คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 10
ชลิมาฝากท่านชีคบ้าอำนาจกะเชฟหญิงซ่าไว้อีกสักคู่นะคะ
อย่าลืม! คอมเม้นให้เขาจักหน่อยเด้อค่ะ
ตอนที่ 10
รัฐลาเดะตอนเหนือของอัฟฟาฮาน
อ่าวเมนิสในอัฟฟาฮานเป็นเขตเชื่อมต่อระหว่างประเทศระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรมีภูเขารายรอบทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำหลายสาย ความอุดมสมบูรณ์ในเทือกเขาอัลมาห์....ที่ทำให้มีผู้ลี้ภัยกว่า100 ชีวิตพยายามข้ามอ่าวเมนิสของอัฟฟาฮานแต่บางครั้งเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เรือที่บรรทุกผู้ลี้ภัยบางรำล่มลงกลางทะเล เรือหลายรำปฏิเสธเพิกเฉยต่อเสียงวิงวอนของกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ติดค้างอยู่ในทะเล ปล่อยให้พวกเขาเผชิญความยากลำบาก
ทั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า สงครามกลางเมืองและการขาดแคลนอาหาร รวมถึงภัยแล้งจากธรรมชาติผลักดันให้ผู้ลี้ภัยหลายร้อยคนยอมเสี่ยงตายในทะเลเพื่อหาหนทางรอดของชีวิตและจุดหมายที่พวกเขาต้องการจะไปให้ถึงคือ...ผืนแผ่นดินอัฟฟาฮาน
“ท่านนาเซียร์ครับ...นี้เป็นรายชื่อทั้งหมดของผู้ลี้ภัยแยกรายชื่อ เด็ก ผู้หญิง ผู้ชายตามที่องค์ชีคต้องการ”
นายทหารประจำพื้นที่ส่งรายงานตามที่องค์ชีคมีพระประสงค์
“แล้วจัดพื้นที่สำหรับพวกเขาเรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยครับ”
“ฉันต้องการให้พวกเขาอยู่เฉพาะแค่ที่ฉันขีดเส้นไว้ให้...”นาเซียร์ออกคำสั่งอย่างหนักแน่น
“ชาวโซมิเบียอาจจะเข้าไปล่าสัตว์ในป่าลึก ผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้เพราะพื้นที่ตรงนี้อยู่ในเทือกเขา...อัลมาห์”นายทหารประจำพื้นที่รายงานตามความจริง
“ใครฝ่าฝืนก็จัดการได้ตามระเบียบ”องครักษ์หนุ่มออกคำสั่งด้วยสายตาแข้งกร้าวเช่นเคย
“ครับท่านองครักษ์”นายทหารประจำพื้นที่น้อมรับคำสั่ง
เขาอัลมาห์ เป็นเทือกเขาที่อุดมสมบูรณ์ ป่าดงดิบที่มีสัตว์นานาชนิด มีพื้นที่ติดต่อกันถึง4 เมืองการหาของป่าก็น่าจะเป็นสิ่งดีที่ชาวบ้านอย่างพวกเขาต้องทำ
“ฉันฝากดูแลด้วย เมื่อเสร็จภารกิจที่รัฐดาจะ องค์ชีคจะมาทอดเนตรด้วยองค์เอง”องครักษ์หนุ่มบอกทั้งๆที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ลี้ภัยสักครั้งเพราะผู้คนเหล่านี้ไม่มีความหมายมากพอที่จะให้เขาละทิ้งหน้าที่ที่คอยอารักษ์ขาองค์ชีคฮัสมาน
รัฐดาจะ ตอนใต้ของอัฟฟาฮาน
เฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่ลานกว้าง มีนายทหารนอกเครื่องแบบหลายนายรอองค์เหนือหัวอย่างใจจดใจจ่อ พระองค์ดำเนินด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่พระองค์ก็ไม่ลืมที่จะเปิดเฮลิคอปเตอร์ด้านที่กุลพัทธ์นั่ง ฮิญาบที่พับไว้ในมือ ทำให้เธอลังเลที่จะใช้เพราะมีเศษอาหารเต็มผ้า
องค์ชีคฮัสมานทอดเนตรก่อนจะตรัสกับเธอว่า “นั่งอยู่ในนี้ห้ามออกมา” แล้วพระองค์ก็ปิดประตูเครื่องลงอย่างเดิม
“อาบียะไปหาฮิญาบมาให้หน่อย”
“กระหม่อมว่ากุลพัทธ์ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นใช่ไหมพระเจ้าค่ะ” อาบียะกระเซ้าองค์ชีคอย่างไม่กลัวอาญาใดๆ
“ฉันไม่รู้ว่านายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสตรี ให้เวลาอีกสองนาที ฮิญาบต้องได้” พระองค์ไม่รอให้อาบียะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์กลับไปให้ ทรงรีบหันพระพักตร์ไปทางอื่นทันที
องค์ชีคฮัสมานจัดการเปลี่ยนฉลองพระองค์ โดยมีกุลพัทธ์คอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง ฉลองพระองค์ที่ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ราษฎรใส่กันทั่วไป ซึ่งเป็นเหตุให้เธอสงสัย จนต้องเงยหน้ามอง เมื่อติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายเรียบร้อย
“เธอสงสัยอะไร” พระองค์ตรัสอย่างรู้ทัน
“ทำไมต้องใส่ชุดแบบนี้ด้วยเพคะ”
“อยากรู้ก็ตามมา” พระองค์ดำเนินไปขึ้นรถที่นายทหารประจำอยู่ที่นี่จัดเตรียมไว้ให้ โดยมีอาบียะพ่วงท้ายไปเช่นเดิม
รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ที่ขับออกสู่ถนนหลักของรัฐดาจะ เชื้อเชิญให้หญิงต่างแดนมองบ้านเรือนที่ปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละหลังถูกจัดเป็นส่วน สระหรือบ่อน้ำที่ขุดขึ้นมีการติดตั้งน้ำพุรอบสระและปลูกต้นไม้ไว้เป็นแนวยาว
แต่เธอจะรู้ไหม ว่าด้วยความพยายามขององค์ชีคฮัสมาน ร่วมกับภาคเอกชน ในการนำเกษตรอินทรีย์มาใช้ในสวนโอลีฟ ในรัฐดาจะซึ่งเป็นรัฐกลางทะเลทราย จะทำให้สามารถผลิตผลโอลีฟได้ถึง 10 ตันต่อเฮกเตอร์ และนำความสุขพระทัยที่เห็นราษฎรของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
องค์ชีคฮัสมานนำรถมาจอดที่หน้าตึก และเดินไปตามตรอกซอกซอย จนไปถึงร้านอาหารริมทางที่เขียนเป็นภาษาเปอร์เซีย ว่าร้านอาหารไทย แต่อักษรนั้นไม่ทำให้หญิงสาวที่อยู่ข้างพระองค์เข้าใจได้เลย
“อ้าว...” เสียงหลงของชายวัยกลางคนดังขึ้น ก่อนที่จะเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม
“สบายดีไหมอรรณพ” พระองค์เอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง
“กระหม่อมสบายดีพระเจ้าค่ะ แต่วันนี้ทำไมเปลี่ยนองครักษ์เป็นสาวสวยแบบนี้ล่ะ”
“ฉันบอกว่าไม่ต้องพูดแบบนี้” พระองค์มองหน้าชายตรงหน้า ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้พระสหายต่างวัยที่พระองค์เสด็จออกมาหาอยู่บ่อยๆ นับตั้งแต่ที่ได้เจอร้านอาหารไทยที่นี่เป็นครั้งแรก เมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนที่พระองค์ทำตัวเยี่ยงสามัญชน เพื่อมาดูความเป็นอยู่ของประชาชน และได้ลิ้มรสอาหารไทยที่หาทานได้ยาก ในประเทศอัฟฟาฮาน
“ครับๆ แล้วตกลงจะไม่แนะนำให้ผมรู้จักสาวสวยคนนี้เหรอครับ”
“กุลพัทธ์” ทรงตอบเพียงสั้นๆ แต่ก็ทำให้องครักษ์ต้องอมยิ้ม
“เป็นคนประเทศอะไรครับ เกาหลี จีน หรือว่า...ไทย” รอยยิ้มของชายสูงวัยเริ่มปรากฏ
กุลพัทธ์กระชากฮิญาบออกจากผมอย่างลืมตัว แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ อรรณพ
“สวัสดีค่ะ คุณอรรณพ” กุลพัทธ์รีบยกมือไหว้
“ลุงดีใจจังที่มีคนไทยในประเทศนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน”
“อะแฮ่มๆ” เสียงอาบียะเตือนขึ้น ก่อนที่องค์ชีคของเขาจะแสดงอะไรออกมา จนคนทั้งร้านจะรู้ว่าองค์เหนือหัวของพวกเขามาทำอะไรแถวนี้
“เธอรีบใส่ฮิญาบเดี๋ยวนี้ กินข้าวเสร็จ จะได้ไปกันต่อ ฉันไม่ได้ให้เธอมาทำงานสบายๆ อย่างที่เธอคิดหรอกนะ” พระองค์ตรัส ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ
กุลพัทธ์ส่งค้อนให้พระองค์วงใหญ่ ก่อนทำตามรับสั่ง แล้วกระแทกตัวนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าดีใจก็คือ ในดินแดนอันแสนห่างไกลจากบ้านเกิด เธอก็ยังมีอรรณพที่พูดจาภาษาเดียวกัน
“พระองค์จะไปกี่วันพระเจ้าค่ะ” อาบียะรีบถามหลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อย
“สามวัน”
“ไม่น่าเชื่อ ทำไมเที่ยวนี้กลับเร็วจัง” อาบียะเหลือบมอง ก่อนหันมายิ้มกับอรรณพ เขารู้ว่าที่พระองค์มาก็เพราะจะมาตรวจสอบน้ำมันดิบที่กำลังขุดเจาะ อาจจะมีการลักลอบเพิ่มกำลังการผลิตโดยที่พระองค์ไม่รู้เพราะเสนาบดีบางคน มีความต้องการต่างออกไป และที่สำคัญสิ่งที่ทำให้พระองค์ต้องรีบกลับ อาจจะเป็นเพราะไม่อยากอยู่ใกล้กุลพัทธ์นานเกินไป หรือจริงๆ แล้วอยากพาเธอมาเพื่อให้ได้ใกล้ชิดโดยไม่มีใครสนใจ
“ฝีมือไม่ตกเลยนะอรรณพ” พระองค์กล่าวชมอรรณพด้วยพระเมตตา
“ผมเตรียมเสบียงเรียบร้อยแล้ว ได้ของตามที่สั่งทุกประการครับ”
“ขอบใจ” พระองค์ก้มศีรษะก่อนจะเดินนำออกไป
กุลพัทธ์หันไปกล่าวลาอรรณพ “คุณลุงคะ ยังไงกุลจะมาหาใหม่ ถ้ามีโอกาส” รอยยิ้มของหญิงสาวปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ออกเดินทางกันได้แล้ว มัวแต่ยิ้ม แล้วเมื่อไหร่จะถึง” รอยยิ้มของหญิงสาวหุบลงทันที เมื่อสิ้นสุรเสียงขององค์ชีคฮัสมาน
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุของทะเลทราย ที่เบื้องหน้าเห็นเพียงอาณาจักรสีทองที่ไกลสุดลูกหูลูกตา และสายลมที่หอบเอาความเวิ้งว้างโบกสะบัดเม็ดทรายเข้ามาปะทะร่างกายของเธอ ที่มีเพียงเสื้อผ้าตัวหลวม บวกกับชาดอร์ที่เธอสวมใสติดตัวมาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ช่วยป้องกันเม็ดทรายที่ปลิวเข้ามาในตาเธอได้เลย
“โอ๊ย!” หญิงสาวร้องครางออกมาเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือสองข้างจากโหนกไม้บนหลังอูฐที่มีไว้ให้จับ แล้วขยี้ตาทั้งสองข้างอย่างลืมตัว ซึ่งทำให้เสียการทรงตัวอยู่บนหลังอูฐตัวเธอตะแคงลงข้างๆ และกำลังจะดิ่งลงสู่พื้นทราย แต่องค์ชีคฮัสมานคว้าร่างเล็กของเธอไว้ได้ทัน
“อยากโดนอูฐเหยียบจมทรายหรือไง” องค์ชีคตรัสเบาๆ ก่อนจะรวบตัวเธอมานั่งประชิดอกกว้างที่ทำให้หัวใจเธอกระตุก พร้อมลมหายใจที่ดูเหมือนจะหยุดลง เพราะกลิ่นน้ำหอมรวยรินส่งกลิ่นรบกวนอยู่ข้างกาย
“พระองค์ เอ่อ...” เธอไม่แม้แต่จะเอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้น เพราะนาทีนี้ใบหน้าที่อุดมไปด้วยหนวดเคราเคลื่อนเข้ามาประชิดอยู่ในระยะอันตราย ที่ทำให้หวนคิดถึงวันแรกที่เจอองค์ชีคฮัสมาน
ด้วยว่าพระองค์ทำให้เธอเข้าใจว่าพระองค์เป็นคนเอาแต่พระทัย กดขี่ข่มเหงได้แม้กระทั่งผู้หญิงอย่างเธอ และยื่นข้อเสนอโดยที่ให้เธอยอมเป็นนางในฮาเร็มของพระองค์ แทนการเป็นกุ๊ก ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต แม้ครอบครัวของเธอในเมืองไทยจะไม่ได้สุขสบาย แต่พวกเขาก็คงไม่ยอมให้เธอต้องขายศักดิ์ศรี ขายความฝัน เพื่อแลกกับความสบายของพวกเขาเป็นแน่
“ฉันอยากให้ทุกอย่างหยุดไว้แค่เรา” สุรเสียงที่ตรัสขึ้นทำให้เธอต้องก้มหน้าลงกว่าเดิม
กุลพัทธ์ไม่คิดว่าองค์ชีคผู้ยิ่งใหญ่ จะมาจริงจังอะไรกับผู้หญิงแสนจะธรรมดาอย่างเธอ ก็ในเมื่อมีผู้หญิงที่พร้อมจะเคียงคู่พระองค์มากมาย แล้วเหตุใด เธอต้องเสี่ยงเอาตัวเองไปหลงอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่พระองค์ตีกรอบให้อยู่เพียงแค่นั้น
ชีวิตเป็นของเธอ และอาชีพที่เธอฝันกำลังรอเธออยู่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้ายอมใจอ่อนให้กับหัวใจตัวเองในวันนี้ ก็เท่ากับละทิ้งความฝัน และแถมท้ายมาด้วยความระทมทุกข์ไปตลอดชีวิต เพราะต้องใช้ผู้ชายร่วมกับหญิงอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจตอบกลับพระองค์ไปว่า
“แต่หม่อมฉันมี...สามีแล้ว” คำโกหกที่โป้ปดออกมา เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้เธอกบฏกับหัวใจตัวเองนั้นเป็นอันตรายกว่าองค์ชีค เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่า พระองค์จะไม่ทำอะไรที่ผิดต่อหลักศาสนาของพระองค์ และก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
“ไม่ต้องพูดอะไร ฉันจะเว้นระยะปลอดภัยไว้เพื่อเธอ” พระองค์สบตาเธอ ก่อนจะหันกลับไปสนใจเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่จุดหมายปลายทางรั
ความคิดเห็น