คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 11
ผู้นำขบวนนับสิบคนล้วนแล้วเป็นชาวบ้านที่เรียกกันว่าเบดูอิน เป็นผู้เชี่ยวชาญเส้นทางในทะเลทราย ซึ่งบริเวณอันกว้างใหญ่แห่งนี้สามารถแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เพียงแค่มีกระแสลมพัดผ่าน และการเดินทางก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก
พวกเขาใช้เวลาเดินทางร่วม 3 ชั่วโมงก็ต้องหยุดค้างคืนบริเวณโอเอซิสซึ่งเป็นโอเอซิสขนาดใหญ่และเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์กลางทะเล ทรายท่ามกลางความแห้งแล้ง แต่เมื่อฝนตกเหล่าเม็ดฝนทั้งหลายจะมารวมตัวกันก่อให้เกิดโอเอซิสที่มีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มอยู่รอบบริเวณ
ภายใต้ชุดกาลาไบยาสีดำ กล้ามเนื้อแขนของพระองค์กำลังชาหนึบไม่รู้สึกใดๆ นานพอจะทำให้ร่างสูงสง่าต้องก้มมองคนที่อยู่ในอ้อมพระอุระ แต่ก็ไม่ทำให้ชายชาติทหารอย่างพระองค์ต้องถึงกับหมดความอดทน
หญิงสาวร่างเล็กที่หลับใหลไม่ได้สติ ตั้งแต่พระองค์พาขึ้นมานั่งด้วย ร่างกายและกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ได้ทำให้พระองค์รู้สึกถึงความต้องการอย่างความเป็นชาย แต่กลับต่างออกไปจากที่เคย เมื่อความรู้สึกเหล่านั้นถูกเปลี่ยน
เป็นอยากทะนุถนอม ดูแลและปกป้อง
“องค์ชีคพระเจ้าค่ะ เราคงต้องพักกันที่นี่ เช้ารุ่งขึ้นค่อยออกเดินทางกันแต่เช้า” อาบียะจับบังเหียนก่อนจะเงยหน้าขึ้นกราบทูล
“อืมม์” พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรต่อจากนั้น แต่ดูจากอาการก็พอจะเดาได้ว่า ผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมพระอุระนั้น สำคัญต่อพระองค์มากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่พระองค์จะทำได้มากที่สุด ก็คงเป็นอย่างที่เขาเห็น
กระโจมถูกทำขึ้นอย่างง่ายๆ แต่ก็แข็งแรงมากพอที่จะกันความหนาวเย็นที่ย่างกรายมาพร้อมกับความมืดที่โรยตัวเข้าปกคลุม
“นี่...นี่เธอ” สุรเสียงดังขึ้น หลังจากกระโจมที่ตั้งขึ้นเสร็จเรียบร้อย พระองค์ต้องนั่งอยู่บนหลังอูฐเกือบครึ่งชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่า เมื่อกุลพัทธ์ตื่นแล้ว จึงเข้าไปพักผ่อนในกระโจมได้ทันที
“ฮือ...” ความอ่อนล้าจากการเดินทาง แบบที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ทำให้กุลพัทธ์อ่อนเพลีย ศีรษะที่คลุมด้วยฮิญาบผืนใหม่ยังคงหมุนไปมาอยู่ในอ้อมพระอุระอย่างงัวเงีย สุรเสียงที่พระองค์ตรัสออกมา ไม่ได้ทำให้เธอตื่นจากนิทราได้เลย กลับยิ่งทำให้หลับลึกลงไปอีกรอบ
‘นี่ฉันต้องกลายมาเป็นคนรับใช้เธอใช่ไหม’ รอยยิ้มละไมเกิดขึ้น พระองค์มองใบหน้าขาวนวลละม้ายคล้ายเด็กหญิง ก่อนจะอุ้มเธอกระชับ แล้วก้าวลงจากหลังอูฐที่นั่งราบกับพื้นทราย ตามคำสั่งของผู้ดูแลอูฐของพระองค์
“กระหม่อมช่วยพระเจ้าค่ะ” อาบียะตีหน้าตาย เพราะรู้อยู่แล้วว่าพระองค์จะไม่มีวันให้ใครได้แตะต้องเธออย่างเด็ดขาด
“มีหน้าที่อะไรก็ไปทำ” องค์ชีคตรัสจบ ก็อุ้มกุลพัทธ์ไปที่กระโจม
“องค์ชีค นั่นไม่ใช่กระโจมของเธอ” อาบียะยังไม่เลิกก่อกวน รีบเดินตามไปติดๆ
“กระหม่อมเห็นด้วยกับอาบียะนะพระเจ้าค่ะ” นาเซียร์กล่าวสมทบ
“นายน่าจะอยู่ป่าที่เขาอัลมาห์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ” องค์ชีคส่งสายพระเนตรแข็งกร้าวไปให้นาเซียร์
“องค์ชีค...ก็บอกไปแล้วว่านั่นไม่ใช่กระโจมของเธอ” อาบียะยังไม่เลิกก่อกวนยังรีบเดินตามไปติดๆ
“ถ้าพวกนายไม่มีอะไรทำ ก็อยู่ให้ห่างๆ ฉัน” พระองค์หันมามอง ก่อนจะเข้าไปในกระโจม
“เธอมีสามีแล้วพระเจ้าค่ะ มันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พระองค์” นาเซียร์บอกอย่างเป็นห่วง
“ฉันรู้ ไม่ต้องย้ำ” องค์ชีควางเธอลง ก่อนจะเดินออกมาด้วยพระพักตร์อันบูดบึ้งแล้วทรงดำเนินไปยังโอเอซิสที่มีต้นไม้สีเขียวปกคลุมอย่างหนาแน่นมีสระน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้า พระองค์ทอดพระเนตรออกไปกลางสายน้ำความคิดจมดิ่งกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา
พระองค์ได้พบเจอหญิงสาวคนหนึ่งที่อาจหาญกล้ามาหยุดขบวนเสด็จของพระองค์ มิหนำซ้ำยังต่อปากต่อคำกับพระองค์ไม่ยอมลดราวาศอก ไม่ยอมแม้กระทั่งพระองค์ยื่นข้อเสนอดีๆ ให้ เพื่อความสุขสบายในวันข้างหน้า แต่ทว่ากลับอยากจะได้เพียงเงินเดือนจำนวนน้อยนิด ที่เทียบไม่ได้กับการเป็นนางในฮาเร็มของพระองค์
กุลพัทธ์เป็นหญิงคนแรกที่กล้าปฏิเสธพระองค์ ความรู้สึกอยากจะครอบครอง โอบกอดรัดให้หนำใจยามที่เห็นเธอวนเวียนอยู่ใกล้ๆ นานมากแล้ว ที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหน แต่กับกุลพัทธ์ สาวน้อย หน้าใสคนนี้กลับทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งของพระองค์ สั่นคลอนและเจ็บปวดได้ในเวลาเดียวกัน
“องค์ชีคเพคะ” เสียงใสของหญิงสาวทำให้พระองค์ตื่นจากภวังค์
“ตื่นแล้วเหรอ ฉันยังนึกว่าเธอจะเอาชีวิตมาทิ้งกลางทะเลทรายซะอีก” พระองค์ตรัสออกไปในขณะที่สำรวจว่าเธอยังสบายดี
“ถ้าไม่มีพระองค์ก็ไม่แน่” น้ำเสียงของกุลพัทธ์ฟังดูเหมือนล้อเล่นไม่จริงจังอะไร แต่ในใจเธอกลับคิดว่า
‘อ้อมอกอันแสนจะอบอุ่นที่หม่อมฉันได้สัมผัส จะจดจำไปจนวันตาย’
“เธอมาทำงานแบบนี้ไม่ห่วงลูกกับสามีบ้างเหรอ” ชีคแห่งอัฟฟาฮานตรัสถามขึ้นมาทันที หลังจากกุลพัทธ์นั่งลงข้างๆ วรกายกำยำโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร
“เอ่อ...ห่วงค่ะ เจ้าสองแสบก็คงคิดถึงหม่อมฉันเหมือนกัน” ที่เธอพูด หมายถึงน้องชายจอมแสบของเธอ แต่เธอเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงสามี เพราะจะทำให้เธอโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีก
“มีสองคนเหรอ” พระองค์รู้สึกแปลบที่หัวใจขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเธอพูดถึงลูก แม้จะไม่ได้กล่าวถึงพ่อเด็ก แต่ก็นำมาซึ่งความร้าวราวอยู่เช่นเดิม
“เพคะ หม่อมฉันทำทุกอย่างก็เพื่อทุกคนในครอบครัว อยากมีบ้านหลังเล็กๆ มีซุ้มไก่ชนไว้ให้พ่อ มีเงินส่งให้เจ้าสองแสบได้เรียนสูงๆ และความฝันสูงสุดของหม่อมฉันก็คือเป็นเชฟหญิงที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยให้จงได้” กุลพัทธ์กล่าวอย่างมีความสุข พร้อมกับสายตามุ่งมั่นในตอนท้าย
“ถ้าสมมุติว่าเธอยังไม่มีสามี เธอจะยอมมาอยู่กับฉันไหม ไม่ต้องทำงานอะไร เธอก็มีกินมีใช้สบายไปตลอดชาติ”
“พระองค์สูงศักดิ์จนคนอย่างหม่อมฉันเอื้อมไม่ถึง” กุลพัทธ์ตอบออกไปทีเล่นทีจริง
คำตอบนั้นทำให้องค์ชีคหันมาประจันหน้ากับเธอ “ฉันต้องการคำตอบของหญิงธรรมดาคนหนึ่ง กับชายธรรมดาคนหนึ่งไม่ใช่ชีคอย่างที่เป็น”
ทรงตรัสด้วยพระพักตร์จริงจัง
หญิงสาวมองแววพระเนตร ก่อนจะตัดสินใจตอบทั้งหมดที่อยู่ในใจ เพราะไม่รู้ว่ายังจะมีโอกาสได้พูดเช่นนี้อีกหรือเปล่า “ต่อให้เอาเงินมากมายมาวางอยู่ตรงหน้า หม่อมฉันก็คงต้องปฏิเสธ เพราะถ้าไม่ได้รู้สึกรักชายคนนั้น อยู่กันไปก็คงไม่มีความสุข กว่าจะผ่านแต่ละนาทีที่ต้องทนอยู่ด้วยกัน ก็คงจะยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ และยิ่งต้องใช้สามีร่วมกับหญิงอื่นคงทำใจยอมรับไม่ได้แน่นอนเพคะ”
“สามีเธอเป็นคนที่โชคดีมาก” พระองค์หันกลับไปมองยังผิวน้ำอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่แปลกออกไป
“พระองค์ก็โชคดีที่มีสาวๆ รุมรักมากมายจนนับไม่ถ้วน” ท้ายน้ำเสียงฟังดูเหมือนเธอกำลังน้อยใจ
องค์ชีคฮัสมานโยนหินลงน้ำ ก่อนจะบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงราบ เรียบ “ถ้าเธอยังไม่มีสามี ฉันก็คงคิดนะว่าเธอกำลังหึงฉัน” ประโยคที่องค์ชีคตรัสออกมานั้น ทำให้ใบหน้านวลของหญิงสาวเริ่มแดงขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่พระองค์ตรัสออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
“พระองค์อยากเสวยอะไรเป็นพิเศษไหมเพคะ” หญิงสาวรีบก้มหน้าลง หวังหลบสายพระเนตรที่มองมายังเธอ เพราะแม้จะเป็นเวลาโพล้เพล้ แต่ก็ยังพอจะมองเห็นใบหน้าที่แดงปลั่งของเธอ
ความคิดเห็น