ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุดรอยทรายฝากใจรัก

    ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 14

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 59


    ตอนที่ 14
           หลังเสร็จสิ้นภารกิจยามเช้าขององค์ชีค กุลพัทธ์ก็เข้ามาทำงานในส่วนที่เธอรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่เข้าข้าง หัวหน้าข้าหลวงส่งเสียงแข็ง

    ทำไมไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อมมะเยียขึ้นเสียง

    ขอโทษค่ะเธอก้มเก็บของใส่กระเป๋าใบเล็ก

    ไปถึงโน่นก็ดูแลองค์ชีคให้ดี ไม่ใช่มัวแต่ดูนั่นดูนี่จนลืมทำหน้าที่ อาหารการกินก็ตรวจตราให้เรียบร้อย

    ค่ะ

    ดี...แต่อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอเหลวไหล มะเยียส่งเสียงขู่ในตอนท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องส่วนตัวของสาวไทย

    ท่านมะเยียจะให้เตรียมได้ไงก็เพิ่งบอกว่าจะเดินทางไปรัฐลาเดะ แล้วไอ้รัฐที่พูดเนี๊ยะหน้าตาเป็นไงก็ยังไม่รู้ พระราชาประเทศนี้เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัวอยากทำอะไรแถมยังเดือดร้อนคนอื่นเธอบ่นอุบโดยไม่รู้ว่าคนที่กล่าวพาดพิงกำลังจับจ้องมาที่เธอ

    ขนาดนั้นเลยเหรอ คนพูดยืนพิงประตูอย่างสบายอารมณ์

    เฮ้ย!” เธอมองต้นเสียงอย่างตกใจ

    มะเยียเป็นแม่นมของฉัน นินทากันแบบนี้คงไม่เข้าท่าและที่สำคัญยังมีรายชื่อฉันรวมอยู่ด้วยองค์ชีคฮัสมานยังอยู่ในท่าเดิม

    เอ่อ...องค์ชีค เข้ามาได้ไงหญิงสาวอึกอัก

    ก็เธอช้า ฉันก็เลยมาดู

    รัฐที่พระองค์จะพาไปไกลไหมเพคะ

    ไม่ไกลแต่ไปลำบาก รัฐลาเดะมีชายทะเลเป็นเขตแดนติดกับประเทศโซมิเบียและที่สำคัญ มีภูเขาอัลมาห์ที่สวยงามอุดมสมบูรณ์หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลก

    จริงนะเพคะ เธอกล่าวอย่างตื่นเต้นเพราะนานมากแล้วที่ไม่มีโอกาสเห็นภูเขาสีเขียวกับน้ำทะเลสีคราม

    อย่าดีใจไปเพราะไม่ได้พาไปเที่ยว

    เรื่องนั้นหม่อมฉันรู้อยู่แล้ว ไม่มีที่ไหนที่พระองค์ไปโดยไม่มีงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอสะบัดเสียงงอนๆ อย่างลืมตัว

    เอาน่า ขี่ม้าเข้าป่ากว่าจะถึงที่หมายก็ได้เห็นสิ่งๆ สวยๆ งามๆ ตามทางจนเธออาจจะเบื่อเลยก็ได้ องค์ชีคหยักโอษฐ์ให้หญิงสาวอย่างสบายอารมณ์

    เอ่อ...เดี๋ยวหม่อมฉันตามไปได้ไหมเพคะ หญิงสาวเอ่ยปากไล่จนทำให้เจ้าของวังหุบยิ้ม

    ทำไม องค์ชีคตรัสถามเสียงเข้ม

    ขอเวลาส่วนตัวอีกห้านาทีแล้วหม่อมฉันจะรีบตามไปให้เร็วที่สุดเลย

    ส่วนตัวที่เธอว่าฉันรู้ไม่ได้ใช่ไหม

    ไม่ได้เพคะ ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าส่วนตัวได้ไงกุลพัทธ์เริ่มจะหมดความอดทนเพราะยิ่งเธอเสียเวลากับองค์ชีคมากเท่าใดการได้ชำระร่างกายก่อนออกไปเผชิญโลกภายนอกคงหมดลงในระยะเวลาอันสั้นนี้

    เธอบอกไม่ แต่ฉันยิ่งอยากรู้ องค์ชีคค่อยก้าวเข้าใกล้หญิงสาวอย่างช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว

    เอ่อ...พระองค์ไม่สมควรที่จะย่างพระวรกายเข้ามากุลพัทธ์ก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก

    สมควรที่สุด องค์ชีคยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังเล็กของคนตัวเล็กถึงทางตัน

    องค์ชีคพระเจ้าค่ะทุกอย่างพร้อมแล้ว นาเซียร์ดูจะเข้ามาถูกจังหวะแต่เขาทำเพียงแค่ยืนรออยู่หน้าประตูห้องของหญิงไทย

    อืม...ตรัสเท่านั้นก่อนจะเดินนำออกไปอย่างคนหัวเสีย

    กุลพัทธ์ยิ้มให้องครักษ์หนุ่มแต่เขาเพียงก้มหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเดินตามพระราชาบ้าอำนาจไปติดๆ

    เครื่องบินส่วนพระองค์กำลังบินลงแตะขอบรันเวย์ ในสนามบินใจกลางเมืองของรัฐลาเดะจากนั้นรถยนต์กว่าสิบคันก็ขับเคลื่อนมาอย่างช้าๆ เพื่อรอรับคนสำคัญของประเทศ

    มานั่งเป็นเพื่อนฉันองค์ชีคถือวิสาสะกระชากแขนเล็กๆ ให้ขึ้นไปนั่งกับพระองค์

    จะดีเหรอเพคะ เธอยิ้มเก้อๆ

    นั่งเฉยๆ ไม่ต้องพูดมาก

    อาบียะนั่งประจำที่คนขับ ส่วนนาเซียร์นั่งอีกฟาก ทั้งสองไม่ได้ถาม

    อะไรเมื่อคนนั่งด้านหลังสองคนไม่เอ่ยก่อน

    กุลพัทธ์มองทิวทัศน์รอบๆ สองข้างของสายตาเผยให้เห็น ความเขียวชอุ่มของเมืองนี้คล้ายกับว่าอยู่คนละซีกโลก ต้นไม้นานาชนิดที่พยายามจะโชว์ลำต้นที่สูงใหญ่ นกน้อยหลายร้อยตัวกำลังบินวนอยู่ในระดับที่พอจะมองเห็น ลำตัวของมันมีสีเหลืองแซมเขียว ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วให้ฟังไม่ขาดระยะ

    ฉันพูดจริงใช่ไหม องค์ชีคกระซิบถามคนนั่งข้างๆ

    เพคะ...แต่ที่น่าแปลกทำไมวันนี้มาแบบเต็มยศ

    วันนี้เรามาดูโครงการปลูกต้นอินทผลัมที่ขยายพันธุ์มาปลูกในรัฐนี้เป็นครั้งแรก ไม่จบแค่นี้นะเพราะเราต้องเข้าป่ากันอีกนิดหน่อย ไปดูซิว่า ชาวโซมิเบียที่ขอลี้ภัยเขาอยู่กันยังไงและอาจจะต้องพักแรมที่นั่นหนึ่งคืน องค์ชีคตอบหญิงสาวร่างบางด้วยสายตามุ่งมั่น

    ความเป็นความตายของคนกลุ่มนี้คือการที่องค์ชีคยอมให้เขาอยู่ที่ อัฟฟาฮาน แม้ประเทศนี้ประชากรจะไม่รวยล้นฟ้ากันทุกคนแต่ความเป็นอยู่ก็ใช่ว่าจะไม่ลำบาก โครงการต่างๆ ที่พระองค์สร้างสรรค์ ก่อตั้งให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวพร้อมทั้งให้ลูกเด็กเล็กแดงได้รับการศึกษาที่ดี ก็เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่ทำให้พระองค์นึกถึงทีไรก็แย้มโอษฐ์ได้ทุกครั้ง

    หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญ รถทุกคันก็เคลื่อนขบวนไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการมาที่นี่ ตีนเขาอัลห์มามีสัตว์เลี้ยงสง่างามหลายสิบตัวกำลังรอคอยผู้มาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ ป่าดงพงไพรด้านหน้าที่รกครึ้มไม่ทำให้พวกมันหวั่นเกรง มีแต่จะดีใจซะด้วยซ้ำที่ได้ออกจากพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆ

    ขอบใจทุกคนมาก พระราชาหนุ่มตรัสขึ้นหลังลงจากรถ

    องค์ชีคฮัสมานพระเจ้าค่ะเตรียมออกเดินทางเถอะ เดี๋ยวจะค่ำก่อนถึงที่พัก นาเซียร์ท้วง

    ฉันโชคดีจังที่มีองครักษ์อย่างนายเจ้าเหนือหัวตบไหล่นาเซียร์ก่อนเดินไปยังม้าตัวสีขาวหุ่นสง่าที่ดูจะคุ้นเคยกับพระองค์

    ทำไมเราไม่เดินเท้าละเพคะเธอถามพร้อมมองไปเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งดูกว้างไกลสุดสายตา

    ถามอย่างนี้เพราะขี่ม้าไม่เป็นใช่ไหม องค์ชีคมองเยาะเย้ย เพราะคิดอยู่เหมือนกันว่ากุลพัทธ์ต้องขี่ม้าไม่เป็นและนี่เองทำให้เธอต้องมาอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับพระองค์

    จะว่าไปเดินเท้าเข้าป่าอย่างที่เธอว่าก็ได้เพราะจากตีนเขาจนถึงที่พักของชาวโซมิเบียไม่ได้ไกลจากตรงนี้มากนัก ที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งน้ำสายใหญ่ที่สามารถใช้สอยได้สะดวก พื้นที่เล็กๆ ของป่าที่พระองค์กำหนดเส้นทางแคบๆ ให้เป็นสาธารณประโยชน์ก็ไม่ได้ทำลายความสมบูรณ์ของที่นี่เลยแม้แต่น้อย แต่ที่พระองค์ต้องการใช้ม้าก็เพราะหญิงไทยคนนั้นต่างหาก มือเล็กๆ เท้าเล็กๆ จะเดินลุยบุกป่าฝ่าดงเข้าไปได้ซักกี่ก้าว แค่คิดพระองค์ก็ยิ่งมองเห็นภาพ

    กุลพัทธ์ได้แต่ยิ้มไม่ยอมตอบหันมองม้าที่ควรจะเป็นของเธอ

    เรื่องอะไรจะยอมบอกว่าขี่ไม่เป็น ขี่อูฐยังขี่ได้ถึงจะเกือบตกก็เถอะแล้วประสาอะไรกับม้า หญิงสาวคิดเอาชนะองค์ชีคจอมเบ่งอยู่ในใจ

    ม้าที่อยู่ติดกับนาเซียร์เป็นม้าของคุณ อาบียะแจ้งให้ทราบเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังไม่ยอมขยับทั้งที่คนอื่นเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว

    ขอบคุณค่ะ

    เธอลอบถอนหายใจก่อนเดินไปยังม้าสีน้ำตาลเข้ม พร้อมกับสายพระ

    เนตรและกำลังเเย้มโอษฐ์ให้คนหัวรั้นที่ไม่ยอมบอกว่าขี่ไม่เป็น

    คงไม่เป็นไรคนตั้งเยอะแยะ ดูแลผู้หญิงตัวเล็กคนเดียวได้สบายอยู่แล้ว แกล้งซะให้เข็ดอยากปากแข็งดีนัก แค่บอกว่าขี่ไม่เป็น พระองค์ก็จะให้มานั่งตัวเดียวกันเหมือนครั้งที่ขี่อูฐในรัฐดาจะ คิดได้แค่นั้นองค์ชีคก็จัดการดึงบังเหียนเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กขึ้นหลังม้าเรียบร้อย

    แต่ละตัวย่างเยาะไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางเล็กๆ ที่ทอดยาวสู่ความอุดมเบื้องหน้า ม้าขององค์ชีคเดินนำเป็นลำดับแรกตามด้วยอาบียะที่จ่อกันมาติดๆ ม้าของกุลพัทธ์ทิ้งช่วงอยู่พอสมควรเพราะดูว่าคนบนหลังจะนั่งตัวเกร็งการบังคับม้าก็ไม่ค่อยจะสมดุลเท่าที่ควรดูจะถ่วงดุลซะด้วยซ้ำ

    ส่วนนาเซียร์ก็ดูจะนิ่งเฉยเมื่อเห็นว่าม้าตัวหน้าดูจะไม่ค่อยเชื่อฟังคนบนหลัง แม้จะมีทหารติดตามอยู่ด้านหลังพูดขึ้นลอยให้เขาได้ยินว่าให้เปลี่ยนม้าตัวใหม่ให้เธอเพราะถ้าช้าอยู่อย่างนี้องค์ชีคคงไปถึงโดยไม่มีผู้ติดตามเป็นแน่

    ม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ดูจะตกใจอะไรบางอย่างตะกุยเท้าด้านหน้าก่อนร้องออกมา ตามด้วยเสียงร้องของคนบนหลัง

    กรี๊ด...” ยิ่งทำให้ม้าตกใจเป็นเท่าทวี มันไม่รอให้หญิงสาวได้ตั้งหลักวิ่งหน้าตั้งสะเปะสะปะอย่างไร้ทิศทาง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนบนหลังก็ยังใช้ได้ดี เธอหลับตาปี๋กอดลำคอม้าแน่นแม้จะโดนแกะเกี่ยวจากกิ่งไม้ ปะทะร่างกายเธออย่างต่อเนื่อง

    หยุด...บอกให้หยุด เสียงกร้าวจากด้านหลังยังไม่ทำให้มันชะลอฝีเท้า

    ไม่รู้ว่าไกลออกมาจากขบวนเสด็จมากเท่าใด เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่าตอนนี้เธอกำลังจะหล่นจากหลังของม้าสีน้ำตาลแสนพยศตัวนี้

    โอ้ย!...” เสียงโอดโอยของกุลพัทธ์ดังขึ้นกลางป่า

    เจ็บไหมชายหนุ่มยืนมองด้วยสายตาเวทนา

    ถามมาได้...ขาฉันคงต้องหักแน่ๆ ฮือๆ นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่าขวากหนาม ดูซิทั้งตัวฉันมีแต่ลอยขีดข่วน ฮือๆหญิงสาวร้องครวญครางเลือดสดๆ ไหลออกมาจากบาดแผลตรงหัวไหล่ด้านซ้ายของเธอ

    จะเป็นไงก็ช่าง ขอแค่ลมหายใจคุณยังมีผมก็เบาใจ

    นาเซียร์ติดตามเธอมาตั้งแต่ม้าของเธอแตกแถว ดูจากสภาพม้าที่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตคงตกใจงู หรือสัตว์อะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่เขาห่วงกว่านั้นคือในขบวนเสด็จตอนนี้คงกำลังวุ่นวายตามหาพวกเขาอยู่เป็นแน่

    นี่คุณห่วงฉันหรือห่วงตัวคุณเองกันแน่ เธอสะบัดเสียงเขียว

    เขานั่งลงข้างๆ เธอ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบจากคนหน้าคมเช่นเขา มือหนากดแผลตรงหัวไหล่เล็กๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าที่มีติดกายอยู่เป็นประจำ หวังห้ามเลือดให้เธอ

    ขอบคุณค่ะเธอมองใบหน้าคมเข้มที่บางมุมก็ดูคล้ายองค์ชีคฮัสมานอย่างประหลาด

    คิดไปเองแน่ๆเลย กุลพัทธ์เอ้ย หญิงสาวสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไปก่อนจะตั้งถามว่า เราจะกลับไปหาองค์ชีคได้ไง

    ถ้าไม่ค่ำซะก่อนองค์ชีคคงตามเราเจอ เขาตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่

    อ้าว...แล้วถ้าค่ำละ

    ก็นอนเป็นเหยื่อเสือสิงอยู่แถวนี้ไง

    อย่าขู่ฉันนะ บรรยากาศอึมครึมยังไงไม่รู้ ถ้าค่ำซะก่อนแล้วยังตามหาพวกเราไม่เจอจะทำไงเธอหันไปหันมาสังเกตบริเวณโดยรอบพยายามฟัง

    เสียงตะโกนของใครสักคนที่กำลังตามหาเธออยู่

    ผมพูดจริง แค่ภาวนาให้พวกเขาหาเราเจอก่อนค่ำเพราะกิ่งไม้ที่หักหรือรอยเท้าม้าคงทำให้พวกเขาเห็นได้ไม่ยากในเวลาที่มีแสงสว่าง

    นี่คุณจะปลอบหรือจะข่มขวัญฉันกันแน่ เธอแหวใส่เขาอย่างลืมตัว รู้ว่าเขาพูดน้อยเป็นกิจวัตรแต่เวลาเช่นนี้เขาน่าจะหาวิธีพูดสร้างกำลังใจให้เธอสักหน่อยไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาให้เธอกลัวจนหัวหดแบบนี้

    ไม่ต้องกลัว เพราะจากนี้ไปคุณอาจจะต้องเจออะไรอีกเยอะ เขาพูดด้วยเสียงอ่อนโยนเหมือนพยายามปลอบ จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งมีนก ค้างคาวหลายพันตัวกำลังแย่งชิงพื้นที่โบยบินหากิน

    กุลพัทธ์หันไปหาต้นเสียงและกำลังจะอ้าปากพูดกับองครักษ์หนุ่มแต่แล้วคำพูดก็ถูกกลืนหายไปกับอากาศ

    ใบหน้าคมเข้มต้องแสงสีนวลของดวงอาทิตย์ในยามโพล้เพล้สายตาที่แข็งกระด้างแลดูเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ความสุขอย่างเช่นที่ควรจะเป็น หรือสิ่งที่เห็นเป็นเพียงเกราะกำบังของผู้อ่อนแอหลีกลี้เพื่อให้ตัวเองดูเข้มแข็ง

    ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการวิเคราะห์ดวงตาขององครักษ์คู่บารมี

    ตัวอะไร หญิงสาวพึมพำก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือปัดแมลงที่บินไปเกาะเส้นผมแถวหางตา โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้

    กุลพัทธ์! ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×