ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ¾` FIC T U T O R (HUNBAEK ft.EXO)

    ลำดับตอนที่ #3 : ¾` fic tutor chapter 2 : Dream with ความจริง

    • อัปเดตล่าสุด 17 มี.ค. 58


     

     



     








     

    ร่างเล็กกำลังอ้าปากค้างอยู่นานชนิดที่ว่าแมลงวันแทบจะบินเข้ามาออกลูกออกหลานในปากได้เมื่อได้ยินประโยคคำถามประหลาดๆจากคนประหลาดๆตรงหน้านี่ 




     

    “อะไร ? มึง-- นายเป็นใครเนี่ย”แบคฮยอนไม่ตอบคำถามแปลกๆนั้น เขาเลือกที่จะเลือกถามคำถามกลับไป บางทีในตอนนี้เขาอาจจะกำลังคุยกับคนบ้า(ที่เบ้าหน้าดีมากๆ)ก็ได้

     



     

    “ผมเหรอ ?”เด็กหนุ่มชี้หน้าของตัวเองเป็นเชิงถาม ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงโทนปกติ ก้มตัวลงนั่งยองๆตรงข้ามผู้ชายร่างเล็กแทนการไปนั่งข้างๆเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับคนที่กำลังนั่งอยู่

     



     

    “ผมชื่อเซฮุน”

     


     

    “นามสกุล ?”

     


     

    “ไม่มี เซฮุนเฉยๆ”

     


     

    แบคฮยอนขมวดคิ้วเล็กๆเมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย ไม่มีนามสกุล ?

     




     

    “แล้วคุณ ?”เด็กหนุ่มตรงหน้าพยักเพยิดมาทางเขาบ้าง แบคฮยอนวางมือลงบนหน้าขาทั้งสองข้าง เอนตัวไปจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจับผิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลยนอกจากสีหน้าที่รอคำตอบ

     



     

    “แบคฮยอน”

     


     

    อีกฝ่ายขมวดคิ้วเหมือนกับว่ากำลังจะเอ่ยถามถึงนามสกุล นั่นทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดต่อ

     


     

    “แบคฮยอนเฉยๆ”

     



     

    “ชื่อแบคฮยอนเฉยๆ ? ทำไมชื่อแปลกจังครับ ?”

     


     

    “...นี่มุขมึงหรือว่าซื่อจริง กูหมายถึงแบคฮยอน แบคฮยอนที่ไม่มีนามสกุลน่ะ ห่านี่”คนตัวเล็กยกกำปั้นเคาะกะโหลกคนตรงหน้าจนอีกฝ่ายร้องโอ๊ยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นเพราะว่าได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากอีกคน ก่อนที่จะยิ้มออกมา

     



     

    “ผมชอบคุณหัวเราะ”

     



     

    “.....เดี๋ยว นี่มึงเป็นเกย์เหรอ”แบคฮยอนถอยห่างจากชายแปลกหน้าในทันทีราวกับนั่นคือเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่พร้อมกับแสดงสีหน้าสยองขวัญ นี่มึงเข้ามาหากูเพราะหวังให้กูสอยประตูหลังให้ใช่มั้ยตอบมา

     




     

    “ไม่ใช่นะ ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ”คนตรงหน้าส่ายมือเป็นพัลวัน ส่ายหน้าอย่างแรงจนผมกระจัดกระจาย ดวงตาคมลึกจ้องใบหน้าน่ารักนั่นอย่างจริงจัง“มองตาผมดิ ยังไงก็ผู้ชายชัดๆ”

     



     

    “ก็อยู่ๆมึงก็เดินมาหากูแล้วก็ถามว่าไปอยู่ด้วยกันมั้ย แล้วก็มานั่งคุยด้วยแบบนี้มึงจะให้กูคิดอะไรนอกจากมึงเป็นเกย์อ่ะ นี่มึงต้องการอะไรเนี่ย ประตูหลังกูเรอะ

     



     

    “ถ้าผมอยากทำแบบนั้นจริงผมคงปิดปากลากคุณเข้าโรงแรมไปแล้ว ไม่นั่งคุยให้เสียเวลาหรอกน่า ผมแค่เห็นคุณนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวแถมทำท่าทางเหมือนคนเพิ่งโดนไล่ที่แล้วไม่มีที่อยู่ ไหนจะบ่นเรื่องที่นอนอีก แต่ถ้าให้ผมเดานะ แปดสิบเปอร์เซ็นต์คุณต้องมีเรื่องกับที่บ้านแล้วหนีออกมาแน่”

     



     

    แบคฮยอนชะงักกึกแล้วหันหน้าหนีทันทีเมื่อเจอคำพูดแทงใจจากปากของอีกฝ่าย

     


     

    “เป็นคนนอกที่ไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่งน่า”เขาเลือกที่จะเลี่ยงการต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายไป เพราะถ้าหากพูดอะไรออกไปอีกแบคฮยอนว่าอีกฝ่ายคงต้องรู้ไปจนถึงตับไตไส้พุงชาติกำเนิดของเขาแน่ๆ

     


     

    “เห็นมั้ย ผมพูดถูก”เด็กหนุ่มกล่าวหน้าตายพร้อมกับลุกขึ้นยืน มือหนาฉวยจับข้อมือเล็กข้างหนึ่งไว้อย่างถือวิสาสะโดยที่ไม่อนุญาติเลยเขาซักคำ !

     


     

    “เฮ้ย มึงจะพากูไปไหนเนี่ย นี่เป็นโรคจิตจริงๆเหรอ ! ปล่อยโว้ย !”เสียงแหบห้าวว่าพร้อมกับสะบัดมืออย่างแรง แต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายบีบมือของเขาแน่นขึ้น นี่มึงเห็นมือกูเป็นตุ๊กตาหมีเหรอถึงได้บีบเอาๆเนี่ย !

     


     

    “ไม่มีบ้านอยู่แล้วยังจะปากเก่งแบบนี้อีก ผมเป็นเทพบุตรมาช่วยคุณเชียวนะ”

     


     

    “ไม่ได้ขอโว้ย !

     


     

    ได้ยินเสียงถอนหายใจพรืดออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ร่างสูงตรงหน้าหันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ โน้มหน้าลงจนชนเข้ากับปลายจมูกของคนปากจัดที่เอาแต่แว้ดๆตั้งแต่เมื่อครู่นี้ แบคฮยอนสะอึกสะอักเมื่อได้เห็บใบหน้าของอีกฝ่ายในระยะประชิด ดวงตาสีดาร์คช็อคโกแลตที่อยู่ใกล้กันเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตรทำเอาเขาถึงกับทำตัวไม่ถูก ขาทั้งสองข้างก้าวถอยไปข้างหลังด้วยความรวดเร็ว

     


     

    “มะ...มึง มึง มึง ไอ้โรคจิต !!!!

     


     

    “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”ว่าแล้วก็ยักไหล่น้อยๆพร้อมยกมือสองมือขึ้นอย่างผู้ร้ายที่กำลังโดนตำรวจจับ ริมฝีปากฉีกยิ้มออกมา“ผมแค่คิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็เลยอยากลองทดสอบดู ผมเป็นพวกมือไวใจเร็วน่ะ เวลาทำอะไรร่างกายไปก่อนเสมอ โดยเฉพาะกับคนขี้โวยวาย”

     


     

    “เอาเป็นว่าผมรับคุณเข้าบ้านละกัน”

     


     

    “ห๊ะ ?”

     


     

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับเฮาส์เมทของผม :)”

     


     

    นั่นแหละ หลังจากจบประโยคนั้นแบคฮยอนก็สติหลุดจนไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโดนจูงไปที่ไหน

     

     



     

     

     

     

     

     

     

    เดี๋ยวๆ..

     

     

    แล้วตอนนี้กูอยู่ที่ไหน ...

     


     

    โดนพูดอะไรใส่ก็ไม่รู้ > โดนลากขึ้นมอเตอร์ไซค์ > โดนพามาที่ไหนไม่รู้ ...........

     


     

    โฮ่งๆๆๆๆ !

     


     

    ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกก่อนจะวิ่งไปหลบหลังคนตัวสูงกว่าที่กำลังจะเลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไปด้านในเมื่อเจ้าสัตว์สี่ขาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ขนฟูวิ่งออกมาจากทางด้านหลัง หางฟูๆกระดิกไปมาไม่หยุด ส่งเสียงเห่าและวิ่งไปรอบๆตัวของเจ้านายและใครอีกคนด้วยท่าทีตื่นเต้น

     


     

    โอเค ถึงแบคฮยอนไม่ได้เกลียดหมา แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะสนิทกับหมาเหมือนกันนั่นแหละ

     


     

    “เฮ้ นะ..นาย มันจะไม่กัดฉันใช่มั้ยวะ”สองแขนกระตุกเข้าที่ชายเสื้อยืดของอีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตาเรียวรีจับจ้องไปที่เจ้าสุนัขไฮเปอร์ที่วิ่งไปวิ่งมารอบๆไม่หยุด ถึงจะเพิ่งรู้จักกันแบบที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ยังไงคนๆนี้ก็เป็นเจ้าของหมาตัวนี้ ยังไงอยู่ใกล้เจ้าของก็ต้องปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว

     



     

    “ฮ่าๆ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์กัดใครไม่เป็นหรอกครับ เค้าแค่ตื่นเต้นที่ได้เจอคนใหม่ๆน่ะ ปกติอยู่ที่ลานระเบียงชั้นบนตลอด”เด็กหนุ่มว่าเสียงนุ่ม ใช้เท้ากระทุ้งขาตั้งเหล็กของมอเตอร์ไซค์ลงให้ขนาบกับพื้นเพื่อไม่ให้มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ต้องล้มลงมาเสียก่อน ด้านนี้มีเพียงมอเตอร์ไซค์และจักรยานเท่านั้นจากที่แบคฮยอนมองเห็น กว่าจะรู้ตัวเจ้าของบ้านก็เดินกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

     



     

    “เข้าไปดูข้างในกันดีกว่าครับ”คนตัวสูงเป็นฝ่ายเดินหันหลังแล้วนำทางเข้าไปด้านใน แต่แบคฮยอนเลิกที่จะดึงมือของอีกฝ่ายเอาไว้แทน

     


     

    “ดะ เดี๋ยว !

     


     

    คนโดนดึงชะงักนิดหน่อย ก่อนจะหันมาหาผมพร้อมกับเลิกคิ้ว โอ๊ย ไอ้เหี้ย ทำไมมึงหล่อจังวะ เหมือนกูกำลังยืนอยู่กับเจ้าชายในเทพนิยายในขณะที่ตัวเองเป็นแค่ขยะเปียกริมทางเลยอ่ะฟั๊ค  

     


     

    “ครับ ?”

     


     

    “มึง ..ป๊ากูส่งมึงมารึเปล่า”เขาไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้แบคฮยอนถามคำถามโง่ๆนี่ขึ้นมา แต่ในโลกนี้คงมีคนไม่กี่คนที่อยากจะให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งเห็นหน้าค่าตากันไม่กี่นาทีมาอยู่ด้วย โดยเฉพาะไอ้คนหน้าตาแบบนี้ นอกเสียจากมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง บางอย่างที่มันต้องเกี่ยวข้องกันกับเรื่องที่เขาหนีออกจากบ้านนั่นแหละ

     


     

    หืม เก่งนี่แบคฮยอน”บุรุษตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีต่างไปจากเดิม เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างไร้ความกังวล ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าจะรู้สึกยังไงในตอนนี้ “คุณก็ไม่ได้ไอคิวต่ำอย่างที่พ่อของคุณบอกซะหน่อย”

     


     

    นั่นไงล่ะ

     


     

    เขารู้สึกเหมือนกับกำลังโดนตีแสกหน้าด้วยไม้หน้าสามหนาๆจนเลือดอาบหัว เส้นที่ขมับปูดขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด แบคฮยอนสูดลมหายใจเข้าลึก กดกลั้นความรู้สึกโมโหลงลึกและรวมมันไว้ที่อกเพื่อไม่ให้ตัวเองได้ประเคนตีนใส่หน้าไอ้เวรนี้ซะ มันจะมากไปแล้ว มากเกินไปแล้ว

     


     

    “เหอะ โกหกเก่งดีนี่ กูรู้มาตั้งนานแล้วแหละ”คนตัวเล็กยกมือขึ้นกอดอกวางท่าแสดงท่าทีเหมือนกับว่าตัวเองรู้มาตั้งแต่แรก(ทั้งที่เพิ่งรู้จากคำถามโง่ๆเมื่อกี้ แต่เอาน่า ถือว่าฟลุ๊ค) ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างประชดประชัน

     



     

    ไม่ยักรู้ตัวเลยว่าไอ้ติวเตอร์นั่นจะอยู่ใกล้ปลายจมูกแค่นี้ ความรู้สึกดีๆต่อมึงที่กูคิดว่ามึงเป็นคนดีตอนนี้กูให้เหลือแค่โคตรพ่อโคตรแม่ติดลบศูนย์แล้วไอ้เวร

     



     

    “คุณลู่ไม่ใช่พ่อของฉันอีกแล้ว เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ฉันเป็นคนธรรมดา ไม่มีเงิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับใคร ก็แค่ผู้ชายคนนึงที่ออกจากบ้านมาโดยที่ไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งนามสกุล ไม่มีสายเลือดใครทั้งนั้น เก็ทยัง ไม่เก็ทก็ควายแล้วล่ะ ลาขาดนะ บาย”

     



     

    แบคฮยอนโบกมือลาอีกฝ่ายแล้วถอยออกมาโดยที่ในหัวคิดเพียงแค่ว่าวันนี้เขาควรจะไปพักที่ไหนหรือเดินอย่างไรให้ถึงหอพักที่มหาลัยโดยที่ใช้เวลาน้อยที่สุด แต่อีกคนกลับดึงเขาเอาไว้ไม่ให้เขาไป โอ้โหไอ้เหี้ยนี่มึงพระเอกมากมั้ย นี่ฉากอะไรเนี่ย บีบแขนกูแรงขนาดนี้ทำไมไม่ให้หมามึงกระโดดกัดแขนกูเลยล่ะ

     



     

    “มึงนี่เข้าใจยากนะ กูไม่มีเงิน อยากได้เงินก็ไปเอาที่นู่น บ้านที่กูวิ่งออกมานู่น”กูไม่ต่อยให้ดั้งมึงแยกตอนด่ากูโง่ก็บุญหัวเท่าไหร่แล้วรู้ไว้

     



     

    “ยังคุยกันไม่จบแล้วเดินหนีมันเสียมารยาทนะคุณ”

     



     

    “แล้วที่มึงมาดึงแขนกูไว้แบบนี้นี่มารยาทดีมากมั้งพ่อคนดีศรีกรุงโซล”พอพูดจบก็ปล่อยมือทันทีเลย นี่ต้องรอให้บอกก่อนใช่มั้ยถึงจะปล่อยได้ ? โอ้โห วันหลังให้กูตัดริบบิ้นด้วยเลยสิ

     


     

    “คุยกันก่อนสิ”เสียงทุ้มว่าพลางมองหน้าของอีกฝ่ายที่ทำท่าเหมือนจะกินหัวเขาเสียให้ได้ ให้ตายเถอะ ปากร้ายตรงข้ามกับหน้าตาชะมัดยากเลยผู้ชายคนนี้นี่

     



     

    “ไปคุยกับผู้ว่าจ้างมึงนู่นไป”แบคฮยอนยกมือขึ้นลูบข้อมือของตัวเองในขณะที่จ้องหน้าของผู้ชายตรงหน้าเขม็งด้วยความหงุดหงิด คิดว่านี่คืออะไร การเจรจาระหว่างประเทศเหรอ ไม่โว้ย ถ้ากูยังคุยกับมึงต่อล่ะก็คงได้เปลี่ยนบ้านเป็นสนามมวยแน่

     



     

    “อย่าเหวี่ยงสิครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”แล้วที่มึงบอกทางอ้อมว่ากูโง่นั่นคืออะไรครับ ตอแหลกว่าน้องนกในแรงเงาก็มึงเนี่ยแหละไอ้หน้า.. หน้าเหี้ยอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ขี้เหร่อ่ะ เออนั่นแหละ เอาเป็นว่ากูไม่หลงกลมึงหรอก !

     


     

    “ฉัน ไม่ ต้อง การ คุย”

     


     

    “แต่ผมให้คุณอยู่ที่นี่ฟรีเลยนะ”

     


     

    “แล้วนายก็จะบอกที่อยู่ของฉันกับพ่อ ใช่มั้ยล่ะ ? คิดว่าโง่เหรอ เออ ลืมไป ใครๆแม่งก็คิดว่าฉันโง่ทั้งนั้นแหละ”

     



     

    “หมดห่วงได้เลย ผมกับคุณลู่เราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันในฐานะของผู้ว่าจ้างและผู้ถูกว่าจ้าง ผมเพิ่งถูกยกเลิกงานไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่จะเจอคุณที่กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ข้อแรกที่คุณควรรู้ในการอยู่ร่วมกับผมคือผมไม่ใช้โทรศัพท์แล้วผมก็ใช้ไม่เป็น”เซฮุนพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มเหมือนกับว่ากำลังกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลงและเอนเอียงตามเขามาด้วยทักษะการพูดจาที่ไม่ได้ใช้บ่อยนัก

     



     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำอะไรมากมายถึงขนาดนี้ เขาสามารถอยู่คนเดียวได้อย่างสบายแล้วก็ไม่เคยมีความคิดที่จะให้ใครเข้ามาอยู่ด้วยหรือเข้ามาเหยียบในบ้านของตัวเองจนกระทั่งตอนนี้

     



     

    เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เจอสิ่งที่น่าสนใจในห้องทดลอง

     



     

    นั่นมันก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องอยู่กับนาย”แบคฮยอนยังคงดื้อดึงและหัวแข็งต่อไป เขาไม่ยอมเชื่อใจไอ้คนแปลกหน้าแบบไอ้หมอนี่แน่ๆสาบานได้

     


     

    คนตัวสูงตรงหน้าเงียบไปเมื่อเห็นท่าทีและการปฎิเสธที่เด็ดขาดของอีกฝ่าย

     



     

    ดื้อจริงๆเลย

     


     

    “โอเค ผมยอมรับการตัดสินใจของคุณอยู่แล้ว ถ้าให้เดาคุณคงกลับไปที่หอพักของตัวเองด้วยการเดินจนเท้าพอง หรือไม่แน่คุณก็อาจจะตายกลางทางเพราะโดนปล้น ตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว จะกลับก็ระวังตัวละกันนะครับ ผมไม่ได้ขู่นะ แต่แถวนี้โจรเยอะจริงๆ”แล้วก็ผายมือออกไปที่ประตู แบคฮยอนสะอึกทันทีที่ได้ยิน ตอนนี้เขากำลังอยู่ต่างที่(แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่คือที่ไหน) หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคิดหนัก ถ้าหากว่าเขาออกไปตอนนี้แล้วสิ่งที่ไอ้หมอนี่พูดมันเป็นจริงล่ะ

     



     

    “ไม่.. ไม่เป็นไร กูไปได้”

     


     

    “เหรอ แต่เสียงคุณดูสั่นๆนะครับ โอเคจริงรึเปล่า”

     


     

    “เอ๊ะมึงนี่ บอกว่าได้ก็ได้ดิ !”เสียงสั่นไรมึง ไม่เคยไม่เสียงสั่นโว้ย นี่กูคนจริงครับ ไม่กลัวทุกอย่างบนโลกนี้ยกเว้นแมลงสาบ จำไว้ !

     


     

    “โว้ว งั้นก็ลาก่อนนะครับแบคฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักชื่อคุณนะครับ”ว่าเสร็จก็โบกมือบ๊ายบายร่างเล็กและปิดประตูรั้วบ้านของตัวเองโดยที่ไม่มีท่าทีรั้งอีกฝ่ายแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังยิ้มให้อีกต่างหาก

     


     

    แบคฮยอนชูนิ้วกลางใส่คนที่อยู่อีกฝั่งของประตูแล้วเดินหันหลังไปตามถนนโดยที่ปากก่นด่าไอ้หน้าหล่อนั่นไม่ขาด ไฟตามสองข้างทางเริ่มสว่างขึ้นทีละดวงตามแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่ค่อยๆเลื่อนต่ำลง คนตัวเล็กเดินไปเรื่อยๆตามถนนเส้นเล็กที่ยาวออกไป

     


     

    ไม่มีจุดสังเกตหรือป้ายที่บอกทางหอกหักอะไรให้มองเลยด้วยซ้ำ มีแต่ทางมืดๆที่ริบหรี่ด้วยแสงไฟและต้นไม้ที่ไหวไปมาเท่านั้น รองเท้าผ้าใบสีจืดๆเหยียบลงกับพื้นถนน เตะก้อนหินเล็กๆไปเรื่อยๆ เสียงใบไม้ที่ไหวไปมาและอากาศเย็นๆยิ่งทำให้เขาขนลุกขนชัน นี่กูกำลังอยู่ในThe walking deadป่ะเนี่ย หวิวเหลือเกิ๊น

     


     

    “ถ้ามีซอมบี้พุ่งมาจากในดงไม้ตรงนั้นกูวิ่งตีนแตกเลยนะนี่พูด”แบคฮยอนพูดกับตัวเองเป็นการให้สัญญาณว่าถ้าหากมันเป็นแบบนั้นจริงๆเขาต้องวิ่ง แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีทางหรอก เขาก็แค่พูดให้ตัวเองรู้สึกว่าตรงนี้มันไม่ได้วังเวงมากจนเกินไปเท่านั้นเอง

     


     

    แวบหนึ่งแบคฮยอนแอบคิดถึงสิ่งที่เซฮุนพูดกับเขาก่อนที่เขาจะเดินออกมา

     


     

    ผมไม่ได้ขู่นะ แต่แถวนี้โจรเยอะจริงๆ

     


     

    ดูเหมือนว่าสัญชาติญาณบางอย่างบอกให้เขาเหลือบตาขึ้นมองกระจกโค้งที่อยู่ตรงหัวมุมถนน ดวงตาเรียวรีเหลือบตาขึ้นมองกระจกเพียงแค่เสี้ยววินาทีแล้วก็รีบหันไปมองทางข้างหน้าต่อแล้วเดินไปด้วยความรวดเร็วกว่าเดิม คงท่าทีสีหน้าปกติทั้งที่ในใจเตลิดไปหมดแล้ว

     


     

    ให้ตาย มีคนถือมีดเดินตามเขามา

     


     

    แบคฮยอนใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขามองไม่ผิดแน่ มีผู้ชายชุดดำแต่งตัวสกปรกเดินตามเข้ามาไม่ห่างพร้อมกับมีดสั้นในมือที่จ่อมาเหมือนกับพร้อมจะพุ่งเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ แต่กลับมีท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนกับโจรที่เพิ่งหัดปล้นคนอะไรแบบนั้น แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือมันมีกันกี่คน แต่จากที่เห็นตรงนั้นคือแค่คนเดียว

     



     

    แบคฮยอนพยายามตั้งสติและคิดว่าต้องทำอะไรหรือทำแบบไหนในการป้องกันตัว ใบหน้าขาวเริ่มซีด เหงื่อชื้นเริ่มออกมาจากฝ่ามือและใบหน้า บรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกอยากจะวิ่งหนีออกไปไกลๆเหมือนคนสติแตกแต่ติดที่ว่าคนข้างหลังมันมีมีดจ่อรอแทงคอหอยกูอยู่เนี่ยแหละ

     


     

    โอ๊ย ไอ้เหี้ย จัดแม่งเลยละกัน ตายก็ตายเหอะ ชีวิตกูตอนนี้มันไม่มีห่าอะไรดีแล้ว

     


     

    แบคฮยอนเป็นฝ่ายที่หยุดเดินแล้วหันไปหาไอ้โจรข้างหลังแล้วมองมันด้วยแววตากวนตีนแทน

     


     

    “เดิมตามอยู่ได้เนี่ยสัด แอบชอบกูเหรอ จะจีบก็บอกกันดีๆดิ จีบไหนดี จีบกุ้งมั้ย หมูก็อร่อยนะ”

     



     

    ผู้ชายชุดมอซอยกมีดสั้นปลายแหลมขึ้นเป็นเชิงขู่ แววตาสั่นระริก ยกยิ้มโรคจิต ตะโกนด้วยเสียงที่ดังกว่าเพื่อหวังจะข่มอีกฝ่าย แสงสะท้อนของมีดคมๆสะท้อนเข้าไปในดวงตาของชายร่างเล็กที่เป็นเหยื่อรายแรกในการปล้นของมัน

     


     

    “ส่ง ..ส่งเงินมึงมาให้หมด !!!!!!!!!

     



     

    “มีก็มีกันอยู่สองคนเนี่ยห่า เสียงดังทำหอกไรมึง บ้านขายลำโพงเหรอ”แบคฮยอนพูดเสียงเย็น ไอ้สัดขี้หูกูเต้นระบำแทงโก้กันหมดแล้วเนี่ยมึงเห็นมั้ยไอ้โง่

     



     

    ดวงตาเรียวเหลือบตามองถังขยะที่อยู่ข้างๆตัวเล็กน้อยก่อนจะหันไปจ้องหน้าไอ้โจรสกปรกที่ตอนนี้กำลังโมโหจนตัวสั่น งานหยาบละมึง กูทำโจรร้องไห้

     



     

    “ตอนแรกกูก็จะเอาเงินเฉยๆ แต่ตอนนี้กูเปลี่ยนใจแล้ว ไปกวนตีนกับพ่อมึงในนรกเถอะไอ้เด็กเวร !!!!!!!!”มันตะโกนด้วยเสียงดังลั่นอีกครั้งพร้อมกับมีดด้ามสั้นปลายแหลมที่พุ่งจ่อเข้ามาที่หน้าท้องไอ้เด็กกวนตีนที่ยืนนิ่งอย่างไม่กลัวตาย นี่กูถือมีดนะไม่ใช่กล้วยน้ำว้า ไอ้เด็กห่านี่ไม่คิดจะกลัวกูหน่อยเหรอวะ !

     



     

    ร่างเล็กอาศัยจังหวะนั้นตวัดเท้าเตะไปที่ข้อมือข้างที่ถือมีดของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็วจนมันหลุดออกไปตกในพงหญ้าตรงไหนซักที่ คว้าแขนใหญ่ๆเท่าท่อนซุงของมันเอาไว้แล้วสูดลมหายใจจับร่างหนาๆของมันทุ่มลงกับพื้นจนได้ยินเสียงหักของกระดูกที่มาพร้อมกับเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของไอ้โจรปากดีที่บอกว่าจะส่งเขาไปนรกเมื่อครู่นี้

     


     

    “สิ่งที่มึงควรรู้คืออะไรรู้มั้ย”ฝ่ามือขาวที่ชื้นเหงื่อหันไปก้มหยิบฝาทั้งขยะอันใหญ่ที่นอนขนาบอยู่บนพื้นขึ้นมา ดวงตาสวยวาวโรจน์อย่างคนโกรธจัด

     


     

    “อั่ก ยะ ..อย่า”



     

    อย่าใช้ปากพล่อยๆของมึงมาพูดถึงพ่อกู”

     



     

    เสียงฝาถังขยะที่กระทบเข้ากับใบหน้าของชายผู้เคราะห์ร้ายดังไปทั่วบริเวณ  แบคฮยอนก้มมองคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโจรด้วยสีหน้าโมโหร้ายในขณะที่ตัวเองกำลังหอบหายใจจนตัวโก่ง การจับคนตัวใหญ่และหนาแบบนั้นทุ่มลงพื้นมันทำให้เขาต้องใช้แรงไปไม่ใช่เล่นๆเลย

     




     

    แบคฮยอนใช้รองเท้าเขี่ยร่างใหญ่ๆที่นอนอยู่บนพื้นอย่างน่าอนาถสองสามครั้งเพื่อสำรวจว่าไอ้โจรหน้าโหดมันสลบไปรึยัง ซึ่งก็ไม่มีการตอบสนองกลับ

     


     

    “เหอะ สลบไปได้ก็ดี”

     


     

    กูไม่กระทืบมึงซ้ำก็ดีเท่าไหร่แล้วไอ้จ๊าดง่าว

     


     

    “นอนดมฝาถังขย---”

     



     

    พลั่ก !

     


     

     แบคฮยอนนิ่งค้างกลางอากาศเมื่อสัมผัสได้ถึงของหนักบางอย่างที่กระแทกเข้ามากลางกระหม่อมจากทางด้านหลัง ความรู้สึกหนึบชาแล่นปลาบขึ้นสมองจนเขาแทบจะร้องออกมาดังๆ ของเหลวสีเข้มหนืดๆไหลลงมาจากศรีษะเหมือนก๊อกแตก แล้วแรงโน้มถ่วงโลกดึงร่างของเขาให้ลงไปสัมผัสกับพื้นแข็งๆที่กำลังอ้าแขนรับ

     


     

    มีกันสองคนเหรอวะ

     


     

    แบคฮยอนสบถคำหยาบคายอีกหลายคำอยู่ในใจ ทั้งๆที่อยากจะลุกขึ้นจะตายห่าแต่เหมือนกับว่าพื้นแข็งๆที่นาบกับหน้ามันกำลังดูดตัวเขาเอาไว้ เปลือกตาหนักอึ้งจนเหมือนกับว่าจะหลับไปได้ง่ายๆ

     


     

    สุดท้าย

     


     

    ทุกอย่างก็มืดลงจนมองไม่เห็นอะไรเลย

     


     

    “เซ ...ฮุน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     









     

    “คุณควรหัดฟังที่คนอื่นพูดบ้างนะครับ”

     

     

    ให้ตายเถอะ นาทีสุดท้ายของชีวิตกูยังได้ยินเสียงมึงตามหลอนอีกเหรอวะเนี่ย

     

     

     

     

     




     

     

     

    ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความรู้สึกปวดที่ศรีษะจนเหมือนกับว่ามีคนเอาค้อนปอนด์มาทุบหัวแรงๆ ปวดจี๊ดตั้งแต่ส่วนหัวลามมายันกระบอกตา ลืมตาก็ลืมแทบไม่ขึ้น ในตอนนี้เขาสามารถรับรู้ได้เพียงสัมผัสแข็งๆเย็นๆที่เหมือนกับกำลังนอนอยู่บนพื้นแล้วก็ความอุ่นจากผ้าห่มนุ่มๆที่คลุมตัวร่างของเขาเอาไว้ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่รู้ว่านั่นคือผ้าห่อศพของเขาหรือเขากำลังอยู่ที่ไหนกันแน่

     



     

    หรือทุกอย่างอาจจะเป็นแค่ความฝัน

     


     

    ตอนนี้แบคฮยอนอาจจะกำลังนอนอยู่ในห้องกับชานยอล จงอิน แล้วก็คยองซูหลังจากที่ซัดเหล้าย้อมใจเรื่องคะแนนกันก็ได้ เรื่องที่เขาหนีออกจากบ้านอาจจะเป็นแค่ความฝัน เรื่องที่เขาโดนรีไทร์อาจจะเป็นแค่ฝันร้ายที่สุดที่เคยมี รวมถึงเรื่องที่โดนโจรปล้นโดยการเอาไม้ฟาดหัว

     


     

    ถ้าหากตัวเขาลืมตาสิ่งพวกนั้นจะหายออกไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่รึเปล่า ?

     


     

    แต่ก็นั่นแหละ จะอะไรก็ช่าง แต่แบคฮยอนเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือฝันร้าย ที่สำคัญเขาตื่นแล้ว(ถึงจะตื่นแบบไม่เต็มตาก็ตาม)และทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิมในทุกๆเช้า

     


     

    รวมถึงนิสัยงอแงตอนตื่นนอนของแบคฮยอนด้วย

     


     

    “งื้อ ..ปวดหัวอ่ะ ชานยอล ชานยอลอยู่ไหนอ่ะ..”ฝ่ามือขาวคว้าสะเปะสะปะตามพื้นแข็งๆไปเรื่อย ส่งเสียงงุ้งงิ้งออกมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ทำไมในนี้มันหนาวจังวะ คยองซูมันหงุดหงิดอะไรถึงได้เปิดแอร์แรงขนาดนี้เนี่ย ฟันกูสั่นกึกๆเป็นจังหวะดับสเต็ปหมดแล้วเนี่ยห่าเอ๊ย

     


     

    ฝ่ามือหนาของใครซักคนเลื่อนมาแตะหัวไหล่มนจากทางด้านหลังอย่างแผ่วเบา เหมือนกับว่ากำลังสำรวจว่าคนตัวเล็กนั้นตื่นแล้วหรือว่ากำลังละเมอกันแน่

     



     

    แบคฮยอนหันกลับไปหาคนที่นอนขนาบอยู่ด้านหลังช้าๆทั้งที่ยังไม่ลืมตาแล้วค่อยๆงุดหัวเข้าไปซุกอกอีกฝ่ายเพื่อหาที่คลายหนาวโดยที่พูดคำว่าขอซุกหน่อยเหมือนที่ชอบทำตอนตื่นนอนเช้าๆ

     


     

    “ฮื่อ หนาวอ่ะ”

     


     

    ฝ่ามืออุ่นๆเลื่อนขึ้นมาวางบนศรีษะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ซึ่งมันก็เรียกรอยยิ้มจากคนน่ารักได้เป็นอย่างดี ดวงตาเรียวหลับพริ้มสนิทในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังมองการกระทำทุกอย่างของร่างเล็กอย่างใกล้ชิด

     


     

     “ขอโทษนะครับ คนที่ช่วยคุณเขาไม่ได้ชื่อชานยอลหรือคยองซูหรอกนะ”

     


     

    น้ำเสียงนุ่มทุ้มติดกระแทกแดกดันของใครซักคนที่กระซิบผ่านใบหูดังเข้ามาในโสตประสาทของคนที่กำลังหลับตาพริ้ม แบคฮยอนขมวดคิ้วหน่อยๆเหมือนกับว่ากำลังคิดว่าเสียงนั้นคือเสียงของใคร

     


     

    เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆลืมขึ้นอย่างช้าๆ กระพริบสองสามทีเพื่อให้ความพร่ามัวหายไป ยกมือขึ้นขยี้ตาสองสามครั้งเพื่อให้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น ปวดตาชิบหายเลยว่ะ ที่นี่ที่ไหนวะทำไมไม่คุ้นเลย แล้วนี่อะไร ใคร กูอยู่ไหน ชานยอล จงอิน คยองซูไปไหน

     


     

    แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตัวเองกำลังซุกตัวกอดอยู่ช้าๆ ช้าชนิดที่ว่าแทบจะสโลว์โมชั่น ไล่ตั้งแต่เสื้อยืดสีขาว ฐานคอ สันกราม ริมฝีปากที่ไม่คุ้นตา จมูกโด่งเป็นสันเขื่อนชลประทาน และจบที่ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ที่จ้องมองมาที่ร่างเล็กพร้อมท่าทีไม่พอใจหน่อยๆ

     


     

    “คนที่นอนอยู่กับคุณเมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้ชื่อชานยอลหรือคยองซูเหมือนกัน”

     


     

    “มึง มึง..มึง ! มึง”แบคฮยอนเด้งตัวลุกขึ้นเหมือนติดสปริงแล้วถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อก้มหน้ามองสภาพของตัวเองแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงจนตาแทบปลิ้น เขากำลังสวมเสื้อยืนแขนยาวที่ไม่ได้เข้าหรือพอดีกับขนาดตัว ที่แย่กว่านั้นคือมันไม่ใช่เสื้อของเขา แต่ที่มันเหี้ยกว่านั้นคือกางเกงยีนส์กูหายไปจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเนี่ยแหละซั้ซ !

     


     

    “มึงทะลวงประตูหลังกูแล้วใช่มั้ยไอ้เหี้ย ไอ้เลว ไอ้ชั่ว ไอ้.. ไอ้หน้าขาว มึ๊ง !!!”แบคฮยอนตะโกนเสียงดังลั่นบ้านในขณะที่กำลังยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดอกเหมือนนางเอกที่พึ่งโดนพรากความบริสุทธิ์ไปทั้งที่วัยยังไม่ถึงสิบแปด ส่วนคนฟังก็ได้แต่ยกมือขึ้นปิดหูด้วยความรำคาญ

     


     

    “เงียบน่าคุณ นี่มันยังเช้าอยู่เลย จะส่งเสียงขันปลุกคนข้างบ้านแทนไก่รึไง”

     


     

    “ก็..ก็มึง !!!

     


     

    “โวยวายไปเดี๋ยวแผลก็ปริซะเปล่าๆ เก็บเสียงไว้ตะโกนตอนผมคิดจะทำจริงๆเถอะ ไม่ปวดหัวบ้างเหรอ คุณหัวแตกอยู่นะ”

     


     

    แบคฮยอนชะงักกึก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ความจริง พูดแบบนี้แสดงว่ายังไม่ได้ทำอะไร ก็ใครจะไปรู้ล่ะวะ เสื้อผ้าก็หายไปหมดเหลือแต่กางเกงชั้นในแถมมาใส่เสื้อใครก็ไม่รู้จะให้คิดยังไงล่ะห่า เล่นตบแปะเหรอ

     


     

    “เจ็บอยู่ นิดนึง ไม่เป็นไรมาก”แบคฮยอนโบกมือไปมาในขณะที่ยกมือขึ้นแตะๆที่หัวของตัวเอง สัมผัสหยาบๆของผ้าก๊อซที่พันอยู่รอบศรีษะ ไม่น่าล่ะทำไมหัวมันตึงๆ

     


     

    “เห็นไม่ล่ะ เพราะว่าคุณไม่ฟังผมเอง เมื่อวานถ้าคุณตกลงอยู่ที่นี่คุณก็จะไม่ต้องมาหัวแตกแบบนี้”

     


     

    “ก็ไม่ต้องตอกย้ำได้มั้ยล่ะ ก็กูไม่ไว้ใจมึงนี่ ใครมันจะกล้าอยู่บ้านคนแปลกหน้าวะ แถมไม่รู้จะอีก กูไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้นนี่”แบคฮยอนบ่นอุบ เหลือบมองเตียงขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างๆที่ๆเขานอนแล้วก็เหลือบมองหน้าของเซฮุนที่ลุกขึ้นนั่งกอดอกจ้องหน้าเขาอยู่เหมือนกัน “แล้วทำไมไม่ให้กูนอนบนเตียงอ่ะ”

     


     

    “ผมไม่ได้อาบน้ำให้คุณ แค่เช็ดหน้า เช็ดตัวให้นิดหน่อย ทำแผลแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมก็เลยให้คุณนอนที่พื้นแล้วผมก็นอนข้างบน”

     


     

    “โอ้โหมึงนี่มัน..”

     


     

    “เดี๋ยว อย่าเพิ่ง ผมยังเล่าไม่จบ”คนตรงหน้ายกมือเป็นเชิงห้าม ไม่มีทางเด็ดขาดที่เขาจะยอมฟังเสียงแว้ดๆของคนขี้โวยวายคนนี้แน่ “แล้วคุณก็บ่นว่าหนาวจนผมนอนไม่ได้ ผมไม่อยากปรับแอร์ให้ หมายถึงผมไม่ชอบอากาศร้อนๆ ผมก็เลยลงไปนอนกับคุณข้างล่างซะเลย แถมห่มผ้าห่มอีก ผมร้อนจะตายชักในขณะที่คุณนอนสบายแถมซุกผมอย่างกับเด็กอนุบาลอ้อนแม่”

     


     

    ไม่นับเรื่องที่โดนอ้อนด้วยเสียงงุ้งงิ้งๆเมื่อกี้ อันนั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้ละกัน ไหนๆเขาก็เสียเปรียบมาแทบหมดทุกอย่างแล้ว แบคฮยอนน่ารักเฉพาะตอนหลับกับตอนเพิ่งตื่น นั่นคือข้อมูลเดียวที่เขารู้ในตอนนี้

     


     

    “ก็ ..ขอโทษได้มั้ยล่ะ”คนตัวเล็กหน้าจ๋อยสนิทลงโดนอัตโนมัติ ถ้าหากมีหูสุนัขด้วยป่านนี้มันคงลู่ตกลงไปแล้ว

     


     

    “ก็แค่นั้น”เซฮุนลุกขึ้นพร้อมๆกับผ้าห่ม ปูทับผ้าปูเตียงและจัดจนเรียบ ไม่เห็นแม้แต่รอยยับ“ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่า รออยู่ตรงนี้ ประตูกระจกนั่นห้ามเลื่อนออกไปเด็ดขาดถ้าไม่อยากโดนหมาผมวิ่งเข้าใจหรือกระโดดทับ แล้วผมจะเอาชุดของคุณเข้ามาให้ รออยู่ตรงนี้ เข้าใจมั้ย”

     


     

    “เฮ้ย ! เดี๋ยวดิ”

     


     

    “อะไรอีกล่ะ”ร่างสูงหันกลับมา เขาคิดดีรึเปล่าที่ช่วยผู้ชายคนนี้ออกมาก่อนโดนกระซวกไส้ แถมอดหลับอดนอนเฝ้าอีกต่างหาก

     


     

    เขามองท่าทีของคนตัวเล็กกว่าที่กำลังลุกขึ้นยืนอย่างเงอะๆงะๆเหมือนลูกนกเพนกวินหัดเดิน ริมฝีปากแดงทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดเสียที มัวแต่พูดงึมงำอยู่คนเดียวแล้วเขาจะรู้เรื่องมั้ยเนี่ย

     


     

    “ถ้าคุณไม่พูดผมไปแล้วนะ”ร่างสูงหันหลังให้กับร่างเล็ก ยังไม่ทันยกมือแตะลูกบิดประตูด้วยซ้ำ แล้วก็ต้องชะงักอยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินประโยคที่เป็นเหมือนกับเดอะทอล์คออฟเดอะทาวน์ของวันนี้

     


     

    “ขอบ.. ขอบ ..ขอบคุณนะ เอ่อ.. เซฮุน

     


     

    “........”

     


     

    “.........”

     


     

     

    “........ครับ ไม่เป็นไร”

     


     

    แกร๊ก..

     


     

    ........

     



     

    “กูทำอะไรลงป๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย TTT___________________________TTT

     



     

    แบคฮยอนจะรู้มั้ยนะ ว่าในขณะที่ตัวเองกำลังกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความอับอายนั้น คนอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังบานประตูกำลังยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     


     

    ก็....... น่ารักดี

     





     


     

    #กรรณิการ์

    เซฮุนคะ ถ้าพี่เป็นเราพี่จะเอาปากกระแทกกับปากแดงๆของนังเต้าหู้ให้มันหยุดโวยวาย

    เป็นตอนที่แต่งนานจริง อยากได้ความเมพแบบเดิมกลับคืนมา 

    #ฟตตฮบ


    (c) Chess theme

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×