คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 : 30%
ภายในห้องคาราโอเกะของร้านอาหาร
กลุ่มชายหญิงห้าคนกำลังร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน
วันนี้เป็นวันที่มีการนัดหมายกันของกลุ่มคนกลุ่มนี้ ตั้งแต่เรียนจบ
ทั้งห้าคนก็ทำการตกลงกันไว้ว่าทุกๆ วันที่ยี่สิบเจ็ดของทุกเดือนจะต้องมาเจอกัน
ส่วนสถานที่ก็จะทำการนัดหมายกันอีกครั้ง
ถือเป็นข้อตกลงของกลุ่มเพื่อไม่ให้แตกแยกกันไป
โดยมีการตั้งกติกาว่าใครที่เบี้ยวนัดจะต้องหารค่าใช้จ่ายของค่าอาหารและค่าเครื่องดื่มด้วย
ก็คือถึงไม่มาก็ต้องเสียสตางค์นั่นแหละ
“เป็นไงมั่งเอม เป็นสาวชาวสวน” ชลลดาเอ่ยถามเพื่อน
หลังจากที่บอกให้นทีปิดเครื่องคาราโอเกะเพราะช่วงนี้จะเข้าสู่การพูดคุยกัน
“ก็ดีนะ สบายใจดี
ไม่ต้องเครียดกับเจ้านายหรือลูกค้าที่เอาแต่ใจ”
เอมิกาหันไปตอบเพื่อนหลังจากที่ยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดื่ม
“อยู่บ้านริมน้ำบรรยากาศดีๆ แบบนั้นโคตรน่าอิจฉาเลยว่ะ”
ทวีชัยพูดขึ้นขณะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับกรรณิการ์แฟนสาว
“แต่ฉันว่าเปิดสตูดิโอถ่ายภาพแบบแกสองคนก็ดีนะ
แล้วนี่เมื่อไรจะแต่งกันสักที”
เอมิกาเอ่ยกับกรรณิการ์และทวีชัยที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนทั้งสองร่วมหุ้นกันเปิดสตูดิโอถ่ายภาพ
“อ้าว... กุ้ง นี่แกยังไม่บอกเอมอีกเหรอ”
ชลลดาดีไซเนอร์สาวมาดคุณหนูหันไปถามกับกรรณิการ์ที่นั่งยิ้มเขินเมื่อทวีชัยเอื้อมมาจับมือบางของเธอไปกุมไว้
“โอ๊ย กูละหมั่นไส้มึงสองคนจริงๆ
ไปถึงไหนต่อไหนกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จะมาเขินอะไรนักหนา”
นทีช่างภาพหนุ่มมาดเซอร์ปากวอนโดนตบประจำกลุ่มพูดขึ้น
“ไอ้ที ปากเหรอนั่นที่พูด
เดี๋ยวกูก็หักเงินเดือนมึงโทษฐานมาว่าเมียกูซะเลย” ทวีชัยออกรับแทนว่าที่ภรรยา
(ทางนิตินัย)
ส่วนกรรณิการ์ก็เปลี่ยนจากอาการขวยเขินมาเป็นตบผัวะไปที่แขนเพื่อนปากเสียทันที
“ทำอย่างกับกูไม่โดนหักอยู่ทุกเดือนงั้นแหละ
ดีนะที่กูรับถ่ายภาพกับนิตยสารด้วย ถ้ารอเงินเดือนมึงสองคน กูคงอดตาย” นทีแกล้งบ่น
“มัวแต่ไร้สาระกันอยู่ได้
ตกลงว่าฉันจะรู้มั้ยเนี่ยว่ามีเรื่องอะไรที่ฉันยังไม่รู้”
เอมิกาพูดขึ้นหลังจากที่ฟังเพื่อนคุยเล่นกันมาพักใหญ่
“ก็ไอ้สองคนนี่มันกำลังจะประกาศให้โลกรู้ว่ามันจะเป็นผัวเมียกันอย่างถูกกฎหมายไง”
จบคำของนที
เอมิกาก็หันไปแสดงความยินดีล่วงหน้าพร้อมทั้งรับซองสีชมพูจากมือทวีชัยมาเปิดดูกำหนดวันฉลองมงคลสมรสที่ระบุไว้ในการ์ดแต่งงาน
สักพักเอมิการู้สึกว่าเพื่อนๆ ของเธอเหมือนมีเรื่องจะถาม
รู้ได้จากที่ชลลดาเอาข้อศอกสะกิดกรรณิการ์แล้วก็พยักพเยิดมาทางเธอ จนเธอทนไม่ไหวจึงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียเอง
“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า” เมื่อเอมิกาเปิดทางให้
สองสาวก็หันไปสบตากันก่อนที่ชลลดาจะเป็นคนพูด
“วันก่อนนายพีทมันมาหาฉันที่ห้องเสื้อ มันมาถามถึงแก
บอกว่าอยากเจอ”
“แล้วแกบอกไปว่าไง”
เอมิกาถามไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนที่ชลลดาเอ่ยถึง
“ฉันก็บอกให้มันไปที่ชอบๆ เถอะ อย่ามายุ่งกับแกอีก
ไม่งั้นฉันจะไปบอกยัยน้ำเค็มมันก็เลยออกอาการหงุดหงิดหัวเสียกลับไป”
เอมิกายิ้มนึกขอบใจเพื่อนคุณหนูที่ตอบได้ตรงใจเธอที่สุด
“มันบอกว่ามันโทรหาแกแต่แกไม่รับสาย” ชลลดายังบอกอีก
“อืม... ขี้เกียจคุย ออกจากบริษัทนั้นมาก็สบายใจ
แล้วมีอีกตั้งหลายเรื่องที่ต้องทำ
ฉันไม่มีเวลามานั่งคุยกับผู้ชายกะล่อนแบบนั้นหรอก”
เพื่อนสี่คนต่างก็เห็นด้วย จากนั้นก็คุยกันต่ออีกพัก และเมื่อช่วงเวลาพูดคุยอัพเดตชีวิตของแต่ละคนจบแล้ว
ทั้งหมดก็กลับมาเปิดเพลงร้องคาราโอเกะกันต่อ
โดยกำหนดว่าจะแยกย้ายกันก่อนเวลาตีหนึ่ง เนื่องจากรุ่งขึ้นทุกคนมีงานที่จะต้องทำ
ร่างสูงของอนาวินก้าวไปตามทางเดินเพื่อตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงทีมงาน
จากที่คิดว่าจะมาถึงตั้งแต่สามทุ่ม
แต่เขามาช้ากว่าที่ตั้งใจไว้เกือบสองชั่วโมงเหตุเพราะต้องไปรับลินดาอดีตแฟนสาวที่สนามบินแบบกะทันหัน
ขณะที่อนาวินเดินผ่านห้องคาราโอเกะที่เป็นทางผ่านไปห้องจัดเลี้ยงทีมงานโดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว
จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักออกมากระแทกเข้าที่หัวไหล่เขาอย่างจัง!
“ซุ่มซ่าม... เปิดออกมาทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือหรือว่าเมา”
อนาวินเอ่ยตำหนิหญิงสาวที่เปิดประตูมาชน
แต่ไม่รู้เป็นเพราะเขาตัวใหญ่หรือเธอไม่มีแรง
ประตูมันเลยดีดกลับไปที่หน้าของตัวเอง
เขาเห็นคนซุ่มซ่ามยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ
เอมิกาที่รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดที่เปิดประตูไปชนชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำลังจะเอ่ยคำขอโทษ
แต่พอเจอทั้งคำพูดเชิงตำหนิและน้ำเสียงหงุดหงิดนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
น้ำเสียงที่เอ่ยขอโทษจึงห้วนสนิท
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ” ชายหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอกแล้วมองหน้าคนซุ่มซ่าม
“อ้าว! ก็ขอโทษแล้วจะเอายังไงอีก
นี่ฉันแค่เปิดประตูมาชนคุณนะ ไม่ได้เอาไม้หน้าสามไปฟาดหัวคุณ”
อนาวินมองหญิงสาวที่ยืนเท้าสะเอวตรงหน้าชนิดที่ว่ามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ววกขึ้นมาที่ใบหน้าอีกครั้ง
พลางคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาสวยแถมยังมีรูปร่างที่สามารถเรียกสายตาผู้ชายให้มองจนเหลียวหลังได้ไม่ยากเลย
และเขาเองก็คงจะเป็นหนึ่งในผู้ชายเหล่านั้นด้วยเหมือนกันถ้าไม่ได้ยินคำพูดคำจาที่หาความนุ่มนวลอ่อนหวานไม่เจอสักนิดของเจ้าหล่อนเข้า
สายตาคมกริบที่มองมาทำให้เอมิคกาก้มมองตัวเองโดยอัตโนมัติ
รู้สึกไม่ชอบใจแววตาที่มองมาอย่างตำหนินั่น แล้วไหนจะรอยยิ้มที่มุมปากนั่นก็อีก
ไม่เข้าใจสักนิดว่าไอ้การที่เธอใส่เสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนซีดๆ
มันไปทำให้สุนัขที่บ้านเขาโดนวางยาเบื่อหรืออย่างไร ขอโทษก็ขอโทษแล้ว แล้วตัวเขาก็ออกจะใหญ่โต
ดูไม่เห็นว่าประตูที่ไปกระแทกจะทำให้เขากระเทือนเลยสักนิด
เธอเสียอีกที่ตอนนี้รู้สึกปวดหนึบๆ ที่หน้าผากแล้ว
“มองผู้หญิงแบบนี้ภรรยาที่บ้านไม่ได้บอกหรือไงว่ามันเสียมารยาท”
ถ้าจะบอกว่าแม่ไม่สอนก็ดูจะแรงไป เพราะแม่อาจจะสอนแต่เขาอาจไม่จำก็ได้
“ผู้หญิง?”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นราวกับแปลกใจ ก่อนจะมองที่ใบหน้าที่ตอนนี้หน้าผากเริ่มบวมนิดๆ
ไล่มาหยุดนิ่งตรงหน้าอก อนาวินพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
เชิงว่าเพิ่งเห็นถึงความเป็นผู้หญิงของคนตรงหน้า
“อืม...
ผู้หญิงจริงๆ นั่นแหละ”
“ไอ้บ้า
ไอ้ลามก ไอ้...”
รอยยิ้มคล้ายเยาะของผู้ชายไร้มารยาททำให้เอมิกาอื้ออึงนึกคำด่าไม่ออก
สายตาคมคู่นั้นยังจ้องอยู่ตรงส่วนแสดงความเป็นผู้หญิงทั้งที่มือของเธอก็ปิดมันไว้จนมิด
คิดในใจไม่น่าออกสเต็ปจนต้องถอดเสื้อตัวนอกออกเลย
แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอนี่นา และที่สำคัญ ผู้ชายคนนี้ไม่ควรจะมองเธอด้วยสายตาจาบจ้วงแบบนี้
มันเสียมารยาท!
ขณะที่เอมิกากำลังหาคำมาด่าผู้ชายตรงหน้า
เสียงเรียกชื่อเธอก็ดังขึ้น
“คุณเอมิกา”
คนถูกเรียกชื่อละสายตาจากคนตรงหน้าหันไปมองยังทิศทางที่มาของเสียง
“คุณอนันต์”
“อานนท์ครับ”
ชายหนุ่มแก้ชื่อของตัวเองให้หญิงสาวทราบ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่เคยจำชื่อเขาได้
แต่อานนท์คิดว่าเขาควรจะปล่อยความไม่เข้าใจนั้นไปก่อน
เพราะมีเรื่องที่เขาควรจะให้ความสนใจมากกว่าคือการที่อนาวินยืนคุยกับเอมิกา
สองคนนี้รู้จักกันแล้วหรืออย่างไร
กำลังจะถามแต่เจ้านายเขากลับเอ่ยตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ไปได้แล้วนายนนท์”
พูดจบร่างสูงก็เดินตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงทีมงานของเขาทันที
ปล่อยให้คนที่ยังไม่เข้าใจมองหน้าหญิงสาวที่ยืนอึ้งเหมือนพูดอะไรไม่ออกอย่างงงๆ
“ฝากไปบอกเพื่อนคุณด้วยนะ
ว่าถ้าแน่จริงก็อย่ามาเดินหนีแบบนี้” เธอฝากคำพูดนั้นให้กับชายหนุ่มหน้าตี๋แล้วมุ่งตรงไปห้องน้ำตามความตั้งใจแรกตอนที่เปิดประตูออกมา
ทิ้งให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลยยืนเกาศีรษะของตัวเองอย่างไม่เข้าใจและงงมากขึ้นไปอีกระดับ
อานนท์ได้แต่ถามตัวเองว่าที่เขาเห็นสองคนนั้นยืนคุยกันเพราะรู้จักกันนั่นเขาเข้าใจผิดไปใช่ไหม
แล้วสรุปเจ้านายเขารู้หรือยังว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่คือเจ้าของที่ดินที่อยากจะได้นักหนานั่น
ความคิดเห็น