คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 12
ตอนที่ 12
หลังอาหารมื้อค่ำขององค์ชีคหญิงสาวจัดเก็บข้าวของเรียบร้อยก็กลับเข้ามานอนในกระโจม เนื้อตัวที่ขะมุกขะมอมเหนียวเหนอะหนะด้วยเหงื่อไคล เส้นผมที่แม้จะมีฮิญาบบดบังก็ไม่วายมีเม็ดทรายเต็มพื้นที่ของศีรษะ
ร่างเล็กนอนพลิกไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นในทันที เธอเดินตรงไปยังกระเป๋าใบเล็กที่อาบียะนำมาให้ พอเปิดออกดูก็มีเพียงผ้า เช็ดหน้าผืนเล็กหนึ่งผืน แปรงสีฟัน ยาสีฟันและพวกยาจำเป็นที่เธออาจจะต้องใช้
อดนึกแปลกใจว่า ทำไมไม่มีเสื้อผ้ามาให้เธอเปลี่ยนสักชิ้น หรือเขาจะชินชากับการที่ไม่ได้อาบน้ำก็อาจเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ คิดได้แค่นี้ร่างกายก็ตอบสนองทันที
เธอก็จัดการถือผ้าเช็ดหน้าติดมือออกไป แล้วยืนหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเห็นว่าร้างผู้คน เพราะการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย จึงทำให้ผู้คนพากันหลับใหลพักผ่อนเอาแรงไว้ในเช้าวันรุ่งขึ้น มีแต่ทหารเพียงสองคนที่ยืนเฝ้ากระ
โจมขององค์ชีค
หญิงสาวเดินตรงไปยังโอเอซิสที่ห่างออกไปไม่ไกล ซึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่ที่ช่วยกำบังสายตาผู้คนได้ เธอเดินลงไปในน้ำโดยไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกแม้สักชิ้น มีเพียงฮิญาบและชาดอร์เท่านั้นที่เธอพอจะสละได้ ถ้าจะให้เธอไม่สวมอะไรเลยก็คงจะทำใจยาก ขนาดให้เธอใส่ชุดว่ายน้ำในที่สาธารณะยังไม่กล้า
ขณะที่กุลพัทธ์กำลังดำผุดดำว่ายในสายน้ำเย็นใสสะอาดอย่างสบายใจ
“อยู่เฉยๆ ห้ามขยับ” เสียงกร้าวของชายหนุ่มนั้นทำให้เธอชะงักในทันที
นาเซียร์หยิบเศษไม้แล้วเหวี่ยงไปสุดแรงพลางสายตาของเธอก็ไปสะดุดกับงูตัวใหญ่ที่กำลังตรงรี่มาที่เธอ แต่โชคดีได้เศษไม้ของนาเซียร์ช่วยสกัดกั้นทำให้งูเปลี่ยนทิศทาง
“ขอบคุณมากค่ะคุณนาเซียร์” กุลพัทธ์ขึ้นจากน้ำด้วยเนื้อตัวที่เปียกชุ่มเสื้อผ้าลู่ลงแนบชิดลำตัวเผยให้เห็นเนื้อหนังของสาวรุ่น เมื่อถึงตัวเจ้าของเศษไม้เธอก็ฉีกยิ้มจริงใจให้โดยลืมมองดูสารรูปตัวเองว่าอยู่ในสภาพไหน
‘แหม...เห็นหน้าดุๆ ก็ใจดีเหมือนกันน้า’ เธอชมเขาในใจ
“ไม่เป็นไรฉันแค่นอนไม่หลับ” นาเซียร์ตอบเสียงเรียบ
“เกิดอะไรขึ้น” สุรเสียงทรงอำนาจกังวานก้องฉุดให้ทั้งสองหันมอง
ภาพที่เห็นคือหญิงสาวกำลังใกล้ชิดนาเซียร์ด้วยสภาพที่อวดทรวด ทรงองค์เอวชัดเจนแถมยังทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อใส่องครักษ์ของพระองค์
นาเซียร์ก้มหน้าถอยห่างอย่างรู้งาน มีแต่กุลพัทธ์ที่ยังมององค์ชีค อย่างไม่สะทกสะท้าน
“คุณนาเซียร์เข้ามาช่วยไล่งูให้เพคะ” เธอตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ลืมนึกถึงเสื้อผ้าที่ดูจะล่อแหลมของตัวเอง
“เธอบ้าหรือไง!” สิ้นสุรเสียงขององค์ชีค อาบียะก็วิ่งออกมาทันทีพร้อมทหารที่มีอาวุธครบมือตามมาอีกสองนาย
องค์ชีคถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งสวมให้เธอพร้อมสำรวจดูว่าพระองค์ได้ปกปิดทุกส่วนของเธอจนมิดชิด จากนั้นก็หันไปหาองครักษ์ที่ยืนอมยิ้มอยู่ไม่ห่าง เมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ทำให้องค์ชีคฮัสมานต้องส่งเสียงดังกังวานเช่นนี้
“หยุดยิ้มแล้วพาลูกน้องพวกนายกลับไปได้แล้ว” และนั่นก็เป็นรับสั่งที่อาบียะอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่ถ้าทำเช่นนั้นเขาคงไม่ได้กลับวังคุลาพ อย่างแน่นอน
“นายไปวุ่นวายอะไรแถวนั้นวะนาเซียร์” เขากล่าวถามในขณะที่เดินกลับที่พัก
“ไม่เห็นแปลกก็คนนอนไม่หลับเดินลาดตระเวนรอบก็เห็นว่างูมันกำลังจะสอยเธอ ก็แค่นั้น” เขาตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“แต่ฉันว่าองค์ชีคคงไม่คิดอย่างนาย” เขาหันไปยิ้มให้ทางด้านหลังที่เดินจากมาเพราะไม่รู้ว่าป่านนี้กุลพัทธ์จะเป็นไงบ้าง
กุลพัทธ์มององครักษ์ทั้งสองจนสุดตาก่อนจะหันกลับมาเห็นเนตรขวางๆ ขององค์ชีค และสิ่งนี้เองที่ทำให้เธอเข้าใจถึงสาเหตุของสุรเสียงที่ดังราวกับฟ้าจะถล่มหัวใจที่สั่นคลอนเป็นต้นทุนอยู่แล้วแต่ทว่าตอนนี้กำลังออกดอกเบ่งบานอยู่ภายในใจ
“เธอยิ้มอะไร คลุมดีๆ” พระองค์กระชับเสื้อให้เธอแล้วก็รีบหันพระพักตร์หนี
หญิงสาวจับเสื้อกระชับอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่สามารถจะหุบลงได้และความคิดเจ้าเล่ห์ก็เกิดขึ้น
“อุ๊ย! เสื้อหล่น” เธอแกล้งชายที่ยืนหันหลังให้
องค์ชีคหันขวับในทันทีเพราะคิดว่า ถ้าร่างบางๆ ของเธอออกมาอวดโฉมให้เห็นอีกครั้งพระองค์ไม่รับประกันว่าจะไม่รั้งเธอเข้ามากอดเพื่อดับความโหยหาของความเป็นชาย
แต่แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้องค์ชีคหน้าง้ำในทันที ก็เธอยืนยิ้มหน้าแป้นคงดีใจที่สามารถหลอกพระองค์ได้ เสื้อที่สวมให้ก็ยังอยู่เช่นเดิม
“ขอบพระทัยเพคะ...อย่าทำพระพักตร์แบบนั้น หม่อมฉันแค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง” เธอส่งรอยยิ้มแต่พระองค์กลับเดินออกไปโดยไม่ยอมตรัสกับเธอสักคำ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้วิ่งไปดักหน้าชายหนวดดก “อย่าโกรธหม่อมฉันเลยเพคะ” หญิงสาวส่งเสียงอ้อนอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
“ถอยไป” เธอต้องทำตามรับสั่งหลบให้พระองค์เดินนำหน้าและมีเธอเดินตามในระยะประชิด
“พระองค์โกรธ” กุลพัทธ์พูดขึ้นอีกครั้ง
“เปล่า”
“ถ้าไม่โกรธทำไมต้องทำพระพักตร์แบบนี้”
“แบบไหน”
“ก็คิ้วกับจมูกจะติดกันอยู่แล้วเหลืออีกนิดเดียวเพคะ” น้ำเสียงเล็กๆ ที่กระเซ้าพระองค์ทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครายิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบวัน
“ฉันจะสั่งลงโทษเธอ”
“เรื่องอะไรเพคะ...”
“เธอโกหกฉัน” พระราชาหนุ่มหันหน้าคนตัวเล็กพร้อมกับนึกต่อว่าเธอในใจ ‘และให้ท่าผู้ชาย’
“ไม่จำเป็นเพคะ เพราะทุกวันนี้หม่อมฉันก็เหมือนได้รับโทษอยู่แล้ว”
“ฉันเพิ่งจะรู้ว่าการที่ให้เธอมาอยู่ใกล้ๆ มันทำให้เธอทรมาน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ”
องค์ชีคไม่ได้รับสั่งสิ่งใดต่อจากนั้นทรงดำเนินออกจากโอเอซิสตรงไปที่กระโจมโดยไม่ตรัสใดๆ กับเธอ
เช้ารุ่งขึ้นของการเดินทางสู่โครงการขุดเจาะน้ำมันขนาดยักษ์ที่สามารถเจาะน้ำมันดิบได้ถึง 400,000 บาร์เรลต่อวัน และเป็นผลผลิตทางทรัพยากรธรรมชาติอันมหาศาลที่เสนาบดีบางคนอยากครอบครอง
เสนาบดีอานูเคยนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมอยู่หลายครั้ง เพื่อหวังให้องค์ชีคเห็นด้วย ถึงเรื่องที่จะเพิ่มกำลังการผลิต รวมไปถึงจับมือกับต่างชาติ เพื่อผูกขาดน้ำมันดิบที่ประเทศอัฟฟาฮานขุดเจาะได้
แม้องค์ชีคฮัสมานจะเป็นผู้นำแห่งยุคสมัยใหม่ แต่การที่ต้องผลิตน้ำมันให้มากขึ้น ก็หมายถึงการใช้มากขึ้นตามจำนวนที่ผลิตได้ ส่งผลให้ทรัพยากรในประเทศของพระองค์หมดเร็วขึ้น พลังงานทดแทนก็ยังอยู่ในขั้นทดลอง พระองค์จึงเลือกที่จะมีความคิดแตกต่างจากเหล่าเสนาบดีที่หวังผลประโยชน์เพื่อตัวเอง โดยไม่ได้คิดถึงอนาคตข้างหน้าว่ารุ่นลูกรุ่นหลานจะเป็นยังไง ถ้าวันนี้ยังไม่คิดจะทำอะไรให้เพื่อพวกเขา
“อีกสองร้อยเมตรก็จะถึงพระเจ้าค่ะ” อาบียะกล่าวรายงาน
“อืมม์” พระองค์ไม่ถามสิ่งใด พระพักตร์ที่ตั้งตรงยังคงมุ่งไปเส้นทางด้านหน้า
กุลพัทธ์เหลือบมองเสี้ยวพระพักตร์หลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมองกลับเลยสักครั้ง
‘ไม่รู้จะโกรธอะไรนักหนา’
“คุณไปทำอะไรให้พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้น” อาบียะดึงบังเหียนชะลอให้อยู่ระหว่างอูฐของกลุพัทธ์แล้วกระซิบถามเธอเบาๆ
“เปล่าค่ะ”
“แน่นะ” อาบียะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ก็แค่บอกว่า ทุกวันนี้ก็เท่ากับหม่อมฉันกำลังได้รับโทษ เท่านั้นจริงๆ นะคะ” กุลพัทธ์บอกตามความจริง
“ดีมาก และผมจะบอกคุณเอาไว้ ว่าคุณจะไม่มีวันลืมเลย เมื่อพระองค์ทรงกริ้วใคร” พูดจบเขาก็ดึงบังเหียน เพื่อให้อูฐเดินนำไป พลางคิดถึงตอนอยู่อังกฤษด้วยกันสามคน เพียงแค่นาเซียร์ไม่ยอมมาลงสนามแข่งฟุตบอลของมหา’ลัย ทั้งที่เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อม แต่นาเซียร์หายไปโดยไม่ยอมบอกกล่าว ซึ่งก็ทำให้พระองค์เงียบเฉยกับนาเซียร์ร่วมสามเดือน
เมื่อถึงที่หมาย การทำงานก็เริ่มขึ้นในทันที องค์ชีคฮัสมานตรวจสอบระบบการขุดเจาะของเครื่องจักรและการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยของผู้ควบคุม ทั้งยังต้องห่างจากคนที่รัก และเป็นเหตุผลอีกหนึ่งประการ ที่ทำให้พระองค์เสด็จมาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง
แม้ช่วงแรกพนักงานจะคิดว่าพระองค์เป็นวิศวกรธรรมดา แต่เมื่อองค์ชีคฮัสมานมาที่นี่บ่อยครั้งขึ้นความลับก็ไม่เป็นความลับสำหรับพวกเขาอีกต่อไป พระองค์ทรงทำให้ผู้ที่อยู่ภายใต้การบัญชาเคารพเทิดทูนได้ไม่ยาก
พระองค์ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนเวลาล่วงเลยถึงวันสุดท้ายที่ต้องกลับวังคุลาพ แต่ถึงกระนั้นความเงียบงัน ระหว่างคนทั้งคู่ ยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม
ถึงเวลาอาหารกลางวัน องค์ชีคก็ทรงมาประทับในกระโจมที่จัดไว้สำหรับพระองค์ การเสวยเป็นไปอย่างเงียบเชียบ โดยมีอาบียะยืนอยู่ไม่ห่าง
“อาหารถูกพระทัยไหมเพคะ” กุลพัทธ์ตัดสินใจถามขึ้น หลังจากพระองค์วางช้อนลง ซึ่งหมายถึงทรงเสวยเรียบร้อย
“...” ไม่มีคำตอบใดๆ จากพระองค์
อาบียะมองเธออย่างเห็นใจ แต่กุลพัทธ์กลับไม่ยอมแพ้เดินตามองค์ชีคฮัสมานออกไป
“ยังไม่หายโกรธหม่อมฉันเหรอเพคะ”
“คิดว่าฉันควรจะโกรธเธอเรื่องอะไร”
“ก็...” หญิงสาวไม่รู้จะอธิบายสาเหตุอันใด จึงได้แต่เงียบ องค์ชีคฮัสมานดำเนินออกไป โดยไม่หันกลับมามองเธอแม้แต่น้อย และมีเสียงของพระองค์ตะโกนให้ทุกคนเก็บของเตรียมเดินทางกลับ
‘กุลพัทธ์เอ๊ย จะบ้าไปใหญ่แล้ว คิดว่าพระองค์จะมาคิดอะไรกับเธอกัน’ หญิงสาวเตือนสติตัวเองก่อนเก็บข้าวของตามที่พระองค์รับสั่ง
หลังจากเดินกลับออกมาจากบริเวณบ่อขุดน้ำมันก็พักค้างคืนที่โอเอซิสอีกคืน ในช่วงเย็นเช่นนี้ ทหารบางคน และชาวเบดูอินนั่งพักเอาแรงกันอย่างผ่อนคลาย และเธอก็มีวิธีที่จะไม่ต้องมองเห็นองค์ชีคฮัสมานที่ยังคงมีพระพักตร์ถมึงทึง จึงเลือกที่จะเข้าไปสบทบกับพวกเขาแทน
แม้ภาษาที่แตกต่างก็ไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร หัวข้อสนทนาคือการแลกเปลี่ยนวิธีการถนอมอาหารของชาวเบดูอิน และการถนอมอาหารในแบบไทย มีเสียงหัวเราะดังมาอย่างต่อเนื่อง
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณลาจักจะรู้จักอาหารไทยด้วย” ชาวเบดูอินในกลุ่มพูดคุยกับเธอด้วยภาษาอังกฤษที่แม้จะไม่ค่อยชัดเจน แต่ก็พอจะเข้าใจ ด้วยว่าชาวเบดูอินบางกลุ่มนั้นมีนักท่องเที่ยวจ้างให้นำทางสู่ดินแดนแห่งทะเลทราย
บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่เธอพูด แม้จะไม่ทั้งหมด
“คุณกุลพัทธ์ต้องทำงานที่นี่อีกนานไหมครับ” ลาจักถามอย่างสุภาพ เพราะเขารู้สึกว่ายามที่ได้คุยกับเธอสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หรืออาจจะเพราะเป็นคนชอบเรื่องอาหารเหมือนกันกระมัง
องค์ชีคฮัสมานหันพระพักตร์ไปมองเสียงเจื้อยแจ้วที่พูดเป็นภาษาอังกฤษบ้าง และใช้ภาษามือบ้าง ทำให้นึกขัดพระทัยอย่างบอกไม่ถูก
พระองค์พยายามจะหักห้ามพระทัยไม่ให้เข้าใกล้เธอ แต่การที่มีเธออยู่ใกล้กลับทรมานยิ่งกว่า
“อาบียะ”
“ทรงต้องการสิ่งใดพระเจ้าค่ะ” น้ำเสียงฟังดูทะเล้นจนพระองค์หันไปมอง
“ไปเรียกเธอเข้ามานี่หน่อย”
“ใครหรือพระเจ้าค่ะ”
ทรงรู้ว่าถูกแกล้ง จึงหันกลับไปส่งสายตาพิฆาตไปที่เพื่อนสนิทก่อนจะตรัสว่า “ไปเดี๋ยวนี้อย่าให้ฉันต้องลุกออกไปเอง”
อาบียะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่พระองค์เลือกที่จะยอมคุยกับเธอง่ายๆ แต่ก็หาใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลใจเพราะถึงยังไงเขาก็จะคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ และจะไม่ยอมห่างไปไหนไกล คงไม่มีใครกล้าครหาองค์ชีคได้ จากนั้นเขาก็หายออกไป ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกุลพัทธ์
“อาบียะ” สุรเสียงข่มขวัญขององค์ชีคฮัสมาน ทำให้องครักษ์ต้องยอมออกไปแต่โดยดี แม้จะรู้ว่ามันไม่เป็นการดีที่จะปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง แต่เมื่อเป็นความต้องการของพระองค์แล้ว เขาก็คงต้องเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกกระโจมแทน
“ดูเธอจะมีความสุขซะเหลือเกินนะ” สุรเสียงกล่าวกระทบอย่างเคืองๆ
“เพคะ” กุลพัทธ์ตอบเพียงสั้นๆ แล้วก้มหน้านิ่ง มือเรียวที่กำลังจับชาดอร์อยู่นั้น สั่นจนไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งที่เธอพยายามบังคับร่างกายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นแม้แต่น้อย กลับยิ่งเพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจของเธอให้เร็วขึ้น...เร็วขึ้น
ชีคหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยอารมณ์หลากหลาย พลางสังเกตมือของเธอกำลังสั่น หลายครั้งที่พระองค์ใกล้ชิดเธออย่างจาบจ้วง ร่ายกายของหญิงสาวดูจะสั่นๆ และตื่นตระหนก จนทรงรู้สึกได้ว่า ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเธอจะมีสามีอย่างที่บอก
รอยยิ้มมุมโอษฐ์เด่นชัดขึ้นจนกลายเป็นยิ้มพิมพ์ใจ
“เธอรู้หรือยังว่าทำอะไรผิด” พระองค์ตรัสอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ทราบเพคะ”
“เธอมีอะไรที่ปกปิดฉันรึเปล่า”
“มะ ไม่มีเพคะ” เสียงที่ตอบตะกุกตะกัก
“เธอรู้ใช่ไหม ถ้าโกหกจะเกิดอะไรขึ้นในประเทศของฉัน” พระองค์ตรัสด้วยสุรเสียงแข็งกร้าว เพราะอยากรู้ว่าเธอจะทำยังไงต่อไป
“ที่หม่อมฉันเดินทางมาไกลแสนไกล ก็เพื่อจะมาตามหาฝันไม่คิดว่าจะต้องมานั่งโกหกใคร” มือที่เคยสั่นกับนิ่งสนิทเพราะความขุ่นเคืองเข้ามาแทรก
กุลพัทธ์เงยหน้าสบพระเนตรขององค์ชีคอย่างท้าทาย เพราะเหตุที่เธอไม่ใช่เบี้ยล่างของใคร ถึงเธอจะเป็นคนพลัดถิ่น ก็ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาข่มเหงอยู่ตลอดเวลา
องค์ชีคฮัสมานยืนขึ้นเต็มความสูงพระหัตถ์ไขว้หลังโน้มเศียรให้อยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ ก่อนจะตรัสว่า
“ฉันจะทำให้รู้ว่า ไม่มีใครโกหกฉันได้...กุลพัทธ์”
ความคิดเห็น