ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ้านปีกไม้ กับ หัวใจสองดวง

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 49


    บทที่1

                    สายตาของหญิงสาวเหม่อมองอกไปนอกหน้าต่างรถทัวร์สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทัศนียภาพภายนอกช่างงดงามนัก หมอกยามเช้าปกคลุมไปทั่วบริเวณชวนให้หนาวสะท้าน หญิงสาวกระชับผ้าห่มผืนบางแนบลำตัวเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หัวใจของหญิงสาวอบอุ่นแม้แต่น้อย เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่ทำให้ตนต้องจากบ้านมาไกลถึงเพียงนี้

                    ทำไมจะต้องเป็นเราที่พบเจอกับเรื่องแบบนี้

                    หญิงสาวเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ตลอดการเดินทางอันยาวไกลนี้ แต่ก็ไม่สามารถให้คำตอบกับคำถามของตนเองได้ หญิงสาวหลับตาลงเพื่อกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมา ทั้งๆ ที่คิดว่าน้ำตาจะหมดไปแล้วตั้งแต่คืน แต่พอคิดถึงเรื่องนั้นทีไรน้ำตาก็ไหลลงมาไม่หยุด

                    หญิงสาวเผลอหลับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวก็ตอนที่รถมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว พอมองดูนาฬิกาก็รู้ว่าเพิ่งจะสิบเอ็ดโมงเช้า เธอจึงถือกระเป๋าเดินไปที่ตู้สาธารณะ คิดว่าเพื่อนของเธอน่าจะว่างเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ หญิงสาวกดหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ รอสายอยู่ชั่วอึดใจก็มีเสียงตอบรับ

                    สวัสดีค่ะ เสียงที่เธอจำได้ขึ้นใจดังมาตามสาย เสียงที่คอยปลอบยามเธอทุกข์ เสียงที่คอยให้กำลังใจยามที่เธออ่อนแอ คิดไปน้ำตาก็พานจะไหลออกมาดื้อๆ

                    พิณนี่นัฐเองนะ จำนัฐได้มั้ยน้าเสียงสั่นเครือเพราะกลั้นแรงสะอื้นที่ดังตอบมาตามสายทำให้ปลายสายเงียบไป ทำไมเพียงพิณจะไม่รู้ เพื่อนสนิทที่เคยแจ่มใส อารมณ์ดีตลอดเวลาอย่างนัฐมน จะมีน้อยครั้งนักที่เสียงจะเศร้าถึงเพียงนี้ เพื่อนของเธอคงจะมีเรื่องทุกข์ใจมากอย่างแน่นอน

                    นัฐมีอะไรรึเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน เสียงของหญิงสาวอีกคนเอ่ยออกมาด้วยความห่วงใย

                    สถานีขนส่งเชียงใหม่

                    รออยู่ที่นั่นนะเราจะรีบไปหา

                    จ๊ะเท่านั้นเองน้ำตาไม่รู้จากที่ไหนมากมายก็ไหลรินลงมาอาบแก้มหญิงสาว คงเป็นเพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้เธอมั่นใจนักที่จะมาเชียงใหม่ ก็เพราะเพื่อนแท้อย่างเพียงพิณนี่เอง เพื่อนที่เธอรักมากที่สุด นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน ตั้งแต่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ 5 ปีแล้วซินะ นับตั้งแต่ครอบครัวของเธอต้องย้ายตามบิดาซึ่งเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ แต่เพียงพิณก็ยังเป็นเพียงพิณคนเดิม คนที่รักเพื่อน ห่วงใยเพื่อนเสมอมา หญิงสาวยิ้มกับตนเอง ก่อนจะออกมารอเพื่อนที่จุดพักผู้โดยสาร

     

     

                    นัฐ เสียงเรียกที่ดังมาปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่กำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเธออย่างรีบร้อน

                    เฮ้อ นัฐนึกว่าจะ.....สายตาที่มองสบมาของหญิงสาวอีกคนทำให้เพียงพิณพูดไม่ออก ยิ่งได้เห็นหน้าเพื่อนเธอยิ่งมั่นใจว่าเพื่อนของเธอคงจะมีเรื่องทุกข์ใจมาก อีกทั้งแววตาที่เคยสดใส มาบัดนี้กลับเศร้าหมอง  รอยยิ้มที่คอยส่งให้คนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา กลับหายไปมีเพียงหยาดน้ำตาที่เพียงกระตุ้นนิดเดียวก็คงจะไหลรินลงมาอักแน่ๆ การที่เพื่อนของธอเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจยิ่งขึ้นไปอีก

                    พิณ เสียงสั่นเครือที่ดังออกมาทำให้เพียงพิณรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดเพื่อนรักเอาไว้

                    นัฐไม่เป็นไรแล้วนะเราอยู่นี่เพียงแค่ได้ยินเสียงของเพียงพิณ น้ำตาก็ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองของนัฐมนอีกรอบ ทั้งๆ ที่คิดไว้แล้วว่าพอเจอหน้าเพื่อนเธอจะไม่ร้องอีกแล้ว

                    เพียงพิณโอบกอดนัฐมนไว้ปล่อยให้น้ำตาของเพื่อนไหลลงมาเรื่อยๆ  เธอจะไม่ปลอบใจเพื่อนหรอก  เธอรู้ดีการปลอบใจมันมีแต่จะไปกระตุ้นให้เพื่อนของเธอคิดถึงเรื่องนั้นและเพื่อนของเธอก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ไม่เป็นไรวันข้างหน้านัฐมนเพื่อนของเธอจะต้องกลับมาเป็นนัฐมนคนเดิม คนที่ร่าเริงแจ่มใส เธอมั่นใจ แม้วันข้างหน้าจะยาวไกลแต่เธอก็มั่นใจว่าเธอจะต้องทำได้แน่นอน

                    ไหนดูซิ หนูนัฐของเราขี้แยจังเลยไม่เจอกันแค่ 5 ปีกลายเป็นเด็กขี้แยซะแล้ว เฮ้อ สงสัยต่อไปเราคงต้องคอยเช็ดน้ำตาให้เด็กขี้แยทุกวันละมั้งเพียงพิณเอ่ยอย่างล้อๆ เมื่อคลายอ้อมกอดออกปล่อยให้หญิงสาวอีกคนเป็นอิสระ

                    เสียงแซวที่ดังขึ้นทำให้นัฐมนที่เพิ่งเช็ดน้ำตาหัวเราะออกมาได้ เพียงพิณเป็นอย่างนี้เสมอจะปล่อยให้เธอร้องให้จนพอใจแล้วก็จะพูดอะไรให้เธออารมณ์ดีขึ้น 

                    บ้าน่า ใครกันเด็กขี้แย นัฐมนเอ่ยปนหัวเราะ ต่อไปเธอจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอถ้าเธอไม่ยอมก็ไม่มีใครมาบังคับเธอได้ คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ยิ้มออกมา แต่ลึกๆ แล้วหญิงสาวก็อดที่จะคิดถึงบิดามารดาไม่ได้ ถ้าพวกท่านต้องการเช่นนั้นจริงๆ เธอก็คงจะไม่กล้าขัด

                    ไม่ขี้แยก็ได้ แต่เราคงต้องหาอะไรทานกันแล้วล่ะ ดูซิไม้รู้ท้องใครเริ่มส่งเสียงไม่พอใจแล้วเพียงพิณพูดพลางดึงกระเป๋าออกจากมือเพื่อนมาถือไว้ซะเอง

                    อย่าแซวซิอายคนอื่นเค้า ดูซิเค้าหันมามองกันใหญ่แล้วเพียงพิณลอบยิ้มกับตนเอง ที่คนอื่นมองน่ะไม่ใช่เสียงท้องร้องหรอก แต่เป็นเรื่องอื่นต่างหาก แล้วหญิงสาวก็ต้องรีบเดินตามไปเพราะเพื่อนของเธอหันกลับมาเรียกพร้อมกับโวยวายยกใหญ่

                    นี่ๆ หิวจนไส้จะกิ่วแล้วนะ เมื่อไหร่จะถึงซะทีล่ะร้านที่เธอว่าอร่อยน่ะ

                    จ้า ใกล้ถึงแล้วล่ะข้างหน้านี่เอง

                    เพียงพิณจอดรถที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งถ้าไม่สังเกตก็คงจะไม่เห็น

                    ที่นี่เหรอรถเยอะจังเลยนัฐพูดพร้อมกับหันไปมองรถที่จอดอยู่เต็มสองฝั่งของถนน

                    ก็อาหารเค้าอร่อยนี่นา เพียงพิณกล่าวพลางเดินนำหญิงสาวอีกคนเข้าไปภายในร้าน              

                    บรรยากาศของร้านคล้ายบ้านริมสวนมองดูเงียบสงบ ร่มรื่น แต่พอเดินเข้ามาข้างในกลับมีคนมากมายมานั่งรับประทานอาหารที่นี่จนแทบจะเต็มทุกโต๊ะ  เพียงพิณพานัฐมนไปนั่งที่โตต๊ะมุมสุดของร้าน แล้วเริ่มสั่งอาหารมามากมายจนนัฐมนต้องบอกให้หยุด กลัวว่าจะกินกันไม่หมด

                    ไม่รู้จะสั่งมาทำไมมากมายขนาดนี้ เรากินกัน 2 คนเองนะ ไม่ได้เลี้ยงคนเป็น 10 ซะหน่อยถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่พออาหารมาเสิร์ฟหญิงสาวก็กินชนิดที่แชมป์ก็คงอาย

                    เพียงพิณเพียงแต่ยิ้ม สายตาก็มองดูเพื่อนทานข้าวไปด้วย ดูซิเอาแต่บ่นตัวเองกินจนจะหมดทุกจานแล้ว คนอะไรตัวก็เล็กนิดเดียวกินอย่างกับผู้ชาย พลันก็คิดไปถึงพี่ชายถึงจะคนละแม่ แต่ทั้งสองก็สนิทกันมาก อาจจะเพราะอายูที่ห่างกันเพียง 2 ปีก็เลยทำให้สนิทกันมากกว่าพี่น่องคนอื่นๆ ยิ่งคิดรอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก ถ้าพี่ชายเธอมาเจอนัฐมนเพื่อนของเธอตอนนี้จะต้องอึ้งแน่ๆ ก็ดูซิกินข้าวไปตั้ง 2 จาน ปากก็ยังบ่นไม่เลิก

                    นี่ยิ้มอะไรน่ะ กำลังคิดถึงแฟนเหรอ นัฐมนมองดูเพื่อนที่นั่งตาลอย ปากก็ยิ้มไปด้วย ทำให้เธออดแซวไม่ได้

                    ไม่ใช่ซะหน่อย เรายังไม่มีแฟน เพียงพิณรีบปฏิเสธเพื่อนของเธอทันที

                    โธ่เอ้ย เพื่อนรักกันแท้ๆแค่นี้ก็ไม่ยอมบอกเสียงที่เอ่ยออกมาติดจะงอนนิดๆ

                    อย่าเลยนัฐ เราไม่หลงกลหรอก เพียงพิณเอ่ยอย่างรู้ทัน

                    นัฐมนรีบก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อ รู้ดีว่าถึงจะพูดอะไรออกไปก็คงจะถูกเพื่อนรู้ทันอยู่ดี พลันก็นึกไปถึงบุพการีทั้งสอง เมื่อเธอพูดหรือทำอะไรท่านมักจะรู้ทันเธอไปหมดซะทุกอย่าง ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะไม่ได้เจอกันมาตั้งสองปีนับตั้งแต่ที่หญิงสาวได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอก หญิงสาวคิดว่าจะกลับมาเซอร์ไพรท่านแต่กลับต้องมาได้ยินเรื่องที่ทำให้เธอต้องดั้นด้นมาไกลถึงที่นี่ทั้งที่ยังไม่ทันได้เข้าไปทำความเคารพท่านด้วยซ้ำ คิดไปก็รู้สึกน้อยใจ น้ำตาก็พลันจะไหลลงมาอีกรอบ ทำไมนะทั้งๆ ที่สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกแล้วเหมือนกับว่ายิ่งเธอพยายามจะลืมมันมากเท่าไหร่เธอกลับคิดถึงแต่เรื่องนี้ หญิงสาวจึงรีบรวบช้อนเสียกลัวเพื่อนจะจับอาการผิดปกติได้

                    อ้าวนัฐอิ่มแล้วเหรอ เพียงพิณร้องทักออกไปเพราะอยู่ดีๆ นัฐมนก็รวบช้อนขึ้นมาซะดื้อๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่าทางจะยังไม่อิ่มง่ายๆ

                    อืม กินไปตั้ง 2 จานแล้วนี่นาไม่อิ่มก็เกินคนแล้ว หญิงสาวแกล้งทำร่าเริงออกไป กลัวว่าเพื่อนจะไม่สบายใจกับเรื่องของตน

    นัฐมนยืนรอเพื่อนจ่ายเงินอยู่ด้านหน้าร้าน พอเพียงพิณเดินออกมาทั้งสองก็ออกจากร้านไป โดยมีสายตาสงสัยคู่หนึ่งมองตามทั้งสองไปจนลับสายตา

     

     

    ระหว่างทางเพียงพิณลอบสังเกตเพื่อนที่นั่งหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ เธอ แล้วก็คิดไปถึงเมื่อตอนที่ทั้งสองเรียนอยู่ด้วยกันพวกเธอมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา ถ้าเห็นคนหนึ่งก็จะต้องเห็นอีกคนหนึ่ง จนมักจะโดนแซวว่าเป็นฝาแฝดกัน ทั้งๆ ที่พวกเธอก็แตกต่างกันมาก ทั้งหน้าตาและนิสัย

    นัฐมนจะมีนิสัยที่ร่าเริงแจ่มใส อัธยาศัยดีเข้ากับคนอื่นได้ง่าย อีกทั้งหน้าตาก็น่ารัก วงหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตออกแววฉลาด จมูกรั้นๆ บ่งบอกถึงนิสัยแม้จะว่าง่ายแต่พอบทจะดื้อขึ้นมาใครก็ฉุดไม่อยู่ รวมทั้งริมฝีปากแดงอิ่มที่มักจะแย้มยิ้ม พูดคุยอยู่ตลอดเวลา คิดมาถึงตอนนี้เพียงพิณก็ลอบยิ้มกันตนเอง นัฐมนไท่เคยเปลี่ยนเลยเมื่อก่อนเป็นยังไงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม คงจะมีเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปคือ สายตาที่เศร้าโศกของหญิงสาว ทำไมเพียงพิณถึงจะไม่รู้ว่าเพื่อนของเธอแกล้งยิ้มสดใส เพื่อทำให้เธอสบายใจ เพื่อนของเธอมักจะเป็นเช่นนี้เสมอไม่อยากให้คนรอบข้างทุกข์ใจไปด้วย คิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

    เหนื่อยเหรอพิณ เสียงงัวเงียของนัฐมนถามออกมาอย่างห่วงใย

    อ้าวนัฐตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เรากำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็เลยไม่ทันสังเกตพูดไปสายตาก็หันไปชำเลืองเพื่อนแวบหนึ่ง

    ก็ตอนที่เธอถอหายใจนั่นแหละ

    เราทำให้เธอตื่นเหรอเพียงพิณพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด

    ไม่หรอก ว่าแต่ใกล้ถึงรึยังล่ะนานแล้วนะ ทำไมตอนเรานั่งรอเธอยังไม่นานขนาดนี้เลย ว่าพลางสายตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างสนใจ

    พอดีตอนนั้นเราเข้าไปทำธุระในตัวเมืองน่ะก็เลยได้ไปรับเธอเลยไม่งั้นนะเธอก็นั่งรอเราไปอีกนานเลยล่ะ

    อ้าววันนี้เธอทำงานด้วยเหรอ เรานึกว่าเธอหยุดซะอีกแล้วเธอจะไม่โดนเจ้านายว่าเหรอ

    ไม่เป็นไร  เราทำงานอยู่ที่รีสอร์ทชายเราเอง ไม่มีใครดุหรอก ถ้าจะมีก็คงจะเป็นพี่ชายเราเองแหละ

    พี่ชายของเธอดุเหรอ นัฐมนกล่าวออกมาอย่างหวั่นๆ

    ก็นิดหน่อย

    แล้วเราจะโดนดุด้วยมั้ยเนี่ย นัฐมนพึมพำกับตนเองเบาๆ

    นี่ถึงแล้วรีสอร์ทบ้านปีกไม้ของพี่ชายเราจอมดุของเราเอง เพียงพิณแนะนำเพื่อนด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปตามทางคอนกรีตซึ่งทอดยาวไปสู่บ้านปีกไม้หลังหนึ่ง

    ที่นี่เหรอ

    ไม่ใช่ ที่นี่คือที่ติดต่อจองที่พักน่ะ เอ่อเดี๋ยวเราเข้าไปคุยธุระนิดหน่อย นัฐออกไปเดินเล่นรอบๆ ก็ได้นะพูดจบเพียงพิณก็หันมาส่งยิ้มแล้วเดินขันบันไดไป

    นัฐมนมองไปรอบๆ บ้านปีกไม้มากมายที่ปลูกเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไม่ใกล้จนเกินไปเพื่อให้แขกที่มาพักมีความเป็นส่วนตัว อีกทั้งโคมไฟรูปสัตว์ต่างๆ ที่ตั้งไว้ตามทางเดินช่วยให้มองเห็นบรรยากาศยามค่ำคืน ดอกไม้ยามราตรีส่งกลิ่นหอมโชยมาตามสายลมพาให้เท้าของนัฐมนก้าวเดินออกไปตามทางโรยกรวดสายตาก็มองหาที่มาของกลิ่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่มีดอกสีขาวอยู่เต็มต้นแผ่กิ่งก้านสาขาลงมาปกคลุมหลังคาของบ้านปีกไม้หลังหนึ่งอยู่

    หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้คล้ายกับตกอยู่ในมนต์สะกด ภาพนี้ช่างงดงามยิ่งนัก คืนที่พระจันทร์เต็มดวง ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า อีกทั้งยังไม่มีเมฆมาบดบังที่สาดส่องลงมายังบริเวณโดยรอบ บ้านปีกไม้หลังงามซึ่งมองดูแปลกตากว่าบ้านปีกไม้หลังอื่นๆที่เธอเดินผ่านมา บ้านหลังใหญ่ตัวบ้านยกพื้นสูง ระเบียงกว้างมีโต๊ะไม้และเก้าอี้เข้าชุดกันตั้งอยู่ริมสุดของระเบียง ส่วนอีกด้านเป็นประตูไม้เชื่อมต่อเข้าไปในตัวบ้าน รอบๆ บ้านมีดอกไม้นานาชนิดปลูกอย่างเป็นระเบียบสวยงาม แสดงถึงความดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ถัดจากระเบียงทางฝั่งโต๊ะไม้ออกไปมีต้นไม้ขนาดใหญ่บดบังแสงจันทร์เกิดเป็นเงาทาบทับลงบนตัวบ้าน

    นัฐมนมองไปรอบๆ บ้านอีกครั้ง ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งมีดอกไม้สีขาวนวลหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้น หญิงสาวก้าวเท้าออกไปทางทิศนั้นทันที

    นี่ดอกอะไรนะหอมจังเลย ว่าพลางก็ยกดอกไม้ขึ้นแตะจมูกสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ พลัมก็มีเสียงหนึ่งกล่าวตอบกลับมา

    ดอกปีบน่ะ หรือที่ชาวเหนือเราเรียกดอกกาซะลอง

    นัฐมนหันมาทางต้นเสียงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอขณะนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่เธอนึกกลัว แต่กลับเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่างามคล้ายคนที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีหญิงสาวเหลือบตาขึ้นไปมองด้านบนก็พบกับสายตาคมเข้มที่มองสบกลับมา แต่ที่ทำให้เธอแปลกใจคงจะเป็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มรับกับจมูกโด่งเป็นสันเกินชาวไทยช่วยขับให้หน้าตาดูคมเข้มยิ่งขึ้น อีกทั้งริมฝีปากบางที่ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนมองก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้กำลังส่งยิ้มมาทางหญิงสาว

    เอ่อ คือฉันตามกลิ่นดอกไม้มาน่ะค่ะ หญิงสาวก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาที่มองมาอย่างขบขับ

    ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงแต่มองหญิงสาวยิ้มๆ

    งั้นขอตัวก่อนนะคะ นัฐมนพูดพลางค้อมตัวลงตามมารยาทแล้วเดินจากไป

    ชายหนุ่มมองตอมหญิงสาวไปจนลับสายตา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทรออก พลางก็นึกไปถึงเมื่อตอนกลางวัน ขณะที่นั่งรอเพื่อนอยู่ที่ร้านอาหาร สายตาก็เหลือบไปเห็นน้องสาว ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าไปทักทาย แต่ก็ต้องชะงักเพราะเห็นหญิงสาวอีกคนกำลังเดินออกมาด้วยกัน

    ใครกันนะผู้หญิงคนนี้มากับน้องสาวของเขาได้ยังไงกัน ถ้าเพื่อนของน้องสาวเขาก็น่าจะรู้จักทุกคนนี่นา แต่เด็กคนนี้เขากลับไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กสาวหน้าตาน่ารัก แก้มแดงอมชมพู รูปร่างบอบบาง ผมยาวถูรวบมัดเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย แต่ที่สะดุดใจเขาคงจะเป็นแววตาที่มักจะเผยรอยเศร้าออมาเมื่อหญิงสาวเผลอ

    พลันความคิดของชายหนุ่มก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีเสียงตอบรับจากปลายสาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×