

     


     

    “พ่อผมอ่ะมีแล้ว แต่พ่อทูนหัวนี่ยังไม่มี สนป่ะล่ะคุณ ทั้งชีวิตเลยเป็นไง ?”

     

     

    “จ้า แล้วแต่มึงเลยพ่อคนหล่อหน้ามีสองหูจับ(หม้อ) กับผู้ชายมึงก็ไม่เว้น”

     


     

    กูหมดคำจะกล่าวกับมึงแล้วครับเซฮุนผู้ไร้นามสกุล ถามดีๆก็กวนตีนกู ถามจริงจังมึงเปลี่ยนประเด็น แล้วกูก็เปลี่ยนตามมันอีก เขาขากันปานตลกเลยมั้ยล่ะซั้ซ กูคิดว่าเราควรแยกกันคนละครึ่งทางแล้วอยู่เงียบๆดีกว่าว่ะ เราคงเข้ากันไม่ได้จริงๆ (นี่กูจำประโยคนี้มาจากละครเรื่องไหนวะ จานแดงช่อง445เมื่อเดือนที่แล้วรึเปล่า)

     


     

    “มันมาจากจาจังมยอน หมายถึงบะหมี่สำเร็จรูปนั่นแหละ จาจังมยอนมันยาวไปผมเลยตัดเหลือแค่จาจัง มันก็ดูชอบชื่อนี้อยู่นะ อย่าถามเหตุผล ผมแค่หันไปเจอมันวางอยู่ในครัว เลยเอามาตั้งชื่อหมาแค่นั้นแหละ ไม่มีความสำคัญแฝงอะไรเลย”

     



     

    อืม พอกูไม่อยากจะรู้แล้วก็เสือกตอบ กูควรทำยังไงกับมึงดี-_-

     




     

    [END BAEKHYUN]

     











     

    เด็กหนุ่มทำเพียงแค่ยกมือเท้าคางแล้วจ้องมองคนตัวเล็กกว่าที่เดินไปมาอย่างกระฉับกระเฉงและทะมัดทะแมง ถ้าคนๆนี้อยู่เงียบๆแบบนี้มันก็โอเคดี โอเคกว่าตอนแว้ดๆเสียงดังๆโขเลยล่ะ

     


     

    เซฮุนไม่เคยแตะต้องเครื่องครัวยกเว้นไมโครเวฟที่เขาเอาไว้เวฟอาการสำเร็จรูปและเครื่องทำน้ำร้อนที่เอาไว้ชงกาแฟตอนเช้าๆ มันง่ายกว่าการที่จะต้องมานั่งทำอะไรให้วุ่นวายแบบนี้เยอะ เขาทำทุกอย่างได้ยกเว้นอาหาร อ้อ การหุงข้าวถือเป็นข้อยกเว้น นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้

     


     

    “นี่นาย”

     


     

    “หือ”

     

     

    “จะจ้องอีกนานมั้ย”

     


     

    “ก็มันไม่มีอะไรทำนี่ คุณไม่ให้ผมช่วย ผมก็เลยต้องนั่งให้กำลังใจคุณไง เผื่อคุณพลาดมีดบาดมือหรือทำอะไรไหม้ซะก่อน”

     


     

    “ว่างนักก็ไปเปิดทีวีดูไป”แบคฮยอนว่าพร้อมๆกับชี้ตะหลิวไปหาคนตรงหน้าที่เอาแต่นั่งเท้าคางมองอย่างใจจดใจจ่อตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาจ้องเวลาตัวเองกำลังทำอะไรหรอก ยิ่งกับผู้ชายด้วยแล้วยิ่งขนลุกขนชัน

     


     

    “ตอนเช้ามันไม่มีอะไรดูซะหน่อยนี่”

     


     

    “เปิดอะไรก็เปิดไปเถอะ มันเงียบ อยู่เล้วอึดอัด”แบคฮยอนว่าพร้อมกับโยนกระเทียมลงไปในกระทะร้อนๆที่มีน้ำมันอยู่ด้านใน ฝ่ามือขาวหมุนหัวบิดแก๊สเพื่อปรับไฟให้อ่อนลงเพื่อไม่ให้มันไหม้ไปเสียก่อน

     


     

    “คุณคุยกับผมก็ได้นะถ้าไม่อยากให้มันเงียบ ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณเยอะจะตาย”

     


     

    “ไหนว่ามา ขอแบบไม่กวนตีน”โยนหมูสามชั้นที่หั่นแล้วเรียบร้อยใส่ลงไปในกระทะ กลิ่นหอมค่อยๆลอยมาแตะที่ปลายจมูก ควันจากการทอดลอยออกไปจากทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง หันไปมองไอ้คนที่กำลังพยายามหาเรื่องคุยนิดหน่อยแล้วก็หันกลับมาที่กระทะแบบเดิม

     


     

    “คุณอายุเท่าไหร่ ?”

     


     

    “ยี่สิบเอ็ด”พอเห็นว่าหมูสุกก็จับหอมหัวใหญ่ ต้นหอมและกิมจิโยนลงไปในกระทะด้วยความฮาร์ดคอร์ แดกได้ไม่ได้ก็แดกไปเถอะครับ กูไม่ใช่ผู้หญิงแม่บ้าน ทำอะไรประณีตๆนี่ไม่ใช่ทางพี่เลย

     


     

    “อ้อ..”เซฮุนทำหน้าเหมือนไม่ค่อยแปลกใจกับคำตอบเท่าไหร่ ก็เรียนมหาลัยแล้วอายุประมาณนี้ก็ไม่แปลก ที่แปลกก็อายุเข้ายี่สิบแต่หน้าอย่างกับเด็กมัธยมต้นนี่แหละ โดยเฉพาะแก้มอวบๆอูมๆดูนุ่มนิ่มกับตาเล็กๆนั่นน่ะ

     


     

     “แล้ว ?”เสียงของอีกคนเรียกให้เขาหลุดจากอาการเหม่อลอยไปไกล เซฮุนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจ้องใบหน้าของแบคฮยอนอยู่ ให้ตายเถอะ  ถึงอายุน้อยกว่าก็ไม่อยากเรียกพี่หรอกแบบนี้น่ะ

     


     

    “ครับ ?”

     


     

    “นายอายุเท่าไหร่ ?”

     


     

    “คุณคิดว่าไงอ่ะ ? ทายดูดิ”

     


     

    “อืม ..น่าจะยี่สิบ ..สี่ ยี่สิบสี่ช้ะ ?  แป๊ปนะ โคชูจังอยู่ไหนวะ”คนหน้าตาจิ้มลิ้มหันซ้ายหันขวา ในขณะที่มือกำลังจับตะหลิวคนสิ่งที่ส่งกลิ่นหอมอยู่ในกระทะไปด้วยเพื่อไม่ให้มันไหม้

     


     

    “อยู่ข้างๆไมโครเวฟ เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ”

     


     

    “อ้อ เจอแล้ว”แบคฮยอนหันไปทิศทางที่ปลายนิ้วยาวชี้ไป ก้าวขาสั้นๆไปตรงนั้นแล้วคว้ามาไว้ในมือพร้อมกับช้อน เปิดฝาแล้วควักมาเต็มๆหนึ่งช้อนแล้วโยนใส่กระทะ ยืนปิดฝาแป๊ปนึงแล้วกลับมายืนคนๆอยู่ที่เดิม สีของมันเริ่มน่ากินแล้ว “อะไรนะ ที่พูดเมื่อกี้เหรอ ยี่สิบสี่ไง”

     


     

    “ยี่ ..สิบสี่เนี่ยนะ ! คุณ ! พูดใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ”

     


     

    “ก็ยี่สิบสี่ไง มึงนี่อะไรนักหนาเนี่ยหื้อ”แบคฮยอนหันไปทำหน้ารำคาญใส่คนที่เริ่มพูดโวยวายออกมา ก็มึงบอกให้กูเดากูก็เดาแล้ว มึงยังจะเอาอะไรอี๊ก

     


     

    “ผมไม่ได้อายุยี่สิบสี่นะคุณ แก่ขนาดนั้นได้ไง ตีนกาที่หน้าผมยังไม่มีซักเส้นด้วยซ้ำ”

     


     

    “ยิ้มเป็นแป๊ะบ่อยๆเดี๋ยวมันก็มีเองนั่นแหละ จะอะไรกันนักกันหนา”แบคฮยอนก้มลงปิดเตาแก็สแล้วหันไปเปิดหมอหุงข้าวดูแทนการหันมาสนใจเสียงคนที่อยู่ข้างหลัง โอ้ หุงข้าวเป็นนี่หว่า ไม่แฉะไม่เละด้วย แล้วทีไข่เจียวล่ะเสือกทำไม่เป็น

     



     

    “ผมอยู่มอหกเองนะคุณ ผมแค่สิบเก้าเองนะ คุณ คุณณณ ฟังผมดิคุณณ”เซฮุนเดินเข้าไปหาร่างเล็กแล้วเขย่าแขนอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย โอ๊ย บทจะง้องแง้งก็ง้องแง้งจังเลยมึงเนี่ย

     

     

    “ก็มึงไม่เรียกกูพี่เลยซักคำกูจะตรัสรู้มั้ย เรียกคุณนู่นคุณนี่คุณนั่นอยู่นั่นแหละ ถ้ามึงเรียกพี่กูก็รู้แล้ว ท่าทางบุคลิคมึงก็เหมือนเด็กมัธยมซะเมื่อไหร่ เบ้าหน้ากับส่วนสูงก็ไม่เข้าเค้า”แบคฮยอนแกะแขนปลาหมึกที่กำลังเขย่าต้นแขนของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย มึงจะผิดหวังอะไรขนาดนั้น

     


     

    “โห่คุณอ่ะ ผมก็เจ็บเป็นนะ”มีเอามือกุมอก โอ้โหโอเวอร์แอคติ้งขนาดนี้มึงไปเล่นละครเถอะ กูจะเป็นคนแรกที่กดเปลี่ยนช่องเลย

     



     

    “อ้อเหรอ ออกไปไกลๆเลยนะก่อนที่มือกูจะลั่นใส่หน้ามึงเนี่ย ไปเลย ไป๊”แบคฮยอนยกมือไล่คนที่เอาแต่เกาะแกะออกไปให้ห่างจากครัว อยู่ที่หอกูเลี้ยงลิงสองตัวกับคนอีกคนนึงยังไม่วุ่นวายเท่ามึงคนเดียวเลยเนี่ย

     



     

    “เออคุณ ผมมีเรื่องจะบอก”

     


     

    “มึงควรเรียกกูว่าพี่นะ”

     


     

    “ไม่เอาอ่ะ ผมชอบแบบนี้มากกว่า คือว่า ตอนที่ผมช่วยคุณเมื่อวานน่ะ”

     


     

    “อะไร จะทวงบุญคุณ ?”แบคฮยอนหันไปถามเสียงยียวน หันไปหยิบทัพพีตักข้าวออกมาแล้วเปิดฝาหม้อหุงข้าวออก ดวงตาเรียวเหลือบไปเห็นอีกคนกำลังส่ายหน้า นั่นทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

     


     

    “ผมกำลังคิดอยู่ว่าผมควรบอกมั้ย”

     


     

    “อย่ามาทำให้อยากรู้แล้วทำตัวแบบนี้”พูดง่ายๆคือมึงอย่าทำให้กูอยากรู้แล้วไม่พูด มันเหมือนเจอผู้หญิงเปิดกระโปรงโชว์ต่อหน้าแล้วเดินหนี เข้าใจมั้ย

     


     

    “คุณจะไม่ทำอะไรผมใช่ป่ะ”

     


     

    “แล้วทำไมต้องทำอะไรด้วย จะบอกก็บอกมาน่า อย่ามาโอ้เอ้”

     


     

    “ตอนที่ผมช่วยคุณอ่ะ จริงๆผมไม่ได้ออกมาหลังคุณหรืออะไร ผมตามคุณมาตั้งแต่ตอนที่คุณเดินมาแล้ว”

     


     

    “อ้อ แล้วไงต่อ”

     



     

    “ก็แบบ ผมก็เห็นคนๆนั้นเขาเดินตามคุณไป”

     


     

    “แล้ว ..ไม่ช่วย ?”

     


     

    “ไม่อ่ะ ก็คุณอยากออกมาเอง ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วยอ่ะ”

     


     

    โอ้โห คำพูดมึงนี่น่าเอาทัพพีตักข้าวฟาดปากจริงๆครับ แต่เถียงไม่ได้ กูทำตัวเองทั้งนั้นเลยงานนี้

     


     

    “แต่ผมก็ใจอ่อนยอมช่วยคุณแล้วไง คุณก็ใช่เล่นซะที่ไหนล่ะ ตัวแค่นี้แต่ทุ่มคนตัวใหญ่กว่าขนาดนั้นลงพื้นเลยนะ ถึงจะโดนตีหัวจนล้มก็เถอะ”

     


     

    พูดแบบนี้ก็แปลว่าเห็นตอนเขาโดนตีหัวอีกล่ะสิ

     


     

    “ผมก็แค่อยากให้คุณรู้ว่าการที่คุณไม่เชื่อผมมันเป็นยังไง คุณควรได้รับบทเรียนบ้าง จะได้จำ”เหมือนกับรู้ว่าอีกคนกำลังโมโห เซฮุนจึงยกมือขึ้นทำท่าห้ามแล้วรีบอธิบายต่อ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด แบคฮยอนหยิบจานเสียงดังแบบกระแทกกระทั้น ตักข้าวแบบฮาร์ดคอร์แล้วกระแทกจานข้าวสองจานลงกับเคาท์เตอร์ มองอีกฝ่ายจนตาขวาง แต่ในสายตาของเซฮูนมันกลับไม่ได้มีความน่ากลัวเลยสักนิด

     


     

    “เห้ย แต่ผมช่วยคุณกลับมาแถมพาไปเย็บแผลที่หัวเชียวนะ”

     


     

    “เออ ขอบคุณมากที่ให้ประสบการณ์ชีวิต ถือว่านี่เป็นคำขอบคุณละกัน ยัดเข้าไปให้หมดนั่นแหละ”ถึงคำพูดนั่นจะแสดงความประชดประชันไปหน่อย แต่เซฮุนจะถือว่านี่เป็นคำขอบคุณละกัน เขาไม่มายด์เรื่องคำพูดอยู่แล้ว

     


     

    “อ่าว แล้วคุณอ่ะ ?”

     


     

    “กลับมหาลัย”

     


     

    “งอนเป็นเด็กเลย”

     


     

    “อะไรนะ !

     


     

    “ผมบอกว่าคุณหน้าเด็กจังเลย”เด็กหนุ่มตัวสูงส่งยิ้มให้กับคนตรงหน้าจนตาหยี ยกแขนข้างหนึ่งพาดกับประตูตู้เย็นที่เป็นโล่ห์กำบังให้ แบคฮยอนชูนิ้วกลางใส่คนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็ต้องกุมหัวเมื่อรู้สึกปวดแปลกๆที่แผล

     


     

    “อะไร คุณปวดแผลเหรอ”

     

     

    “อืม มีผ้าพันแผลป่ะ ตอนอาบน้ำผมมันเปียกผ้าก็อซมันเลยเปียกด้วย”

     


     

    “ทำไมคุณไม่ใส่ที่คลุมผมก่อนอาบล่ะ เดี๋ยวแผลเน่าขึ้นมาผมจะขำให้ มานี่เลย”

     


     

    “อะไร ทำเองได้ เห้ยๆๆๆๆๆ”แบคฮยอนเกือบโวยวายเสียงดังลั่นเมื่อถูกร่างสูงกว่าเข้ามาประชิดร่างทั้งๆที่ยังไม่ทันตัวก่อนที่จะใช้ฝ่ามือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ต้นคอแล้วพาคนตัวเล็กออกมาจากโซนครัว โอ๊ยไอ้เหี้ยกูพี่มึงนะโว้ย

     


     

    ร่างของแบคฮยอนถูกจับแผ่หลาอยู่บนพื้นพรมในขณะที่เซฮุนเดินไปหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ออกมาแล้ววางมันไว้ที่ด้านซ้ายของร่างเล็ก คนอายุน้อยกว่านั่งลงข้างๆแล้วจับไหล่ให้คนตัวผอมนอนหันพลิกไปอีกทางโดยหาหมอนมารองคอไว้เพื่อไม่ให้ปวด ได้ยินเสียงบ่นอุบอิบมาเป็นพักๆ แต่อีกไม่นานคนได้มีมากกว่าคำว่าบ่นอุบอิบแน่เขามั่นใจเลย แค่เซฮุนเริ่มเอาผ้าพันออกคนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งแล้ว

     


     

    แต่ก็นั่นแหละ จุดไคลแมกซ์มันอยู่ที่การล้างแผลที่กำลังจะเกิดต่างหาก

     






     

    โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เจ็บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบไม่เอาแล้ววววววววววววววววววววววววววว กูไม่เอาแล้ววววววววววววววววววววววววววววววว

     

     



     

     

    ถ้าคุณยังดิ้นอยู่ผมจะเอาเท้าล็อคหัวคุณไว้เลยนะแบคฮยอน นอนลงมาดีๆ รู้แล้วว่าเจ็บ ไม่ต้องตะโกนให้คนทั้งซอยเขารู้ก็ได้มั้ย เฮ้ย อยู่นิ่งๆดิ ผมล้างแผลไม่ได้

     



     

     

    เซฮุนกูไม่เอาแล๊ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ไม่เอาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

     

     



     

     

    คุณหยุดส่งเสียงซักทีเถอะน่า เดี๋ยวข้างบ้านเขาก็หาว่าเราทำเรื่องลามกอนาจารกันพอดี ผมไม่ได้เอาแอลกอฮอลล์สาดใส่แผลคุณซักหน่อยจะโวยวายทำไมเล่า

     

     



     

     

    มึงไม่โดนอย่างกูมึงไม่เข้าใจหรอก นี่มันเจ็บกว่าโดนเตะไข่อีกนะโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย โอ๊ย เชี่ย แส๊บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ แม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

     

    ลั่น - บ้าน

     





     

    เซฮุนคิดว่านับตั้งแต่ตอนนี้เขาควรที่จะซื้อหูฟังซักอันเพื่อเอาไว้ปิดหูตัวเองเพื่อป้องกันอาการหูหนวก

     


     

    แต่แบบนี้มันก็ไม่ได้แย่หรอก

     

     

     

     

     

     

     





     

    “ย่าห์ๆ จะกินหมดจริงๆรึไง กระเพาะนายทำด้วยอะไรเนี่ย ?”แบคฮยอนตาเหลือกมองผู้ชายตรงหน้าที่เอาแต่ตักข้าวเข้าปากเอาๆอย่างคนตะกละตะกลาม ที่กะจะไม่ให้กูกินด้วยเลยใช่หรือไม่ เห้ย ที่กูบอกว่าให้มึงแดกให้หมดนั่นไม่ได้พูดจริงจังนะโว้ย

     



     

    “ผมยังไม่ได้แตะข้าวเช้าเลยสักแอะ คุณก็เหมือนกัน เมื่อกี้ผมเสียพลังงานไปเกินจำนวนเพราะคุณนั่นแหละ”

     



     

    “แค่ทำแผลมันจะเสียพลังงานตรงไหน คนเสียพลังงานมันคือฉันโว้ย ฉันนี่”แบคฮยอนเอาตะเกียบชี้หน้าอีกฝ่ายแล้วชี้เข้ามาหาตัวเอง แล้วก็ใช้ช้อนตักข้าวปากพร้อมกับ เคี้ยวจนแก้มขาวพองตุ่ยออกมา

     



     

    “พูดไป คนที่โดนคุณถีบปากนะใครเหรอ ไม่ใช่ผมรึ--”เด็กหนุ่มพยายามจะอ้าปากเถียง แต่อีกฝ่ายกลับตักข้าวยัดเข้ามาในปากเขาเสียก่อน

     



     

    “แอกเอ้าไอ ไอ้อ้องอูดอาก(แดกเข้าไป ไม่ต้องพูดมาก)”

     


     

    เซฮุนทำหน้ามุ่ยเข้าใส่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจแล้วก้มลงทานอาหารอย่างเงียบๆแทน มีเพียงเสียงตะเกียบและส้อมเท่านั้น จนกระทั่งจานที่พูนไปด้วยหมูผัดกิมจิว่างเปล่าจนไม่เหลืออะไรเลยแม่กระทั่งเศษผักนั่นแหละ

     



     

    “ใครล้างจาน ?”แบคฮยอนเป็นฝ่ายที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อน มือทั้งสองข้างวางขนาบกับโต๊ะกินข้าวทรงกลม ดวงตาเรียวรีมองคนตรงหน้าที่นั่งเอนหลังพิกพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ นี่มึงกะจะไม่ทำอะไรเลยใช่มั้ยเนี่ย

     


     

    “โอเค๊ ฉันล้างก็ได้”แบคฮยอนถอนหายใจใส่อีกฝ่ายอย่างปลงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทำทุกอย่างให้มันเสร็จๆไปเลยละกัน

     



     

    “คุณพูดคำว่า เซฮุน ช่วยไปล้างจานให้หน่อยได้มั้ยไม่เป็นรึไงเนี่ย ?”

     


     

    “ไม่”

     


     

    “โอเค งั้นผมล้างเอง”

     


     

    กวนตีนอีกแล้วไอ้เหี้ยนี่

     


     

    แบคฮยอนตากระตุกเมื่อเห็นคราบซอสติดอยู่ที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ดวงตาใสหรี่ลงอย่างขัดใจ สุดท้ายก็ต้องเดินไปหยิบกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่บนเคาท์เตอร์หินอ่อนมาแล้วเดินมาอยู่ข้างหลังของคนที่นั่งพิงเก้าอี้อยู่แทน

     


     

    “เห้ยคุณ จะทำอะไรอ่ะ จะฆาตกรรมผมเหรอ ?”

     


     

    วูบ..

     

     

    “กินเหมือนเด็กเลย”

     


     

    แบคฮยอนมือหนึ่งข้างจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยขึ้นสบตาก่อนจะใช้กระดาษทิชชู่ซับบริเวณริมฝีปากที่เปื้อนคราบอย่างแผ่วเบา แต่คนถูกกระทำถึงกับตาค้างชนิดที่ว่าไปไม่ถูก

     


     

    “ถ้าฉันเป็นผู้หญิงแล้วมาเห็นนายทำแบบเมื่อกี้ฉันคงวิ่งหนี เช็ดเบ้าหน้าทุกครั้งหลังกินข้าวเสร็จด้วย ไม่ใช่เอาแต่นั่งอืด เจ้าโง่เอ๊ย”แล้วก็ต้องคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย อะไรกัน ทั้งที่พูดแบบนั้นแต่ก็ยังเช็ดให้ไม่ใช่รึไง คำพูดสวนกับการกระทำชัดๆ

     


     

    “ขอบคุณครับแบคฮยอน”

     


     

    “นี่เรียกชื่อห้วนๆเลยเหรอ ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ อยากโดนบ้องหน้ามั้ยไอ้ห่านี่” แบคฮยอนเสยผมหน้าม้าที่ปรกหน้าของอีกฝ่ายขึ้นแล้วตีหน้าผากดังเพี๊ยะด้วยความหมั่นไส้แล้วโยนกระดาษทิชชู่ใส่ นี่ก็ดูดีฉิบหาย สิวซักเม็ดยังไม่มี มึงจะเพอร์เฟ็คไปแล้ว

     


     

    “มือหนักอ่ะ ผมเจ็บนะ”

     


     

    “ที่ตีนี่ไม่ได้ให้เจ็บมั้ง ไปเลย ลุก ไปล้างจานเลย”ฝ่ามือเรียวฟาดเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายแรงๆสองทีติด ก่อนจะเดินหนีไปที่โซฟาเพื่อหาอะไรดูแก้เบื่อ แต่เสียงของอีกฝ่ายกลับรั้งฝ่าเท้าให้หยุดเอาไว้ตรงนั้น

     



     

    “เดี๋ยวครับ”

     


     

    แบคฮยอนหันกลับมา

     


     

    “คุณ ..จะอยู่ที่นี่กับผมใช่รึเปล่า ?”

     


     

    เซฮุนมองหน้าของอีกฝ่าย มองลึกเข้าไปในดวงตา เขามองเห็นว่าดวงตาของแบคฮยอนไหวไปวูบหนึ่ง เซฮุนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงวกกลับมาถามคำถามนี้อีกทั้งที่อีกฝ่ายก็ยืนยันแล้วว่าไม่ เขาไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา แต่ในครั้งนี้ตัวของเขากลับเสือกที่จะสนใจในตัวของผู้ชายคนนี้

     


     

    ด้วยตัวเอง




     

    “ไม่ได้หรอก”




     

    นั่นไงล่ะ




     

    “บอกตามตรงนะ ..ดูจากที่เห็นแล้ว นายไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แค่จากที่ฉันเห็น นายเป็นคนช่วยฉัน พาไปทำแผล ให้ที่ซุกหัวนอนกับคนที่หนีออกจากบ้านแบบฉัน เหมือนเป็นพระมาโปรดเลย แต่เพราะอะไรรู้มั้ยฉันถึงอยู่ไม่ได้ เพราะว่านายไม่ได้รู้จักกันมากพอแล้วฉันก็ไม่ได้รู้จักนายดีพอ ใครจะรู้ บางทีซักวันหนึ่งฉันอาจจะลุกขึ้นมาปาดคอนายก็ได้ หรือนายอาจจะเป็นฝ่ายฆ่าฉัน ไม่มีใครรู้จิตใจของใคร จริงมั้ย ? นายไม่มีทางเดาใจฉันออกแล้วฉันก็ไม่มีทางเดาใจนายออก นั่นแหละเหตุผล”




     

    “ทำไมผมถึงจะเดาใจคุณไม่ได้ ผมรู้ว่าคุณจะกลับไปที่หอพักของคุณ แล้วคุณก็จะอยู่ที่นั่น ใช้ชีวิตด้วยตัวเองแล้วไม่กลับไปที่บ้านอีกไม่ว่าจะยังไง เพราะว่าคุณต้องการที่จะทำให้พวกเขายอมรับว่าคุณสามารถเอาใบปริญญามาให้พวกเขาดูได้ไม่ต่างจากคนอื่นที่ทำได้”




     

    ร่างเล็กนิ่งค้าง จะไม่ให้ค้างได้ยังไงในเมื่ออีกฝ่ายพูดสิ่งที่เขาคิดออกมาได้ทั้งหมดเลย




     

    “..นาย ..นายเข้ามานั่งในใจฉันรึไงถึงได้รู้”




     

    “คุณน่ะ แค่สีหน้าก็อ่านออกหมดแล้ว”




     

    นี่มึงเป็นใครกันแน่วะ งานอดิเรกคือโคฟเวอร์เป็นริวจิตสัมผัสเหรอ




     

    “ผมสังเกตคุณตลอดเวลา สีหน้าของที่แสดงออกมาเวลาที่กำลังคิดอะไรบางอย่างโดยที่ไม่รู้ตัวนั่นก็ด้วย”




     

    “...”




     

    “แต่สิ่งที่ผมมั่นใจที่สุดคือ คุณกำลังน้อยใจกับบางอย่าง”




     

    “นอกเหนือจากนั้นคือการคาดการณ์ทั้งหมดบวกกับสิ่งที่ผมเห็นจากการเจอกันครั้งแรกของเราและการพูดคุยกับคุณทั้งหมด”




     

    แบคฮยอนก้มหน้านิ่ง ทำไมถึงได้.. รู้ทุกอย่างไปหมด แล้วทำไมเขาถึงได้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายบ้างเลย นี่มันไม่แฟร์เลยนะโว้ย




     

    “ทำไมถึงอยากให้ฉันอยู่ที่นี่นัก”




     

    เซฮุนนิ่งไป เขาควรจะตอบคำถามนี้ว่าอะไรดี ถ้าบอกว่าอยากให้อยู่ห้วนๆก็เกรงว่าจะทำอีกฝ่ายคิดเกินเลยออกไปไกลว่าเขาเป็นพวกที่ชอบไม้ป่าเดียวกันอีก แต่ว่าเขาถูกใจผู้ชายคนนี้จริงๆ แต่จะบอกไปแบบนั้นมันก็ไม่ได้




     

    “ไม่มีครับ แค่ผมเห็นคุณ ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ตัวเองแล้ว แม้กระทั่งการพาคุณมาที่นี่ ผมยังไม่รู้เลยว่าทำแบบนั้นทำไมทั้งๆที่คุณจะกลายเป็นภาระของผม”




     

    “แต่ผมรู้สึกว่าคุณมีบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ผมยืนดูคุณนิ่งๆแบบนั้นไม่ได้ บางอย่างที่ทำให้ผมเดินเข้าไปหาและยื่นมือไปหาคุณและพูดออกไป บางอย่างที่ไม่ได้มาจากการสั่งการของสมองหรือเซลล์ประสาท ผมเคยเห็นแค่หน้ากับชื่อคุณจากคุณลู่ที่เป็นนายจ้าง ทั้งหมดผมก็รู้แค่นั้น”




     

    แล้วทำไมมึงต้องใช้คำพูดยากๆกับคนโง่แบบกูด้วยวะ ไม่เข้าใจโว้ย




     

    “แต่มันก็เป็นคุณนั่นแหละ”




     

    “หา ?”



     

    “คงเพราะรังสีความโง่คุณล่ะมั้ง ผมถึงได้โดนดึงไปตรงนั้นได้”เซฮุนยกมือขึ้นเท้าคางแล้วยิ้มกลับมาให้ ซึ่งไอ้รอยยิ้มนั่นมันทำให้แบคฮยอนรู้สึกคันแปลกๆ ..คันตีนน่ะนะ




     

    “กูขอต่อยหน้ามึงซักหมัดให้สาแก่ใจได้มั้ย”




     

    “ถ้าคุณจะกลับจริงๆ ผมไปส่งก็ได้นะ ที่มหาลัยน่ะ”เซฮุนทำหูทวนลม ยกจานชามขึ้นซ้อนกันแล้วนำไปวางในซิงค์ล้างจาน ซึ่งประโยคนั่นทำให้แบคฮยอนหูผึ่งลืมทุกสิ่งทุกอย่างโดยอัตโนมัติ




     

    แต่ เขาทำมันลำบากมาหลายรอบแล้วนี่หว่า ตั้งแต่มายันไปเลย




     

    “ไม่เป็นไร ไม่อยากรบกวนแล้ว”กัดฟันพูดไปสิกู เตรียมตีนแตกได้เลยแบคฮยอน แดดข้างนอกพร้อมเผามึงทั้งเป็นแล้วเพื่อน




     

    “ไปเหอะน่า ตอนนี้เลยเป็นไง ?”




     

    ..ยังคงสติลไม่ฟังเหมือนเดิม แล้วมึงจะถามทำพระแสงด้ามซิ่วอะไร




     

     

     











     

    โฮ่งๆๆๆๆๆๆๆๆ



     
     

    “ไง วิ่งแต่เช้าเลยเหรอ”แบคฮยอนก้มตัวลงไปหาเจ้าสุนัขขนสีทองตัวโตที่หางกระดิกแล้วพุ่งตัวเข้ามาหาเขาแทนที่จะเข้าไปหาเจ้าของๆมันที่ยืนสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของตัวเองอยู่




     

    “บิ๊กไบค์เหรอ ?”ตอนขามาเขาก็ไม่ได้สังเกต เอาแต่มึนอย่างเดียวเลยไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่นั่งมาน่ะมันคือมอเตอร์ไซค์รุ่นอะไร แต่ตอนนั้นใครเขาจะไปมีเวลามายืนถามล่ะ




     

    bmw s 1000 rr เท่ป่ะล่ะคุณ สีเรดเวลเวทแบล็ค เพิ่งเก็บเงินถอยออกมาเลย”เซฮุนยกมือขึ้นลูบเบาะหนังของมอเตอร์ไซค์อย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่แบคฮยอนยืนนิ่งเงียบ เขาทำเพียงมองรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ตรงหน้านี่เงียบๆ




     

    แล้วเขาก็ไม่ค่อยมีอดีตที่ดีกับมันเท่าไหร่ ..มอเตอร์ไซค์น่ะนะ




     

    ป๊า อย่า มอเตอร์ไซค์ของผม !!!!’



     

    อาหาน เอาไปเผาทิ้งซะ



     

    แต่ ป๊าครับ นี่มัน ..น้องอุตส่าห์--



     

    อั๊วจะไม่พูดซ้ำ ..น้องลื้อเป็นคนบังคับให้อั๊วต้องทำแบบนี้เอง









     

    “แบคฮยอนครับ ?”





     

    ดวงตาเรียวกระพริบ ก้มลงมองพื้น เจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตกำลังจ้องมองหน้าของเขา พวงหางกระดิกไปมา แล้วก็หันมามองหน้าเจ้าของๆมันที่ยืนทำหน้างงอยู่ ลืมไปว่าไอ้หอกนี่มันช่างสังเกต อย่าเชียว มึงไม่ต้องเดาห่าอะไรทั้งนั้นแหละ




     

    “เปล่า แค่คิดถึงเรื่องแย่ๆนิดหน่อย ช่างแม่งเหอะ ไม่ต้องสนใจหรอก ไม่ต้องเดาด้วย”




     

    “พูดดีๆหน่อย ผมเป็นห่วงคุณต่างหากล่ะ”




     

    “อยากเสือกก็บอกว่าอยากเสือกไม่ใช่มาบอกว่าเป็นห่วง ไปได้แล้วไป”




     

    เซฮุนยักไหล่ใส่พร้อมกับก้าวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ของตัวเองแล้วเริ่มทำการสตาร์ทรถ แบคฮยอนเดินไปเลื่อนประตูรั้วไม้ออกเหมือนรู้งานโดยมีสุนัขตัวโตวิ่งตามไปติดๆเหมือนหมาตามเจ้าของทั้งๆที่เพิ่งเห็นหน้า




     

    “จาจังงี่ เข้าบ้าน”เซฮุนจ้องหน้าของสุนัขตัวโตที่ทำวิ่งตามร่างเล็กออกมาพร้อมกับเอ่ยปากบอกด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะเกินหน้าเกินตามากไปแล้ว เจ้านายตัวเองอยู่ตรงนี้แล้วยังไปวิ่งตามคนอื่นอีก




     

    “หงิง..”




     

    แบคฮยอนมองตามสุนัขตัวโตที่เดินหูตกเข้าไปนอนหมอบตามคำสั่งของเจ้านาย โห โคตรเชื่อง มันฝึกหมายังไงของมันวะ แอบน่ากลัวเหมือนกันน่ะเนี่ย




     

    “อ้าวคุณ ไปกันรึยัง ? มองจังเลยหมาเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะย่างหมาผมกินหรอกนะ”




     

    แบคฮยอนสะดุ้ง หันมามองคนตัวสูงตาขวาง มองไม่ได้เลยไง หวงเหลือเกินหมาเนี่ย แล้วทำไมต้องทำเหมือนไม่พอใจด้วย กูไม่ใช่อาจุมม่าวัยแปดสิบที่ต้องแดกเนื้อหมาเสริมสมรรถภาพนะโว้ย




     

    “รู้แล้วน่า รีบมากรึไง”ร่างเล็กหันไปบอกประตูให้สนิททั้งๆที่บ่นกระปอดกระแปด ขาสั้นๆวิ่งไปหารถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล้วขึ้นนั่ง พื้นที่ข้างหลังก็ใช่ว่าจะเยอะซะที่ไหน ไม่ใช่ว่ากูนั่งอยู่แล้วร่วงตกถนนหน้าแหกหรอกนะ ถ้ากูหมดหล่อโลกใบนี้จะต้องร้องไห้แน่ๆ




     

    “กอดเอวผมไว้ จะไปแล้ว”



     

    “เดี๋ยวๆ นายรู้เหรอว่าฉันอยู่มหาลัยไหน ?”



     

    “มหาวิทยาลัยซองอิลที่อยู่แถวๆย่าน C”เซฮุนพูดเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ก่อนที่จะมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จะพุ่งตัวออกไปอย่างแรงจนคนข้างหลังแทบจะกรี๊ดออกมา มือทั้งสองข้างคว้าเอวของอีกฝ่ายเอาไว้โดยอัติโนมัติ พ่นคำด่าใส่อีกฝ่ายไม่หยุด เซฮุนคิดว่าตัวเองทำดีแล้วที่ใส่หมวกกันน็อคมาด้วย มันช่วยให้เขาไม่ต้องฟังเสียงแว้ดๆของแบคฮยอนได้ดีเลยทีเดียว




     

     

     

     

     

     

     

     

     





     

    มหาวิทยาลัยซองอิล เป็นมหาวิทยาลัยระดับปานกลางที่รองรับนักเรียนฐานะปานกลางและระดับสูง โดยมีท่านอธิการชเวเป็นผู้อำนวยการทุกอย่างในทุกตารางเมตรของมหาวิทยาลัย มีการสอนในระดับภาคอินเตอร์ เทคโนโลยีประกอบการสอนที่ทันสมัย และการสอบเข้ามหาโหดลากเลือด แต่ถ้าหากแลกกับการเข้ามาใช้ชีวิตที่นี่ก็นับว่าคุ้มเกินคุ้ม




     

    แต่ไอ้ของพวกนั้นไม่เคยได้อยู่ในความสนใจของแบคฮยอนเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาอธิการบดีเป็นยังไง รู้แค่ว่าเป็นคนที่ดูเงียบขรึม ภูมิฐานและน่านับถือแต่กลับดูไม่ค่อยเต็มเต็งเท่านั้นเอง




     

    คนตัวเล็กเงยหน้ามองประตูขนาดใหญ่ซึ่งเป็นประตูหลักที่ใหญ่ที่สุดจากสี่ประตู มันเปิดกว้างต้อนรับเขาเหมือนกับทุกๆครั้ง ป้ายสลักอักษรขนาดใหญ่ที่เป็นชื่อของมหาลัยตั้งเด่นอยู่ที่เหนือหัวของเขาและลานใหญ่ด้านในพร้อมกับรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของอธิการบดี สิ่งพวกนั้นทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาลืมไปแล้วว่าตอนที่เดินเข้ามาที่นี่หรือตอนที่รู้ว่าสอบติดที่นี่ความรู้สึกมันเป็นยังไง




     

    เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนอยากให้การโดนรีไทร์ของตัวเองเป็นแค่ความฝัน




     

    “ผมไปหาอะไรกินแถวนี้นะ ร้านชาไข่มุกตรงย่าน C เดี๋ยวผมซื้อมาฝากด้วย”เซฮุนหันหน้ามาหาเขาพร้อมกับยกมือวางลงบนไหล่ แบคฮยอนหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่เข้าใจ




     

    “เผื่อว่าคุณจะยืนอยู่ที่เดิมไง แค่ถ้าผมกลับมาแล้วคุณเข้าไปแล้วผมก็กลับ”

     



     

    “อะไรของนาย ไม่เห็นเข้าใจเลย”

     



     

    “ผมก็ไม่ได้หวังให้คนฉลาดน้อยแบบคุณเข้าใจอยู่แล้วนี้”

     


     

    “มึงนี่จะหาเรื่องยันวินาทีสุดท้ายเลยใช่มั้ยหา !”แบคฮยอนมองตาค้อนใส่คนตรงหน้า อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่โบกมือให้เขาแล้วเดินล้วงกระเป๋าจากไปเท่านั้น ไอ้เหี้ย แล้วมึงจอดบิ๊กไบค์ไว้ตรงประตูหน้ามหาลัยที่เขียนตัวหนังสือเด่นชัดบนพื้นว่าห้ามจอดเนี่ยนะ

     


     

    “โดนล็อครถเมื่อไหร่ได้ร้องไห้น้ำตานองหน้าแน่มึงเอ๊ย”ว่าเสร็จก็หันไปที่ประตูแล้วเดินเข้าไป หอพักของเขาต้องเดินวนไปทางด้านหลังตึก ซึ่งแม่งไกลเหี้ยๆ จากหน้าสุดไปหลังสุด ชั่วโมงเดียวจะถึงรึเปล่าเถอะ จักรยานอะไรก็ไม่มี แค่มองทางกูก็แสบตีนแล้ว

     



     

    “แบคฮยอนฮยอง !

     


     

    ความคิดทุกอย่างหายไปเพียงแค่ได้ยินเสียงของคนจากด้านหลัง แบคฮยอนหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับถูกสาป

     


     

    เขาไม่ได้โง่ถึงกับจำไม่ได้ว่านั่นมันคือเสียงของใคร

     


     

    “แบมแบม”

     


     

    เด็กหัวดำหน้าม้าชมพูเดินมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตากลมโตมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า หมุนตัวไปมาเหมือนว่ากำลังสำรวจร่างกาย แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผ้าขาวแปะอยู่ที่หน้าผากของพี่ชายข้างบ้าน(เซฮุนมันบอกว่าถ้าใช้ผ้าก็อซมันจะทำให้หัวตึง เลยใช้ผ้าขาวสำหรับปิดแผลแปะไว้ดีกว่า)

     


     

    “...ฮยองไม่น่าหนีออกมาแบบนี้เลยนะ คุณลุงน่ะเป็นห่----”

     


     

    “ไม่ต้องแต่งคำพูดให้กูรู้สึกดีหรอก”แบคฮยอนหลับตาลงแล้วสวนกลับในทันทีจนคนฟังไปไม่ถูก

     

     

    “คนเดียวที่จะได้รับคำว่าเป็นห่วงจากคุณลู่มีอยู่แค่คนเดียวอยู่แล้ว มึงก็รู้นี่”

     


     

    “แต่ลู่หานฮยองเขาเป็นห่วงพี่มาก ! แม่ของพี่ก็ด้วย”แบมๆพูดเสียงตะกุกตะกัก กึ่งๆตะโกนนิดๆ ดวงตากลมโตปริ่มน้ำเหมือนคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ พี่ลู่หานออกตามหาแบคฮยอนเป็นบ้าเป็นหลังมาสองวันติดๆจนแทบไม่ได้นอน แต่ถ้าเทียบกับอาการของคุณนายบยอนที่มักจะเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียวเสมอตั้งแต่ลูกของเธอหายไปนับว่ายังน้อยกว่า

     


     

    “แค่รู้ว่ากูยังไม่ตายก็พอ”แบคฮยอนเบือนหน้าหนี แค่ได้ยินคำว่าแม่เขาก็จุกอกจนไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้ว แต่จะให้เขากลับไปได้ยังไง ต่อให้เขากลับไปยังไงซักวันหนึ่งเขาก็ต้องวิ่งออกมาแบบนี้อีกอยู่ดี ที่นั่นมันไม่ใช่ที่ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

     


     

    “ฮยอง กลับบ้านเถอะนะ อย่าทำแบบนี้เลย ผมขอล่ะ”

     

     

    “คุณลู่ไม่เคยทำเหมือนกับว่าคนที่ชื่อบยอนแบคฮยอนเป็นลูกต่างสายเลือด ลู่เกอก็ด้วย ครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวที่ดี กูดีใจนะที่แม่มีความสุขที่อยู่ที่่นั่น”

     

     

    “แล้วทำไม !

     


     

    “เพราะที่ตรงนั้นมันเป็นของคนที่ชื่อลู่หาน ลู่หานที่เป็นลูกแท้ๆของเขา ไม่ใช่กูที่เป็นสิ่งน่าอับอายขายขี้หน้า




     

    “..ไม่มีกู ..มันก็ไม่เป็นไรหรอกนะแบมแบม”ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผิดกับแววตาที่กำลังหม่นหมองลงเรื่อยๆ




     

    เขา ..ไม่น่ามาที่นี่เลยจริงๆ




     

    เด็กหนุ่มมอห้าตรงหน้าเขาก้มหน้าลงต่ำ ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างลวกๆ ท่าทางของมันไม่เหมือนกับคนที่ชอบแกล้งถีบเขาตอนที่นอนตื่นสายอยู่ที่บ้านเลยซักนิด




     

    “ร้องไห้ทำไมวะ อย่ามางอแงน่า”ฝ่ามือขาวยกขึ้นขยี้หัวของไอ้เด็กตรงหน้าจนไม่เป็นทรง แบมแบมร้องโวยเสียงอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ เด็กหนุ่มตัวโปร่งถอยออกห่างจากคนที่เป็นพี่ข้างบ้าน ยื่นกระเป๋าสะพายไหล่และกระเป๋าเป้ที่ตัวเองสะพายอยู่ให้




     

    “โน๊ตบุ๊คกับของทั้งหมดของพี่อยู่ในกระเป๋าพวกนี้แล้ว แต่กระเป๋าเงินของพี่จะมีแค่ของๆพี่อย่างเดียว สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเป้พวกนี้คือสิ่งที่มาจากเงินของพี่ทั้งหมด”




     

    “...”




     

    “ผมไม่รู้ว่าคุณลุงต้องการอะไร ผมเองก็ไม่เข้าใจ”




     

    “เขาคงเหลือทนกับกูแล้ว ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยกูก็ไม่ต้องกลับไปปีนบ้านตัวเองเพื่อของพวกนี้”แบคฮยอนรับกระเป๋าสะพายทั้งสองใบมา กลิ่นอายของที่บ้านยังติดอยู่ที่กระเป๋าอยู่ แต่อีกไม่นานมันก็คงจะหายออกไปเองตามวันเวลา




     

    “ฮยองพอจะบอกผมได้รึเปล่าว่าฮยองหายไปไหนมา”




     

    “บอกไปแล้วนี่ รู้แค่ว่ากูยังไม่ตายก็พอ”แบคฮยอนยกยิ้มให้อีกฝ่ายนิดหน่อย ดันหัวเหม่งๆของเด็กตรงหน้าหนึ่งที“กลับบ้านไปได้แล้วไป”




     

    “แต่ฮยอง..”




     

    “ไป”




     

    TT___TT

     









     

     

     

     

     

     

     

    สุดท้ายแล้วแบมแบมก็เดินไปขึ้นรถกลับจนได้ แบคฮยอนว่าอีกไม่นานแม่คงจะรู้แล้วว่าเขาปลอดภัยดี ถึงจะมีรอยขีดข่วนหน่อยก็เถอะ




     

    คนตัวเล็กทิ้งตัวนั่งลงบนฟุตบาทหน้ามหาวิทยาลัยอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีแรงพอจะเงยหน้ามองท้องฟ้า ได้แต่ก้มหน้ามองรองเท้าของตัวเองที่ขนาบอยู่บนพื้นถนน สายลมอ่อนๆที่พัดผ่านหน้าไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยด้วยซ้ำ อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆแต่น้ำตามันกลับไหลไม่ออกซะนี่





     

    แบคฮยอนหันหน้ามองตรงเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างเย็นๆที่ทาบอยู่กับหน้าผากมน อะไรวะเนี่ย โค้กกระป๋องเหรอ กูไม่มีอารมณ์เงยหน้ามองอะไรหรอกนะ ไม่มีแรงจะเล่นแล้ว




     

    ดูเหมือนคนที่ยืนอยู่จะรู้ตัวจึงหันมานั่งยองๆให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันแทน ใบหน้าคมก้มมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น สภาพเหมือนกับที่เขาเห็นครั้งแรกที่ป้ายรถเมล์ไม่ผิดเพี้ยนเลย





     

    เด็กหนุ่มตรงหน้ายื่นแก้วชานมไข่มุกมาตรงหน้าเขา รสช็อคโกแลตแถมเจาะหลอดแล้วอีกต่างหาก




     

    “อะไร ?”




     

    “ไม่ใช่คำว่าอะไรสิ คำตอบของคุณมีแค่คำว่ากลับกับไม่กลับต่างหาก”ว่าเสร็จก็หันไปดูดชานมไข่มุกในแก้วของตัวเองหนึ่งอึกใหญ่ๆ แต่แบคฮยอนกลับนิ่งอยู่กับที่




     

    ไอ้เด็กนี่มัน ..โคตรแปลกเลย ..จริงๆ




     

    “เออ ...ไปสิ”




     

    แบคฮยอนจะรู้มั้ยนะ



     

    ว่า



     

    ที่แปลกกว่าคือการที่ตัวเองตอบตกลงรับคำขอนั้นทั้งรอยยิ้มต่างหาก



     

    “ถ้างั้น.. กลับบ้านเรากันนะครับ”





     

     

     

    -กรรณิการ์-

    เซฮุนสี่มิติ VS แบคฮยอนผู้ไม่มีสติ

    /เรามีธุระตอนภาคเช้าตลอดเลยไม่มีเวลาเขียนเลยค่ะ แง O<---<

    มาค่อยๆซึมซับและเข้าใจแบคฮยอนทีละน้อยๆกันนะคะ :D

    #ฟตตฮบ

    *หน้ามีสองหูจับ - หม้อ (หน้าม่อ)


    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×