ว่าด้วย... เรื่องการเขียน
เวลาที่มีคนทักผมว่า เป็นนักเขียน ผมมักจะปฏิเสธและพยายามบอกเสมอว่า ผมคงเป็นได้แค่ นัก(อยาก)เขียน เพราะผมมองตัวเองเป็นคนช่างฝันที่มีเรื่องอยากจะเล่าและถ่ายทอดให้คนอื่นฟังมากกว่า
นอกจากนี้ ผมจะเป็นคนแรกที่ยกมือยอมรับเลยว่า ภาษาวรรณกรรมของผมยังไม่ดีพอ และการใช้ภาษา การนำเสนอ ฯลฯ ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ
และคนที่รู้จักผม จะรู้ว่าผมเป็นคนที่อ่านหนังสือไม่ค่อยเยอะ แต่จะคิดมาก และเก็บเรื่องต่าง ๆ มาคิด มาจินตนาการปั้นแต่งจนเป็นเรื่องเป็นราวได้ไม่เลิก แทบจะเรียกได้ว่าเพ้อเจ้อ
และนั่นก็คิดวิธีการเขียนหนังสือของผม...
ผมเป็นคนที่เห็นเรื่องราวต่าง ๆ เป็นภาพ รวมถึงเรื่องราวที่อยากเล่า อยากถ่ายทอดด้วย และโดยที่ไม่ใช่นักเขียนอาชีพ แต่เป็นเพียงแค่คนที่เริ่มต้นการเขียนใหม่ ๆ ผมจึงยังไม่มีรูปแบบการทำงานที่เคร่งครัดหรือลงตัว อย่างเช่นนักเขียนมืออาชีพ บางท่าน จะกำหนดให้ตนเองเขียนเท่านั้น เท่านี้หน้า กำหนดเวลาว่า จะเขียนตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง แต่ผมยังไม่มีระเบียบวินัยขนาดนั้น และผมยังอาศัยแรงบันดาลใจ และอาศัยความรู้สึกอยู่มาก ดังนั้น ที่ผ่านมา ในช่วงที่ผมเริ่มต้นการเขียนด้วย การเขียนเรื่องสั้น ผมจึงจะเป็นคนที่เขียนเรื่องน้อย แต่เมื่อมีอะไรมาสะกิดใจ ผมก็จะถ่ายทอดมันออกมาอย่างรวดเร็ว อาทิ การเห็นสุนัขถูกรถชน หรือเห็นเด็กเดินตากฝนขายพวงมาลัย
และตอนนี้ ที่ผมเริ่มหันมาเขียนเรื่องที่ยาวขึ้น ผมก็อาศัยการนำภาพต่าง ๆ ที่เห็นมาเรียง ๆ กัน เหมือนกำลังจัดอัลบัมรูป และรวบรวมให้มันอยู่ในหมวดหมู่ ในธีมเดียวกัน บางภาพยังใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้ ผมก็เก็บเอาไว้ก่อน เผื่ออาจจะใช้ในเรื่องอื่น ๆ ได้ และเมื่อเริ่มเรียงรายภาพเป็นชุดแล้ว ภารกิจต่อไปของผมก็คือการหาถ้อยคำมาบรรยายภาพเหล่านั้น และพยายามที่จะสื่อมันออกมาให้ผู้อ่านได้เห็นภาพเดียวกัน ซึ่งก็เป็นกระบวนการทำงานของผม ทั้งสำหรับงานเขียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่ทำอยู่ทุกวันนี้ กับงานเขียนทุกชิ้น
และกระบวนการถัดมา คือการถ่ายทอดความรู้สึกและภาพที่เห็นออกมาเป็นคำ เป็นตัวอักษรนั้น ผมคิดว่าเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างมากทีเดียว ผมจึงมักปล่อยให้อารมณ์และหัวใจพาไป คิดอะไร นึกอะไร ก็เขียน (พิมพ์) ออกไปอย่างนั้น โดยยังไม่ต้องคำนึงถึงหรือกังวลกับรูปแบบ ภาษา ตัวสะกด หรือไม่ต้องกลั่นกรองความรู้สึกว่า อันนี้ดีมั้ย มันจะมากไปมั้ย น้อยไปมั้ย และจะรู้สึกเหมือนเป็นช่วงติดลม คือสามารถปล่อยใจและถ้อยคำให้รินใหลไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีขอบข่ายหรือเส้นแบ่ง จวบจนเมื่อความรู้สึกตรงนั้น ได้จบลง หรือจวบจนสามารถอธิบายและระบายภาพที่เห็นด้วยถ้อยคำได้แล้ว ผมจึงจะหยุด และกลับมาอ่านอีกครั้ง ปรับนั่นนิด ปรับนี่หน่อย แต่ก็พยายามคงไว้ซึ่งความรู้สึกเดิม เพราะผมเชื่อว่าความรู้สึกแรก มักเป็นความรู้สึกที่ถูกต้องเสมอ
เมื่ออธิบายภาพที่เห็นได้แล้ว ขั้นตอนถัดไปก็คือการเชื่อมโยงภาพเหล่านั้นให้เล่าเรื่อง เดียวกัน พูดถึงเรื่องราวในทิศทางเดียวกัน ประดิษประดอยให้เกิดความประติดประต่อ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนจบ
และในช่วงเริ่มต้นเขียนใหม่ ๆ ผมจะเป็นนักเขียนที่ขี้เกียจมาก คือเขียนต้นฉบับเรื่องสั้นเสร็จ ก็จะไม่กลับไปอ่านมันอีกเลย แต่จะส่งต่อให้คนอื่นอ่านต่อไป (แต่ก่อนคนที่รับกรรม คือ คุณแม่ ปัจจุบันคือภรรยา – ซึ่งทั้งสองมีความเหมือนกันคือ ถูกบังคับให้เป็น
ผู้อ่านของผมโดยปริยาย : )) แล้วก็ฝากให้แก้ตัวสะกด แก้คำผิดให้ด้วยเลย
แต่ปัจจุบัน ตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่องยาว (เริ่มจาก “กฎเหล็กแห่งหัวใจ”) ผมก็ต้องกลับมาอ่านต้นฉบับเองทั้งหมด ตั้งแต่ต้น ก็จะรู้สึกว่า บางทีความรู้สึกมันได้ แต่โอ้โห คำผิด เยอะจัง (555) ก็มานั่งแก้นั่งตรวจอย่างละเอียด เพราะเกรงใจกอง บก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา การตรวจต้นฉบับของผม จะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน เพราะบางที บางจุด กลับมาอ่านอีกที ผมก็ขยายความได้ หรือเพิ่มเติมรายละเอียดอื่น ๆ เข้าไปได้ ก็ใช้ปากกาเขียนลงไปบนต้นฉบับเลย แล้วค่อยกลับไปแก้ในคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ว่าจะแก้อย่างไร มันก็ยังคงมีคำผิดเล็ดลอดไปได้เสมอ
ผมไม่รู้ว่าวิธีเขียนของผมเช่นนี้ ถูกหรือผิด และบางทีคงจะมีนักเขียนท่านอื่น ๆ ใช้กันอยู่บ้างแล้ว หรืออาจจะใช้บางเสี้ยวบางตอนของกระบวนการเขียนเช่นนี้
แต่สำหรับผม นี่คือการเขียนด้วยหัวใจ และการใช้ความรู้สึกถ่ายทอดสิ่งที่เห็นและต้องการถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ด้วย ซึ่งผมให้ความสำคัญกับจินตนาการที่ไม่ถูกขวางกั้นหรือกีดกันด้วย ตาข่ายของกฎเกณฑ์ ดังนั้น หากพบคำผิดในเรื่องยาวของผม ก็ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ความคิดเห็น
จากหน้ากระดาษเปล่าๆ จนกลายเป็นรูปเล่ม นักเขียนต้องต่อสู้กับหลายสิ่งอย่างมาก
ทรายใหกำลังใจอยู่นะคะ ไม่ว่าจะพิมพ์ไปกี่เล่มแล้วก็ตาม
งานนี้ ยากและหนัก ดังนั้นทรายถึงเป็นกำลังใจให้
เรื่องคนอ่านเนี่ย ตอนนี้แม่อยากอ่านมาก ๕๕๕ แต่ทรายยังแก้ไม่เสร็จเลย ทรายไม่อยากให้อ่าน แต่คุณแม่อยากอ่าน เขินอ่ะ