คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 9
หนังสือเปิดให้จองเเล้วนะคะ ฝากเชฟหญิงสุดซ่ากับชีคบ้าอำนาจ จักหน่อยเด้อค่ะ #สหายนักอ่าน ท่านใดที่จองมาเเล้วก็ขอบคุณหลายๆ เด้อค่ะ
ตอนที่ 9
องค์ชีคฮัสมานดำเนินกลับมาถึงห้องบรรทมด้วยความอ่อนล้า แม้เวลาที่ผ่านการครองราชย์มายาวนานจะทำให้พระองค์เข้มแข็งขึ้น แต่ภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ ดูจะหนักขึ้นทุกวันๆ ด้วยว่าความเห็นที่แตกต่างของแต่ละบุคคล ไม่รวมไปถึงการค้าน้ำมันดิบที่เสนาบดีบางคนต้องการเพิ่มการผลิตในแต่ละวันให้มากขึ้น แต่เมื่อได้รับการปฏิเสธก็เกิดการมึนตึงขึ้นมาทันที
เมื่อกลับมาถึงห้องบรรทมได้ยินเสียงพูดที่พระองค์ไม่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังพูดว่าอะไร แต่ดูจากอาการทุบตีลงบนหมอนก็พอจะเดาออกว่ากำลังโกรธพระองค์อยู่แน่ๆ
ร่างสูงสง่าดำเนินเข้าประชิด หวังจะแกล้งเธอเล่นเหมือนอย่างเคย แต่แล้วสิ่งที่ได้เห็นเมื่อคืนทำให้พระองค์ต้องถอยหลังกลับ
“หม่อมฉันขอตัวเพคะ” กุลพัทธ์รีบบอกทันที หลังจากรู้ว่าเจ้าของห้องกลับมาแล้ว
“เธอให้อาหารบารุดซ์หรือยัง” พระองค์แกล้งถาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอเดินไปไม่ถึงแน่นอน เพราะเท้าที่ยังมีผ้าพันไว้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอยังไม่หายดี
“หม่อมฉันคงเดินถึงอยู่หรอก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ถึงเท้าเธอเจ็บ แต่ฉันไม่ยอมให้บารุดซ์อดอาหารหรอกนะ” พระองค์ตรัสออกมา แต่ยังไม่ยอมมองหน้ากุลพัทธ์อยู่ดี
หญิงสาวรู้ทันที ว่าแหวนวงนั้นได้ช่วยเธอไว้จากเงื้อมือองค์ชีคแห่งอัฟฟาฮาน แต่ไม่ได้หมายรวมไปถึงหัวใจที่ดูจะสั่นคลอนทุกครั้งที่ร่างสูงสง่าเข้าใกล้
“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันคงต้องเอาบารุดซ์มาอยู่ในห้องด้วยกระมังเพคะ”
“เป็นความคิดที่ดี” พระองค์หันมาประจันหน้ากุลพัทธ์อย่างท้าทาย แต่ในใจกลับอยากดึงเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่ก็ต้องหยุดไว้แค่ความคิด การยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีสามีแล้วก็หมายถึงทำผิดหลักศีลธรรม
“ถ้าพระองค์ไม่มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้ ก็ขออนุญาตเพคะ” เธอเดินออกไปทันทีหลังพูดจบ
องค์ชีคฮัสมานได้แต่มอง ก่อนจะทำท่าฮึดฮัดกับตัวเอง ที่ไม่สามารถบังคับใจตัวเองได้ ผู้หญิงโสดมีมากมายที่รอพระองค์อยู่ แต่ทำไมพระองค์ต้องมาหลงใหลได้ปลื้มเธอถึงขนาดนี้
กุลพัทธ์เดินออกจากห้องขององค์ชีค แม้ขาจะเจ็บ แต่มือเธอก็ยังใช้งานได้ เธอตั้งใจจะไปช่วยในครัวเพื่อจัดเตรียมพระกระยาหารในมื้อกลางวัน
“นี่เธอ” เฮน่าร้องทักขึ้นมาทันทีที่เห็นเธอเดินออกมาจากห้องขององค์ชีคฮัสมาน
“คะ” กุลพัทธ์กล่าวอย่างนอบน้อม โดยไม่รู้ว่าภายในวังเขามีตำแหน่งอะไรกันบ้าง พูดจาไพเราะอ่อนหวานคงจะเป็นสิ่งดีกับเธอ
“ช่วยไปเก็บกวาดห้องให้ฉันหน่อย เดี๋ยวนี้เลยนะ” จากนั้นเธอสะบัดหน้าเข้าห้องไปอย่างไร้มารยาท
‘ผู้หญิงสวยเขาเป็นกันอย่างนี้ทุกคนหรือไงวะ’ กุลพัทธ์คิดในใจ ก่อนจะเดินตามเฮน่าเข้าไป
ภายในห้องถูกจัดไว้ให้ดูอึมครึม ทั้งที่เป็นกลางวัน แต่ก็เปรียบเสมือนกลางคืน อากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศราคาแพง ช่วยบรรเทาอากาศที่ร้อนอบอ้าวในเวลากลางวันเช่นนี้
กุลพัทธ์มองเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งไว้อย่างไม่แยแส ผ้าห่มที่ควรจะอยู่บนที่นอนแต่กลับไปกองอยู่ที่พื้น เธอค่อยๆ เก็บทีละชิ้นใส่ลงในตะกร้า
“เธอมาที่นี่ทำไม” เฮน่าถามขึ้นระหว่างที่มองดูคนทำงานอย่างสบายอารมณ์ และก็พอจะรู้มาว่าเมื่อคืนองค์ชีคฮัสมานอุ้มผู้หญิงคนนี้เข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาหาเธอด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“มาทำงานค่ะ” เธอตอบเพียงสั่นๆ เพราะรู้ว่าน้ำเสียงที่ผู้หญิงคนนี้เปล่งออกมาไม่ได้มีไมตรีจิตอย่างที่เธอคิดไว้ตั้งแต่แรก
“มาขายของเก่าว่างั้น ก็แบบนี้ทุกราย เห็นหงิมๆ แต่ที่ไหนได้”
“ฉันคงไม่กล้าคิดเหมือนคุณหรอกค่ะ ปล่อยให้คุณคิดและทำไปคนเดียวดีกว่า” กุลพัทธ์ทำเหมือนไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ก็ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาแล้วจะไปโวยวายให้ได้อะไรขึ้นมา คิดได้ดังนั้นเธอก็หันกลับไปทำงานต่อ
“นี่ กล้ามากนะ เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นคนโปรดขององค์ชีค ใครที่ไหนก็ไม่กล้าขัดคำสั่งฉัน จำใส่สมองของเธอไว้ด้วย”
“ค่ะ” กุลพัทธ์ตอบกลับไปอย่างสุดเซ็ง
เฮน่าช้อนตาขึ้นมองอย่างหมั่นไส้ก่อนจะตะโกนบอกเธอ “เมื่อคืนที่องค์ชีคออกมาจากห้องบรรทม พระองค์ก็ตรงมาที่ห้องฉัน พอมาถึงก็โถมเข้ากอดฉันไม่ยอมปล่อย จนฉันแทบจะหายใจไม่ออก พูดแล้วจะหาว่าฉันโม้ เธอก็ดูซิร่องรอยของความรักที่พระองค์มอบให้ฉัน”
เฮน่าพูดพลางชี้มือให้กุลพัทธ์ดูรอยเปื้อนบนที่นอนด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่ง หลงตัวเองว่าองค์ชีคทรงห่วงใยรักใคร่เพียงเธอคนเดียว
กุลพัทธ์รู้สึกเหมือนมีท่อนซุงหล่นมากระแทกที่หน้าอกจนรู้สึกเจ็บและหายใจไม่ออก ซึ่งเธอก็พยายามฝืนใจตัวเองมาตลอด ตั้งแต่ได้ใกล้ชิดองค์ชีคฮัสมาน และครั้งนี้ก็เหมือนเช่นทุกครั้งทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่หญิงสาวพล่ามออกมาให้ฟัง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บของจนเรียบร้อย และขณะที่กำลังจะเดินออกไป
“อ้าวเธอ ยังไม่ได้เก็บรอยรักขององค์ชีคไปซักให้เลย”
“มันไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องทำ” กุลพัทธ์ไม่สนใจที่จะมองในสิ่งที่เฮน่ากำลังนำเสนอ เธอเลี่ยงที่จะเดินออกมาจนเกือบจะถึงหน้าประตูและเป็นจังหวะที่ประตูเปิดเข้ามาพอดีเป็นเหตุให้ประตูที่เปิดเข้ามากระแทกศีรษะเธออย่างจัง
“โอ๊ย!”
“เธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” องค์ชีคฮัสมานตรัสถามอย่างสงสัย
“ก็...” กุลพัทธ์กำลังจะพูดต่อ
“เข้ามาคุยเล่นเพคะ แต่ เอ...พระองค์มาหาเฮน่าแบบนี้ทั้งวัน เฮน่าก็แย่สิเพคะ”
น้ำเสียงกระเซ้าของเฮน่าทำให้กุลพัทธ์เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง รู้ว่าองค์ชีคฮัสมานเข้ามาในนี้เพื่ออะไร คงไม่ต้องอธิบายให้ฟังยืดยาว หญิงสาวกำลังจะตัดสินใจเดินออกไปให้ไกลจากนรกในใจขุมนี้ให้เร็วที่สุด
“จริงเหรอ” องค์ชีคตรัสถามในขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตู
กุลพัทธ์จับลูกบิดประตูค้างไว้ พลางคิดขึ้นได้ว่าเธอไม่ใช่นางเอกละครที่ต้องทำตัวเรียบร้อยยอมให้นางร้าย ใส่ร้ายต่างๆ นานา เธอไม่จำเป็นต้องปกป้องผู้หญิงปากร้ายใจสกปรกคนนี้จึงตอบองค์ชีคฮัสมานไปตามความเป็นจริงว่า
“ก็ไม่มีอะไรมากเพคะ” เธอเห็นรอยยิ้มหวานหยดของเฮน่า หญิงสาวส่งยิ้มตอบกลับแล้วพูดต่อไปว่า “คุณผู้หญิงให้เก็บห้อง เก็บผ้าปูที่นอน ที่เธอตั้งใจเล่าให้หม่อมฉันฟังว่า เมื่อคืนพระองค์มาฝากรอยรักไว้ให้เธอทั้งคืน”
องค์ชีคหันมองเฮน่า ก่อนจะตรัสกับเธอด้วยพระพักตร์ขึงขัง “เธอไม่มีสิทธ์ใช้กุลพัทธ์ เพราะเธอมีหน้าที่รับใช้ฉันคนเดียวจำไว้” ตรัสจบองค์ชีคฮัสมานก็แกะมือของเฮน่าออก ก่อนตรงไปจับมือกุลพัทธ์พาเดินออกไป
“ปล่อยหม่อมฉันก่อนได้ไหมเพคะ หม่อมฉันเจ็บ” กุลพัทธ์ร้องโวยวาย
องค์ชีคฮัสมานหยุดมอง ก่อนจะตัดสินใจอุ้มเธอขึ้น โดยไม่พูดอะไรต่อจากนั้น แต่กลับเป็นฝ่ายหญิงที่ยังดิ้นขลุกขลักอยู่ตลอดเวลา
“หยุดดิ้นได้ไหม” องค์ชีคบอกเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลผิดกับทุกครั้งที่ผ่านมา
“พระองค์จะพาหม่อมฉันไปไหน” แม้กุลพัทธ์จะหยุดดิ้น แต่เธอก็ยังเอามือ ทาบหน้าอกไว้ทั้งสองข้าง
“ไม่ต้องโชว์แหวนราคาถูกของเธอให้ฉันเห็นบ่อยๆ นักหรอก เพราะที่ฉันอุ้มเธอ ก็เพราะกลัวเสียเวลางาน” พระองค์ตรัส โดยไม่ได้ก้มมองเธอ
“งานอะไรอีกเพคะ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว พระองค์ไม่หิวเหรอ”
“ไม่” ร่างสูงสง่าไม่ตรัสอะไรต่อจากนั้น ทำเพียงอุ้มกุลพัทธ์เดินดุ่มๆ ไปยังลานกว้างที่มีโกดังขนาดใหญ่ปลูกไว้ตรงกลางลาน ก่อนจะมีทหารอีกสองคนเดินเข้าไปในห้องนั้น
“ทุกอย่างพร้อมออกเดินทางพระเจ้าค่ะ” นายทหารรายงานองค์ชีคฮัสมาน ก่อนจะตรงไปยังห้องแล้วกดสวิทซ์ จากนั้นประตูอัตโนมัติก็เปิดออกมาเผยโฉมให้เห็น เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่จอดเรียงกันจำนวน 5 ลำ
“องค์ชีคเพคะ ปล่อยหม่อมฉันลงเถอะ” กุลพัทธ์ขืนตัว เพื่อให้พ้นจากอ้อมอกอันอบอุ่น เพราะตอนนี้เหล่าทหารอีกหลายนายที่กำลังเดินเข้ามาสมทบ จดจ้องเธออย่างไม่วางตา
“เงียบเถอะน่า” พระองค์เปล่งพระสุรเสียงอย่างรำคาญ ก่อนจะหันไปตรัสกับเหล่าทหารว่า “เตรียมความพร้อมได้เลย”
โกดังที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ผนังห้องถูกจัดแต่งด้วยสีน้ำตาลเข้ม มีอะไหล่และอุปกรณ์เฮลิคอปเตอร์วางบนชั้นที่ตั้งเรียงรายติดผนัง เฮลิคอปเตอร์ลำมหึมาติดเครื่องรอพระองค์อย่างรู้งาน ด้วยฝีมือขององครักษ์คู่พระทัย ที่ยืนรอพระองค์อยู่ก่อนแล้ว
“พร้อมแล้วพระเจ้าค่ะ” อาบียะบอกอย่างอารมณ์ดี
องค์ชีคฮัสมานพยักพระพักตร์ ก่อนจะวางเธอลงบนเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังส่งเสียงดังกระหึ่ม
“เอ่อ...” กุลพัทธ์ไม่รู้ว่าจะตั้งคำถามว่ายังไงดี ได้แต่ทำหน้าเหลอหลา เวลาที่องค์ชีคฮัสมานขึ้นประจำที่สำหรับผู้บังคับเครื่อง
“ไปคราวนี้พระองค์คงไม่ลืมว่ามีพระมารดารออยู่นะพระเจ้าค่ะ”
องค์ชีคฮัสมานหันไปมองคนที่นั่งด้านหลัง “นายมีหน้าที่สั่งฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นี่เป็นประโยคที่พระมารดาตรัส ก่อนที่กระหม่อมจะออกมา” อาบียะหาทางหนีทีไล่ได้ดีเสมอ
“คุณนาเซียร์ไม่ไปด้วยเหรอค่ะ”หญิงสาวหันไปหาอาบียะเพื่อรอคำตอบ
“แล้วมันใช่เรื่องของเธอเหรอถึงได้อยากรู้”องค์ชีคตอบให้เสร็จสรรพก่อนจะทำให้คนตัวเล็กหันหน้าออกไปมองด้านนอก
“ถามนิดถามหน่อยทำเป็นเรื่องเยอะ”เธอบ่นอุบ
ชีคหนุ่มมองหญิงสาวอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็นำเครื่องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างาม ราวกับว่ากำลังติดปีกบินอยู่กลางอากาศ เฮลิคอปเตอร์มุ่งหน้าไปยังตอนใต้ของประเทศ ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย
กุลพัทธ์ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะในตอนนี้อาการคลื่นเหียนได้เข้ามายึดครองร่างกายเธอไว้ในทันที หลังจากเฮลิคอปเตอร์กำลังทำหน้าที่ของมัน
“อุ๊...” เธอยกมือสองข้างขึ้นปิดปาก
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” อาบียะรีบเข้ามาดูอาการเธอ
กุลพัทธ์ใช้มืออีกข้างโบกไปมาบอกให้องครักษ์ขององค์ชีคฮัสมานรู้ว่าเธอไม่เป็นไร
“สำออย” พระสุรเสียงฟังดูคล้ายเยาะหยัน
“แหวะ…” อาหารที่เธอกินเข้าไปเมื่อตอนเช้าควรจะถูกย่อยอยู่ภายในกระเพาะ แต่ตอนนี้ได้กระจายอยู่เต็มเสื้อขององค์ชีค
“นี่เธอ...” อาบียะพูดออกมาอย่างตกใจ แต่คนที่ตกใจไม่แพ้กันก็คงจะเป็นเจ้าของเศษอาหาร
“ขอประทานอภัยเพคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ปรกๆ
“ตกลงเธอจะปล่อยให้ฉันเลอะเทอะอยู่แบบนี้ใช่ไหม”
“ขอประทานอภัยอีกครั้งเพคะ” หญิงสาวกล่าวอย่างสำนึกผิดแล้วรีบถอดฮิญาบ ที่อยู่บนหัวออกไปเช็ดให้พระองค์
ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทกับเธออีกครั้งมือเริ่มสั่น ในขณะที่กำลังทำความสะอาดเสื้อให้องค์ชีค และตอนนี้ทำให้เธอต้องเงยหน้ามองพระพักตร์ที่รกครึ้มด้วยหนวดเครา แต่สายพระเนตรก็ยังพอจะมีความเมตตาหลงเหลืออยู่
องค์ชีคฮัสมานจับข้อมือเล็กๆ ของเธอ พร้อมกับสบตาหญิงสาว ด้วยความรู้สึกหลากหลายเช่นเดียวกัน ชนชั้นสูงศักดิ์และบทบรรญัติของประเทศอัฟฟาฮาน ทำให้พระองค์ต้องข่มกลั้นความรู้สึกของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในดินแดนแห่งใด ก็คงหนีไม่พ้น ถ้าเพียงพระองค์ต้องการ แต่ ณ ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่คิดเสียแล้ว เพราะหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พระองค์นี้เป็นบุคคลต้องห้าม
บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไป ต้นไม้ที่เคยเขียวขจีเริ่มหดหายไปกลายมาเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ต้นไม้บางต้นเป็นสีน้ำตาลมากกว่าสีเขียว บ้านเรือนต่างปลูกสร้างด้วยอิฐแดงเรียงต่อกันฉาบด้วยปูนแบบหยาบๆ ปิดจนมิดชิดไม่มีหน้าต่างบานใหญ่เหมือนเมืองไทย มีเพียงช่องเล็กพอให้อากาศเข้าไปได้ ตึกสูงสามชั้นบางตึกที่มองเห็นจากด้านบนก็มีเพียงไม่กี่คูหา
“เตรียมเครื่องลงจอด” องค์ชีคกล่าวผ่านหูฟัง “ฉันว่าเธอคงไม่อ้วกใส่ฉันอีกนะ” พระองค์ตรัสทีเล่นทีจริง
“เพคะ” กุลพัทธ์ยิ้มเขินๆ ก่อนจะหลับตาปี๋ลงทันที
อาบียะไม่รู้ว่าการที่พระองค์ทำแบบนี้หมายถึงอะไร ก็ในเมื่อเธอก็บอกว่าเธอมีสามีแล้ว การทำเช่นนี้แม้จะไม่ผิด แต่ถ้าปล่อยให้กายและใจใกล้ชิดกันเรื่อยๆ คงไม่ดีต่อฐานบัลลังก์ที่มั่นคงของพระองค์เป็นแน่
ความคิดเห็น