คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 14
ตอนที่ 14
หลังเสร็จสิ้นภารกิจยามเช้าขององค์ชีค กุลพัทธ์ก็เข้ามาทำงานในส่วนที่เธอรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่เข้าข้าง หัวหน้าข้าหลวงส่งเสียงแข็ง
“ทำไมไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม” มะเยียขึ้นเสียง
“ขอโทษค่ะ” เธอก้มเก็บของใส่กระเป๋าใบเล็ก
“ไปถึงโน่นก็ดูแลองค์ชีคให้ดี ไม่ใช่มัวแต่ดูนั่นดูนี่จนลืมทำหน้าที่ อาหารการกินก็ตรวจตราให้เรียบร้อย”
“ค่ะ”
“ดี...แต่อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอเหลวไหล” มะเยียส่งเสียงขู่ในตอนท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องส่วนตัวของสาวไทย
“ท่านมะเยียจะให้เตรียมได้ไงก็เพิ่งบอกว่าจะเดินทางไปรัฐลาเดะ แล้วไอ้รัฐที่พูดเนี๊ยะหน้าตาเป็นไงก็ยังไม่รู้ พระราชาประเทศนี้เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัวอยากทำอะไรแถมยังเดือดร้อนคนอื่น” เธอบ่นอุบโดยไม่รู้ว่าคนที่กล่าวพาดพิงกำลังจับจ้องมาที่เธอ
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” คนพูดยืนพิงประตูอย่างสบายอารมณ์
“เฮ้ย!” เธอมองต้นเสียงอย่างตกใจ
“มะเยียเป็นแม่นมของฉัน นินทากันแบบนี้คงไม่เข้าท่าและที่สำคัญยังมีรายชื่อฉันรวมอยู่ด้วย” องค์ชีคฮัสมานยังอยู่ในท่าเดิม
“เอ่อ...องค์ชีค เข้ามาได้ไง” หญิงสาวอึกอัก
“ก็เธอช้า ฉันก็เลยมาดู”
“รัฐที่พระองค์จะพาไปไกลไหมเพคะ”
“ไม่ไกลแต่ไปลำบาก รัฐลาเดะมีชายทะเลเป็นเขตแดนติดกับประเทศโซมิเบียและที่สำคัญ มีภูเขาอัลมาห์ที่สวยงามอุดมสมบูรณ์หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลก”
“จริงนะเพคะ” เธอกล่าวอย่างตื่นเต้นเพราะนานมากแล้วที่ไม่มีโอกาสเห็นภูเขาสีเขียวกับน้ำทะเลสีคราม
“อย่าดีใจไปเพราะไม่ได้พาไปเที่ยว”
“เรื่องนั้นหม่อมฉันรู้อยู่แล้ว ไม่มีที่ไหนที่พระองค์ไปโดยไม่มีงานเข้ามาเกี่ยวข้อง” เธอสะบัดเสียงงอนๆ อย่างลืมตัว
“เอาน่า ขี่ม้าเข้าป่ากว่าจะถึงที่หมายก็ได้เห็นสิ่งๆ สวยๆ งามๆ ตามทางจนเธออาจจะเบื่อเลยก็ได้” องค์ชีคหยักโอษฐ์ให้หญิงสาวอย่างสบายอารมณ์
“เอ่อ...เดี๋ยวหม่อมฉันตามไปได้ไหมเพคะ” หญิงสาวเอ่ยปากไล่จนทำให้เจ้าของวังหุบยิ้ม
“ทำไม” องค์ชีคตรัสถามเสียงเข้ม
“ขอเวลาส่วนตัวอีกห้านาทีแล้วหม่อมฉันจะรีบตามไปให้เร็วที่สุดเลย”
“ส่วนตัวที่เธอว่าฉันรู้ไม่ได้ใช่ไหม”
“ไม่ได้เพคะ ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าส่วนตัวได้ไง” กุลพัทธ์เริ่มจะหมดความอดทนเพราะยิ่งเธอเสียเวลากับองค์ชีคมากเท่าใดการได้ชำระร่างกายก่อนออกไปเผชิญโลกภายนอกคงหมดลงในระยะเวลาอันสั้นนี้
“เธอบอกไม่ แต่ฉันยิ่งอยากรู้” องค์ชีคค่อยก้าวเข้าใกล้หญิงสาวอย่างช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว
“เอ่อ...พระองค์ไม่สมควรที่จะย่างพระวรกายเข้ามา” กุลพัทธ์ก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก
“สมควรที่สุด” องค์ชีคยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังเล็กของคนตัวเล็กถึงทางตัน
“องค์ชีคพระเจ้าค่ะทุกอย่างพร้อมแล้ว” นาเซียร์ดูจะเข้ามาถูกจังหวะแต่เขาทำเพียงแค่ยืนรออยู่หน้าประตูห้องของหญิงไทย
“อืม...” ตรัสเท่านั้นก่อนจะเดินนำออกไปอย่างคนหัวเสีย
กุลพัทธ์ยิ้มให้องครักษ์หนุ่มแต่เขาเพียงก้มหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเดินตามพระราชาบ้าอำนาจไปติดๆ
เครื่องบินส่วนพระองค์กำลังบินลงแตะขอบรันเวย์ ในสนามบินใจกลางเมืองของรัฐลาเดะจากนั้นรถยนต์กว่าสิบคันก็ขับเคลื่อนมาอย่างช้าๆ เพื่อรอรับคนสำคัญของประเทศ
“มานั่งเป็นเพื่อนฉัน” องค์ชีคถือวิสาสะกระชากแขนเล็กๆ ให้ขึ้นไปนั่งกับพระองค์
“จะดีเหรอเพคะ” เธอยิ้มเก้อๆ
“นั่งเฉยๆ ไม่ต้องพูดมาก”
อาบียะนั่งประจำที่คนขับ ส่วนนาเซียร์นั่งอีกฟาก ทั้งสองไม่ได้ถาม
อะไรเมื่อคนนั่งด้านหลังสองคนไม่เอ่ยก่อน
กุลพัทธ์มองทิวทัศน์รอบๆ สองข้างของสายตาเผยให้เห็น ความเขียวชอุ่มของเมืองนี้คล้ายกับว่าอยู่คนละซีกโลก ต้นไม้นานาชนิดที่พยายามจะโชว์ลำต้นที่สูงใหญ่ นกน้อยหลายร้อยตัวกำลังบินวนอยู่ในระดับที่พอจะมองเห็น ลำตัวของมันมีสีเหลืองแซมเขียว ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วให้ฟังไม่ขาดระยะ
“ฉันพูดจริงใช่ไหม” องค์ชีคกระซิบถามคนนั่งข้างๆ
“เพคะ...แต่ที่น่าแปลกทำไมวันนี้มาแบบเต็มยศ”
“วันนี้เรามาดูโครงการปลูกต้นอินทผลัมที่ขยายพันธุ์มาปลูกในรัฐนี้เป็นครั้งแรก ไม่จบแค่นี้นะเพราะเราต้องเข้าป่ากันอีกนิดหน่อย ไปดูซิว่า ชาวโซมิเบียที่ขอลี้ภัยเขาอยู่กันยังไงและอาจจะต้องพักแรมที่นั่นหนึ่งคืน” องค์ชีคตอบหญิงสาวร่างบางด้วยสายตามุ่งมั่น
ความเป็นความตายของคนกลุ่มนี้คือการที่องค์ชีคยอมให้เขาอยู่ที่ อัฟฟาฮาน แม้ประเทศนี้ประชากรจะไม่รวยล้นฟ้ากันทุกคนแต่ความเป็นอยู่ก็ใช่ว่าจะไม่ลำบาก โครงการต่างๆ ที่พระองค์สร้างสรรค์ ก่อตั้งให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวพร้อมทั้งให้ลูกเด็กเล็กแดงได้รับการศึกษาที่ดี ก็เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่ทำให้พระองค์นึกถึงทีไรก็แย้มโอษฐ์ได้ทุกครั้ง
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญ รถทุกคันก็เคลื่อนขบวนไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการมาที่นี่ ตีนเขาอัลห์มามีสัตว์เลี้ยงสง่างามหลายสิบตัวกำลังรอคอยผู้มาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ ป่าดงพงไพรด้านหน้าที่รกครึ้มไม่ทำให้พวกมันหวั่นเกรง มีแต่จะดีใจซะด้วยซ้ำที่ได้ออกจากพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆ
“ขอบใจทุกคนมาก” พระราชาหนุ่มตรัสขึ้นหลังลงจากรถ
“องค์ชีคฮัสมานพระเจ้าค่ะเตรียมออกเดินทางเถอะ เดี๋ยวจะค่ำก่อนถึงที่พัก” นาเซียร์ท้วง
“ฉันโชคดีจังที่มีองครักษ์อย่างนาย” เจ้าเหนือหัวตบไหล่นาเซียร์ก่อนเดินไปยังม้าตัวสีขาวหุ่นสง่าที่ดูจะคุ้นเคยกับพระองค์
“ทำไมเราไม่เดินเท้าละเพคะ” เธอถามพร้อมมองไปเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งดูกว้างไกลสุดสายตา
“ถามอย่างนี้เพราะขี่ม้าไม่เป็นใช่ไหม” องค์ชีคมองเยาะเย้ย เพราะคิดอยู่เหมือนกันว่ากุลพัทธ์ต้องขี่ม้าไม่เป็นและนี่เองทำให้เธอต้องมาอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับพระองค์
จะว่าไปเดินเท้าเข้าป่าอย่างที่เธอว่าก็ได้เพราะจากตีนเขาจนถึงที่พักของชาวโซมิเบียไม่ได้ไกลจากตรงนี้มากนัก ที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งน้ำสายใหญ่ที่สามารถใช้สอยได้สะดวก พื้นที่เล็กๆ ของป่าที่พระองค์กำหนดเส้นทางแคบๆ ให้เป็นสาธารณประโยชน์ก็ไม่ได้ทำลายความสมบูรณ์ของที่นี่เลยแม้แต่น้อย แต่ที่พระองค์ต้องการใช้ม้าก็เพราะหญิงไทยคนนั้นต่างหาก มือเล็กๆ เท้าเล็กๆ จะเดินลุยบุกป่าฝ่าดงเข้าไปได้ซักกี่ก้าว แค่คิดพระองค์ก็ยิ่งมองเห็นภาพ
กุลพัทธ์ได้แต่ยิ้มไม่ยอมตอบหันมองม้าที่ควรจะเป็นของเธอ
‘เรื่องอะไรจะยอมบอกว่าขี่ไม่เป็น ขี่อูฐยังขี่ได้ถึงจะเกือบตกก็เถอะแล้วประสาอะไรกับม้า’ หญิงสาวคิดเอาชนะองค์ชีคจอมเบ่งอยู่ในใจ
“ม้าที่อยู่ติดกับนาเซียร์เป็นม้าของคุณ” อาบียะแจ้งให้ทราบเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังไม่ยอมขยับทั้งที่คนอื่นเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว
“ขอบคุณค่ะ”
เธอลอบถอนหายใจก่อนเดินไปยังม้าสีน้ำตาลเข้ม พร้อมกับสายพระ
เนตรและกำลังเเย้มโอษฐ์ให้คนหัวรั้นที่ไม่ยอมบอกว่าขี่ไม่เป็น
‘คงไม่เป็นไรคนตั้งเยอะแยะ ดูแลผู้หญิงตัวเล็กคนเดียวได้สบายอยู่แล้ว แกล้งซะให้เข็ดอยากปากแข็งดีนัก แค่บอกว่าขี่ไม่เป็น พระองค์ก็จะให้มานั่งตัวเดียวกันเหมือนครั้งที่ขี่อูฐในรัฐดาจะ’ คิดได้แค่นั้นองค์ชีคก็จัดการดึงบังเหียนเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กขึ้นหลังม้าเรียบร้อย
แต่ละตัวย่างเยาะไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางเล็กๆ ที่ทอดยาวสู่ความอุดมเบื้องหน้า ม้าขององค์ชีคเดินนำเป็นลำดับแรกตามด้วยอาบียะที่จ่อกันมาติดๆ ม้าของกุลพัทธ์ทิ้งช่วงอยู่พอสมควรเพราะดูว่าคนบนหลังจะนั่งตัวเกร็งการบังคับม้าก็ไม่ค่อยจะสมดุลเท่าที่ควรดูจะถ่วงดุลซะด้วยซ้ำ
ส่วนนาเซียร์ก็ดูจะนิ่งเฉยเมื่อเห็นว่าม้าตัวหน้าดูจะไม่ค่อยเชื่อฟังคนบนหลัง แม้จะมีทหารติดตามอยู่ด้านหลังพูดขึ้นลอยให้เขาได้ยินว่าให้เปลี่ยนม้าตัวใหม่ให้เธอเพราะถ้าช้าอยู่อย่างนี้องค์ชีคคงไปถึงโดยไม่มีผู้ติดตามเป็นแน่
ม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ดูจะตกใจอะไรบางอย่างตะกุยเท้าด้านหน้าก่อนร้องออกมา ตามด้วยเสียงร้องของคนบนหลัง
“กรี๊ด...” ยิ่งทำให้ม้าตกใจเป็นเท่าทวี มันไม่รอให้หญิงสาวได้ตั้งหลักวิ่งหน้าตั้งสะเปะสะปะอย่างไร้ทิศทาง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนบนหลังก็ยังใช้ได้ดี เธอหลับตาปี๋กอดลำคอม้าแน่นแม้จะโดนแกะเกี่ยวจากกิ่งไม้ ปะทะร่างกายเธออย่างต่อเนื่อง
“หยุด...บอกให้หยุด” เสียงกร้าวจากด้านหลังยังไม่ทำให้มันชะลอฝีเท้า
ไม่รู้ว่าไกลออกมาจากขบวนเสด็จมากเท่าใด เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่าตอนนี้เธอกำลังจะหล่นจากหลังของม้าสีน้ำตาลแสนพยศตัวนี้
“โอ้ย!...” เสียงโอดโอยของกุลพัทธ์ดังขึ้นกลางป่า
“เจ็บไหม” ชายหนุ่มยืนมองด้วยสายตาเวทนา
“ถามมาได้...ขาฉันคงต้องหักแน่ๆ ฮือๆ นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่าขวากหนาม ดูซิทั้งตัวฉันมีแต่ลอยขีดข่วน ฮือๆ” หญิงสาวร้องครวญครางเลือดสดๆ ไหลออกมาจากบาดแผลตรงหัวไหล่ด้านซ้ายของเธอ
“จะเป็นไงก็ช่าง ขอแค่ลมหายใจคุณยังมีผมก็เบาใจ”
นาเซียร์ติดตามเธอมาตั้งแต่ม้าของเธอแตกแถว ดูจากสภาพม้าที่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตคงตกใจงู หรือสัตว์อะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่เขาห่วงกว่านั้นคือในขบวนเสด็จตอนนี้คงกำลังวุ่นวายตามหาพวกเขาอยู่เป็นแน่
“นี่คุณห่วงฉันหรือห่วงตัวคุณเองกันแน่” เธอสะบัดเสียงเขียว
เขานั่งลงข้างๆ เธอ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบจากคนหน้าคมเช่นเขา มือหนากดแผลตรงหัวไหล่เล็กๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าที่มีติดกายอยู่เป็นประจำ หวังห้ามเลือดให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” เธอมองใบหน้าคมเข้มที่บางมุมก็ดูคล้ายองค์ชีคฮัสมานอย่างประหลาด
‘คิดไปเองแน่ๆเลย กุลพัทธ์เอ้ย’ หญิงสาวสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไปก่อนจะตั้งถามว่า “เราจะกลับไปหาองค์ชีคได้ไง”
“ถ้าไม่ค่ำซะก่อนองค์ชีคคงตามเราเจอ” เขาตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“อ้าว...แล้วถ้าค่ำละ”
“ก็นอนเป็นเหยื่อเสือสิงอยู่แถวนี้ไง”
“อย่าขู่ฉันนะ บรรยากาศอึมครึมยังไงไม่รู้ ถ้าค่ำซะก่อนแล้วยังตามหาพวกเราไม่เจอจะทำไง” เธอหันไปหันมาสังเกตบริเวณโดยรอบพยายามฟัง
เสียงตะโกนของใครสักคนที่กำลังตามหาเธออยู่
“ผมพูดจริง แค่ภาวนาให้พวกเขาหาเราเจอก่อนค่ำเพราะกิ่งไม้ที่หักหรือรอยเท้าม้าคงทำให้พวกเขาเห็นได้ไม่ยากในเวลาที่มีแสงสว่าง”
“นี่คุณจะปลอบหรือจะข่มขวัญฉันกันแน่” เธอแหวใส่เขาอย่างลืมตัว รู้ว่าเขาพูดน้อยเป็นกิจวัตรแต่เวลาเช่นนี้เขาน่าจะหาวิธีพูดสร้างกำลังใจให้เธอสักหน่อยไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาให้เธอกลัวจนหัวหดแบบนี้
“ไม่ต้องกลัว เพราะจากนี้ไปคุณอาจจะต้องเจออะไรอีกเยอะ” เขาพูดด้วยเสียงอ่อนโยนเหมือนพยายามปลอบ จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งมีนก ค้างคาวหลายพันตัวกำลังแย่งชิงพื้นที่โบยบินหากิน
กุลพัทธ์หันไปหาต้นเสียงและกำลังจะอ้าปากพูดกับองครักษ์หนุ่มแต่แล้วคำพูดก็ถูกกลืนหายไปกับอากาศ
ใบหน้าคมเข้มต้องแสงสีนวลของดวงอาทิตย์ในยามโพล้เพล้สายตาที่แข็งกระด้างแลดูเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ความสุขอย่างเช่นที่ควรจะเป็น หรือสิ่งที่เห็นเป็นเพียงเกราะกำบังของผู้อ่อนแอหลีกลี้เพื่อให้ตัวเองดูเข้มแข็ง
ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการวิเคราะห์ดวงตาขององครักษ์คู่บารมี
“ตัวอะไร” หญิงสาวพึมพำก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือปัดแมลงที่บินไปเกาะเส้นผมแถวหางตา โดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้
“กุลพัทธ์! ”
ความคิดเห็น