คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 13
ตอนที่ 13
รถยนต์คันหรูเข้ามาจอดที่โรงแรมวีวัน
โฮเทล ซึ่งเป็นโรงแรมที่กุลพัทธ์ทำก่อนจะเดินทางไปทำงานที่ประเทศอัฟฟาฮาน
ขนาดของโรงแรมดูกว้างใหญ่หรูหราพร้อมกับห้องประชุมที่สวยงามและทันสมัย
การมาในเมืองไทยในครั้งนี้ของอาบียะ
เป็นการมาแบบเร่งด่วน หลังกลับจากรัฐดาจะ
องค์ชีคฮัสมานก็ทรงมีรับสั่งให้เขามาสืบหาข้อมูลสำคัญที่ต้องได้ภายในวันพรุ่งนี้
ซึ่งชายหนุ่มเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวขององค์ชีคฮัสมานและฐานข้อมูลสำคัญก็คงจะอยู่ในโรงแรมแห่งนี้
“ขอกาแฟดำกับชีสเค้ก” ชายหนุ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษ
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวกล่าวอย่านอบน้อมก่อนจะหายไป
และกลับมาพร้อมอาหารว่างที่เขาสั่ง
“น่าทานมาก” อาบียะมองหน้าตาเค้กที่ถูกตกแต่งอย่างพิถีพิถัน
พร้อมวาดลวดลายบนจานใบเล็กให้ดูมีสีสันสวยงามจนคนสั่งไม่กล้าจะแตะต้อง
เพราะกลัวว่าถ้ากินเข้าไปแล้วจะทำลายความสวยงามนั้นไป
หลังจากลองชิมเค้กสุดอร่อย
ก็ได้เวลาถามหาข้อมูลบางส่วน ที่เป็นตัวชี้วัดมากพอๆ กับเอกสารที่เขาได้รับจากนักสืบเอกชนที่องค์ชีคฮัสมานยอมจ่ายไม่อั้น
“ผมอยากพบคนทำเค้กจัง พอดีเขาทำอร่อยถูกปากผมครับ” อาบียะกล่าวชมจากใจจริง
เพราะว่าเค้กทุกชนิดเป็นขนมที่เขาโปรดปรานที่สุด
“รอสักครู่นะคะ”
‘คงเรียบร้อยน่ารักเหมือนกับกุลพัทธ์ละมั้งถึงเป็นเพื่อนกันได้’ ชายหนุ่มคิดในใจ
ก่อนจะตักเค้กอีกคำเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ดิฉันรับใช้ค่ะ”วันใหม่ยิ้มให้ชายหนุ่มชาวอาหรับอย่างมีมารยาท
“คุณเป็นคนทำเค้กหรือ” เขาถามอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะมองจากหน้าตาเธอแล้ว คงไม่มากพอกับการเชี่ยวชาญที่จะประดิษฐ์เค้กชิ้นเล็กๆ
ให้ออกมาสวยงามเช่นนี้ได้
“ค่ะ” วันใหม่เริ่มมองเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เธอไม่สามารถบอกใครได้
แม้เพียงเห็นรูปร่างหน้าตาของชายคนนี้จิตใต้สำนึกของเธอก็บอกทันทีเลยว่าเขาไม่ได้มาแค่กินเค้กของเธอ
“อร่อยมาก” เขาพูดออกมาอีกครั้ง “แล้วคุณไม่มีผู้ช่วยเหรอครับ”
“แต่ก่อนมี ตอนนี้ไม่มีค่ะทำคนเดียว”
“เธอชื่อกุลพัทธ์ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยายามพูดให้น้อยที่สุด
และตอบเท่าที่ตอบได้
เพราะเขาเป็นแขกคนสำคัญของโรงแรมและลูกค้าที่เข้ามาพักทุกคนคือพระเจ้าสำหรับพนักงานโรงแรมอย่างเธอ
“สามีคุณกุลพัทธ์ยังทำงานอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ” และนี่คือประเด็นที่อาบียะต้องการรู้
ว่าในที่ทำงานมีใครคบค้าสมาคมกับเธอหรือเปล่าโดยที่ครอบครัวเธออาจจะไม่รู้
วันใหม่รู้สึกรังเกียจชายตรงหน้าอย่างที่สุด
แต่จะให้เธอทำมารยาทแย่ๆ ออกไปก็ดูจะไม่เป็นการดีต่อหน้าที่การงานของเธอ
เพราะก่อนหน้านี้ พนักงานโดนแขกต่อว่า แล้วขึ้นเสียงกับแขกนิดหน่อย
ก็โดนพักงานทันทีและมันทำให้เธอต้อง...อดทน
“เท่าที่ฉันทำงานกับกุลพัทธ์มาตลอดหลายปี
ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนเข้าใกล้เธอได้ คำตอบของฉันเท่านี้
คนฉลาดอย่างคุณก็น่าจะรู้นะค่ะ แต่เอ...หรือคุณอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้านมากจนสมองป่วย
ขอตัวนะคะ และขอบคุณมากสำหรับคำชม” วันใหม่ไม่รอให้เขาโวยวาย
ยกมือไหว้พร้อมกับเดินออกมาทันที
‘ฉันว่าอาจมีคนแอบรักแกซะแล้วกุล
แต่ฉันคงไม่ต้องอีเมลไปบอกให้แกประสาทเสียไปด้วยหรอกนะ ส่งแต่เรื่องดีๆ ไปให้
แกจะได้สบายใจ’
วันใหม่เดินคิดขณะกลับเข้าไปในครัว ก่อนจะเริ่มทำงานที่ตนเองทำค้างไว้
แต่แทนที่อาบียะจะโกรธกลับดีใจที่ได้ข้อมูลน่าเชื่อถือขนาดนี้
ถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับไปให้ทันอารมณ์อันร้อนรุ่มขององค์ชีคฮัสมาน ซึ่งพยายามโทรหาเขาเป็นครั้งที่แปดในรอบหนึ่งชั่วโมง
แต่เรื่องอะไรเขาจะบอก รอให้กลับไปถึง แล้วส่งมอบเอกสารพร้อมกับคำบรรยายของเขาคงจะสนุกกว่า
เพราะนานๆ ครั้ง เขาจะมีโอกาสได้แกล้งองค์ชีคแห่งอัฟฟาฮานทั้งที
ก็ถือโอกาสนี้ให้กระวนกระวายเล่นๆ น่าจะสนุก
หลังกลับจากแหล่งผลิตน้ำมันดิบของรัฐดาจะ
บรรยากาศภายในวังคุลาพยังคงสงบเงียบเหมือนเช่นที่ผ่านมา ผิดกับองค์ชีคที่ประทับหลังโต๊ะทำงานอย่างร้อนรน
หงุดหงิดกับการรอคอยบางอย่างซึ่งสั่งให้องครักษ์คู่กายรีบสืบเสาะมาให้อย่างละเอียด
มีความสงสัยหลายประการในตัวกุลพัทธ์
แม้เธอจะบอก ว่ามีสามี แต่พระองค์ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
อาการสั่นเทาของร่างกายยามสัมผัสกายกำยำของพระองค์ ดูเธอจะเหมือนเด็กอ่อนหัดมากกว่าจะเป็นคุณแม่ลูกสองอย่างที่เธอโพนทะนา และนั่นก็เป็นสาเหตุให้พระองค์ต้องการสืบประวัติของเธอ
“กระหม่อมว่าพระองค์อย่าทรงอ่านเลยพระเจ้าค่ะ”
อาบียะทำสีหน้าจริงจัง หลังส่งแฟ้มขนาดใหญ่ถึงพระหัตถ์องค์ชีค
“นายคิดว่าที่ฉันจ้างนายมาเพื่อจะให้นายมาสั่งฉันหรือไง” พระองค์ตรัส
“ให้กระหม่อมข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลขนาดนั้น
คงไม่กล้าออกคำสั่งกับพระองค์หรอกพระเจ้าค่ะ” อาบียะยังไม่เลิกยั่วโมโหองค์ชีค
“กระหม่อมไม่เคยเห็นพระองค์สนใจเรื่องประวัติหญิงต่างชาติมาก่อน
มีอะไรที่กระหม่อมไม่รู้หรือเปล่าพระเจ้าค่ะ” นาเซียร์รีบกล่าวขึ้นอย่างระแวง
หลังจากยืนเงียบอยู่เป็นนาน
องค์ชีคขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะถามนาเซียร์กลับไป “สงสัยนายจะห่วงฉันเกินไปแล้ว
อะไรทำให้นายคิดเช่นนั้น” พระองค์ตรัสยิ้มๆและยังรอคำตอบจากองค์รักษ์หนุ่ม
“ก็อย่างเช่นเรื่องที่พระองค์กำลังค้นหาอยู่นี่ไงพระเจ้าค่ะ”นาเซียร์ไม่ละความอยากรู้
“นาเซียร์....นายคิดมากไปแล้ว ฉันก็แค่อยากรู้ว่าคนที่จะมาทำอาหารให้กินสมควรจะไว้ใจได้หรือเปล่า”
พระองค์ตรัสออกมาขำๆ ในใจลึกๆ แล้วพระองค์แค่อยากรู้ว่า กุลพัทธ์
มีสามีอย่างที่เธอบอกหรือไหม
“ตั้งแต่กลับจากรัฐลาเดะฉันรู้สึกว่านายจะขี้สงสัยจังเลยนะ”อาบียะกระเซ้าเพื่อน
“ฉันสงสัยทุกเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยขององค์ชีค”นาเซียร์กล่าวด้วยท่าทางเคร่งระเบียบ
“ขอบใจ...ฉันรู้ว่านายจะคิดถึงตัวเองเป็นอันดับสุดท้าย”
พระองค์ยิ้มให้กับองครักษ์ทั้งสองก่อนจะให้ความสนใจกับแฟ้มสีดำตรงหน้าพระพักตร์
นางสาว กุลพัทธ์
ญาโนทัย
เกิด 5
October
19XX
สัญชาติ ไทย
ศาสนา พุทธ
บิดา ฉัตร ญาโนทัย
มารดา นวล ญาโนทัย
น้องชาย กุลทัต
ญาโนทัย
น้องชาย กุลธร
ญาโนทัย
สถานะ โสด
เมื่อองค์ชีคอ่านคำว่า
‘โสด’
จบลง รอยยิ้มของพระองค์ก็ปรากฏขึ้นมาทันที พร้อมกับความคิดที่กำลังเกิดขึ้น
‘ฉลาดมาก ฉันรู้เรื่องเธอมากพอๆ กับที่เธอรู้จักตัวเองเลยทีเดียว กุลพัทธ์
ญาโนทัย’
พระกระยาหารในมื้อเที่ยงที่องค์ชีคฮัสมานทรงเสวยร่วมกับพระมารดา
ดูจะมีความสุขในทุกๆ คำที่ตักเข้าพระโอษฐ์ หรือเพราะอาหารจะถูกพระทัย
พระมารดาต้องลอบมองพระองค์อยู่บ่อยครั้ง ความรักความผูกพันในความเป็นแม่
ย่อมรู้ว่าลูกมีสิ่งผิดปกติหลังกลับจากรัฐดาจะ ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง
แม้ตอนนี้เธอจะยังไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้องค์ชีคของแผ่นดินอันร่มเย็นนี้เปลี่ยนไป
จากที่เคยนั่งมองอาหารอย่างเบื่อหน่าย
เสวยได้เพียงเล็กน้อยก็จะทรงวางช้อน เพราะทุกวันนี้พระองค์คิดว่ากาแฟเป็นอาหารหลักประจำพระองค์ไปแล้ว
โดยเฉลี่ยทรงดื่มวันละไม่ต่ำกว่า 6
แก้วพร้อมกับนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตัวโปรด
“ดูลูกแม่จะเจริญอาหารผิดปกตินะ”
พระมารดาตรัสขึ้นหลังจากบุตรชายสั่งให้หญิงสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหลังตักข้าวเพิ่ม
“ก็อาหารน่าทานทั้งนั้น”
“แน่ใจนะ” พระมารดาถามย้ำ
เมื่อทอดเนตรเห็นแววตาหวานฉ่ำ
พร้อมกับที่หันไปมองหญิงสาวร่างเล็กที่เป็นผู้ปรุงอาหารในมื้อนี้
“ลูกปิดบังพระมารดาไม่ได้อยู่แล้ว”
รอยยิ้มของพระองค์กระจ่างขึ้น จนนางข้าหลวงบางคนถึงกับตกใจ
พระมารดายิ้มรับ ก่อนจะคิดถึงหญิงสาวที่สามารถทำให้องค์ชีคฮัสมานมีรอยยิ้มมาประดับบนพระพักตร์ได้อย่างไม่ยากเย็น
เมื่อพระมารดาเห็นว่าหญิงไทยคนนี้ไม่มีข้อบกพร่องเหมือนอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
เพราะเธอบอกว่ามีสามีแล้ว และเป็นสาเหตุทำให้ลูกชายของเธอพยายามจะออกห่าง
แต่เมื่อกลับมาจากรัฐดาจะ ก็สั่งให้อาบียะสืบประวัติหญิงไทยคนนี้
และก็เป็นไปตามที่องค์ชีคคิดไว้
กุลพัทธ์ยังไม่เคยผ่านการแต่งงาน สิ่งที่เธอกล่าวคือคำโกหก
พระมารดาทราบเรื่องทุกอย่างจากอาบียะ
เมื่อฟังว่าเธอโกหกก็รู้สึกโกรธในตอนแรก
เพราะเหตุใดเธอจึงกล้าโกหกองค์ชีคฮัสมานเช่นนี้
แต่เมื่อมาลองทบทวนเหตุการณ์ที่เธอต้องเจอมาตลอด
เมื่อเข้ามาอยู่ในแผ่นดินอัฟฟาฮาน ก็ต้องบอกว่าเธอน่ายกย่องเป็นอย่างมาก
ถ้าเป็นหญิงคนอื่น ก็คงจะกระโดดตะครุบโอกาสดีๆ ที่องค์ชีคฮัสมานเสนอให้
และฉลาดเป็นกรดที่เอาตัวรอดจากพระองค์ได้ในเวลาคับขัน
แต่จากนี้ไปพระนางหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
กุลพัทธ์จะอดทนกับองค์ชีคฮัสมานได้ โดยไม่ออกมาโวยวายขอกลับบ้านไปซะก่อน
เพราะรู้นิสัยลูกชายดีว่าเป็นคนเช่นไร ซึ่งไม่ยอมให้ถูกกระทำฝ่ายเดียวเด็ดขาด แล้วเจ้าตัวจะรู้หรือยังว่าความลับได้ถูกเปิดเผยแล้ว
“เมื่อเช้าเธอให้อาหารบารุดซ์หรือยัง” องค์ชีคตรัสถามหลังจากเสวยเรียบร้อย
“เรียบร้อยแล้วเพคะ”
“เธอกล้าเหรอ” พระองค์ถามอย่างสงสัย
“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวนี่เพคะ” กุลพัทธ์พูดเหมือนกับไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไม่น่าเชื่อ” พระองค์ตรัสจบก็เดินนำออกไป
“กุลพัทธ์ตามไปดูซิ ว่าลูกชายฉันต้องการอะไร” พระมารดารู้ในความหมายที่องค์ชีคฮัสมานตรัสกับหญิงสาวดี
“เพคะ” ร่างเล็กย่อตัวทำความเคารพ
ก่อนจะรีบเดินตามเสด็จองค์ชีคฮัสมาน
นาเซียร์เฝ้าสังเกตองค์ชีคฮัสมานอย่างไม่วางตาและเมื่อรู้ว่าหญิงไทยร่างเล็กคนนั้นที่ทำให้องค์ชีคผู้เย่อหยิ่งสนใจในตัวเธอได้
เขามองเธอเดินตามหลังพระองค์ไปยังที่อยู่ของเจ้าบารุดซ์
“ทำไม...อิจฉาเหรอนาเซียร์”อาบียะเอ่ยแซวเพื่อนที่เห็นว่ามองกุลพัทธ์ไปจนสุดตา
“ไม่นานก็ถูกทิ้งเหมือนกับพวกที่สุมอยู่ในฮาเร็มของพระองค์นั้นแหละ”
“รู้สึกว่านายจะไม่ชอบคุณกุลพัทธ์นะ” องครักษ์หนุ่มถามอย่างสงสัย
“ฉันไม่ชอบให้ผู้หญิงต่างชาติมาวุ่นวายในวัง”
“ไม่แปลก...พวกเสนาบดีจอมประจบสรรหามาให้เยอะแยะนายน่าจะชินได้แล้วนะ” อาบียะตบไหล่เพื่อนเบาๆ ก่อนจะเดินหายไปในพระราชฐานชั้นใน
หญิงสาวในชุดชาดอร์สีดำ
ฮิญาบสีเดียวกับชุด ยืนชะเง้อมองชายร่างสูงใหญ่ โดยไม่คิดจะให้เขารู้ตัว
การจะเปิดเผยถึงความรู้สึกของตัวเอง ให้กับชายที่ตัวเองแอบรักเป็นสิ่งไม่งาม
ตามหลักประเพณีที่เคร่งครัดของอัฟฟาฮาน
“อ้าว...ยาเนห์มองหาใครเหรอ” อาบียะรู้เต็มอกว่าหญิงตรงหน้านี้กำลังมองหาใคร
ตอนเขาเดินผ่านทางนี้ก็คิดว่าจะเดินเลยไป แต่ในใจกลับทำไม่ได้ เขาตัดสินใจวกกลับมา
“เอ่อ...นาเซียร์ทานข้าวหรือยังคะ” ยาเนห์ไม่กล้าที่จะมองอาบียะ
เพราะเขาอาจจะรู้ว่าเธอกำลังหน้าแดง เมื่อพูดถึงชายที่เธอถวิลหา
“คงจะยัง แล้วเธอไม่คิดจะถามฉันบ้างเลยเหรอ” อาบียะถามอย่างน้อยใจ
ด้วยในแววตาของหญิงสาวตรงหน้าไม่มีแม้เงาของเขา
“แหม...ก็ถ้านาเซียร์ยังไม่ได้ทาน อาบียะก็คงจะเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ยาเนห์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มละไมโดยไม่ได้คิดสิ่งใด
ต่อจากนั้นก็ตรงไปยังห้องครัว เพื่อจัดอาหารสำหรับองครักษ์ทั้งสอง
อาบียะมองตามร่างของหญิงสาวไปอย่างเศร้าสร้อย
เพราะแอบรักผู้หญิงคนนี้จนสุดใจ แต่เธอไม่เคยเปิดหัวใจมองเขาแม้น้อยนิดกลับมอบหัวใจให้นาเซียร์เพื่อนรุ่นพี่ที่เขาเคารพ
ระหว่างทางที่กำลังดำเนิน
“เดินให้มันเร็วๆ หน่อย” สุรเสียงข่มขู่ขององค์ชีค
ไม่ทำให้เธอคิดจะเร่งฝีเท้าให้ทันพระองค์ แต่กลับมองสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างตั้งใจกว่าครั้งไหนๆ
ที่ผ่านมา
บริเวณพระราชฐานชั้นในเช่นนี้
ถูกจัดสรรได้อย่างยอดเยี่ยม การออกแบบถูกวางโครงสร้างให้เข้ากับภูมิประเทศ
ต้นไม้ที่มีมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นต้นอินทผาลัม
ที่ตอนนี้กำลังออกผลเป็นพวงพุ่มเบียดเสียดกันอย่างไม่เกรงใจ ผลข้างๆ
มองเลยออกไปก็เห็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่และเป็นสาเหตุให้เธอต้องหยุดมอง
“อยากไปดูไหม” องค์ชีคฮัสมานตรัสถาม
เมื่อเห็นว่าพระองค์กำลังเดินอยู่องค์เดียว
พอหันกลับไปก็เห็นกุลพัทธ์ยืนตะลึงกับสวนดอกไม้ของพระมารดา
“ได้เหรอเพคะ แล้วบ้านหลังนั้นเป็นของใครสวยจัง”
เธอถามโดยไม่หันไปมองพระองค์
สายตายังคงจับจ้องไปยังดอกไม้หลากสีสวยสดใสในยามต้องแสงแดดที่ทะลุผ่านโรงเรือนขนาดใหญ่
“ตามมา”
องค์ชีคฮัสมานจับมือเรียวของเธอแล้วพาเดินเข้าไปยังสวนดอกไม้
กุลพัทธ์ไม่ได้ดึงมือเธอออก
เพราะมัวแต่ตื่นตะลึงถึงความกว้างใหญ่ สวยงาม
หญิงสาวหันซ้ายหันขวาราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์
สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างให้เป็นเรือนเพาะชำขนาดใหญ่
มองออกไปสุดตาก็เห็นแต่ดอกไม้นานาพันธุ์ที่ช่วยกันเพิ่มสีสันให้ทะเลทรายแห่งนี้ให้ดูงดงาม
แม้ยามตะวันที่ร้อนแรงสาดส่องลงมา
แต่สปริงเกอร์ที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาก็ยอมปล่อยสายน้ำเย็นฉ่ำ
เพื่อต่อสู่กับแสงแดดที่พยายามรอดเข้ามา
คนสวนหลายสิบคนกำลังตัดแต่งกิ่งก้านของพรรณไม้อย่างขะมักเขม้น
ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะหันไปทางไหนก็มองเห็นแต่ดอกไม้โดยเฉพาะกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์
ซึ่งออกดอก ออกสี พร้อมทั้งส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจ
“โอ้โห...นี่ถ้าบอกว่าหม่อมฉันตายแล้ว
และได้ขึ้นสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเพคะ นี่ๆ ตรงนั้นมีสมุนไพรแบบที่ประเทศของหม่อมฉันปลูกด้วย” หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างสดชื่น แล้วรีบเดินตรงไปยังสิ่งที่เธอบอก
“ใช่เหรอ” พระองค์ถามอย่างสงสัย
แต่พระหัตถ์หนายังไม่ยอมปล่อยเธอจากการเกาะกุมมองรอยยิ้มใสๆ อย่างเพลินตา
“นี่ไงว่านหางจระเข้ สาระแหน่ คาโมไมล์ พวกสมุนไพรเนี่ยหม่อมฉันเชี่ยวชาญ
หรือแม้แต่เวลาที่สุนัขของหม่อมฉันโดนยาเบื่อก็หม่อมฉันนี่แหละเป็นรักษาทุกที”
เธอพูดอย่างมีความสุข เมื่อนึกถึงความสามารถของตัวเอง
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ทรงตรัสขึ้นเหมือนไม่เชื่อ
“แหม...คิดว่าพระองค์เก่งอยู่องค์เดียวหรือไง”
“ก็นึกว่าที่บ้านเธอไม่มี”
พระองค์ถามเพราะความอยากรู้
เนื่องจากภูมิประเทศที่แตกต่างพระองค์จึงคิดว่าที่ประเทศไทยคงหาพืนสมุนไพรเช่นนี้ยาก
กุลพัทธ์หุบยิ้มและสะบัดมือออกทันทีเพราะเข้าใจความหมายที่พระองค์ตรัสผิดเพี้ยนไปโดยคิดว่าทรงดูถูกเธอ
จึงต่อว่าพระองค์อย่างเผ็ดร้อน
“หม่อมฉันน่าจะรู้ว่าพระองค์ไม่เคยสนใจความรู้สึกของใครอยู่แล้ว
ขอตัวก่อนนะเพคะ” เธอรีบเดินตัดทุ่งดอกไม้ออกไปทันที
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” พระองค์รีบตามเธอไป
“หม่อมฉันมีงานต้องทำเพคะ”
“ไม่อยากรู้แล้วเหรอว่าบ้านหลังนั้นของใคร”
“อยากเพคะ”เธอหันกลับมาบอกองค์ชีคอย่างกระตือรือร้นโดยลืมเรื่องเคืองขุ่นไว้ชั่วขณะ
“เป็นอนุสรณ์ของคนที่พ่อรักแต่ไม่ใช่แม่ฉัน”องค์ชีคตรัสด้วยน้ำเสียงเหงาหงอย
“เอ่อ...” เธออึกอัก
“ไงละถึงกับอึ้งเลยเหรอ ฉันน่าจะรู้ว่าเธอเป็นคนสอดรู้สอดเห็น”
หญิงสาวมองชายตรงหน้าที่ต่อว่าเธอเป็นครั้งที่สอง
“ไม่เห็นจะต้องด่ากันขนาดนี้เลย” เธอบ่นพึมพำก่อนเดินออกจากบริเวณ
“กุลพัทธ์หยุดเดี๋ยวนี้” สุรเสียงแข็งกร้าวตะโกนออกมา
จนคนสวนบางคนต้องถอยออกจากบริเวณนั้น
หญิงสาวหยุดตามรับสั่ง
ขององค์ชีคฮัสมานซึ่งก้าวเท้ายาวๆ แล้วช้อนร่างเล็กบางของเธอเข้าไว้ในอ้อมพระอุระ
“พระองค์ปล่อยหม่อมฉันลงเถอะเพคะ”
กุลพัทธ์หลบสายพระเนตรที่กำลังจ้องมองมายังเธอ
“อยู่เฉยๆ”
รับสั่งของพระองค์ทำให้ร่างเล็กหยุดดิ้น
พลางเก็บไม้เก็บมือตัวเองอย่างเรียบร้อย
ไม่แม้แต่จะมองเลยไปถึงพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยหนวดเครา
แต่ก็ไม่ได้ทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้นผิดจังหวะได้สักวินาที
หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นโครมคราม
จนเธอไม่รู้ว่าคนตัวโตที่กำลังอุ้มเธออยู่ตอนนี้จะรู้สึกได้หรือเปล่า
ชีคฮัสมานนำเธอตรงไปยังเรือนไม้สีเบจที่ถูกตกแต่งได้อย่างวิจิตงดงาม
ท่ามกลางสวนกุหลาบนับร้อยนับพันต้น
พระองค์วางเธอลงบนเก้าอี้ภายในเรือนก่อนจะเดินหายไป
“เป็นองค์ชีคที่ไร้เหตุผลจริงๆ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง
“ไร้เหตุผล แต่ฉันก็ไม่ได้ไร้หัวใจ” สุรเสียงดังแว่วมาด้านหลัง
แต่พอเธอหันกลับไป ก็เห็นพระองค์ยืนเอามือไขว้หลัง
เหมือนที่พระองค์ชอบกระทำพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งตรงมาที่เธอ
“หม่อมฉันว่ากลับเถอะเพคะ” เธอพยายามหลบหลีกเวลาที่ต้องอยู่ใกล้พระองค์เช่นนี้
“เอาไป” น้ำเสียงที่นุ่มนวลฟังดูแล้วรู้สึกผิดแปลกออกไปกว่าทุกครั้งดูอบอุ่นจนทำให้เธอไม่กล้าขยับตัว
และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับชีวิตเธอ
ชายหนุ่มหนวดเครารุงรังที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอผู้นี่คือจอมชีคผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศอัฟฟาฮานกำลังยื่นดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่
1 ดอกส่งให้เธอ
“หะ...ให้หม่อมฉันเหรอเพคะ”
เธอชี้นิ้วมาที่ตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าดอกไม้กุหลาบสีแดงดอกนี้เป็นของเธอ
“อืม...รีบๆ รับไปเถอะน่า” องค์ชีคฮัสมานดึงมือเธอให้รับกุหลาบไปโดยเร็ว
ก่อนจะหันพระพักตร์หนีเพื่อหลบเลี่ยงความเขินอายของพระองค์
เพราะสิ่งที่พระองค์กำลังทำอยู่ในขณะนี้
ใช่ว่าพระองค์จะเคยทำ แต่เพราะมีเหตุผลบางอย่างที่อยากจะบอกกับเธอ
พระองค์จึงเอื้อมไปเด็ดมันออกมาจากต้น ก่อนจะส่งให้หญิงร่างเล็กตรงหน้า
“มีความหมายอะไรหรือเปล่าเพคะ” เธอถามออกไปโดยเร็ว
“กุหลาบทุกดอกของประเทศนี้มีความหมายซ่อนอยู่ในความสดของดอกสีแดง
ถ้าเธออยากรู้ก็ไปถามยาเนห์” จากนั้นองค์ชีคฮัสมานก็รีบเดินออกมาโดยไม่ยอมหันกลับไปมองกุลพัทธ์แม้แต่น้อย
กุลพัทธ์มองตามหลังองค์ชีคหนุ่มออกไปติดๆ
พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้น แม้เธอจะยังไม่รู้ความหมายที่ซ้อนอยู่ในดอกกุหลาบดอกนี้
แต่องค์ชีคผู้เย่อหยิ่งคนนี้ ก็ทำให้เธอรู้ว่า
พระองค์ยังมีความหวานซ้อนอยู่เหมือนเช่นกุหลาบที่พระองค์มอบให้
ความคิดเห็น