ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายฝนในลมหนาว

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่สี่...เรื่องราว

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 50


    ติน  แกจบ ม. 6 แล้ว ป๊าไม่ส่งแกเรียนต่อนะ  ตอนนี้ภาระเยอะไปหมด เจ้าเติร์กก็จะเข้า ป.1 คนขับรถส่งข้าวก็ลาออก ป๊าจะให้แกออกมาช่วยงานป๊า  ขับรถส่งข้าวให้ป๊า ป๊าจะได้มีเวลาจัดการงานหลาย ๆ อย่าง  ประโยคคำพูดยาว ๆ ไหลออกจากปากพิเชษฐ์หลังจากเมื่อเห็นหน้าตินลูกชายโผล่เข้ามาในบ้าน

    ป๊า แต่ผม สอบแอดมิชชั่นเสร็จแล้วนะครับ  ตินแย้งออกมาทันที

    ก็ช่างมันเถอะ แกไม่สงสารป๊าแกบ้างเหรอ  ป๊าก็แก่ขึ้นทุกวันทุกวัน น้องแกก็ยังเล็ก  ถ้าป๊าตายไป ก็มีแต่แกเท่านั้นแหละที่จะสืบทอดกิจการของป๊าได้  พิเชษฐ์หาเหตุผลมาอ้างถึงความจำเป็นที่ไม่ให้ตินเรียนต่อมหาวิทยาลัย

    เออ..ถ้าแกจะเรียน แกเรียนรามก็ได้ หรือจะเรียนสุโขทัย

    ไม่ ป๊า  ยังไงผมก็ไม่เรียน ผมจะเรียนมหาลัยปิด ผมอยากเรียนวิศวะ  ป๊าเดี๋ยวผมจบมาผมจะทำงานหาเงินเลี้ยงป๊า เลี้ยงน้องเอง ตินบอกถึงความฝันของเขาที่ได้วาดหวังเอาไว้ในอนาคตอันใกล้นี้

    ป๊าว่าไม่ต้องหรอก แก ออกมาทำงานกับป๊าดีแล้ว  อีกอย่างหนึ่งผลมันยังไม่ออกมา แล้วแกคิดว่าแกจะได้หรือ

    ผมมั่นใจว่าผมต้องเรียนวิศวะไม่ว่าที่ใดที่หนึ่ง ตินยังยืนยันคำเดิม

    นี่ไอ้ติน กูบอกมึงแล้วไง ว่าไม่ให้มึงเรียน  ถ้ามึงจะเรียนมึงก็หาเงินเรียนเองก็แล้วกัน  กูพูดกับมึงดี ๆแล้วนะ  มึงไม่เข้าใจถึงความจำเป็นบ้างหรือ กูบอกมึงแล้วที่ร้านไม่มีคนช่วยงาน

    พิเชษฐ์เริ่มฉุนขึ้นเมื่อลูกชายไม่ยอมทำตามใจตัวเอง

    แล้วน้าอรล่ะป๊า ทำไมไม่ให้น้าอร มาช่วย เปิดเทอมเติร์กมันก็เข้าเรียนแล้ว น้าอรก็ว่างทำไม่ให้เขามาช่วยงานบ้าง เอะอะอะไรก็ให้ผมทำให้ผม  ไม่เห็นเขาทำอะไรเลยซักอย่าง ตินเริ่มไม่พอใจเช่นกัน เขาเริ่มดึงเรื่องคนนั้นคนนี้มาพูดถึง

    น้าอร เขาเป็นผู้หญิง เขาจะมาช่วยได้ไง มึงไม่คิดบ้าง งานขายข้าวสารไม่ใช่งานเบา ๆ พิเชษฐ์ปกป้องอิงอรผู้เป็นภรรยาใหม่

    แล้วตอนที่ม๊าอยู่ล่ะ  ม๊ายังทำทุกอย่างช่วยป๊า แบกข้าวสาร ม๊ายังทำเลย ม๊าเขาก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ตินเถียงกลับไปเพื่อหาความยุติธรรมให้กับตัวเอง

    มึงไม่ต้องเอาเรื่องแม่มึงมาอ้างเลย ไอ้ติน สมัยก่อนมึงก็เห็นว่าเราลำบากกันแค่ไหน ผัวเมียก็ต้องช่วยกันทำมาหากิน

    ตินกลั้นอารมณ์ไม่ไหว เมื่อคิดถึงแม่ตัวเองที่ต้องทำงานหนักมากจนสุขภาพร่างกายไม่ไหว  เมื่อครอบครัวเริ่มสบาย แต่แม่กลับจากไปก่อน   แม่จากไปไม่ถึงปี พ่อก็พาอิงอรเข้ามาอยู่ที่บ้านในฐานะเมียใหม่ อิงอรไม่ทำอะไรเลย พ่อจึงต้องจ้างลูกจ้างมาทำงานบ้านอีกคน เมื่อิงอรตั้งท้องจนกระทั่งคลอด เธอก็ไม่เลี้ยงลูกไม่เป็น คนทำงานบ้านก็เลยทนไม่ไหวลาออกแล้วลาออกอีก เปลี่ยนไปหลายคน สุดท้ายก็มีแต่แก้วเท่านั้นที่ทนอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงเด็ก ซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าวจนแม้กระทั่งเฝ้าหน้าร้านขายข้าวสาร แก้วก็ทำทุกอย่าง  ตินเห็นแล้วสงสาร เขาจึงไม่เพิ่มภาระให้ ทุกอย่างที่เป็นของเขา เขาจัดการเองหมด

    อ๋อ! แปลว่าตอนนี้สบายแล้วสิ น้าอร เขาเลยไม่ต้องทำงาน   ถ้าป๊าจะให้ผมทำงาน ป๊าก็ต้องให้น้าอรมาช่วยงานด้วย  ผมไม่ชอบให้ใครมาชุบมือเปิบ   ด้วยอารมณ์ที่เสียใจจนสุดจะทนทำให้เขาหลุดคำพูดที่รุนแรงออกมา

    เพี๊ยะ !  เสียงฝ่ามือฟาดลงไปบนแก้ม  ซักพักรอยแดงเป็นปื้นก็ปูดออกมาอย่างเห็นเด่นชัด น้ำตาที่คลอ ๆ อยู่ในเบ้าตาเริ่มไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

    มึง นี่มึงหาว่าใครชุบมือเปิบ น้าอรเขาดีขนาดไหน เขาดูแลมึงแทนม๊ามึงมาตลอดให้ความอบอุ่นมาตลอด มึงยังอกตัญญูกับเขาอีก มึงเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณคน ทำตัวแบบนี้อยู่ไปก็ไม่เจริญ ถ้ามึงอยากจะอยู่บ้านนี้ต่อมึงต้องทำงานแลกข้าวแลกน้ำ  ถ้ามึงอยากจะเรียนต่อ มึงออกไปหาเรียนเอาเอง ยังไงกูพูดคำเดียว กูจะไม่ส่งเสียมึง ความโมโหมันเป็นพลังที่มากมายมหาศาลที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อและลูกเริ่มสั่นคลอน ความเข้าใจซึ่งกันและกันเริ่มเลือนหายไปด้วยแรงทิฐิ

    ก็ได้ ถ้าป๊าไม่อยากให้ผมอยู่ผมไม่อยู่ก็ได้  ตินปาดน้ำตาที่ไหลนองหน้าแล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องเพื่อเก็บของ เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายหายไปหมด ตั้งแต่แม่จากไป ดูเหมือนพ่อจะไม่เข้าใจเขาเลย พ่อคิดว่าเขาขาดความอบอุ่นจากแม่ก็เลยหาแม่ใหม่มาให้  เมื่ออิงอรเข้ามาอยู่บ้านดูเหมือนทุกอย่างจะไปด้วยดูของเรื่องครอบครัว แต่ใครจะไปรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อิงอรแสดงต่อหน้าและลับหลังมันช่างต่างกันสิ้นเชิง เขาไม่เคยมีความสุขสักครั้งที่อยู่ใกล้เธอ เขาไม่เคยชอบสักอย่างที่เธอเคยนำมาเสนอให้ แต่เขาต้องฝืนรับไว้ เพราะพ่อบอกว่าสิ่งที่เธอทำให้ทุกอย่างเป็นการทดแทนความอบอุ่นที่เขาขาดหายไป ตินหยิบเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าลงไป3-4ชุด กระเป๋าสตางค์ มือถือ นาฬิกา ทุกอย่างที่เป็นเขาเอาไปได้เขาเก็บใส่กระเป๋าเป้ใบเขื่อง น้ำตาที่ไหลมันก็ยังไม่ยอมหยุดไหลสักที เขาแบกกระเป๋าเดินออกจากห้องมากำลังจะเดินลงบันได

    เฮีย  เฮียจะไปไหนเล่นเกมกับเติร์กก่อน  น้องชายวัย 6ขวบวิ่งตามดึงแขนไว้

                ด้วยอารมณ์ที่ไม่ปกติตินสะบัดมือให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของเติร์ก และเป็นจังหวะเดียวที่เขาจะก้าวลงบันได แรงเหวี่ยงจากการสะบัดทำให้ตัวเติร์กเซถลาไปที่บันไดแล้วกลิ้งตกบันไดจนถึงขั้นสุดท้าย ตินตกตะลึง อารมณ์โกรธ อารมณ์น้อยใจ เสียใจหายไปในพริบตา มีแต่อาการตกใจและเป็นห่วง ถึงแม้เติร์กจะเป็นน้องคนละแม่ก็ตาม แต่เขาก็รักน้องชายคนนี้มาก

    น้องเติร์ก ตกบันได เฮียเชษฐ์ คุณอร น้องเติร์ก ตกบันได  แก้วคนทำงานบ้าน เห็นเติร์ก กลิ้งตกลงมาจากข้างบนจนถึงขั้นสุดท้ายเธอกระโจนเข้าไปอุ้มทันที

    พิเชษฐ์ได้ยินเสียงแก้วร้องตะโกน เขารีบวิ่งมาตรงที่บันไดเห็นลูกชายคนเล็กนอนอยู่ในอ้อมกอดของแก้วอย่างไร้สติ เมื่อแหงนหน้ามองไปข้างบนเห็นลูกชายคนโตยืนอยู่ อารมณ์โมโหที่ยังครุกรุ่นอยู่ในใจ เหมือนเป็นที่ที่มีน้ำมันมาราดเพิ่มขึ้น ไฟแห่งความโมโหโกรธา ลุกประทุมากขึ้นมากว่าเดิมจนสติสัมปชัญญะหายไปหมด เขารีบสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดไปยังที่ลูกชายคนโต แล้วฝ่ามือที่เกร็งด้วยความโกรธก็ฟาดลงใบหน้าของตินอีกครั้ง  คราวนี้ความแรงมันทำให้ใบหน้าเขาสะบัดชนฝาบ้านดังโครม รอยปูดที่หน้าผากเริ่มนูนขึ้นมาพร้อมกับรอยแตกที่มีเลือดไหลซึมออกมา

    เฮีย...น้องเติร์กไม่ฟื้น  เฮีย..” เสียงแก้วสั่นเครือน้ำตาเริ่มจะไหล เมื่อเห็นเด็กชายวัย 6ขวบที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือสลบไสลไม่ได้สติสตัง มือเธอก็พยายามเขย่าตัวเด็กน้อยให้ฟื้นขึ้นมา

    เฮีย..เร็ว..พาน้องไปโรงพยาบาลเมื่อพิเชษฐ์ได้ยินเสียงแก้วเรียกอีกครั้ง  สติเขาเริ่มกลับมาบ้าง พิเชษฐ์รีบวิ่งลงมาข้างล่าง พร้อมรับตัวลูกชายคนเล็กที่แก้วส่งให้

    ไอ้ตินมึงสารเลว มึงไม่ชอบอิงอร กูไม่ว่านี่มันน้องของมึงแท้ๆ มึงยังทำได้ลงคอ มึงอยู่รอที่บ้าน อย่าไปไหน เดี๋ยวกูจะกลับมาสะสาง พิเชษฐ์หันไปสบถกับตินอีกครั้ง ก่อนที่จะอุ้มเติร์กแล้ววิ่งไปยังรถที่จอดอยู่นอกร้าน

    ....................................

    เสียงรถดังจอแจตั้งแต่เช้า วันนี้เป็นวันจันทร์ เป็นวันที่ทุกคนดูวุ่นวายไปหมด รถติดไม่ค่อยขยับไปไหน คนก็เยอะเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่บนรถเมล์เหมือนปลากระป๋อง ตอนนี้รถเมล์ขึ้นราคา เพราะว่าน้ำมันแพงขึ้นเรื่อย ๆ และมีทีท่าว่าจะไม่ยอมหยุด แต่เงินเดือนคนทำงานอยู่เท่าเดิมทำให้คนเราหันมาใช้บริการรถเมล์ร้อนกันเยอะขึ้น ยิ่งดูก็ยิ่งน่าสงสารยืนเบียดกันจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้บางคันคนยืนทะลักมาที่บันไดทางขึ้นจนปิดประตูไม่ได้ มันช่างเป็นวิถีชีวิตที่ทรหดอดทนเสียจริง ๆ ทำไงได้ล่ะทุกชีวิตเกิดมามีทางเลือกไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ถ้าหากทุกคนเลือกได้เขาคงเลือกชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย พอมีกินมีใช้ แต่ก็ไม่มีใครสามารถเลือกได้ ต้องใช้ชีวิตไปตามยถากรรมของตนเอง กฤษยืนมองรถเมล์วิ่งผ่านไปคันแล้วคันเล่า  รอดูว่ารถคนไหนที่พอจะว่างให้เขาแทรกตัวเข้าไปเบียดได้บ้าง  จนกระทั่งจวนจะได้เวลาทำงานเขาจึงตัดสินใจ ขึ้นรถเมล์คันหนึ่ง เพื่อไปต่อรถไฟฟ้าอีกที

    กฤษก้าวขาผ่านช่องเสียบตั๋ว เดินต่อไปได้ไม่ถึงสามก้าว เสียงนาฬิกาจากวิทยุบอกเวลา

    ขณะนี้เวลา 8 นาฬิกา  เสียงเพลงชาติดังขึ้น กฤษ และหลายคนที่เดินอยู่เริ่มหยุดเพื่อทำความเคารพเพลงชาติที่ดังขึ้น ชาวต่างชาติที่อยู่บริเวณแถวนั้นก็มองดูว่าคนไทยเขาทำอะไรกันบางคนก็ปฏิบัติตามประมาณว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แต่บางคนไม่รู้ก็เดินขึ้นบันไดไปเฉย เฉกเดียวกับคนไทยบางคนที่ดูรีบร้อนกลัวขึ้นรถไฟฟ้าไม่ทัน จึงไม่หยุดเคารพเพลงประจำชาติ  เมื่อเพลงชาติจบทุกคนก็ต่างพากันเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยืนรอขบวนรถไฟฟ้า

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋าพร้อมระบบสั่น กฤษรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันทีก่อนที่สายตาของคนทั่วไปจะจ้องมาทางเขา

    สวัสดีครับ  กฤษกรอกเสียงไปตามสัญญาณที่ส่งมา

    กฤษ  พ่อพี่เสียแล้วเมื่อเช้านี้ นาครญาติผู้พี่บอกข่าวร้ายที่สุดของเช้านี้ให้เขาทราบ  พ่อของนาครซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงเขยของเขาเสียชีวิตอย่างกระทันหัน  โดยไม่มีใครเตรียมใจมาก่อน เขากับนาครเป็นลูกพี่ลูกน้องกันอายุห่างกันแค่ 2 ปี เมื่อสมัยตอนเด็ก ๆ ช่วงปิดเทอมพ่อกับแม่ก็จะให้กฤษไปอยู่บ้านลุงกับป้าในตัวจังหวัดเพื่อจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับนาคร ทั้งสองจึงสนิทกันเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าลุงจะเป็นคนดุ ตรงไปตรงมา  กฤษไม่ค่อยชอบลุงเท่าไหร่ เพราะว่าเวลาที่กฤษทำอะไรมักจะดูขัดหูขัดตาลุงตลอดเวลา แม้กระทั่งช่วงที่เป็นวัยรุ่น นาครตั้งใจเรียนเพื่อหวังจะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ แต่กฤษกลับไม่ค่อยสนใจอะไรมากมาย มาสอบในตัวจังหวัด ตอนกลางคืนยังนั่งดูทีวีอยู่ จึงดูเหมือนจะขัดใจลุงเป็นอย่างมากๆ แต่ก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวอะไร นอกจากบอกป้าให้มาเตือนบ้างเท่า แล้วในที่สุดกฤษก็สอบเข้าเรียนจนได้

    แล้วเขาจะเผากันวันไหนครับ กฤษถามกลับไป

    ยังไม่รู้เลย อาจจะเป็นวันอาทิตย์ เดี๋ยวยังไงพี่โทรบอกอีกทีก็แล้วกันนาครบอกถึงความไม่แน่ใจถึงวันเวลาในพิธีงานศพของพ่อตนเอง

    งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ ผมโทรถามอีกทีก็แล้วกัน  พี่คิม ผมเสียใจด้วยนะ กฤษแสดงความเสียใจออกไป

    แล้วจะมางานศพหรือเปล่า นาครถามกลับ

    ไป ..ไปอยู่แล้ว เดี๋ยวขอผมเคลียร์งานเสร็จ ผมจะรีบไปทันที  กฤษแสดงถึงความกระตือรือล้นในการกลับไปงานศพ ถึงไม่ชอบเท่าไหร่แต่ครั้งสุดท้ายของชีวิตเราก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

    ฝากบอกป้าด้วยนะครับ ว่าอย่าเสียใจมากทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจังสังขารา ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้สำหรับมนุษย์เราหรอก กฤษพูดออกมาจากใจทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่ตัวเราเอง

    งั้นแค่นี้ก่อนนะ ต้นสายบอกคำลา

    ครับแล้วเจอกันที่งานครับ กฤษบอกลานาครอีกครั้ง

    .......................................

    กฤษตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้เสร็จ เพราะว่าอย่างน้อยตอนไปงานศพจะได้ไม่ต้องห่วงงานที่ค้าง เวลาใกล้เที่ยงเข้ามาเสียงโทรศัพท์มือดังขึ้นอีกครั้ง กฤษหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นณพที่โทรมาเขานั่นเอง

    สวัสดีครับ

    ไม่เห็นโทรมาหากันเลยนะ ณพตัดพ้อต่อว่า

    กำลังยุ่งอยู่ครับ  รีบเคลียร์งานให้เสร็จ เดี๋ยวต้องกลับไปงานศพ กฤษบอกถึงภาระที่ตัวเองมีอยู่

    อ้าว..ใครเป็นอะไรอีกล่ะ ณพถามด้วยความสงสัย

    ก็พ่อพี่นาคร เสียนะครับ ตัวเองก็เคยไปบ้านป้าเขาแล้วนี่ กฤษย้อนถึงความหลัง

    เป็นอะไรถึงตายล่ะ ณพถามอีกครั้ง ด้วยอาการที่ยังข้องใจไม่หาย

    เมื่อสาย ๆ โทรไปคุยกับแม่ แม่บอกว่าผ่าตัดลำไส้แล้วเลือดไหลไม่หยุดก็เลยไม่รอด อืมแม่ยังบอกว่าป้าโทรมาบอกว่าจะเผาวันเสาร์ที่จะถึงนี้ กฤษเล่ารายละเอียดให้ณพฟังหลังจากที่ตอนสาย ๆ เขาโทรถามรายละเอียดจากแม่ของเขา

    แล้วทำไมตัวเองไม่โทรมาบอกเขาล่ะ ณพยังงอนไม่เลิก

    ก็ทีแรกคิดว่าจะทำงานให้เสร็จ แล้วค่อยโทรบอกตัวเองตอนเที่ยง ๆ แต่ตัวเองโทรมาก่อนไง

    ครับ งั้นตัวเองทำงานต่อเถอะ ว่างแล้วโทรหาเขาด้วยแล้วกัน เสียงณพดูเหมือนจะน้อยใจอะไรบ้างอย่าง

    ครับ ครับ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะโทรหานะครับ  บายครับ กฤษกล่าวคำลาเสร็จแล้วก็รีบทำงานต่อ

    เพื่อนในออฟฟิศเริ่มทยอยกันลงไปข้างล่างเพื่อหาข้าวทานกัน กฤษก็ยังนั่งทำงานอยู่ไม่เลิก แล้วเขาก็นึกอะไรได้บางอย่าง  เจ้าตินอยู่ที่ห้อง ป่านนี้มันจะตื่นหรือยัง เขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรเข้าเบอร์ของติน

    ติน ตื่นหรือยัง กฤษถามตินทันทีเมื่อหนุ่มน้อยรับสาย

    ตินแล้วครับพี่ กำลังซักผ้าอยู่ เสื้อผ้าของพี่กฤษที่อยู่ในตะกร้า ซักเลยไหมครับ ตินถามกฤษถึงชุดที่ใส่เมื่อวาน

    ยังไม่ต้องก็ได้  ตินซักของตินไปก่อนเถอะ เออ..กับข้าวอยู่ในตู้เย็นนะ พี่ซื้อขึ้นมาเมื่อเช้า อุ่นทานกินเองล่ะ กฤษบอกถึงสิ่งที่ทำให้ตินไว้

    ครับ ตินรับคำ

    งั้นเดี๋ยวพี่ไปทานข้าวก่อนนะ เออ... วันนี้จะไปไหนหรือเปล่า  เขาถามตินเพื่อที่ว่าเลิกงานเสร็จเขาจะได้รีบกลับบ้านถ้าหากตินไม่ออกไปไหน

    ไม่ไปไหนครับ  ยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่  ตินตอบไปตามอารมณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้

    ก็อย่าลืมกินข้าว กินปลาล่ะ  เย็นนี้เลิกงานแล้วพี่รีบกลับก็แล้วกัน อยากทานอะไรหรือเปล่าล่ะ เดี๋ยวพี่จะได้แวะซื้อไปให้ กฤษถามด้วยความห่วงใยถึงสุขภาพจิตของติน

    ไม่รู้เหมือนกัน  ผมทานได้หมดครับ  แต่พี่กฤษทำกับข้าวอร่อยนะครับ 

    ไม่ต้องมาชมกันหรอก  เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่ซื้อเข้าไปเองก็แล้วกัน เออ..ถ้าจะออกไปข้างนอกโทรบอกพี่ด้วยล่ะ  กฤษย้ำกับตินอีกครั้ง

    ครับ

    โอเค  แล้วเจอกันตอนเย็น อย่าลืมกินข้าวล่ะ  กฤษยังไม่วายบอกตินอีกครั้งด้วยความห่วงใย

    ครับ สวัสดีครับ  ตินวางหูแล้วเดินไปที่เครื่องซักผ้า เปิดเครื่องให้ทำงานต่อจากนั้นก็หยิบกับข้าวในตู้เย็นเทใส่ชามเซรามิคปิดปากชามด้วยพลาสสติกถนอมอาหาร แล้วนำเข้าในไมโครเวฟ แล้วตัวเองก็หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×