ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Switch สลับขั้วมาลุ้นรัก

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7 : สิ่งที่อยู่ก้นบึ้งในหัวใจ (2.1) [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 55


     
    BA  B O!


    “บอกฉันมา...เธอเป็นใครกันแน่? เธอไม่ใช่คิม!!!” มิยองถามเสียงกร้าว ผมหัวใจแทบตกไปอยู่ตาตุ่มกำลังจะอ้าปากปฏิเสธ จู่ๆก็เหมือนโดนคลื่นยักษ์มาซัดถาโถมให้หนักเข้าไปอีก

              “เฮ้ย!จุน ฉันมาแล้ว” จู่ๆร่างของผมที่มียัยตัวปัญหาสิงสถิตอยู่ก็ปรากฏตัวพร้อมเสียงแจ้วก็ดังขึ้น ผมนี่แทบหัวใจหยุดเต้น มิยองคงรู้ความจริงหมดแล้วล่ะ ชัดเจนซะขนาดนั้น!!!!!

                “เธอ!!!

     

    ตอนที่ 7

             มิยองกำลังช็อก หล่อนมองหน้าผมในร่างคิมกับคิมในร่างของผมสลับกันอย่างอึ้ง ตะลึงสุดขีดก่อนจะเอ่ยถเสียงสั่น

                “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

                ผมมองหน้าคิมเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงกันต่อดี คิมทำหน้าปลงก่อนจะพยักหน้าให้ยอมบอกความจริง

               

                หลังจากที่ปล่อยให้มิยองทำใจอยู่สักพักใหญ่ มิยองก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง

                “เล่ามาซิ”

                “เอ่อ...คือว่า” ผมบอกตะกุกตะกัก คิมเห็นท่าแล้วไม่น่าไหวจึงออกโรงเล่าเอง

                “มิยอง...พวกเราสลับร่างกัน”

                “เมื่อไหร่?”

                “ตอนที่ไปแข่งวิ่งชนกันนั่นแหละ พอฟื้นขึ้นมาก็เป็นแบบนี้แหละ”

                “มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง?”

                “ไม่มี...มีแค่ฉันกับคิม” ผมตอบขึ้นมาบ้าง มิยองถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างจนผมกับคิมถึงกับสะดุ้ง

                “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริง นึกว่ามีแค่ในนิยายหลอกเด็ก” มิยองพูดบ้าง

                “ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอกเธอ...ฉันคิดว่าถ้าเรื่องนี้มีคนรู้น้อยจะดีกว่า ฉันไม่อยากให้มีปัญหาใหญ่โตน่ะ” คิมอธิบาย มิยองก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ

                “มิน่าล่ะ...ฉันสงสัยอยู่นานแล้วว่าทำไมพวกเธอสองคนทำตัวแปลกๆไม่เหมือนเดิม...นาย! นายควรจะอยู่ห่างๆฉันไว้สิ ในเมื่อนายเป็นผู้ชายน่ะ” มิยองหันมาโวยวายใส่ผม ผมยิ้มแหยๆอย่างไม่มีคำแก้ตัว


                “แล้วนี่พวกเธอจะเอายังไงกันต่อ? จะอยู่ในร่างของอีกคนแบบนี้น่ะหรอ?” มิยองหันมาถามคิม

                “ฉันก็อยากจะกลับเข้าร่างของฉันอ่ะนะแต่มันกลับไม่ได้”

                “แล้วตอนที่เข้าโรงพยาบาลหมอเค้าว่ายังไง? เธอได้ถามหมอหรือเปล่า?”

                “หมอหาว่าพวกฉันบ้า ในเมื่อเขาไม่ตรวจพบสิ่งที่ผิดปกติในร่างกาย...”

                “แต่ดูเหมือนว่าจะมีความผิดปกติทางจิต” ผมแทรกขึ้นมาเสริมอีกแรง

                “.......” มิยองเงียบไม่รู้จะช่วยยังไง ก่อนจะปิ๊งไอเดียคิดอะไรออก

                “ถ้าทางการแพทย์ไม่ได้ผลทำไมไม่ลองด้านไสยศาตร์ล่ะ?”

                “ไสยศาสตร์???” ผมกับคิมพูดขึ้นมาพร้อมกัน

                ใช่! ทำไมเราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยนะ ไม่แน่ศาสตร์นี้อาจจะอธิบายอะไรๆได้มากกว่าที่เราคิดก็ได้นะ...

     

                เมื่อพูดถึงเรื่องศาสตร์ลี้ลับแล้วจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...

                “เฮ้! ยอล” ผลตะโกนเรียกยอลเมื่อเห็นเขาเดินผ่านไป ยอลหยุดก่อนจะหันมาตามเสียงเรียก

                “อ้อ...มีอะไรหรอ?” เขาถามพลางเดินเข้ามาหา

                “ฉันได้ยินมาว่านายเชื่อเรื่องลี้ลับ...นายพอจะรู้พวกสำนักหมอผีอะไรทำนองนั้นบางมั้ย?” ผมเลียบๆเคียงถามๆ ทำเอายอลถึงกับเกาหัวก่อนจะทำหน้าหนักใจนิดนึง

                “คือว่า...ความจริงฉันก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกนะ...แต่เพราะคุณย่าของฉันเคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ...ว่าแต่เอจะถามไปทำไมหรอ?” ยอลถามกลับอย่างสงสัย

                “เอ่อคือ...มันก็ไม่มีอะไรมากมายหรอก แถวบ้านฉันมีข่าวลือเรื่องผีที่ออกมาอาละวาดน่ะ ก็เลยอยากหาวีช่วย เพราะฉันเองก็นอนไม่ค่อยหลับหลายวันแล้วก็เพราะเรื่องนี้แหละ” ผมแถไปเรื่อย โดยที่ยอลก็ทำหน้าเหมือนจะพอเข้าใจในบางส่วนก่อนจะรับปากว่าจะมาบอกให้หากว่ารู้ว่าสำนักหมอผีนั้นอยู่ที่ไหน

     

                เพราะมิยองรับปากว่าจะไม่นำเรื่องสลับร่างไปบอกใครทำให้พวกผมก็สบายใจอย่างน้อยเธอก็เป็นผู้เก็บความลับได้ยอดเยี่ยมจากคำเยินยอของคิม แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มิยองจะเป็นอย่างไรบ้างเมื่อข่าวเรื่องบริษัทของพ่อเธอกลายเป็นข่าวใหญ่โตขึ้นมาอีกครั้ง           

              ป้ายโฆษณาผ้าใบของกลุ่มเงินทุนSouth se-coin ถูกคนร้ายกรีดจนยับเยินแถมยังถูกสเปรย์สีแดงพ่นซ้ำที่ใบหน้าของประธานบริษัท มาร์ พัสยากร...ตามที่ตำรวจกำลังสืบสวนคาดว่าเป็นคนร้ายรายเดียวกันกับที่เกิดเหตุครั้งก่อนๆ ตำรวจชี้ประเด็นอาจเป็นการขัดแย้งทางธุรกิจหรือเป็นความแค้นส่วนตัว

               “ไม่รู้ว่ามิยองเป็นยังไงางนะ?” คิมเอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วงในขณะที่เราดูข่าวภาคค่ำกับครอบครัวของเธอ

     

                อ้อ! ลืมบอกไปตอนนี้ผมชวนคิมมากินข้าวที่บ้าน ซึ่งความจริงแล้วคิมอยากมาเองมากกว่า เห็นบ่นว่าคิดถึงแม่และก็อยากกินข้าวฝีมือของแม่ตัวเอง ผมก็เข้าใจดีเลยชวนมาด้วยกัน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของมารดาของยัยคิมและป้าของเธอ ที่ต่างลงความเห็นกันว่านี่อาจจะเป็นแฟนของยัยคิมก็เป็นได้

                “ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกครับ” คิมที่ฟังมานานโพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออด จนผู้ใหญ่สองคนสะดุ้งก่อนจะปรับสีหน้าเปลี่ยนเรื่องทันที

                “มิยองคงเครียดกับเรื่องนี้เหมือนกันนะ” ผมเห็นด้วยกับคำของคิม ว่าแล้วก็นึกอย่างจะโทรไปถามเหมือนกันแต่ติดที่ว่าตอนนี้ธอรู้แล้วว่าผมไม่ใช่คิมเพื่อนสนิทของเธอ แต่เป็นไอ้หน้าหม้อที่คิมพยายามขัดขวางจนเกิดเหตุสลับร่างขึ้น

     
                แต่เมื่อผมหันไปที่โทรทัศน์ที่แม่ของคิมกำลังเปลี่ยนช่องเนื่องจากเข้าข่าวช่วงกีฬาไปเป็นอีกช่องหนึ่งแทน ทำให้ผมสะดุดตากับภาพคนร้ายมือกรีดที่กำลังเป็นข่าวอยู่
                คนร้ายที่ใส่เสื้อแขนยาวสีดำ กางเกงเดฟสีเดียวกัน กับหมวกแก๊ปสีดำลายธงชาติสหรัฐฯ และชุมชนในย่านนั้น ช่างคุ้นตาดีเหลือเกิน เหมือนผมเคยไปแถวนั้น เหมือนเคยเห็นคนใส่หมวกแก๊ปลายนั้นอยู่...ใครกันนะ...เคยเห็นที่ไหนหว่า?

     

     

     

     

     


    พาร์ท มิยอง

                หลังจากรายงานข่าวถึงคนร้ายที่กรีดป้ายโฆษณาไป มาร์ พ่อของฉันก็อารมณ์เสียอยู่นาน ฉันไม่อยากเข้าไปหาพ่อในเวลานี้ ไม่รู้ว่าพ่อจะอารมณ์ไม่ดีขนาดไหนแต่ว่ามันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วที่ต้องเข้าไปหาทุกๆวัน

                “พ่อคะ”

                “นั่งสิ” น้ำเสียงของพ่อติดอารมณ์ขุ่นมัวอยู่หน่อยนึง แต่ก็ดีกว่าที่โต๊ะอาหารที่พ่อหน้าตึงอย่างหัวเสีย

                “อะไรคะ?” ฉันถามเมื่อพ่อยื่นเอกสารตรงหน้าให้กับฉัน ฉันหยิบมันขึ้นมาอ่าน

                เอกสารการับสมัครสอบตรงแพทย์

                ฉันนิ่งไปเล็กน้อย แพทย์ หรอ?! นี่ฉันต้องเรียนหมออย่างที่พ่อต้องการจริงๆใช่มั้ย?

                “อีกไม่นานลูกต้องสอบแล้ว ลูกต้องขยันให้มากกว่านี้” มาร์บอกเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

                “พ่อคะ...แล้วถ้าหนูไม่อยากเป็นล่ะคะ?” จู่ๆไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันตัดสินใจพูดไปแบบนั้น พ่อฉันเงยหน้าขึ้นยืดตัว ก่อนจะถามฉันอีกครั้ง

                “ว่าอะไรนะ?”


                “ถ้าหนูไม่อยากเรียนหมอแต่หนูอยากเรียนสิลปะล่ะคะ?” ฉันรวบรวมความกล้าตัดสินใจถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะอันแสนน่ากลัวของพ่อของฉันดังขึ้นมา

                “นี่ลูกกำลังอำพ่อเล่นใช่มั้ย? ต้องการให้พ่อหายเครียดกับเรื่องบริษัทใช่หรือเปล่า?”

                “หนูพูดจริงๆค่ะ” ฉันตอบออกไปเสียงสั่นเครือ

                “จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น...รู้มั้ยว่าคนกำลังจับตาดูเธออยู่ ถ้าเธอเป็นหมอได้ไม่ใช่แค่เธอที่จะได้รับการยกย่อง แต่มันรวมถึงพ่อด้วย!” พ่อประกาศเสียงแข็ง จนแม่ฉันตามเข้ามาดู ฉันนั่งตัวสั่น เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ก่อนมือไม้จะเริ่มสั่นตามแรงกดดัน แม่เขามาโอบไหล่ฉันพลางบอกให้ฉันกลับขึ้นห้องไป แม่ประคองฉันจะออกไปแต่พ่อก็พูดขึ้นมา

                “เธอไม่จำเป็นต้องเลือกทางเดินของเธอเอง...เพื่ออนาคตที่ดีฉันได้ปูทางไว้หมดแล้ว กลับไปสงบสติอารมณ์ของเธอซะ”

     

                ฉันหน้าชามากกับสิ่งที่ได้ยิน ฉันเหมือนหมากในเกมที่พ่อกำลังแข่งขัน ไม่มีความสำคัญอะไรมากขนาดนั้น...คนยกย่อง? ยกย่องไปทำไม? สำคัญนักหรือไง?...

                หลังจากที่แม่พามาส่งถึงห้อง แม่จะมาอยู่เป็นเพื่อนแต่ฉันขออยู่คนเดียวก่อนจะขังตัวเองไว้ในห้อง ได้ยินเสียงแม่พูดปลอบโยนดังเข้ามา แต่ฉันไม่ได้ยิน ก่อนจะพลั่งพลูน้ำตาออกมาอย่างไม่อาจต้านทานได้ ก่อนจะหลับหลงทั้งน้ำตาอย่างอ่อนเพลีย




    พาร์ท จุน

                หลังจากคิดมาทั้งคืนถึงหมวกแก๊ปใบนั้นที่ช่างคุ้นตามันก็ยังคิดไม่อกเสียที ผมเดินเหม่อๆจนชนเข้ากับประตูกระจกใสของห้องพักครู

                “โอ๊ย! เจ็บโว้ยยยย!!!” ผมสบถออกอย่างเซ็งๆ หันไปมองคนที่มายืนข้างๆก่อนจะผงะตกใจ

                “อุ๊ย! แม่หกตกใต้ถุน” ผมอุทานอย่างตกใจ ยอลนั่นเองอ่ะ!

                “ฮ่าฮ่า...คำอุทานเธอน่ารักดีนะ” ยอลยิ้มขำๆ ผมได้แต่จ้องจิกกัด

                “เหม่ออะไรอยู่?”

                “แล้วนายอ่ะมาทำอะไรไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง” ผมย้อนถามกลับ

                “ก็มาบอกเรื่องหมอผีไง”

                “เฮ้ย! จริงอ่อ? อยู่ไหนอ่ะ?” ผมถามอย่างตื่นเต้น ยอลจึงยื่นกระดาษโน้ตเล็กๆที่แนบที่อยู่เอาไว้ให้ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม


                “ฉันไม่รู้ว่าจะได้ผลจริงหรือเปล่า? คิวที่นี่ยาวมากถ้าเธอต้องการจริงๆก็ต้องโทรไปจองตัว...ทำไมเธอไม่ลองวิธีอื่นล่ะ?”

                “เช่นอะไร?”

                “ให้พระท่านช่วยสิ”

                “ฉันลองมาหมดแล้วแทบจะเอาน้ำมนต์มาราดตัวก็ยังไม่กลับคืนร่าง” ผมเผลอพูดออกไปอย่างลืมตัวก่อนจะนึกขึ้นได้รีบเผ่นไป

                “ขอบใจนะ”

                ผมไม่ทันเห็นสายตาและได้ยินคำพูดของยอลหรอก ใครจะรู้ว่าคำพูดของเขามันช่าง...

                “ทำยังไงพวกเธอจะสลับร่างคืนซะทีนะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×