ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #4 : คัมภีร์พิชัยสงครามหลี่มู่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.02K
      53
      30 ส.ค. 55

         ฟางเหวินหลงฟื้นคืนสติมาอีกครั้ง พบว่าตัวเองลอยตามกระแสน้ำมาติดอยู่ที่ริมฝั่งห่างจากจุดที่ตนเองตกลง

    มาไกลมาก ตามตัวรู้สึกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ตาลายสมองหมุน บริเวณหัวไหล่ที่ถูกลูกธนูยิงใส่แล้วยังต้องมา

    แช่น้ำเป็นระยะเวลานานรู้สึกปวดระบมปากแผล

         จึงกัดฟันคืบคลานมาบริเวณโคนต้นไม้ เปิดกระเป๋าหยิบยาพาราเซทตามอลมากลืนลงคอไปเพื่อแก้ปวด 

    จากนั้นฉีกชายเสื้อพันบาดแผลอย่างลวกๆ

          โดยไม่รู้สึกตัว เขาลอยตามกระแสน้ำมาไกลหลายลี้ ฟางเหวินหลงขบกรามนิ่งคิดถึงเหตุหารณ์ราวฝันร้าย

    ที่ผ่านมา จากนั้นบอกกับตนเองว่า การศึกเมื่อคืนตนเองสั่งการการรบสังหารเหล่าโจรร้ายราวกับผักปลา

    ตนเองยังซัดลูกธนูฆ่าหัวหน้าโจรกับมืออีก

         ตนเองทำไมถึงได้โหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ แต่มันก้อเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรแล้ว เพราะเป็นการฆ่าเพื่อรักษา

    ชีวิตตนไว้ ฆ่าเพื่อไม่ให้ถูกฆ่า และในการต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงคงอภัยให้กับตนเอง ไม่มีอะไรที่จะ

    ต้องเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

         ตอนนี้เหล่านักบู๊ฝ่ายตนคงหลบหนีกันไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว เหลือเพียงตนเองที่รอบด้านมีแต่ความ

    เงียบเชียบเปล่าเปลี่ยว วิเวกวังเวง

         ระหว่างที่ฟางเหวินหลงคิดคำนึงอยู่นั้น ใบหูก้อได้ยินเสียงเป่าหลอดเขาดังแว่วมาแต่ไกล ยาวเยือกเป็น

    ระยะเหมือนจะเป็นสัญญาณอะไรอย่างหนึ่ง จึงฉุกใจคิดว่า

         'พวกมันยังไม่เลิกตามล่าเรา'

         ฟางเหวินหลงข่มอาการบาดเจ็บ วิ่งตัดแนวป่า ไต่ขึ้นเขาอันสูงชันอย่างสุดกำลังเท่าที่จะเหลืออยู่ขณะนี้

    พอตนเองโหนเหนี่ยวต้นไม้เล็กๆ ที่ยืนเกะกะขึ้นไปพ้นระดับพื้นดินได้เพียงไม่กี่เมตร เงาอันดำมืดก้อพรูมา

    เป็นสายมาถึงที่ๆตนเองเคยอยู่เมื่อซักครู่

         ฟางเหวินหลงอาศัยต้นไม้และแง่หินปีนป่ายขึ้นไป บางครั้งตนเองเหยียบพลาดไถลลื่นลงมา แต่ก้ออาศัย

    ยึดพงไม้ไว้ด้วยมืออันเหนียวแน่น โหนตัวขึ้นไปอีก เสื้อผ้าและเนื้อตัวขาดวิ่นยับเยินด้วยพงหนามและเเง่หิน

    เลือดโทรมจากบาดแผลขีดข่วน แต่ก้อไต่สูงขึ้นไปในลักษณะซมซานเพื่อเอาชีวิตรอด กระเซอะกระเซิง

    ปราศจากที่หมายแน่นอน

         จิตใต้สำนึกบอกกับตนเองว่า การที่จะหนีรอด อยู่ที่ความสูงชัน เท่าที่จะตะกายไปได้เท่านั้น อึดใจใหญ่ๆ

    ฟางเหวินหลงก้อมาพักหอบแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงตรงสันเขาตอนหนึ่ง ประจันอยู่ตรงหน้า เบื้องบนสูงขึ้นไป

    สิบเมตรเป็นเวิ้งลึกเข้าไปในลูกเขา ลักษณะน่าจะเป็นปากถ้ำ

         พลังงานส่วนพิเศษของมนุษย์ในอันที่จะเอาชีวิตรอดแท้ๆ ทำให้เขาต่อต้านกับอำนาจพิษไข้ ที่กำลังโหม

    ประดังขึ้นมา

    ทำให้ตนเองตะเกียกตะกายซมซานหนีภัยมาได้เป็นระยะไกลเพียงนี้ และบัดนี้พลังส่วนนั้นก้อได้ถูกใช้หมดสิ้น

    แล้ว ความอิดโรยโหยระเหี่ย ความหนาวสะท้านจับใจ กำลังจะคืบคลานมาแทนที่

         ฟางเหวินหลงกวาดตาสำรวจไปรอบๆอย่างรวดเร็ว พยายามแข็งใจต่อสู้กับพิษไข้ที่ทวีขึ้นมาเป็นลำดับ

    ปากถ้ำชะง่อนผาตำแหน่งนี้ โดยภูมิประเทศแล้ว ต้องจัดว่าเป็นทำเลเหมาะสำหรับการหลบภัยและอาศัย

    พักนอน เพราะมีลักษณะอับต่อเส้นทางของศัตรูที่จะแผ้วพานย่างกรายเข้ามาโดยง่าย จากเบื้องต่ำที่จะ

    ขึ้นมาถึงได้ ก้อต้องปีนตัดหน้าผาตัดตรงเก้าสิบองศาส่วนเบื้องบนที่เหนือขอบถ้าขึ้นไป ก้อเป็นภูเขาสูงชัน

    เช่นกัน

         ณ บัดนี้ รอบด้านมีแต่ความเงียบเชียบเปล่าเปลี่ยว เงาของค้างคาวที่กระทบแสงจันทร์โฉบไปมาวูบวาบ

    ลมปีกอันเจือด้วยกลิ่นสางของมันมากระทบจมูกเป็นระลอก ส่วนพวกเหล่าโจรที่หลงเหลือพากันวนเวียน

    กระจัดกระจายตามล่าตนเองอยู่ที่เบื้องล่าง

         ใช่แล้ว...ตอนนี้เราตกอยู่ในโลกอดีตกาลอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ชนิดที่มองไม่เห็นใครอีกแล้วนอกจาก

    ตัวเอง นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป มีเพียงตนเองเท่านั้นที่จะสามารถคุ้มครองชีวิตตนเองได้ พ่อแม่ของตนก้อ

    อยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง ชนิดที่ไม่มีทางจะได้พบเจออีก...

         ความจริงข้อนี้ ทำให้ฟางเหวินหลงสามารถรวบรวมสติและพลังใจได้อย่างมั่นคงที่สุดเหนือกว่าทุกครั้ง ขจัด

    ความหวาดกลัวพรั่นพรึงออกไปจนหมดสิ้น พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะมาในรูปใด

    อย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่น

         จากนั้น จึงหันมาจัดเตรียมวางแผนตั้งรับ ชนิดปักหลักสู้ตาย  ฟางเหวินหลงปลดเอากระเป๋าจากกลางหลัง

    เตรียมเครื่องยิงเข็มบินแบบอัตโนมัติที่บบรรจุเข็มบินหนึ่งร้อยเล่มมาใส่ไว้ที่ข้อมือ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงขยับ

    ช่องเก็บเข็มบินมาตรวจดูพบว่ายังอยู่เต็มอัตราศึก พร้อมหยิบระเบิดมือมาเก็บไว้ในอกเสื้ออีกสองลูก แล้วยิ้ม

    อย่างเหี้ยมเกรียม

         'จะเอาชีวิตเราฟางเหวินหลง อย่างไรต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง ฮาฮา'

         การที่ฟางเหวินหลงไม่ได้นำอาวุธพวกปืนผาหน้าไม้มาในโลกอดีตด้วยนั้นเป็นเพราะว่าปืนถ้าหากกระสุน

    หมด ก้อจะกลายเป็นเพียงแท่งเหล็กที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดใด แต่อาวุธอย่างเครื่องยิงเข็มบิน ยังสามารถ

    จัดหาเข็มเหล็กมาบรรจุทดแทนได้

         จากนั้นฟางเหวินหลงเงี่ยหูสดับตรับฟังสำเนียงที่จะเกิดขึ้นอย่างระแวดระวัง ชั่วอึดใจก้อเกิดเสียงก้อนหิน

    เล็กๆหลุดร่องจากผนังผาเบื้องล่าง แม้จะเบาแสนเบาที่สุด แต่ในความเงียบสงัดอย่างไรก้อไม่อาจรอดพ้นจาก

    เครื่องฟังเสียงที่สามารถขยายเสียงจากโลกอนาคตไปได้

         มือของฟางเหวินหลงเตรียมพร้อมอยู่ที่ปุ่มกดยิงเข็มบิน ประสาททุกส่วนเขม็งเกรียวแทบจะขาดสะบั้นไป

         เงาดำก้อค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบหน้าผาด้านนั้น เคลื่อนไหวมาช้าๆในลักษณะหมอบราบกับพื้น กระดืบ

    พ้นจากริมผา ตรงเข้ามากับอาการคลานของเสือ

         'ตามกันขึ้นมา!....อย่างน้อยสามคน!'

         ก่อนที่พวกมันทั้งสี่คนจะเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ เข็มบินก้อถูกซัดออกไป เสียงแผดร้องดังประสานกัน

    ไม่ได้ศัพท์ ก่อนที่จะผงะหมุนคว้างตะกายอากาศ แล้วล้มกระจัดกระจายไปคนละทาง เลือดละเลงบน

    หินหน้าผา

         "ไปลงนรกซะ! เรียงหน้าเข้ามา!"

         ฟางเหวินหลงหยิบระเบิดมือจากอกเสื้อออกมา แล่นออกมายังลานปากถ้ำมองเห็นพวกโจรภูเขา

    ร้อยกว่าคน ยืนออกันอยู่ที่พื้นดินด้านล่าง จึงขว้างระเบิดมือทั้งสองลูกลงไปอย่างรวดเร็ว

         เสียงระเบิดดังกัมปนาทเลื่อนลั่น เหล่าโจรร้ายเบื้องล่างโดนแรงระเบิดจนแขนขาขาดกระจาย โลหิต

    เนืองนอง ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่ผู้เดียว

         ฟางเหวินหลงก้มหน้ามองลงไป พบว่าเบื้องล่างราวกับเป็นดินแดนนรกภูมิ เห็นแต่ซากศพผู้คนนอน

    กระจัดกระจายเกลื่อนกราด เศษเนื้อ แขนขาปลิวว่อนจนบางส่วนติดอยู่บนกิ่งไม้สูง

         นอกจากนั้นบริเวณพื้นยังเกิดร่องหลุมลึกราวกับว่ามีอุกกาบาตตกกระทบ  ต้นไม้ใหญ่รอบๆบริเวณหัก

    โค่นล้มลงหลายสิบต้น

         ภาพที่เขาได้พบเห็น ทำให้ฟางเหวินหลงทรุดนั่งลง คิดคำนึงว่า

         'เรามาโลกอดีตเพียงสามวัน ก้อเข่นฆ่าสังหารผู้คนมากมายเพียงนี้ ถ้าเกิดยังอยู่ในโลกอนาคตคงโดน

    โทษประหารชีวิตเป็นร้อยครั้งกระมัง'

         จากนั้นฟางเหวินหลงประคองตัวลุกขึ้น เดินไปที่ซากศพทั้งสี่ซาก จับโยนลงไปยังพื้นเบื้องล่าง แล้วค้น

    หาผงยาสมานแผลมาโรยบาดแผลที่แขนและตามร่างกาย หลังจากกระทำเสร็จก้อหาซอกหินที่ลับตา

    นอนหลับไปอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง

         ฟางเหวินหลงผ่านค่ำคืนอันหฤโหดไปอย่างสงบเงียบ จนกระทั่งแสงแดดจากปากถ้าส่องเข้ามากระทบ

    ใบหน้า

         โดยไม่รู้สึกตัว เขาหลับยาวไปจนถึงยามสายของวันใหม่ ฟางเหวินหลงรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว กระเพาะ

    ร้องโครกคราก จึงออกล่ากระต่ายป่า ผลไม้ป่ารับประทานปะทังหิว

         เวลาผ่านไปเช่นนี้พ้นไปสิบกว่าวัน ฟางเหวินหลงรู้สึกร่างกายมีกำลังวังชามากขึ้น จึงเดินทางตามคำ

    บอกเล่าของโจวหย่งเต๋อ กลางวันมองดูดวงอาทิตย์ กลางคืนศึกษาตำแหน่งดวงดาวมุ่งสู่ทิศทางที่ตั้งของ

    สถานปศุสัตว์ม้าบิน

         ไม่รู้ว่าโจวหย่งเต๋อบอกทางไม่ดีหรือตนเองเดินทางผิด หลังจากเดินทางข้ามหุบเขาหลายลูกก้อยังวนเวียน

    อยู่ในเขตเทือกเขา คนกลับกลายเป็นผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่ง

         ขณะที่กำลังละล้าละลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี พลันได้ยินเสียงโลหะกระทบกันอย่างเร่งร้อนทางชายป่า

    ด้านข้าง จึงบังเกิความสงสัย ไม่ทราบกลางป่าเขาไฉนมีเสียงการต่อสู้กัน ฟางเหวินหลงจึงพุ่งกายไปซุ่มดูอยู่

    บนกิ่งไม้สูง

         ชั่วครู่เสียงการต่อสู้ขาดหายไป แล้วได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งกล่าวช้าๆ

         "น้องรอง วันนี้พวกเราต้องจบชีวิตในที่นี้ ถือเป็นคราวเคราะห์ แต่เสียดายที่ไม่อาจปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไข

    ของท่านแม่ทัพเอาไว้ได้"

          ผู้คนอีกคนหนึ่งกล่าวว่า

         "เราทั้งสองพยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว ถึงไปยังปรภพคาดว่าท่านแม่ทัพ คงไม่ตำหนิพวกเรา"

         เสียงเด็กหญิงผู้หนึ่งดังขึ้นว่า

         "ท่านอาทั้งสองเสี่ยงชีวิตนำข้าพเจ้าบุกฝ่าดั้นด้นมาถึงที่นี้ได้ ข้าพเจ้าก้อสำนึกบุญคุณมากแล้ว วันนี้เราทั้ง

    สามจะเป็นจะตายก้อขออยู่พร้อมหน้ากัน"

         เสียงหัวร่อดังยาวนาน บุรุษอีกผู้หนึ่งที่สวมใส่ชุดดำ ยืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสาม มือถือกระบี่วาววับ กล่าวว่า

         "ทารกหญิง เจ้าคิดตายคงไม่ง่ายดายนัก ถ้าเจ้าไม่มอบคัมภีร์พิชัยสงครามออกมา คืนนี้เราจะมอบความสุข

    ที่เจ้าไม่เคยได้รับให้กับเจ้าก่อนตาย ฮาฮา"

         ฟางเหวินหลงเพ่งตามองผ่านแว่นอินฟาเหรด พบว่าเบื้องหน้าห่างออกไปยี่สิบเมตร มีบุรุษสามคน

    สาวน้อยอีกคนหนึ่ง บุรุษสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสาวน้อยอายุประมาณสิบสองสิบสามปีถือดาบยาวตามตัวมี

    บาดแผลหลายแห่ง

         ส่วนบุรุษที่สวมใส่ชุดดำไว้เคราห้าแฉก ใบหน้าซูบยาว รูปร่างเตี้ยล่ำ ร่างกายบึกบึน มองดูปราดเดียวก้อดูรู้

    ว่าเป็นผู้มีพละกำลังที่ยากจะรับมือ

         'เรื่องเบื้องหน้าเรานี้ เราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวดีไหมนะ แต่ดูท่าว่าคนชุดดำนี่จะเป็นตัวเลวร้ายที่ร้ายกาจ คนทั้ง

    สามไม่น่าจะรับมือได้ไหว ถ้าจะช่วยก้อต้องเตรียมตัวให้พร้อม'

         จากนั้นฟางเหวินหลงเปิดกระเป๋ารื้อค้นหยิบได้ดาบซามูไรออกมาเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนี้ตีจากสสารที่แข็งที่สุด

    ในโลกเจ็ดชนิด นำมาหลอมในเตาความร้อนสูง ด้านบนหนา ส่วนคมบางเฉียบเหมาะสำหรับฟาดฟันในทุก

    สภาวะมากระชับมั่นไว้ในมือ

         คนชุดดำสะบัดกระบี่คู่กายคราหนึ่ง กล่าวว่า

         "เจียงหย่งฉี ไป่ซิ่นจง ข้าพเจ้าจะเห็นแก่ไมตรีเก่าก่อน จะให้โอกาสสุดท้ายกับพวกท่าน ขอเพียงพวกท่าน

    ยอมสวามิภักดิ์กับแคว้นฉินของเรา สาบานว่าจะยอมรับใช้ต้าอ๋อง เรารับรองว่าท่านจะได้รับลาภยศเสพสุขไม่

    สิ้น"

         ชายที่กล่าววาจาตอนแรก (เจียงหย่งฉี) ถ่มน้ำลายลงพื้น กล่าววาจาลอดไรฟันด้วยความขุ่นแค้นขึ้นว่า

         "หวังจินหู่ เสียทีที่ท่านแม่ทัพดีต่อเจ้า เจ้ากลับทรยศเนรคุณ ขายชาติขายแผ่นดิน เจ้ายังกล้าพูดว่า

    'แคว้นฉินเรา' เจ้าพูดออกมาไม่รู้สึกกระดากปากบ้างหรือ!"

         ไป่ซิ่นจงพยักหน้าคราหนึ่ง ชี้ดาบในมือไปที่หวังจินหู่  กล่าวเสียงดังกังวานเสริมว่า

         "ไอ้ขี้ข้าสองนาย วันนี้เราทั้งสองถึงจะต้องตาย อย่างไรก้อจะต้องลากเจ้าลงนรกไปด้วย!"

         หวังจินหู่ แหงนหน้าหัวร่อเสียงดังกังวาน ก่อนจะกล่าวว่า

         "ทรยศเนรคุณ? พวกท่านทั้งสองช่างโง่งมนัก อย่างไรพวกท่านคงไม่อาจมีชีวิตพ้นวันนี้ไปได้ ข้าพเจ้าจะ

    บอกความจริงให้ท่านรับฟังก่อนตาย เมื่อไปถึงนรกจะได้ไม่ตายอย่างเลอะเลือน"

         "ข้าพเจ้าไม่ได้ชื่อ หวังจินหู่ ชื่อที่แท้จริงของข้าพเจ้าคือ เฉวียนหย่งสือ เป็นหนึ่งในแปดมือสังหารเสื้อทอง

    ที่ได้รับภารกิจมาเป็นสายลับเพื่อบ่อนทำลายแคว้นจ้าว"

         คนทั้งสามเมื่อได้ยินคำว่า 'มือสังหารเสื้อทอง' ต่างตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี

         มือสังหารเสื้อทอง เป็นหน่วยงานลับที่ขึ้นตรงต่อองค์จิ๋นซี คัดเลือกจากผู้คนแปดหมื่นคน โดยแบ่งออกเป็น

    แปดกลุ่ม กลุ่มละหนึ่งหมื่นคน จากนั้นให้ทุกคนกลืนยาพิษที่ออกฤทธิ์ภายในเจ็ดวัน

         ทุกคนต้องต่อสู้กันโดยไม่จำกัดวิธี จนสุดท้ายเหลือเพียงหนึ่งคนที่รอดชีวิต จึงจะได้รับการคัดเลือกเข้ามา

    เป็นหนึ่งในแปดมือสังหาร

         มีเรื่องร่ำลือกันว่าผู้ใดตกเป็นเป้าสังหารของมือสังหารเสื้อทอง ต่อให้โบยบินไปจนสุดขอบฟ้า ก้อไม่

    อาจรอดพ้นความตายไปได้

          เฉวียนหย่งสือ แสยะยิ้มชั่วร้าย กล่าวว่า

         "พวกท่านเมื่อรับฟังจบสิ้นแล้ว ก้อมารับความตายได้แล้ว!"

         จากนั้นมันขยับปลายกระบี่กวาดกระบี่ออก เจียงหย่งฉีเห็นสภาวะกระบี่นี้ดุร้ายยิ่ง จึงถลันหลบเลี่ยง

    เฉวียนหย่งสือไม่รอให้กระบวนท่าถึงที่สุด ก้อพลิกแพลงเป็นแทงกระบี่ใส่ใบหน้าฝ่ายตรงข้าม เจียงหย่งฉี

    ยกดาบต้านทาน เสียงดังคราหนึ่ง เจียงหย่งฉีเซถอยหลังรู้สึกสะท้านที่ข้อมือจนมือชา

          เจียงหย่งฉีครุ่นคิด หลายปีที่เราเคยประมือกับมัน มันไม่เคยใช้ฝีมือที่แท้จริงเลย คาดไม่ถึงว่ามันมี

    ฝีมือกล้าแข็งถึงเพียงนี้

         ไป่ซิ่นจงเห็นสหายเพลี่ยงพล้ำ จึงถือดาบคู่มือฟาดฟันเข้าไป

         เฉวียนหย่งสือยกกระบี่ต้านทาน จากนั้นควงกระบี่ ก่อเกิดเป็นดาวเงินระยิบระยับ ปลายกระบี่จ้วงแทง

    เจ็ดตำแหน่ง คนทั้งสองก้อตอบโต้อย่างรวดเร็ว ทั้งสามบัดเดี๋ยวรุกบัดเดี๋ยวถอย ชั่วพริบตาหักล้างกันยี่สิบ

    กว่ากระบวนท่า

         เฉวียนหย่งสือหัวร่อฮาฮา กล่าวว่า

         "ที่แท้สองพยัคฆ์แคว้นจ้าวมีฝีมือเพียงเท่านี้"

         จากนั้นมันอาศัยช่องว่าง หักศอกกระทุ้งใส่เจียงหย่งฉี เสียงกระดูกที่ทรวงอกหักดังกร๊อบ! ทรวงอกยุบ

    หาย โลหิตจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าเปรอะเปื้อน ลอยออกไปดุจว่าวสายป่านขาด

         ไป่ซิ่นจงตะโกนร้อง "พี่ใหญ่!" จากนั้นสะบัดดาบด้วยความแค้นเข้าใส่เฉวียนหย่งสืออย่างคลุ้มคลั่ง

    เฉวียนหย่งสือตั้งรับอย่างใจเย็น

         เด็กหญิงที่ยืนอย่างหวาดหวั่นอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นเจียงหย่งฉีถูกทำร้าย จนลอยออกมากระทบพืนดิน

    รีบเข้าไปประคองร่างที่บาดเจ็บร่อแร่นั้นขึ้นมา น้ำตาไหลอาบแก้มผุดผาด กล่าววาจาเสียงสะอื้น

         "ท่านอา.... ท่านอย่าเป็นอะไรนะ ท่านต้องอยู่กับเสวี่ยเหมย....นะ ฮือ..ฮือ...."

         เจียงหย่งฉี ลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น กล่าววาจากระท่อนกระแท่นขึ้นว่า

         "เด็กเอย....ท่านรีบหนี....หนีไป..."

         หลี่เสวี่ยเหมย ซึ่งเป็นทายาทที่หลงเหลือเพียงคนเดียวของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่หลี่มู่ สะบัดหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

         "เสวี่ยเหมย...ไม่ไป...เราจะตายก้อตายด้วยกัน....."

         เฉวียนหย่งสือ สะบัดกระบี่ฟาดฟันจนไป่ซิ่นจงโลหิตชโลมร่าง มองไปยังคนทั้งสอง กล่าวอย่างเยือก

    เย็นว่า

         "วันนี้ไม่มีใครไปไหนได้ทั้งนั้น พวกเจ้าต้องฝังร่างอยู่ที่แห่งนี้แหละ ฮาฮา"

         ฟางเหวินหลงซึ่งเฝ้าดูการต่อสู้ของคนทั้งสามอยู่บนกิ่งไม้ เล็งเข็มบินที่ข้อมือไปที่เฉวียนหย่งสือ แต่

    คนทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็ว จนไม่อาจกะเก็งเป้าหมายได้ ครุ่นคิดว่า

         "คนผู้นี้เคลื่อนไหวรวดเร็ว ประสาทสัมผัสต้องปราดเปรียวนัก เราต้องย่นระยะทางเข้าไปอีก"

         จากนั้นเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวังเข้าไป จนห่างจากเป้าหมายประมาณห้าเมตร แล้วซุ่มตัวคอย

    หาโอกาส

         เฉวียนหย่งสือกวาดกระบี่ออก เสียงตังคราหนึ่ง ไป่ซิ่นจงง่ามมือฉีกขาด จากนั้นเฉวียนหย่งสือเตะ

    กวาดไปที่หน้าแข้งของมันอีกครา เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น

         ไป่ซิ่นจงล้มทั้งยืน ขาทั้งสองข้างบิดเบี้ยวจนน่ากลัว ดาบยาวหลุดออกจากมือ สูญเสียความสามารถใน

    การต่อสู้อย่างสิ้นเชิง

         เฉวียนหย่งสือย่างสามขุมเข้าไปหาหลี่เสวี่ยเหมยอย่างแช่มช้า กล่าวว่า

         "เด็กน้อยมอบคัมภีร์ออกมา มิเช่นนั้นเจ้าต้องตาย!" 

         หลี่เสวี่ยเหมย จ้องมองไปที่เฉวียนหย่งสืออย่างเด็ดเดี่ยว กล่าวว่า

         "ไม่มีทาง คนชั่วช้าเช่นท่าน ได้คัมภีร์ไป ข้าพเจ้าจะกลายเป็นคนบาปของแผ่นดิน"

         เฉวียนหย่งสือ หัวร่ออย่างชั่วช้าลามก กล่าวว่า

         "เจ้าไม่มอบคัมภีร์ออกมา เราจะค้นตัวท่านค่อยๆหาคัมภีร์ออกมาเอง!"

         จากนั้นมันยื่นมือไปข้างหน้า หมายจะคว้าไปที่ตัวของหลี่เสวี่ยเหมย ขณะที่มือที่ชั่วช้าลามกของมัน

    จะกระทบถูกร่างนาง ไป่ซิ่นจงซึ่งนอนร่อแร่ปางตาย ยื่นมือทั้งสองกอดรัดขาของเฉวียนหย่งสือเอาไว้

    แล้วร้องว่า

         "คุณหนู......รีบ....รีบหนีไป!"

         เฉวียนหย่งสือมองไปที่ไป่ซิ่นจงอย่างโกรธเกรี้ยว

         "รนหาที่ตาย!"

         จากนั้นมันยกขาอีกข้างที่เหลือที่ไม่ได้ถูกกอดรัด เหยียบเข้าไปที่ศีรษะของไป่ซิ่นจง

         'โพล๊ะ!'

         เท้าของเฉวียนหย่งสือเหยียบจนศีรษะของไป่ซิ่นจงบี้แบน ดวงตาถลนออกจากเบ้า มันสมองสาดกระจาย

    ขาดใจตายทันที

         เจียงหย่งฉีเบิ่งตามองสหายรักตายอย่างอนาถ ตะโกนเสียงแหบแห้งว่า

         "น้องรองงงงงงงงง!"

         หลี่เสวี่ยเหมยเห็นภาพอันสยดสยองเบื้องหน้า สติพลันขาดหาย สลบสไลสิ้นสติไปทันที

         ฟางเหวินหลงเห็นโอกาสมาถึงแล้ว รีบยิงเข็มบินออกไปอย่างรวดเร็วทันที

         เข็มบินที่ฟางเหวินหลงกดออกติดๆกันทั้งห้าเล่มฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็ว

         เฉวียนหย่งสืออยู่ห่างออกไปประมาณสองร้อยก้าว พอได้ยินเสียงแหวกฝ่าอากาศ รีบถลันหลบไปด้านข้าง

    ตามสัญชาตญาณ แต่ฟางเหวินหลงทราบว่า คนดุร้ายผู้นี้มีผีมือปราดเปรียว จงใจยิงเข็มบินเล่มสุดท้าย

    เบี่ยงเบนเล็กน้อย  ดังนั้นเฉวียนหย่งสือแม้หลบรอดเข็มบินสี่เล่มแรก กลับถูกเข็มบินเล่มสุดท้ายยิงทะลุไหล่

    ไปต้องแผดร้องคำหนึ่ง เซถลาไปด้านหลัง

         เฉวียนหย่งสือรู้สึกบริเวณหัวไหล่ซึ่งถูกยิงใส่ปวดแปลบจับใจ ร้องอย่างเคียดแค้นว่า

         "เดรัจฉาน ผู้ใดลงมือลับๆล่อๆ!"

         ฟางเหวินหลง หัวร่อฮาฮา ตอบกลับไปว่า

         "ท่านถามนามสูงส่งของเรา เราไม่อาจบอกท่านได้ เพราะท่านยังไม่คู่ควร"

         เฉวียนหย่งสือตวาดคำ "บังอาจนัก" พร้อมกับพุ่งขวับออกไป แต่ฟางเหวินหลงซ่อนตัวไว้ก่อน

    เฉวียนหย่งสือหาไม่พบ เพิ่งเดินถึงข้างกายหลี่เสวี่ยเหมย ฟางเหวินหลงก้อยิงเข็มบินออกมาอีกชุดหนึ่ง

         ครั้งนี้เฉวียนหย่งสือระแวดระวังอยู่แล้ว สะบัดกระบี่ปัดเข็มบินทั้งหมดทิ้งไป แต่พอสะบัดกระบี่ครา

    สุดท้ายกลับไม่พบเข็มบิน แต่ไปถูกห่อบรรจุอุจจาระหมาไนที่ฟางเหวินหลงซัดแทรกเข้ามา

         พอกระบี่กระทบถูกห่ออุจจาระก้อแตกออก เศษอุจจาระกระจัดกระจายแปดเปื้อนตามตัวเฉวียนหย่งสือจน

    ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

         เฉวียนหย่งสือขุ่นแค้นจนแทบมีควันพวยพุ่งบนศีรษะ เสียงหัวร่อดังขึ้นอีกครา

         "เช่นนี้ค่อยคลับคล้ายมือสังหารเสื้อทองหน่อย ฮาฮา"

          ในชีวิตเฉวียนหย่งสือ ตั้งแต่รับตำแหน่งมือสังหารเสื้อทอง มันไม่เคยได้รับการกระทำที่เป็นการลบหลู่ถึง

    เพียงนี้มาก่อนเลย จึงคำรามกึกก้องว่า

         "เจ้าต้องตายยยย อย่าหวังว่าจะหลบหนีพ้นเลย!"  จากนั้นมันพุ่งตัวออกไปราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง

    ฟางเหวินหลงเห็นมันพุ่งตัวมาทางตน จึงหาที่กำบังจากนั้น ซัดก้อนกรวดในมือออกไป เสียงก้อนกรวดกระทบ

    ต้นไม้ดังขึ้น  เฉวียนหย่งสือได้ยินกระทบประสาทหู ร้องตะโกนขึ้นว่า

         "ข้าพบร่องรอยเจ้าแล้ว ดูสิว่าครั้งนี้ฝีเท้าเจ้าจะรวดเร็วกว่าข้าหรือไม่!"

         จากนั้นมันเร่งฝีเท้าโถมตัว กระโดดติดตามไปอย่างสุดกำลัง

         คราครั้งนี้เฉวียนหย่งสือหลงกลแล้ว ฟางเหวินหลงมองผ่านแว่นอินฟาเหรด พบว่าศัตรูแล่นตามเสียง

    ก้อนกรวดที่ตนซัดออกไปไกลมากแล้ว เขาก้อถลันออกมากล่าวเบาๆกับเจียงหย่งฉีว่า

         "ท่านลุง ไม่ต้องกลัว ข้าพเจ้ามาช่วยพวกท่าน"

         เจียงหย่งฉีลืมตาขึ้นมอง พบว่าผู้ที่พูดกับตนเองเป็นชายหนุ่มเยาว์วัยผู้หนึ่ง จึงกล่าวอย่างยากเย็นว่า

         "สหายน้อย....... เราไม่รอดแล้ว เราขอฝากหลานสาว....เราด้วย"

         ฟางเหวินหลงสบตากับเจียงหย่งฉีแน่วนิ่ง จากนั้นพยักหน้าคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

         "ขอท่านลุงจากไปอย่างวางใจ ข้าพเจ้าจะคุ้มครองนางเอง"

         เจียงหย่งฉีประกายตาแตกซ่าน กล่าววาจาอย่างลำบาก

         "ขอบ....คุณ" จากนั้นสิ้นใจจากไป

         ฟางเหวินหลงวางร่างที่ปราศจากวิญญาณนั้นลง จากนั้นพุ่งกายเข้าไปหาหลี่เสวี่ยเหมยซึ่งสลบอยู่

    จากนั้นโอบอุ้มนางขึ้นมาไว้บนหลัง โลดแล่นไปทางทิศตรงข้ามกับเฉวียนหย่งสือ วิ่งตะบึงไปอย่างรวด

    เร็ว


                                                               (จบตอน)


     

     

     

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×