คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
ไชโย!
ความยินดีปรีดาแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เสียงกึกก้องของการประกาศผลอาหารประจำชาติที่ชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่...โรงแรม วีวัน โฮเทล ส่งผลให้หญิงสาวร่างเล็กสวมกุ๊ก ที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน ไทยแลนด์ฟู้ด แอนด์ โฮเทล ซึ่งจัดขึ้นที่สยามพารากอน โดยมีโรงแรมทั่วโลกเข้าร่วมงานกว่า 37 ประเทศ และกิจกรรมนี้จัดขึ้นสำหรับคนโรงแรมโดยเฉพาะ
“เชฟว่าเธอหยุดยิ้มได้แล้วนะกุล” เสียงทุ้มทรงพลังของเชฟผู้เป็นครูกล่าวเตือน หลังจากผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว สำหรับความยินดีในครั้งนี้ แต่ท่าทีแห่งความยินดีของสาวร่างเล็กยังไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
“โธ่...เชฟให้กุลได้ยิ้มอีกซักพักนะคะ ก็นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลงแข่ง แถมยังชนะอีกต่างหาก ถ้าไม่ให้ดีใจวันนี้ ก็ไม่รู้จะให้เก็บไว้ดีใจวันไหน” กล่าวจบกุ๊กสาวก็ยังตั้งหน้าตั้งตาอวดรอยยิ้มสวยต่อไป
“เชฟว่า ปีนี้ดูผู้คนจะคึกคักกว่าปีก่อนนะ ฝรั่งก็มากันเยอะ แต่ว่ากุ๊กเกาหลี ดูเขากำลังมองเธออยู่นะกุล ไม่สนเหรอ” เชฟเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หลังจากที่เริ่มเบื่อรอยยิ้มของลูกน้องเต็มที
“ขอเลี้ยงเจ้าแฝดให้โตก่อนนะคะเชฟ และอีกอย่างที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ กุลจะต้องเป็นเชฟหญิงให้ได้” กุลพัทธ์กล่าวด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
“มันก็ดีที่เรามุ่งมั่นขนาดนี้ แต่ก็เผื่อความผิดหวังไว้บ้าง เพราะการจะเป็นเชฟหญิง กุลก็รู้ว่าเป็นเรื่องยาก พอๆ กับงมเข็มในมหาสมุทร เราต้องหาประสบการณ์อีกหลายปี แต่เชฟว่านะ ยิ่งถ้าเราได้ไปหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะมันจะเป็นการการันตีความสามารถของเราได้เป็นอย่างดีเลยเชียล่ะ”
“คงไม่มีโอกาสหรอกค่ะ โชคดีที่จบมาแล้วก็ได้มาเป็นลูกน้องเชฟ แถมเจ้าของโรงแรมยังใจดี เปิดโอกาสดีๆ ส่งกุลเข้าแข็งขันอีก” กุลพัทธ์ยิ้มให้หัวหน้าพ่อครัวประจำโรงแรมด้วยความซาบซึ้งใจ
“เชฟว่ากุลเป็นคนมีพรสวรรค์นะ แกะสลักก็สวย ทำอาหารก็อร่อย พืชผักสวนครัวหรือสมุนไพรรึ ก็เชี่ยวชาญ แถมยังทำเค้กเก่งอีกด้วย มีคุณสมบัติครบอย่างนี้ไปไหนไม่อดตายหรอก”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไอ้เรื่องเค้กก็พอทำได้ คงเก่งไม่เท่าวันใหม่หรอกค่ะ รายนั้นน่ะสุดยอด” เธอพูดพร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือ
“จริงๆ แล้วการเป็นเชฟไม่จำเป็นต้องโด่งดังอะไรหรอก เพียงแต่เราทำอาหารแล้วคนทานชอบ เราก็มีความสุขมากพอแล้ว จริงมั้ย” กุลพัทธ์ยิ้มรับ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของเชฟจะดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
“ผมขอเรียนสายเชฟณรงค์ โรงแรม วีวัน ครับ” ปลายสายส่งเสียงเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษาแท้ๆ
เจ้าของโทรศัพท์หันไปหาลูกน้อง ด้วยท่าทางสงสัยว่าคนที่โทรมาต้องการอะไร
“กำลังพูดอยู่ครับ”
“ผมชื่อนาเซีย อาจาด จากโรงแรม มูซาลี ซาลาม โฮเทล ครับ”
“ครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ผมรับใช้”
“ผมต้องการผู้ชนะการทำอาหารไทยในวันนี้ ไปเป็นเชฟอาหารไทยประจำที่โรงแรมครับ” ประโยคที่ได้ยินทำให้เขายิ้มกว้าง ก่อนจะว่างสายแล้วหันไปลูกน้อง
“กุล เชฟมีข่าวดีจะบอก”
“คงเป็นข่าวดีของเชฟมากกว่า เพราะวันนี้กุลดีใจมามากพอแล้ว”
“มีคนจะจ้างเจ้าของรางวัลชนะเลิศ ไปเป็นเชฟอาหารไทยในโรงแรม มูซาลี ซาลาม ที่ประเทศ อัฟฟาฮาน ประเทศที่รวยติดอันอับต้นๆ ของโลก และเป็นต้นกำเนิดน้ำมันมหาศาลและที่สำคัญเงินดีมาก” เชฟหันไปมองลูกน้องโดยยังไม่ยอมบอกเรื่องเงินเดือน รู้ทั้งรู้ว่าลูกน้องกำลังลุ้นจนตัวโก่งว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่
“โธ่...เชฟ อย่าแกล้งกุลเลย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วเนี่ย”
“จ่ายเป็นดอลลาร์ด้วย ก็อยู่ราวๆ 3,500 ดอลลาร์ ถ้าเป็นเงินไทยก็ประมาณแสนกว่าบาท ที่พักฟรี ค่าตั๋วก็ฟรี ที่เชฟบรรยายมาซะยาวเนี่ย พอจะเห็นภาพหรือยัง แต่ถ้ากุลไม่สนเชฟไปเองก็ได้นะ” หัวหน้าพ่อครัวยังกระเซ้าลูกน้องไม่เลิก
“จริงนะ เชฟไม่ได้แกล้งกุลเล่นใช่มั้ย” กุลพัทธ์เขย่าร่างหนาของหัวหน้าด้วยท่าทางดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“จริงที่สุด ถ้าพร้อมเดินทางก็ได้ทุกเมื่อ”
ชายหนุ่มร่างสูง ในชุดกาลาไบยาสีขาว ใบหน้าหล่อเข้มที่อุดมไปด้วยหนวดเคราซึ่งถูกจัดแต่งอย่างเหมาะเจาะ เรือนผมดำสนิทเปร่งประกายเงาวับคล้ายมีมนต์ขลัง ดวงตาสีสนิมแข็งกร้าวแลดูมีอำนาจ จมูกโด่งโค้งเป็นสันได้รูป เรียวปากหยักเมื่อแย้มยิ้มแทบจะทำให้สาวๆ ต้องหยุดมอง ชายหนุ่มกำลังมองไปยังรถมากมายในเมืองหลวงของประเทศไทย บนห้องสูทชั้นสูงสุดของโรงแรมหรู
องค์ชีคฮัสมาน ยูรูล วากัต แห่งราชวงศ์ ยูรูล วากัต สหรัฐอาหรับอัฟฟาฮาน พระองค์ทรงติดอันดับต้นๆ ราชวงศ์หนุ่มสาวที่ฮอตสุดของโลก จนเป็นที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้ ทรงขึ้นครองราชย์หลังจากชีคองค์ก่อนสวรรคตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ในขณะนั้นองค์ฮัสมานมีชันษาเพียง 17 ชันษา จากวันนั้นถึงวันนี้ก็กว่า 10 ปีที่ต้องทรงงานหนักตลอดระยะหลายปีที่ผ่าน ชีวิตในวัยรุ่นทั่วไปที่ควรจะได้รับกลับไม่เคยพานพบ รอยยิ้มที่เคยมีในวัยเยาว์ก็หายไปกับความทุกข์ยากของประชาชนที่พระองค์ต้องดูแล
วันนี้พระองค์ทรงเจียดเวลาอันมีค่ายิ่งกว่าทอง เดินทางมาเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ของงาน ไทยแลนด์ฟู้ด แอนท์ โฮเทลที่จัดขึ้น เพราะอาหารที่พระองค์โปรดปรานก็คืออาหารไทย
“กระหม่อมติดต่อทางนั้นเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรพระเจ้าค่ะ” นาเซียร์ อาจาด องครักษ์หนุ่มก้มน้อยๆ ก่อนจะถอยห่างออกไป หลังรายงานภารกิจเสร็จสิ้น
“อืม” องค์ชีคตอบสั้นก่อนหันพักตร์ไปมองต้นเสียง องครักษ์หนุ่มผู้นี้มีใบหน้าคมเข้ม เรียบเฉย ผมสีน้ำตาลอ่อนหวีตรึงไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีสนิมคล้ายกับองค์ชีค ฮัสมาน ดูลึกล้ำแฝงไว้ด้วยความหม่นเศร้า
ตั้งแต่พ่อ แม่ของนาเซียร์ อาจาด องครักษ์ก็เล่าให้พระองค์ฟังว่า ตนนั้นต้องเร่ร่อนเหมือนขอทาน หาเช้ากินค่ำคล้ายหมาข้างถนน เศษข้าวที่ชาวบ้านไว้เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะนั้นคืออาหารชั้นเลิศที่นาเซียร์พอจะหาได้ จากนั้นก็มีผู้ใจดีท่านหนึ่ง ชื่อว่า บาซา ซึ่งเป็นหัวหน้าชนเผ่าพื้นเมือง มายัน อยู่ในเขตของรัฐดาจะ เห็นสภาพอันน่าสมเพชของเขาโดยบังเอิญจึงรับไปอุปการะ ให้ที่อยู่อาศัย ให้การศึกษาที่ดี รวมทั้งการฝึกยุทธวิธีการต่อสู้ทุกชนิด
นาเซีนร์ตอบแทนบุญคุณของท่านบาซา ด้วยการตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุดกระทั่งอายุได้ 12 ปีเหตุการณ์สำคัญก็พลิกชีวิตจากคนอาภัพกลายมาเป็น องครักษ์คู่บารมีขององค์รัชทายาท ฮัสมานในชั่วข้ามคืน
ในตอนนั้นองค์รัชทายาทฮัสมานเสด็จเยี่ยมราชฏรในพื้นที่ของรัฐดาจะ ด้วยเหตุที่พระองค์แต่งกายเยี่ยงสามัญ มีผู้ติดตามมาเพียงสองและเด็กชายวัยไร่เรี่ยกันอีกหนึ่ง และไม่มีใครคาดคิดกลุ่มชายฉกรรจ์ประจำถิ่นกว่าสิบคนเข้ามาหาเรื่องเพื่อเก็บค่าคุ้มครองเพราะเห็นว่าเป็นคนต่างถิ่น แต่ผู้ติดตามต่อสู้ขัดขืนเด็กชายสองคนพยายามจะวิ่งหนี พร้อมเสียงปืนดังขึ้น
นาเซียร์ล้มลงไปนอนจมกองเลือด มีคนร้ายในกลุ่มชักปืนขึ้นเร็งไปที่ องค์รัชทายาทแต่เด็กชายนาเซียร์เอาร่างเล็กๆ บังวิถีกระสุนไว้ได้ทัน คราวนี้ชายฉกรรจ์ทั้งหมดต่างคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดโดยไม่คิดจะหันกลับมามองผลงานตัวเอง และก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นความมืดมิดดวงตาของนาเซียร์ทันเห็นชายวัยกลางคนมองมาด้วยความสะใจ
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชีวิตในแต่ละวันก็คือองค์ชีคฮัสมาน...
กุลพัทธ์ตรงรี่ไปหาแม่ค้าส้มตำ
“แม่จ๋า” เธอวางกระเป๋าเป้
“ดีใจอะไรมาเหรอเจ้ากุล” นวลมองลูกสาวคนโตด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“เจ้าแฝดกลับมาจากโรงเรียนหรือยังแม่”
“กลับมาแล้ว เห็นหอบหมอนที่นอนกลับมาซักด้วย แม่ไม่ได้ไปรับก็เลยต้องเดินกลับมาเอง พอกุลไม่ไปรับน้อง หน้าเจ้าปฝดก็หงิกงอกันทั้งคู่เลย”
น้องชายฝาแฝดของกุลพัทธ์ที่มีอายุห่างจากเธอหลายปี เด็กชายกุลธรและกุลทัต ญาโนทัย ทั้งสองเรียนอยู่อนุบาล 2 ซึ่งโรงเรียนที่น้องชายฝาแฝดของกุลพัทธ์เรียนอยู่ ไม่ห่างจากห้องเช่าของพวกเธอเท่าไหร่นัก หญิงสาวเข้าทำงาน 05.00 – 14.00 น. สาเหตุที่ต้องไปตั้งแต่เช้ามืดก็เป็นเพราะเธอนั้นต้องเข้าไปจัดเตรียมอาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้ามาพัก และงานแรกอดิเรกหลังเลิกงานก็คือการไปรับน้องชายฝาแฝดจอมด้รั้นทั้งสองที่โรงเรียน
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เธอก็จะมาช่วยแม่ขายส้มตำจนถึง 4 ทุ่มทุกคืน กว่าจะเข้านอนก็เกือบๆ เที่ยงคืน เป็นหน้าที่หลักซึ่งทำอย่างเต็มใจ ด้วยเพราะรู้ว่าแม่ต้องลำบากเพียงใดที่ต้องส่งเธอเรียน นี่ยังไม่รวมค่านม ค่าอาหารของเจ้าแฝด ที่แต่ละเดือนเงินที่ได้แทบจะไม่พอรายจ่าย
ฉัตร ญาโนทัย เจ้าของนามสกุลที่เธอใช้อยู่ ซึ่งตอนนี้พ่อบังเกิดเกล้าของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรแม่ได้เลย เพราะวันๆ เอาแต่เข้าบ่อนไก่ชน มีเงินเท่าไหร่ก็ไปอยู่ที่ไก่หมด พ่อเคยบอกว่า..เมียตายยังไม่เสียใจเท่าไก่เจ็บ นั่นเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจในทันทีว่าแม่รู้สึกยังไง แต่สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือความเข้าใจ เพราะถึงยังไงพ่อก็คือพ่อ แค่เพียงพ่อไม่เคยตบตีทำร้ายร่างกายแม่ ก็น่าจะเพียงพอแล้วกับการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ
“แม่กลับเถอะ4 ทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวเจ้าสองแสบมันจะโวยวายเอา นี่ได้เวลาเข้านอนแล้วถ้าไม่เห็นกลับซะที มีหวังได้ออกมาตามแน่ๆ”
“แล้วตกลงแม่จะรู้ได้หรือยัง ว่าข่าวดีอะไรที่ทำให้เจ้ากุลของแม่ดีใจขนาดนี้” นวลพูดพรางเก็บข้าวของใส่รถเข็น
“กลับไปบอกที่บ้านพร้อมเจ้าแฝดดีกว่าจะได้ไม่ต้องบอกหลายรอบนะคะ คุณแม่ขอร้อง ฮ่าๆ”
“เจ้ากุลเอ๊ย ชาตินี้จะมีใครเขารับไปทำแม่พันธุ์บ้างไหมหนอ แม่เห็นแล้วกลุ้มใจแทน” ผู้เป็นแม่หันไปยิ้มให้ลูกสาวอย่างเอ็นดู
“โธ่...แม่ ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม คนจะเป็นเชฟในอนาคตเขาไม่มีผัว มีลูกเร็วกันหรอกค่ะ เพราะถ้ามัวแต่ห่วงลูกห่วงผัวก็พอดีไม่ได้ก้าวไปไหนสักที ทำงานสายโรงแรมมันต้องกระโดดไปโรงแรมโน้นโรงแรมนี้ ประสบการณ์จะได้เยอะๆ แถมยังได้เห็นอะไรที่แตกต่าง กุลไม่มีเวลาจะไปมีแฟนหรอกแม่”
“ที่พูดมาซะยาวเนี่ย ไม่มีคนมาจีบก็บอกแม่มาซะดีๆ ไม่ต้องเฉไฉไปเรื่องอื่นเลย” นวลขยี้ผมลูกสาวเบาๆ
“แม่ก็ว่ากุลซะเสียเลยนะ” หญิงสาวจับมือผู้เป็นแม่ พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งผ่านความหวังดีมาให้เธอเสมอมา
“ไม่ต้องทำมาเป็นซึ้งรีบๆ เข็นรถได้แล้วแม่พูดเล่น ก็ลูกสาวแม่ออกจะสวยขนาดนี้ ที่ไม่มีแฟนก็เพราะห่วงน้องใช่ไหม” แม่พูดจบหญิงสาวร่างเล็กก็จัดการเข็นรถประจำตำแหน่งตรงดิ่งเข้าบ้านทันที
“แม่มาแล้ว พี่กุลก็มาแล้ว” เสียงเจ้าเด็กแฝดที่นั่งรออยู่หน้าวิ่งออกมารับด้วยความดีอกดีใจ
“เจ้าสองแสบ วันนี้ไม่มีขนมให้กินน้า” กุลพัทธ์แกล้งยั่วน้องๆ เหมือนเช่นปกติที่เคยทำอยู่เป็นประจำ จะว่าไปไม่ใช่เธอแกล้งน้องอยู่ฝ่ายเดียวซะเมื่อไหร่ ตอนไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกันพอมีหนุ่มๆ มองพี่สาวเข้าหน่อย เจ้าสองแสบก็ตะโกนเรียก กุลพัทธ์ว่า ‘แม่’ หน้าตาเฉย ทำเอาเธอเสียศูนย์อยู่บ่อยๆ
“พี่กุลโกหก ทัตเห็นแล้ว นั่นไงขนมเบื้อง” สองเสือกระโดดเข้าไปกอดขาเธอ ก่อนจะยื่นมือไปรับขนมที่พี่สาวส่งให้
“วันนี้พี่มีข่าวดีมาบอก แท่น แท้น พี่ได้รับการติดต่อให้ไปทำอาหารไทยที่ประเทศ อัฟฟาฮาน..ฮาน...ฮาน...ฮาน” กุลพัทธ์ทำเสียงเอกโคล่เพื่อให้น้องๆ หัวเราะแต่เสียงที่ตอบกลับมา
“ทัตไม่ให้พี่กุลไป ฮือๆ” กุลทัตงอแง เมื่อรู้ว่าพี่สาวจะไม่อยู่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าเธอจะไปที่ไหน ไปทำอะไร และจะกลับมาเมื่อไหร่ รู้เพียงอย่างเดียวคือจะไม่ได้เห็นหน้าพี่สาวของตัวเองอีก ก็พากันร้องไห้โดยไม่สนใจเสียงของแม่ที่นั่งปลอบอยู่ข้างๆ
“ธรก็ไม่ให้ไป ถ้าพี่กุลไป แล้วใครจะไปรับพวกเราสองคน ไม่ให้ไป ยังไงก็ไม่ให้ไป ฮือๆ” ฝาแฝดอีกคนไม่ยอมน้อยหน้าออกฤทธิ์ด้วยอีกคน
คนเป็นแม่ส่ายหน้าอย่างระอากับฝาแฝดที่ติดพี่สาวเอามากๆ อย่างนี้คงร้องไห้งอแงไปอีกหลายวัน แม้จะไม่เห็นด้วยที่กุลพัทธ์ตัดสินใจไปทำงานต่างประเทศ เพราะนึกเป็นห่วงว่าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวเดินทางไกลบ้านคงลำบาก และด้วยความที่ลูกไม่เคยห่างอกแม่ก็ยิ่งทำให้ความเป็นห่วงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
“เจ้ากุลแน่ใจแล้วเหรอลูก ว่าปลอดภัย ถ้าเกิดเขาหลอกไปขายในฮาเร็มจะทำยังไง”
“แม่จ๋า กุลก็พูดภาษาอังกฤษได้ ไม่มีใครหลอกกุลได้หรอก แล้วน้ำหน้าอย่างกุล ไม่ใช่สเปกของพวกนั้นแน่นอน อีกอย่างนะ เงินเดือนที่กุลได้ ถ้าเฉลี่ยเป็นเงินไทยก็อยู่ประมาณ แสนกว่าบาท หาทั้งชาติ กุลก็ไม่มีโอกาสได้แบบนี้อีกแล้ว ขอให้กุลทนทำงานสักสามสี่ปี กุลก็จะได้ซื้อบ้านให้แม่กับเจ้าแฝด แล้วก็มีที่ดินแปลงเล็กๆ ไว้เลี้ยงไก่ชนให้พ่อเท่านี้กุลก็ดีใจแล้ว”
“ไม่เอา ไม่เอา” เจ้าแฝดพร้อมใจกันตะโกนออกมาจนเธออดหัวเราะไม่ได้
“พี่ไปไม่นานหรอก แล้วจะรีบกลับนะ ไม่อยากได้เหรอเครื่องบินบังคับน่ะ เดี๋ยวพี่กุลจะซื้อไอ้ที่มันรำใหญ่ที่สุดในร้านให้เลย” กุลพัทธ์ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้น้องชาย
เจ้าแฝดหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วพร้อมใจมองหน้ากัน ด้วยพราะความเป็นเด็ก การมีเครื่องบินบังคับก็ถือเป็นสิ่งที่เจ้าสองแสบปรารถนา
“พี่กุลไปไม่นานใช่มั้ย” กุลทัตโพล่งขึ้นมา
“ไม่นานครับ เดี๋ยวเดียวก็กลับ แต่ตอนนี้ต้องเข้าไปนอนนะดึกแล้ว” กุลพัทธ์จูงน้องแฝดเข้าไปในห้องที่นอนด้วยกันสามคนพี่น้อง แม้จะเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ มีเพียงที่นอนเก่าๆ กับหมอนสามใบวางเรียงกันอยู่อย่างระเกะระกะ แต่สิ่งของเหล่านี้ก็สะสมความรักความผูกพันระหว่างพี่น้องไว้มากมาย จนหญิงสาวเริ่มไม่แน่ใจว่า ถึงวันที่ต้องเดินทางจริงๆ เธอจะทำใจได้หรือเปล่า
ผู้เป็นพี่ส่งน้องเข้านอนเรียบร้อยก็ออกมาหามารดาที่นั่งล้างอุปกรณ์การค้าขายอยู่ด้านนอก เธอยืนมองคนตรงหน้าที่มีร่างกายผอมเกร็ง ใบหน้าตอบ เหตุเพราะแม่ไม่เจริญอาหารเท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้นริ้วรอยที่บ่งบอกให้รู้ว่าผ่านความทุกข์ยากมามากมาย ทำให้เธอนึกอยากให้แม่สบาย โดยที่ไม่ต้องตรากตรำทำงานหนักอีกต่อไป หญิงสาวหวังว่าการไปทำงานคราวนี้จะช่วยให้ความเป็นอยู่ในครอบครัวดีขึ้น
“แม่ไปนอนเถอะเดี๋ยวกุลล้างเอง” คนเป็นแม่ไม่ได้หันหน้ามาตอบอะไร ได้แต่ก้มหน้าก้มหน้าล้างถ้วยล้างชาม จนเธอแปลกใจ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ
“แม่” หญิงสาวร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด เธอเข้าไปกอดบุพการีโดยไม่รอให้ท่านได้พูดอะไร เพราะภาพที่เธอเห็นคือแม่ก้มหน้าร้องไห้ไปล้างจานชามไป
“แม่อย่าร้องไห้เลย กุลไปไม่นานหรอก เมื่อไหร่ที่เก็บเงินได้เยอะๆ แล้วกุลจะรีบกลับและที่สำคัญนะถ้าได้ใบผ่านงานมา มันก็จะเป็นใบเบิกทางของการเป็นเชฟหญิงที่กุลฝันไว้ แม่ต้องดีใจนะ อย่าร้องไห้แบบนี้เลยนะแม่” กุลพัทธ์ทำใจแข็งไม่ยอมร้องไห้ตามแม่ง่ายๆ
“แม่อดใจหายไม่ได้” นวลยังไม่ยอมเงยหน้ามองลูกสาว แต่ก็กอดตอบ เพื่อถ่ายทอดความรักอย่างสุดใจ ส่งผ่านอ้อมกอดที่อบอุ่นไปให้ลูก
นวลรู้ว่าถึงจะห้ามยังไงลูกก็คงต้องไป เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่เป็นแรงผลักดันให้ลูกต้องจากบ้านไป แต่ถึงกระนั้นนวลหวังลึกๆ ว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง
ในตอนเช้ากุลพัทธ์ต้องไปขอวีซ่าที่สถานทูตอัฟฟาฮานประจำประเทศไทย โดยใช้หนังสือเดินทาง ใบคำร้องขอวีซ่า 1 ฉบับ ซึ่งต้องใช้เวลาสามวันในการดำเนินเรื่อง ซึ่งเป็นการทำเรื่องที่อ่านจากโบว์ชัวร์ที่วางไว้บนเคาน์เตอร์หน้าสถานทูต
“เรียบร้อยครับและนี่เป็นตั๋วเครื่องบิน บินตรงสู่ประเทศ อัฟฟาฮานของเรา” เจ้าหน้าที่สถานทูตเดินมาบอกหลังจากเธอยื่นเรื่องไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“คะ เอ่อ...ขอบคุณค่ะ ทำไมเร็วจัง ก็ไหนว่าสามวัน แต่นี่ไม่ถึงครึ่งชั่งโมงก็เรียบร้อยแล้ว” เจ้าหน้าที่สถานทูตไม่ตอบได้แต่ยิ้ม
‘จะไม่ให้เร็วได้ยังไง ก็องครักษ์ประจำพระองค์มาดำเนินเรื่องเองแบบนี้ แต่ไม่ยักบอกว่าเชฟที่จะไปเป็นผู้หญิง บอกแต่ว่าจะมีเชฟบินไปทำงานที่ มูซาลี ซาลาม ภายในอาทิตย์นี้จัดการให้ด้วย เท่านั้นนี่หว่า เอาน่าเธอคงทำอาหารถูกพระทัยองค์ชีคฮัสมานของเรา’ เจ้าหน้าที่คาดการณ์เอาเอง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องทำงาน
เธอเปิดดูในซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ซึ่งในนั้นบรรจุตั๋วเครื่องบิน และเงินดอลลาร์สหรัฐจำนวนหนึ่งซึ่งมีเขียนแนะนำไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า เงิน 1 ดอลลาร์แลกเงินประเทศ อัฟฟาฮานได้ประมาณ 9000 - 9200 เรียล ซึ่งสามารถแรกได้ที่สนามบิน หรือธนาคารของประเทศที่เป็นเจ้าของเงิน
วันเดินทางที่ไกลที่สุดในชีวิตของเธอก็มาถึง สนามบินสุวรรณภูมิดูจะไม่เคยหลับไหลไปพร้อมกับผู้คนที่อ่อนล้าจากการเดินทาง แสงไฟนับพันนับหมื่นดวงแก่งแย่งแข่งขันกันเปล่งแสงเรืองรอง จนไม่รู้เลยว่านี่เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน
ครอบครัวของกุลพัทธ์ยืนทำหน้าเศร้าราวกับว่าเธอจะไม่ได้กลับมาอีก หญิงสาวละสายตาจากครอบครัว และหันไปมองเชฟณรงค์บุคคลที่ทำให้เธอมีวันนี้และวันใหม่เพื่อนรักที่คอยให้กำลังใจเธอเสมอ
“มีอะไรก็เมลมานะ ยังไงกุลก็ยังเป็นลูกน้องที่เชฟภูมิใจเสมอ เออ…เชฟลืมถามไปว่ากุลได้เช็คดูประวัติและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของประเทศเขาบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ก็คิดว่า คงไม่มีอะไร ยังไงก็ค่อยๆ ปรับตัวไปทีละนิดแหละค่ะ”
“จำไว้ว่าการจะไปทำงานต่างประเทศเราต้องรู้ทางหนีทีไล่ เผื่อเกิดอะไรไม่คาดฝัน จะได้เอาตัวรอดได้ เข้าใจมั้ย แล้วก็จำเอาไว้ให้ขึ้นใจด้วยล่ะ”
“คงไม่ทันแล้วค่ะเชฟ แต่ยังไงกุลจะจำไว้ ถ้ากุลไปถึงที่โน้นแล้ว จะรีบทำตามที่เชฟบอกทันทีเลยค่ะ” กุลพัทธ์ยกมือไหว้ แล้วจึงหันไปหาเพื่อนสาว
“โชคดีเพื่อน” วันใหม่พูดได้เท่านั้น น้ำตาก็ไหลพรากออกมาอย่างอดไม่ได้
“เฮ้ย...ฉันไม่ได้ไปแล้วไปลับไม่กลับมาซักหน่อย เดี๋ยวก็ได้เจอกัน แล้วฉันจะเมลมาหาบ่อยๆ นะ” กุลพัทธ์เข้าไปสวมกอดเพื่อนรัก ก่อนที่วันใหม่จะคลายจากอ้อมกอด ปล่อยให้เวลาที่เหลือต่อจากนี้ เป็นเวลาของครอบครัว
“พ่อจ๋า กุลอยากให้พ่อกลับบ้านเร็วๆ ช่วยแม่ดูเจ้าแฝด อีกหน่อยถ้ากุลกลับมา แล้วกุลจะทำซุ้มไก่ชนให้พ่ออย่างที่พ่อเคยอยากมีไง ดีมั้ยจ๊ะ” ฉัตรมีรอยยิ้มพร้อมกับโยกหัวลูกสาวเบาๆ ด้วยเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด แต่กระนั้นน้ำตาที่ไหลรินลงบนแก้มหยาบกระด้างของผู้เป็นพ่อก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พ่อก็ยังเป็นพ่อที่น่ารักเสมอสำหรับเธอ
“เจ้ากุล แม่ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดอันตรายทั้งปวง แล้วกลับบ้านเราเร็วๆ นะ” นวลกอดลูกสาวแน่น พลางสะอื้นจนตัวโยน รวมไปถึงเจ้าฝาแฝดที่จับเสื้อพี่สาวไม่ยอมปล่อย
“ธร ทัต ปล่อยพี่ก่อนนะ แล้วอย่างงี้ พี่จะไปหาตังค์ซื้อเครื่องบินลำใหญ่ๆ ให้ได้ไงเล่า” กุลพัทธ์คลายจากอ้อมกอดจากแม่ แล้วคุกเข่าที่พื้นสนามบินและสวมกอดน้องชายฝาแฝดไว้แน่น
เสียงใสของพนักงานสาวประกาศกำหนดเวลาที่จะขึ้นเครื่องนั้น ทำให้หัวใจเธอกระตุกวาบ หญิงสาวลุกขึ้นหันไปไหว้แม่กับพ่อ แล้วลากกระเป๋ากำลังจะเดินเข้าห้องผู้โดยสารขาออก แต่แล้ว ขาที่กำลังจะก้าวเดินก็หนักอึ้ง จนไม่สามารถเดินต่อไปได้
“พี่กุล ฮือๆ” น้องชายฝาแฝดของเธอ กอดขาพี่สาวไว้คนละข้าง แล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่อายใคร ซึ่งเดือดร้อนถึงแม่และพ่อต้องมาอุ้มออกไป เธอหันมายิ้มหวานละมุนให้ทุกคนแล้วหันหลังกลับในทันที ก่อนที่น้ำตาที่เธอกลั่นเอาไว้จะไหลทะลักออกมา
ไม่นานเครื่องบินของสายการบินฟาฮานแอร์ที่บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่สหรัฐอาหรับอัฟฟาฮานก็ทะยานสู้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้มานั่งชูคออยู่บนเครื่องบิน ความคลื่นเหียนหายไปได้สักพัก หลังจากเครื่องบินในระดับปกติ พนักงานสาวบนเครื่องบินเดินเสิร์ฟน้ำที่ลูกค้าต้องการ พร้อมกับยิ้มให้ด้วยมิตรไมตรี
เป็นเวลา 12 ชั่วโมงที่เธอหลับๆ ตื่นๆ และเมื่อกัปตันประกาศว่า เครื่องกำลังจะลงจอดยังจุดหมายปลายทาง พอสิ้นเสียงประกาศก็ตามมาด้วยกาแฟร้อนๆ ที่พนักงานสาวขยันเดิน เพื่อเติมน้ำให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ณ ขณะนี้หัวใจของกุลพัทธ์กำลังเต้นเร็วผิดจังหวะ เมื่อมาถึงที่หมายอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งพนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาถามด้วยภาษาอังกฤษ
“มีผ้าคลุมไหมค่ะ” สายตาของหญิงมองผู้สนทนาอย่างงงๆ ก่อนจะบอกว่า
“ไม่มีค่ะ” คำพูดนั้นทำให้พนักงานสาวเริ่มอธิบายให้ฟัง
“ประเทศ อัฟฟาฮาน ต้องสวมเสื้อผ้าที่ยาวคลุมสะโพกและไม่ควรรัดจนเห็นสัดส่วน ผู้หญิงต้องคลุมผมตลอดเวลานับจากก้าวเข้าแผ่นดิน อัฟฟาฮาน เพราะเป็นประเพณีที่ชาวอัฟฟาฮานปฏิบัติติดต่อกันมานานพนักงานสาวบอกเล่าถึงประวัติของประเทศตน จากนั้นก็เดินหายเข้าไปหลังเครื่องก่อนจะเดินกลับมาพร้อมผ้าคลุมผมสีดำแล้วส่งให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
‘เผื่อไปเจอพวกที่หลอกไปขายในฮาเร็ม ก็จะต้องเป็นสาวโสด แต่ถ้าเราไม่โสดล่ะ’ กุลพัทธ์จัดการถอดแหวนรุ่นที่เธอใส่ติดนิ้วนางข้างขวาตลอดเวลา แต่ตอนนี้เธอถอดออกแล้วเปลี่ยนมาใส่ที่นิ้วนางข้างซ้าย เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่า เธอมีเจ้าของแล้ว
ความคิดเห็น