ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลกามเทพ

    ลำดับตอนที่ #2 : เส้นขนาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.31K
      9
      22 ก.ย. 55

                    “จ๊ะเอ๋..” ปัณจรีเดินแอบเข้ามาข้างหลังร่างเล็กๆที่ยืนมองอะไรอย่างใจจดใจจ่อ

                    “อุ้ย!! คุณแม่” เด็กหญิงตัวน้อยๆ หันกลับมากอดทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

                    “ดูอะไรอยู่ลูก แม่เดินเข้ามาตั้งนานแล้ว ข้าวยังไม่รู้สึกตัวเลย” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อมองไปรอบๆบริเวณสนามเด็กเล่นของโรงเรียนอนุบาลที่ลูกสาววัยสี่ขวบของเธอเรียนอยู่

                    “ข้าวมองน้องอ้อเค้าเล่นชิงช้ากับพ่อเค้าอยู่ค่ะ” คำพูดของลูกสาวตัวน้อย ทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้างๆหน้าซีดลดตัวลงมากอดหนูน้อยเอาไว้

                    “ข้าวอยากไปเล่นชิงช้าเหมือนน้องอ้อหรือลูก เดี๋ยวคุณแม่พาไป” หญิงสาวถามพูดสาวเสียงอ่อนโยน

                    “เปล่าหรอกค่ะ ข้าวแค่มองน้องอ้อเค้าเล่นกับพ่อเค้าเฉยๆ คุณแม่..ถ้าคุณพ่อของข้าวยังอยู่ คุณพ่อจะใจดีมาเล่นกับข้าว มารับข้าวที่โรงเรียนเหมือนพ่อของน้องอ้อไหม”

                    คำพูดไร้เดียงสาของเจ้าตัวน้อย ทำให้เธอจนคำพูดอย่างที่สุด....ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าว หรือเด็กหญิงปัณนรี ลูกสาวของเธอพูดถึงผู้ให้กำเนิด เหมือนอยากจะมีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาทัดเทียมเพื่อนบ้าง แต่ทุกครั้งที่เธอบอกว่าทำไมคุณพ่อของข้าวถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน เด็กน้อยก็จะเข้าใจและรับฟังโดยดี แต่พอมีสิ่งใดสะกิดใจ หรือการเห็นเด็กคนอื่นมีพ่อมาคอยดูแล หนูน้อยก็จะตั้งคำถามทำนองนี้กับเธอขึ้นมาอีก

                    “แน่นอนสิจ๊ะ คุณพ่อของข้าวเป็นคนน่ารักเหมือนคุณพ่อของน้องอ้อนั่นแหละ ถ้ายังไม่ไปสวรรค์คุณพ่อก็จะมารับข้าวที่โรงเรียน มาเล่นกับข้าว มาสอนข้าวทำการบ้านเหมือนกัน นี่ข้าวถามถึงแต่คุณพ่อจนแม่ชักจะน้อยใจแล้วนะ แม่ยังทำหน้าที่แทนคุณพ่อไม่ดีหรือลูก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ จนเด็กน้อยต้องเข้ามากอดคอมารดา พร้อมกับหอมแก้มอย่างเอาใจฟอดใหญ่

                    “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณแม่อย่าน้อยใจเลยนะ ข้าวรักคุณแม่ที่สุดในโลกอยู่แล้ว ข้าวไม่ถามถึงคุณพ่อแล้วก็ได้ ข้าวไม่อยากเห็นคุณแม่แอบไปนั่งร้องไห้ตอนดึกๆอีก”

                    หนูน้อยพูดขึ้นจากประสบการณ์ที่เคยตื่นขึ้นมาแล้วเห็นปัณจรีนั่งร้องไห้กับอะไรซักอย่างที่เด็กอย่างเธอก็ไม่อาจจะรู้ได้ แต่หนูน้อยรู้อย่างเดียวเท่านั้นว่าทุกๆครั้งที่เธอเอ่ยถามหรือพูดถึงคนเป็นพ่อเมื่อใด ความสดใสบนใบหน้าของคุณแม่คนสวยของเธอจะลดลงไปทันที

                    “เรากลับบ้านกันดีกว่าคุณแม่ขา ข้าวหิวแล้ว” เสียงจากร่างเล็กๆ ที่ปัณจรีกอดไว้ อย่างต้องการกำลังใจ ทำให้เธอตื่นจากภวังค์ หญิงสาวไม่คิดเลยว่าลูกสาวตัวน้อยของเธอจะรู้มากเช่นนี้ ทุกๆครั้งที่เธอแอบร้องไห้หลังจากที่ข้าวถามถึงเรื่องราวของพ่อผู้ชายซึ่งเธอเก็บเขาไว้ได้แค่ในความทรงจำ..เท่านั้น

                    “ไปสิจ๊ะคนเก่งของแม่ วันนี้มีอะไรมาเล่าให้แม่ฟังบ้างล่ะ” คุณแม่คุณลูกเดินจูงมือคุยกันกระหนุงกระหนิงเหมือนทุกวันไปที่รถที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน

     

                    ดึกแล้วแต่คนที่นั่งลูบศีรษะเล็กๆของลูกสาวตัวน้อยยังไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เธอกำลังนึกถึงเรื่องที่ผู้จัดการสาขาเรียกให้เธอเข้าไปพบเมื่อตอนบ่ายนี้

                    “ผมและผู้บริหารในสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ พิจารณาแล้วเห็นตรงกันนะ ว่าจะเลื่อนให้คุณไปเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์แผนงานที่กรุงเทพฯ... คิดดูให้ดีคุณปัณจรีโอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เลื่อนตำแหน่ง เงินเดือนและสวัสดิการอื่นๆก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยนะ ความมั่นคงก็มีมากขึ้นด้วย” นั่นคือคำพูดของผู้จัดการสาขา ที่ฝากให้เธอมาคิดเป็นการบ้านวันนี้

                    ปัณจรีก้มมองลูกสาวที่หลับใหลไปแล้ว จริงอยู่....ตอนนี้เธออาจจะยังไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายในเรื่องต่างๆของเจ้าตัวเล็กนี่มากนัก แต่ในอนาคตข้างหน้าล่ะ ข้าวต้องเรียนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เธออยากจะให้ปัณนรีเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางที....เธออาจจะต้องยอมกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯอีกครั้ง เพื่ออนาคตของลูก....

                   

                    “เราจะไปอยู่ที่ไหนกันหรือคะ แม่ขา” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยถาม ขณะช่วยคนเป็นแม่หยิบกล่องกระดาษมาให้ปัณจรีบรรจุข้าวของ

                    “เราจะไปอยู่บ้านคุณตาคุณยายที่กรุงเทพฯกันไงจ๊ะ บ้านหลังเล็กๆที่แม่เคยอยู่กับคุณตาคุณยายตอนเด็กๆมีต้นไม้เยอะๆอย่างที่ข้าวชอบไงลูก”

                    หญิงสาวอธิบายให้ลูกสาวฟังยิ้มๆ ปัณนรีชอบต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ แต่สถานที่ๆเธอกับลูกอยู่ไม่อำนวยในการปลูกต้นไม้ คราวนี้ก็คงถูกใจลูกสาวอยู่บ้าง แม้จะต้องจากเพื่อนๆและสิ่งแวดล้อมที่อยู่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย

                    “แล้วเราจะอยู่กับคุณตาคุณยายด้วยหรือเปล่าคะ คุณแม่” ปัณนรีถามพร้อมกับกอดคอมารดาไว้

                    “ไม่หรอกจ๊ะ คุณตาคุณยายท่านไปอยู่บนสวรรค์แล้ว” ปัณจรีบอกลูกเสียงอ่อนโยน

                    “งั้นเราก็อยู่กันแค่สองคนเหมือนเดิมอีกแล้ว ใช่ไหมคะ” น้ำเสียงเหงาๆนั้นบอกกถึงอารมณ์ลึกๆของเด็กน้อยได้ดี

                    “ไม่หรอก แม่จะจ้างพี่เลี้ยงไว้ดูแลข้าวตอนที่แม่ไปทำงาน ข้าวจะได้ไม่เหงาไงลูก เดี๋ยวไปโรงเรียนใหม่ก็มีเพื่อนเยอะแยะ วันหยุดแม่ก็จะพาข้าวไปเที่ยวทะเลเหมือนที่ข้าวอยากไปไงลูก..” ปัณจรีพยายามชักจูงลูกให้คล้อยตาม

                    “แล้วเราจะกลับมาอยู่ที่นี่กันอีกไหมคะ ข้าวจะได้ไปบอกเพื่อนๆที่โรงเรียนให้รู้ว่าข้าวจะกลับมาวันไหน” เด็กน้อยถามอย่างไร้เดียงสา

                    “เราคงไม่กลับมาแล้วจ้ะ แต่เราจะมาเยี่ยมลุงเตวิชกับป้าม่านฟ้าบ่อยๆ ถ้าแม่มีเวลาว่าง”

                    หญิงสาวชูนิ้วให้ลูกน้อยเกี่ยวก้อยเป็นสัญญาอย่างที่ชอบทำด้วยกันบ่อยๆ นิ้วเล็กๆคล้องกับนิ้วเรียวของมารดาเขย่าพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มอยู่บนแก้มใสๆทั้งสองข้าง

                    “แม่ว่าตอนนี้ข้าวไปอาบน้ำก่อนดีกว่าลูก เหลืออีกนิดหน่อยเอง แม่เก็บแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”

                    ปัณจรีไล่ลูกสาวที่เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะไปอาบน้ำ เธอสอนให้ปัณนรีดูแลตัวเองตั้งแต่เด็กหญิงเริ่มไปโรงเรียน....เลี้ยงลูกให้อยู่บนพื้นฐานของความพอดี ซึ่งหนูน้อยก็รู้อยู่รู้นอนเป็นอย่างดี แม้จะดื้อรั้นไปบ้างในบางครั้งตามประสาเด็ก แต่เธอก็จะคุยกับลูกด้วยเหตุด้วยผลทุกครั้ง การเลี้ยงลูกอย่างตามใจไม่ใช่แนวทางของเธอตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

     

     

                    “นี่บ้านใหม่เราหรือคะ คุณแม่” หนูน้อยถามเสียงแจ๋วๆ เมื่อลงจากรถที่นั่งหลับนั่งตื่นมายาวนานหลายชั่วโมง

                    “ใช่จ้ะ นี่แหละบ้านของข้าวกับแม่ ชอบไหมลูก ลงไปดูรอบๆบ้านซิจ๊ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับจูงลูกเดินดูรอบๆบ้าน ที่เธอโทรศัพท์มาจ้างคนรู้จักให้หาคนมาทั้งความสะอาดและดูแลต้นไม้รอบๆบ้านให้

                    “ต้นไม้เต็มเลยค่ะคุณแม่ มีต้นมะม่วงที่ข้าวชอบกินด้วย แล้วข้าวจะปลูกดอกไม้บ้าง ได้ไหมคะ” เสียงเล็กๆถามขึ้นมองรอบๆอย่างสนใจ

                    “ได้สิจ๊ะ เดี๋ยวรอให้แม่จัดการเรื่องอะไรให้มันเรียบร้อยก่อน แล้วเราค่อยไปหาซื้อดอกไม้มาปลูกกัน...ดีไหม” หญิงสาวก้มลงบอกลูกสาวก่อนจะชวนกันขนของเข้าบ้าน

                    “ข้าวนอนคนเดียวได้แน่นะลูก เพิ่งจะย้ายมา ไปนอนกับแม่ก่อนก็ได้” ปัณจรีถามลูกสาว...เธอตกลงกับลูกไว้แล้วว่าจะหัดให้ปัณนรีนอนคนเดียว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ตัวเธอเองกลับเป็นฝ่ายลังเล

                    “ข้าวนอนได้ค่ะ ข้าวจะหัดนอนคนเดียว จะช่วยคุณแม่ทำงานบ้านด้วย” หนูน้อยบอกความตั้งใจ

                    “ตามใจ แต่ถ้ามีอะไร ข้าวตะโกนเรียกแม่ดังๆนะลูก แม่อยู่ห้องข้างๆข้าวนี่แหละ ไหน มาให้แม่กู๊ดไนท์ก่อนสิลูก” หญิงสาวก้มลงไปหอมแก้มลูกสาวทั้งสองข้าง ห่มผ้าให้และกลับไปยังห้องนอนตัวเองบ้าง

                   

                    “เอ้าเด็กๆ วันนี้คุณครูมีเพื่อนใหม่จะมาแนะนำให้รู้จักค่ะ ไหนน้องเพลินแนะนำตัวกับเพื่อนๆสิคะ” เสียงคุณครูประจำชั้นอนุบาลที่เดินเข้ามาพร้อมเด็กหญิงตัวเล็กน่ารักที่ถักผมเปียสองข้างมายืนอยู่หน้าชั้น

                    “สวัสดีค่ะ เราชื่ออรนลิน พิสิทธิ์กุล ชื่อเล่นว่าน้องเพลิน” เด็กหญิงตัวน้อยแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน จนได้รับการต้อนรับจากเพื่อนด้วยเสียงปรบมือดังสนั่น

                    “เอาล่ะ น้องเพลิน เดี๋ยวหนูไปนั่งตรงนั้นนะจ๊ะ ข้างๆน้องข้าว” คุณครูชี้ให้อรนลินไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ ข้างเด็กหญิงตาโตหน้าใสที่มัดผมหางม้าไว้กลางศีรษะ เด็กทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร ก่อนที่คุณครูจะเริ่มให้เด็กๆในห้องทำกิจกรรมที่เหมาะสำหรับเด็กในวัยนี้

                   

                    “ข้าว น้องเพลินอยากกินขนมนั่นน่ะ” อรนลินชี้ไปยังรถเข็นที่จอดอยู่นอกรั้วโรงเรียน

                    “จะออกไปซื้อได้ยังไงล่ะน้องเพลิน คุณครูไม่ให้เราออกนอกประตู” ปัณนรีบอกเพื่อนวัยเดียวกันอย่างจนหนทาง หนูน้อยอรนลินทำหน้าเสียดาย จนคนเป็นเพื่อนลังเล

                    “ถ้าน้องเพลินอยากกินจริงๆ งั้น ตามข้าวมาทางนี้” ปัณนรีจูงมือเพื่อนเดินลัดเลาะไปตามรั้วกำแพงโรงเรียน จนถึงช่องเล็กๆที่สุนัขขนาดใหญ่พอจะรอดผ่านไปได้ ปัณนรีเป็นฝ่ายลอดตัวนำไปก่อน เพื่อนตัวน้อยก็มุดตามไปติดๆ ไม่ช้าเด็กสองคนก็ได้ออกไปยังจุดหมาย....

                    เวลาไม่นานมิตรภาพเล็กๆที่เด็กทั้งสองมีให้กันก็ก่อตัวเบ่งบาน ในทุกๆวันเด็กทั้งสองจะตัวติดกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ และทุกๆวันอรนลินจะรบเร้าให้ปัณนรีพาลอดรั้วออกไปซื้อขนมนอกโรงเรียนเป็นประจำ หลายครั้งที่เกือบจะถูกครูเวรจับได้ แต่ปัณนรีก็ใช้ความรวดเร็วปราดเปรียวพาอรนลินหนีสายตาคุณครูไปได้ทุกครั้ง

                    “ข้าว...ยังไม่กลับหรือ” อรนลินถามขึ้นเมื่อเลยเวลาที่พี่เลี้ยงของเพื่อนจะมารับแล้วยังเห็นปัณนรีนั่งชิงช้าอยู่ในสนาม

                    “วันนี้พี่รุ้งไม่สบาย คุณแม่ข้าวเลยจะมารับ แต่คุณแม่บอกว่าจะมาช้าหน่อย แล้วน้องเพลินล่ะ ทำไมยังไม่กลับ ” ปัณนรีถามบ้าง ทุกวันปัณนรีจะกลับก่อนอรนลินทุกวันจึงไม่รู้ว่าเพื่อนกลับบ้านกับใคร

                    “น้องเพลินรอคุณพ่อมารับ เดี๋ยวก็มาแล้ว” หนูน้อยบอกพลางนั่งไกวชิงช้ากับเพื่อน

                    “น้องเพลิน คุณพ่อมารับแล้วจ้ะ” เสียงคุณครูที่อยู่เวรร้องเรียก อรนลินรีบลงจากชิงช้าวิ่งไปหาร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินตามหลังคุณครูเข้ามา

                    “คุณพ่อ คุณพ่อขา” อรนลินวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแรงของผู้ชายที่ตัวเองเรียกว่าพ่อ ปัณนรีมองผู้ชายคนนั้นหอมแก้มลูกสาวตัวน้อยด้วยความอิจฉาคนที่มีพ่อให้กอด

                    “น้องเพลินมีเพื่อนจะแนะนำให้คุณพ่อรู้จักด้วยค่ะ” เด็กน้อยบอกเสียงแจ๋วๆ ดึงมือคนเป็นพ่อให้เดินตามมายังเพื่อนที่ยืนมองตาปริบๆ อยู่ข้างชิงช้า

                    “นี่เพื่อนของน้องเพลินค่ะ ชื่อข้าว ที่น้องเพลินเคยเล่าให้คุณพ่อฟังไงคะ” อรนลินส่งเสียงเจื้อยแจ้วบอกบิดา

                    ชายหนุ่มมองร่างเล็กๆที่เกล้าผมหางม้าไว้ข้างหลังค่อนข้างทะมัดทะแมงอย่างสนใจกับใบหน้าจิ้มลิ้มนั้น ดวงตาคมกล้าที่มองสบตาเขาคล้ายใครบางคนอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มคุกเข่าลงจนใบหน้าเสมอกับร่างเล็กๆนั้น เปิดรอยยิ้มให้อย่างใจดี

                    “สวัสดีจ้ะ ลุงชื่ออาณพ เป็นคุณพ่อของน้องเพลิน ยินดีที่ได้รู้จักสาวน้อยแสนสวยเพื่อนรักของน้องเพลิน” อาณพทำความรู้จักกับเพื่อนสนิทลูกสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

                    “สวัสดีค่ะ” ปัณนรียกมือไหว้ชายหนุ่มก่อนจะอวดรอยยิ้มสวยส่งให้ผู้ชายตรงหน้า รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคุณพ่อของอรนลินยกมือลูบศีรษะของเธอเบาๆ

                    “แล้วนี่ยังไม่กลับหรือลูก ให้ลุงไปส่งที่บ้านให้ไหม” คำว่า ลูกที่ชายหนุ่มใช้แทนตัวเธอ ทำให้ปัณนรียิ่งรู้สึกเต็มตื้นอย่างประหลาด บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร

                    “เดี๋ยวคุณแม่ของข้าวมารับค่ะ” หนูน้อยบอกเขาเบาๆอย่างกระดากอายอยู่บ้างกับความไม่คุ้นเคย

                    “งั้น ลุงพาน้องเพลินกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ ไว้เราค่อยเจอกันใหม่วันหลัง..น้องเพลิน เรากลับกันเถอะลูก เดี๋ยวคุณแม่จะรอนาน วันนี้เห็นบอกว่าทำกับข้าวที่น้องเพลินชอบทั้งนั้นเลยนะ”

                    คนเป็นพ่อหันไปคุยกับลูกสาว พากันเดินไปยังรถคันหรูที่จอดอยู่ข้างโรงเรียน ปัณนรียกมือขึ้นโบกให้เพื่อน เมื่ออรนลินหันมาโบกมือให้ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไปจนลับสายตา

                    “ข้าว แม่มาแล้วจ้ะ รอนานไหมลูก” เสียงอ่อนโยนที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำปัณนรีรีบวิ่งไปหาคนเป็นแม่อย่างดีใจ

                    “ว่าไงคนเก่ง ขอโทษนะลูก แม่ติดประชุมกะทันหันเลยมารับหนูช้ากว่าที่บอกไว้” ปัณจรีบอกกับลูกสาวพลางลูบศีรษะเล็กๆนั้นด้วยกิริยานุ่มนวล

                    “ข้าวรอไม่นานหรอกค่ะคุณแม่ น้องเพลินเพิ่งจะไปเมื่อกี้นี้เอง คุณพ่อเค้าเพิ่งมารับเหมือนกัน ข้าวเลยมีเพื่อนเล่นอยู่ด้วยตั้งนาน” หนูน้อยบอกเสียงแจ่มใส

                    “งั้นเรากลับบ้านกันบ้างดีกว่า วันนี้ข้าวอยากกินอะไรล่ะลูก เดี๋ยวคุณแม่จะทำให้” หญิงสาวพูดพลางเดินไปยังรถที่จอดไว้ ขับกลับไปยังวิมานเล็กๆของทั้งสองชีวิต

     

    เสียงรถที่กระตุกสองสามครั้งก่อนเครื่องจะดับลงทำให้ปัณนรีมองหน้าแม่ที่สีหน้ายุ่งอย่างสงสัย ท่าทางเจ้ารถคันเก่งของเธอมันจะรวนอีกแล้ว หมู่นี้รวนเก่งเหลือเกิน หญิงสาวคิดพลางส่ายหน้า

    “รถเป็นอะไรไปหรือคะคุณแม่” เจ้าของร่างเล็กๆถามขึ้นเมื่ออยู่ๆรถก็ดับไปเฉยๆ

    “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าวรอแม่อยู่ในรถนี่ก่อนนะ แม่จะลงไปดูมันก่อน” หญิงสาวบอกกับลูกสาว เปิดประตูลงจากรถไปเปิดโน่นจับนี่พักใหญ่ก็ไม่มีท่าทางว่าเจ้าสี่ล้อคันเก่งจะวิ่งได้

    “คุณแม่รถใช้ได้หรือยังคะ” หนูน้อยตะโกนลงมาเมื่อเห็นปัณจรีลงไปเปิดฝากระโปรงรถอยู่นานพอสมควร

    “คงต้องเรียกช่างมาดูแล้วล่ะลูก เดี๋ยวแม่จะโทรตามช่างก่อน” หญิงสาวพูดกับลูกด้วยสีหน้าเซ็งๆ เป็นอันว่าวันนี้ทั้งเธอและปัณนรีต่างก็ต้องไปทำงาน ไปโรงเรียนสายด้วยกันทั้งคู่

    “ข้าว ข้าว..”

    เสียงเรียกคุ้นหูพร้อมกับรถคันหรูที่ชะลอจอดเยื้องรถของปัณจรีไปไม่เท่าไหร่ทำให้ ปัณนรีมองตามอย่างสงสัย ก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียน

    “น้องเพลิน” ปัณนรีตะโกนเรียกเพื่อน จนคนเป็นแม่ที่กำลังโทรศัพท์หาช่างให้มาดูรถต้องหันมามอง

    “คุยกับใครจ๊ะข้าว” หญิงสาวก้มลงถามลูกสาวที่โบกไม้โบกมือให้ใครคนหนึ่ง พลางหันหลังไปคุยโทรศัพท์ต่อ เมื่อช่างที่เธอโทรหารับสาย

    “เพื่อนที่โรงเรียนของข้าวเองค่ะคุณแม่” หนูน้อยหันมาตอบคำถาม ไม่ได้สนใจว่ามารดาจะฟังอยู่หรือไม่ สายตามองไปยังรถที่จอดห่างออกไป ปัณนรีเปิดรอยยิ้มยิ่งขึ้นเมื่อเห็นใครอีกคนที่ลงจากรถและกำลังเดินเข้ามาหา

    “ลุงณพ สวัสดีค่ะ” ปัณนรียกมือไหว้คนที่เดินเข้ามา ชายหนุ่มมองไปยังผู้หญิงอีกคนที่ยืนหันหลังให้และกำลังคุยโทรศัพท์อยู่อย่างคุ้นตา

    “สวัสดีค่ะ ข้าวอยู่ในซอยนี้เหมือนกันหรือ” อาณพก้มลงถามคนที่นั่งหน้าแฉล้มอยู่ในรถ

    “ค่ะ บ้านข้าวอยู่ตรงโน้น” หนูน้อยชี้มือเข้าไปในซอย บอกไม่ได้ว่าอยู่ส่วนไหนของซอยกันแน่

    “บ้านลุงก็อยู่ตรงโน้นเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดเรียนประโยคของเด็กน้อยยิ้มๆ

    “แล้วนี่เป็นอะไร รถเสียหรือจ๊ะ”

    “ค่ะ สงสัยว่าวันนี้ข้าวต้องไปโรงเรียนสายแน่ๆเลย” หนูน้อยบ่นพลางทำหน้าบู้บี้

    “ข้าวคุยกับใครอยู่ลูก”

    ปัณจรีที่เสร็จธุระจากการคุยโทรศัพท์เดินมาถามลูกสาว พร้อมกับมองคนที่ยืนหันหลังก้มลงคุยกับปัณนรีอย่างสังหรณ์ใจ หญิงสาวอุทานขึ้นในใจ เมื่อมองเห็นคนที่หันหน้ามามองเธอเต็มตา

    “ปัณจรี ปัณใช่ไหม” อาณพมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจแกมตื่นเต้น กับท่าทางลักษณะที่ดูแปลกตาของเพื่อนสนิท

    “เอ่อ ณพ หวัดดี สบายดีไหม” หญิงสาวที่ตั้งตัวไม่ทันกับการพบเจอครั้งนี้ถามเสียงตะกุกตะกัก

    “สบายดี ย้ายกลับมาอยู่บ้านเมื่อไหร่ ทำไมไม่ส่งข่าวบอกกันบ้าง” ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนอย่างตัดพ้อ หญิงสาวเพียงยิ้มน้อยๆคิดหาคำตอบที่ดีที่สุด

    “ก็ซักสองสามเดือนแล้ว แล้วณพล่ะได้ข่าวว่าไปดูแลสาขาที่ระยองไม่ใช่หรือ” หญิงสาวถามขึ้นบ้าง อย่างที่รู้ว่าพอแต่งงานแล้วอาณพก็ได้ย้ายไปเป็นผู้จัดการสาขาที่จังหวัดระยอง

    “เราย้ายกลับมาที่นี่แล้ว คงจะหลังปัณกลับมาซักเดือนได้” อาณพพูดก่อนจะนึกขึ้นได้ มองไปยังใบหน้าเล็กๆที่มองเขากับปัณจรีอย่างสนใจ

    “อย่าบอกนะว่า เจ้าตัวเล็กนี่....” อาณพมองหน้าเพื่อนยิ้มๆตามความเข้าใจของตัวเอง

    “อืมม์ นี่ปัณนรี หรือยัยข้าวลูกสาวเราเอง” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้มเรียบสนิท มองหน้าเพื่อนด้วยสายตาว่างเปล่าทั้งๆที่ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆ

    “แต่งงานเมื่อไหร่ ไม่เห็นส่งข่าวเลย กับคนที่ควงไปงานแต่งงานฉันหรือเปล่า” อาณพยังคงซักอย่างอยากรู้

    “เอ่อ เรื่องมันยาว ไว้ว่างๆจะเล่าให้ฟังแล้วกัน” หญิงสาวหาทางออกแบบขอไปที

    “คุณพ่อคะ”

    เสียงเล็กๆที่ดังมาจากรถที่อยู่เยื้องลงไป ทำให้ชายหนุ่มนึกได้ว่าลืมนางฟ้าตัวน้อยของเขาไว้ในรถ เขาขอตัวเพื่อนแล้วเดินไปยังรถของตัวเองพาหนูน้อยรุ่นราวคราวเดียวอ่อนแก่กว่าปัณนรีไม่กี่เดือนเดินเข้ามาหาปัณจรี

    “น้องเพลิน สวัสดีคุณอาปัณจรีซิลูก คุณอาเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเอง” ชายหนุ่มบอกหนูน้อยหน้ากลมใสที่ถักเปียสองข้างเรียบร้อย

    ปัณจรีมองเด็กน้อยที่น่าจะอายุอ่อนกว่าปัณนรีไม่ถึงหกเดือน หญิงสาวกลืนก้อนแข็งๆที่ตีขึ้นมากะทันหันลงคออย่างยากลำบาก เมื่อมองเห็นพยานรักของเพื่อนกับผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น

    “สวัสดีค่ะ ชื่อน้องเพลินหรือคะ” หญิงสาวทักทายเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม

     “น้องเพลินเป็นเพื่อนของข้าวเองค่ะ คุณแม่”

    เสียงใสๆ บอกกับมารดา ปัณจรีหันไปมองหน้าลูกสาวพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน ทั้งที่ในใจอยากจะเข้าไปกอดลูกน้อยและร้องไห้ให้กับโชคชะตาที่มันเล่นตลกกับชีวิตของเธอและปัณนรีเหลือเกิน

    “นี่รถเสียหรือปัณ?” อาณพเอ่ยถามขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่ทำให้เขาได้พบเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ

    “ใช่ แต่โทรเรียกช่างแล้วล่ะ อีกเดี๋ยวก็คงมา” หญิงสาวบอกเพื่อนเบาๆ สีหน้าไม่สนิทใจนัก

    “งั้นเดี๋ยว ฉันพาน้องข้าวไปส่งโรงเรียนให้เอง ยังไงก็ต้องไปส่งน้องเพลินอยู่แล้ว” ชายหนุ่มขันอาสา นึกดีใจที่ลูกสาวของเขากับลูกสาวของปัณจรีเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่

    “เอ่อ ไม่ต้องดีกว่า เดี๋ยวช่างมาดูแล้วก็คงเสียเวลาไม่เท่าไหร่ รบกวนณพเปล่าๆ” ปัณจรีปฏิเสธไม่อยากให้ลูกสาวไปคลุกคลีกับครอบครัวของชายหนุ่มมากนัก

    “รบกงรบกวนอะไรกัน ทำเป็นห่างเหินกันไปได้ ลูกปัณก็เหมือนลูกณพนั่นแหละ จำไม่ได้หรือเราเป็นเพื่อนตายกันนะโว้ย” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่คิดอะไร แต่คนที่รู้อยู่แก่ใจก็วูบไหวจนหน้าเปลี่ยนสี

    “ตกลงนะ ข้าวเดี๋ยวย้ายไปนั่งรถลุงนะ วันนี้ลุงไปส่งที่โรงเรียนเอง เอ่อ ตอนเย็นฉันก็ต้องไปรับน้องเพลินอยู่แล้วให้ข้าวกลับกับฉันเลยแล้วกัน แล้วจะพาไปส่งบ้านให้ ไม่ได้ไปบ้านแกหลายปีแล้ว เย็นนี้เจอกัน ฉันไปก่อนเดี๋ยวจะสายกว่านี้” อาณพไม่รอให้เพื่อนปฏิเสธเป็นรอบสอง เขาจัดการเปิดประตูรถให้ลูกสาวของเธอที่ยิ้มแป้นดีใจจะได้ไปโรงเรียนกับเพื่อนอย่างยินดี

    ปัณนรียกมือไหว้มารดาก่อนจะเข้าไปหอมแก้มเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ ก่อนจะเดินตามแรงจูงของอาณพที่จูงน้องเพลินข้างหนึ่ง ปัณนรีข้างหนึ่ง ท่ามกลางสายตาสับสนของคนที่มีความลับคับอก

     

                    อาณพมองคนที่วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะให้เขาอย่างแปลกใจไม่หาย ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่ดูสงบ นุ่มลึก และดูเรียบเรื่อยคนนี้จะเป็นคนๆเดียวกับคนที่สนุกสนานเฮไหนเฮนั่น กระโดกกระเดกติดจะซุ่มซ่ามซะด้วยซ้ำ....เพราะเจ้าตัวน้อยที่กำลังวิ่งเล่นอยู่กับลูกสาวของเขาที่หน้าบ้านนั่นหรือเปล่านะ ที่ทำให้เพื่อนรักของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ขนาดนี้

    “ฉันมีอะไรแปลกไปหรือไง เห็นมองอยู่นานแล้ว” คนที่ทำเป็นไม่เห็นสายตาของเพื่อนในตอนแรกถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้กับสายตาปริศนานั้น

    “แกดูแปลกไปนะปัณ ดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น” อาณพเอ่ยเมื่อหาคำพูดที่เหมาะสมได้

    “งั้นหรือ ก็แน่ล่ะฉันสามสิบแล้วนะ จะให้เป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ยังไง อะไรมันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา” หญิงสาวพูดยิ้มๆ

    “ก็คงอย่างงั้น....เพราะเจ้าตัวเล็กที่กำลังเล่นอยู่นั่นด้วยใช่ไหม”

    มือที่กำลังจะหยิบแก้วกาแฟชะงักนิดหนึ่งจนอาณพไม่ทันเห็นความผิดปกติ “ก็ด้วย ข้าวเป็นกำลังใจสำคัญอย่างดีของฉันเลยเชียวล่ะ”

    “เลี้ยงลูกคนเดียว คงเหนื่อยน่าดูเลยนะ” อาณพพูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจ

    “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ข้าวเลี้ยงง่าย เกเรบ้างตามประสาเด็ก แค่นั้น” หญิงสาวพูดเสียงเรียบหลุบสายตาลงต่ำมองกาแฟในแก้ว

    “แล้ว ผู้ชายคนนั้น เอ่อ..ฉันหมายถึงพ่อของยัยข้าว เขาไม่ติดต่อมาบ้างเลยหรือ” อาณพถามด้วยความสงสัย ในเมื่อลูกสาวออกจะน่ารักขนาดนี้ คนเป็นพ่อไม่มีความผูกพันบ้างเลยหรือ

    “ไม่ เขาไม่รู้ว่าฉันมีลูก” ปัณจรีพูดหน้าเฉย มองใบหน้าของเพื่อนที่มองเธอเขม็งก่อนจะอธิบายมากกว่านั้น

    “เอ่อ คือฉันเลิกกับเขาก่อนจะรู้ตัวว่าท้องนะ พอเลิกกัน ฉันก็ไม่เคยเจอกับเขาอีกเลย..แต่ก็ดีนะ จะได้ไม่มีใครมาแย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดู” หญิงสาวยักไหล่เหมือนมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรกับการที่ลูกสาวของเธอจะไม่มีคนเป็นพ่อมาคอยอุ้มชู

    “ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกแล้วกัน...วันนี้คงต้องกลับก่อน เดี๋ยวคุณอรเขาจะรอนาน บอกว่าจะแวะมาเยี่ยมแกแป๊บเดียว วันหลังพาข้าวไปทานข้าวที่บ้านบ้างนะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะขอตัวเดินออกไปเรียกลูกสาวให้มาลาเธอเพื่อกลับบ้านไปหาภรรยาที่รออยู่

                    “คุณแม่ เป็นอะไรค่ะกอดข้าวแน้นแน่น” หนูน้อยถามขึ้น เมื่อจู่ๆก็โดนปัณจรีดึงเข้าไปกอดหลังจากที่เพื่อนและคุณลุงณพขับรถลับตาไป

    “ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่แค่อยากจะกอดข้าว วันนี้ยังไม่ได้กอดกันเลยนี่นา” หญิงสาวพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น

    “ไปอาบน้ำดีกว่าลูก จะได้มาทำการบ้านกัน” หญิงสาวคลายอ้อมกอดเดินจูงมือกันเข้าบ้านไป

     

                    “ข้าว..ข้าวอยากมีพ่อเหมือนเพื่อนๆเขาไหมลูก” ปัณจรีลูบศีรษะลูกสาวอยู่บนเตียงเล็กๆถามขึ้น ปัณนรีมองหน้าแม่อย่างสงสัยว่าทำไมวันนี้คุณแม่ถึงถามเธอด้วยเรื่องที่เธอไม่คิดจะทำให้คนเป็นแม่ไม่สบายใจอีก

    “ข้าวไม่อยากมีหรอกค่ะ ข้าวมีแม่คนเดียวก็พอแล้ว” หนูน้อยบอกและกอดร่างของมารดาแน่น

    “แน่ใจหรือลูก” ปัณจรีเห็นสายตาลังเลนั้นเมื่อเธอย้ำถามอีกครั้ง  แต่ไม่มีคำตอบจากปากเล็กๆนั้น หญิงสาวน้ำตาคลอก้มลงหอมแก้มนุ่มๆนั้นก่อนจะกอดกระชับร่างเล็กๆเข้าไปในอก

    “ไม่เป็นไรนะลูก ไม่มีพ่อก็ไม่เป็นไร เรามีกันสองคนแม่ลูกก็พอแล้ว แม่จะไม่ทำให้ข้าวรู้สึกว่าขาดอะไรไปซักอย่างเลย” หญิงสาวบอกกับคนในอกเสียงเครือ

     แม้จะรู้สึกถึงน้ำเสียงที่ไม่เป็นปกติของมารดา และความหมายที่เด็กอย่างเธอยังไม่เข้าใจนัก แต่ปัณนรีก็รู้ว่าผู้เป็นแม่กำลังร้องไห้เงียบๆอีกแล้ว

     

     

    “ข้าว อ่ะของฝาก” เสียงอ่อนหวานที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังขะมักเขม้นอ่านหนังสืออยู่ เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยื่นถุงที่บอกว่าของฝากให้

    “เพลิน ข้าวบอกแล้วว่าไม่ต้องซื้ออะไรมาฝาก ยังจะซื้อมาอยู่ได้ แล้วนี่กลับมาเมื่อไหร่ล่ะ” หญิงสาวที่ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่จนใกล้จะจบเป็นบัณฑิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าพูดขึ้นกับเพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่อนุบาล

    “รับไปเถอะข้าว ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ข้าวช่วยเพลินทำรายงานเมื่อเทอมที่แล้วก็ได้นะ” อรนลินกล่าวง่ายๆส่งยิ้มหวาน เมื่อเพื่อนส่ายหัวระอากับนิสัยของเธอ ก่อนจะรับถุงไปวางไว้ข้างๆอย่างขอไปที

    “ข้าว ทำไมไม่เปิดดูล่ะ เพลินอุตส่าห์รบเร้าให้พี่ภูมิช่วยเลือกให้เลยนะ ดูหน่อยสิว่าถูกใจไหม”

    “ไม่ล่ะ ข้าวดูที่หลังก็ได้ ของที่เพลินซื้อมาฝากข้าวชอบทุกอย่างแหละ ว่าแต่ไปอเมริกาเที่ยวนี้เป็นไงบ้าง สนุกไหม” ปัณนรีถามเหมือนชวนคุยไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจริงจังนัก

    อรนลินจะไปอยู่อเมริกาในช่วงปิดเทอมทุกปี เพราะคุณตาคุณยายของเธออยู่ที่นั่น และทุกครั้งก็จะมีเรื่องมาเล่าให้ปัณนรีฟังตลอด โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับปั๊บปี้เลิฟยอดชายนายภควัต หรืออีกนัยหนึ่ง พี่ภูมิ เพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวของคุณอิงอรภรรยาของอาณพ อรนลินพร่ำเพ้อถึงเขาเหลือเกิน และดูเหมือนว่าฝ่ายชายก็คงจะมีใจให้เพื่อนเธออยู่ด้วยเหมือนกัน สังเกตจากของขวัญมากมายที่ฝ่ายชายเพียรส่งมาให้จากอเมริกา ไม่นับโทรศัพท์ที่อรนลินเล่าว่าพี่ภูมิของเธอโทรข้ามทวีปมาหาอาทิตย์ละหลายครั้ง

    “เพลินมีเรื่องจะเล่าให้ข้าวฟังเยอะแยะ ที่สำคัญนะ พี่ภูมิบอกว่าจะบินมาหาตอนวันเกิดของเพลินด้วยล่ะ” อรนลินเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    “เหรอ ปีนี้เราก็จะเรียนจบแล้วด้วย เพลินคงไม่บอกข้าวนะ ว่าจะแต่งงานเลย” หญิงสาวกระเซ้าเพื่อนสาวเบาๆ

    “บ้า ข้าวเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้...อืมม์ แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ พี่ภูมิบอกว่าจะคุยกับคุณพ่อคุณแม่เร็วๆนี้แหละ และยังบอกว่าจะย้ายมาคุมสาขาที่นี่ด้วย เพราะเพลินไม่อยากย้ายไปอยู่อเมริกาถ้าแต่งงานกันแล้ว... นี่ถ้าแต่งจริงๆข้าวต้องไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เพลินอย่างที่เคยสัญญาไว้ด้วยนะ” อรนลินทวงขึ้นเพราะปัณนรีเคยให้สัญญาไว้จริงๆ

    “ได้เลย ว่าแต่ปีนี้เราต้องฝึกงาน เพลินเลือกไว้หรือยังว่าจะไปฝึกที่ไหน หรือจะฝึกที่บริษัทลุงณพ” ปัณนรีหันเข้ามาหาเรื่องเรียนบ้าง

    “ไม่เอาหรอก บริษัทคุณพ่อ เพลินว่าจะไปฝึกที่บริษัทพี่ภูมิ ข้าวไปด้วยกันนะ นะข้าวนะ” อรนลินพูดเสียงอ้อนๆเหมือนที่เคยได้ผลเสมอมา

    “จะไปฝึกทำไมที่นั่น ก็เพลินบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าเขายังไม่ได้ย้ายมาประจำสาขาที่นี่”

    ปัณนรีทักท้วงอย่างไม่เห็นด้วยนัก และเธอก็มองๆบริษัทในใจเอาไว้แล้วสองสามที่เพียงแต่ยังไม่ได้ทำเรื่องของไปฝึกงานเท่านั้นเอง ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะผลการเรียนที่ผ่านมาของเธออยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีเยี่ยมเลยด้วยซ้ำ

    “ข้าวอ่ะ ไปเป็นเพื่อนเพลินหน่อยสิ พลีส” อรนลินทำสายตาบ๊องแบ๊วมองเพื่อนอย่างน่าสงสาร ปัณนรีใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเพื่อนสาวอย่างรู้นิสัยของกันและกันดี

    “ไม่ต้องมาทำสายตาอย่างนี้เลย ข้าวจะไม่หลงกลไอ้สายตาแบบนี้อีกแล้ว" ปัณนรีเอ่ยเสียงเมินๆ

    “โธ่ ข้าวอ่ะ นะ นะข้าวจ๋า ไปฝึกงานเป็นเพื่อนเพลินหน่อยนะ บริษัทพี่ภูมิใหญ่โตแถมมีสาขาไปทั่วโลก ข้าวบอกว่าอยากไปฝึกงานบริษัทใหญ่ๆไม่ใช่หรือ จะได้แข็งงาน นี่ไงบริษัทนี้รับรองข้าวได้ประสบการณ์เพียบแน่เลย...นะ” อรนลินกอดเอวเพื่อนรักอย่างออดอ้อน

    “ขอข้าวคิดดูก่อนนะเพลิน” คนที่เริ่มเห็นลางแพ้ของตัวเองบอกอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

    “ขอบใจนะข้าว เพลินรักข้าวที่สุดเลย” เจ้าตัวพูดอย่างดีใจทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่รับปากอะไรเลย

    “เพลินไปหาอาปัณดีกว่า อยู่ในบ้านใช่ไหม วันนี้วันหยุดนี่ เพลินเอาของฝากไปให้อาปัณก่อนนะ แล้วจะมาคุยด้วยใหม่”

    คนที่คิดว่าทุกอย่างได้ดั่งใจตัวเองแล้ว ผละจากปัณนรีเข้าไปในบ้านของหญิงสาวอย่างคุ้นเคย เพราะตั้งแต่เล็กจนโต อรนลินจะมาคลุกคลีอยู่กับเธอเป็นประจำ และก็หลายครั้งที่เธอก็ไปเที่ยวเล่นที่บ้านของอรนลินเช่นกัน จนเธอสนิทกับคุณป้าอิงอรแม่ของอรนลินเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันอรนลินก็สนิทกับคุณแม่ของเธอด้วยเหมือนกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×