ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #13 : ยอดเซียนพนัน (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.02K
      28
      21 ม.ค. 56

         ยามนี้วิกาลคล้อยดึก บนนภาฟ้ากว้าง ปรากฏดวงดาราเกลื่อนฟ้า นครหลินจวือกลับยังไม่หลับไหล
     

    ภายในเขตการค้าชั้นใน หอนางโลม บ่อนพนันกลับยังเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด
     

         ภายในห้องพนันมังกรพยัคฆ์หมอบ การเล่นพนันผ่านไปสี่ตา หยางเจิ้งเมื่อเห็นว่าฟางเหวินหลง ทุ่มแทง
    ไม่ถูกแม้แต่ครั้งเดียว ก็คลายความวิตกกังวลไปกว่าครึ่ง
     

         จงซุนเสวียนหัวและพวกกลับลอบคร่ำครวญในใจ เมื่อเห็นว่าเค้าเดิมพันที่หน้าตักฟางเหวินหลงหดหายไป
    เกินกว่าครึ่ง ผิดกับฟางเหวินหลงที่ไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดแม้แต่น้อย
     

         เผิงกุ้ยถิงมองไปที่เหมยกุยน้อยอย่างหื่นกระหาย ภายในใจครุ่นคิดว่าค่ำคืนนี้จะได้ย่ำยีนางเฉกเช่นที่เคย
    กระทำกับหญิงงามที่เคยผ่านมือมันมาในอดีตอย่างไรแล้ว แทบจะข่มความลิงโลดไว้ไม่ได้ ยิ่งทำให้ตัวมัน
    อยากให้การเล่นตาสุดท้ายผ่านไปโดยเร็ว
     

         ขณะที่หยางเจิ้งกำลังจะเตรียมหยิบฝาครอบเพื่อเขย่าลูกเต๋าในมือ ฟางเหวินหลงกลับกล่าวว่า
          "ช้าก่อน!"
     

         หยางเจิ้งเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ก็หยุดการเคลื่อนไหว เถียนเหวินซานที่จ้องมองฟางเหวินหลงอยู่ กล่าวอย่างสงสัยใจว่า
         "น้องเหวินหลงมีคำกล่าวใด?"
     

         เผิงกุ้ยถิง แค่นเสียงกล่าวว่า
         "ท่านคงไม่คิดจะกลับคำ การเล่นมาถึงขั้นนี้อย่างไรก็ต้องดำเนินต่อให้จบสิ้น หากท่านไม่ยอมเล่นต่อ เราจะ
    ถือว่าท่านเป็นฝ่ายแพ้"
     

         ฟางเหวินหลง ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า
         "ข้าพเจ้ามิได้คิดกลับคำ เพียงแต่รู้สึกว่าการเดิมพันนี้ขาดความเร้าใจ"
     

         ทุกผู้คนงงงวยในคำกล่าวนี้ หยางเจิ้งกล่าวถามว่า
         "ท่านฟางกล่าวเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีข้อเสนออันใด?"
     

         ฟางเหวินหลงฝืนยิ้ม ถอนใจเบาๆกล่าวว่า
         "บอกไปพวกท่านอาจไม่เชื่อ ข้าพเจ้ามีนิสัยประการหนึ่งคือหากไม่คิดเล่นพนันก็ไม่เล่น แต่หากจะเล่นแล้ว
    ต้องทุ่มแทงให้หนักจึงจะสามารถทำให้ข้าพเจ้าแสดงฝีมือที่แท้จริงได้"
     

         เผิงกุ้ยถิง จ้องมองฟางเหวินหลงอย่างดูแคลน คิดว่าฟางเหวินหลงประโคมอวดโอ่  หัวร่อฮาฮา
    กล่าวว่า
         "ท่านกล่าววาจาเช่นนี้ หมายความว่าท่านคิดจะเพิ่มเดิมพัน เพื่ออาศัยทรัพย์สินตระกูลจงซุนเดิมพันอย่าง
    ไม่จบสิ้น คาดหวังว่าด้วยสายป่านที่เหยียดยาวจะทำให้ท่านพลิกสถานการณ์ได้เช่นนั้นหรือ?"
     

         กัวเฮิ่นอี้ ซึ่งนิ่งสงบมาตลอด หัวร่อฮาฮา พลางกล่าวว่า
         "หากน้องเหวินหลงคิดจะเพิ่มเดิมพัน ไยต้องรบกวนเงินทองผู้อื่น ตัวเรามีเศษเงินเล็กน้อยพร้อมจะออกทุน
    ให้ท่านเอง"
     

         กล่าวจบกัวเฮิ่นอี้ โยนถุงเงินหนักอึ้งที่ล้วงออกมาจากอกเสื้อโยนลงไปบนโต๊ะพนัน ปากถุงพลันเปิดอ้า
    ทองคำเหลืองอร่ามก็ร่วงพรูออกมาจากถุงจนเหลืองอร่ามไปทั่วโต๊ะพนัน
     

         ฟางเหวินหลงกวาดตามองไปยังกัวเฮิ่นอี้ ผงกศีรษะขอบคุณคราหนึ่ง พลางกล่าวกับเถียนเหวินซานว่า
         "ข้าพเจ้าไม่คิดจะพนันอย่างยืดเยื้อ เพียงคิดจะทุ่มแทงในตาเดียว แต่เกรงว่าเค้าพนันเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ"
     

         กล่าวจบฟางเหวินหลง ล้วงเอาถุงเงินภายในอกเสื้อออกมา เทออกบนพื้นโต๊ะ ไข่มุกประกายราตรีที่เหลือ
    ทั้งแปดเม็ดก็เกลือกกลิ้งออกมา จนเกิดเเสงสีเขียวเรืองรองจนสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง
     

         ท่ามกลางสภาพที่ทุกผู้คนภายในห้องตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง ฟางเหวินหลงยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า
         "ไม่ทราบว่าท่านหยางจะรับเดิมพันนี้หรือไม่?"
     

         เค้าเดิมพันบนโต๊ะเพียงไข่มุกประกายราตรีทั้งแปดเม็ดตีราคาเม็ดละห้าพันตำลึงทอง รวมมูลค่าเป็นสี่หมื่น
    ตำลึงทองกับทองคำของกัวเฮิ่นอี้อีก รวมเป็นเค้าเดิมพันสี่หมื่นกว่าตำลึงทอง นับเป็นจำนวนเงินมหาศาลจนน่าตื่นตะลึงยิ่ง
     

         หยางเจิ้ง ระงับอาการตกตะลึงได้ก่อน ส่ายศีรษะเล็กน้อย พลางกล่าวว่า
         "คาดคิดไม่ถึงท่านฟางจะเป็นนักพนันมือหนักปานนี้ เกรงว่าด้วยทุนรอนบ่อนมังกรพยัคฆ์ของเรายังไม่อาจรับได้"
     

         ด้วยอัตราการพนันหนึ่งต่อสิบหกที่ทางบ่อนตรากฎไว้ หากฟางเหวินหลงเป็นฝ่ายชนะทางบ่อนต้องจ่ายเป็น
    เงินหกแสนกว่าตำลึงทอง นับเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลจนน่าตระหนก จึงไม่แปลกที่หยางเจิ้งซึ่งถึงจะมั่นใจใน
    ฝีมือของตัวเองเพียงใด ก็มิอาจไม่เผื่อทางถอยให้กับตนเอง
     

         กัวเฮิ่นอี้ หัวเราะเสียงดังกังวาน  ก่อนจะกล่าวว่า
         "คิดไม่ถึง บ่อนพนันมังกรพยัคฆ์ที่ใหญ่โต กลับไม่กล้ารับเดิมพัน ช่างเป็นที่น่าผิดหวังยิ่งนัก"
     

         เผิงกุ้ยถิง ขุ่นแค้นจนน่าขาวซีด ครุ่นคิดว่าฟางเหวินหลงไม่มีฝีมือพนันอันใด เพียงคิดอาศัยเค้าพนัน
    มหาศาลมาสะกดข่มตน จึงหันไปกล่าวกับเถียนเหวินซานว่า
         "พี่เหวินซาน เค้าพนันนี้ หากทางบ่อนพนันรับไม่ได้ อาศัยทรัพย์สินเงินทองของเราสองตระกูล หรือว่ายัง
    ไม่สามารถแบกรับไว้ ไม่ทราบว่าท่านพี่สนใจจะเข้าร่วมกับข้าพเจ้าหรือไม่?"
     

         หยางเจิ้ง กล่าวแทรกขึ้นว่า
         "หากท่านเถียนตัดสินใจร่วมทุน เราหยางเจิ้งมีทุนรอนน้อยนิดขอกัดฟันเข้าร่วมส่วนหนึ่ง"
     

         ทุกผู้คนกวาดตามองไปยังเถียนเหวินซาน ดูว่ามันจะตัดสินใจอย่างไร?

         เถียนเหวินซานกล่าว ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า
         "เพื่อมิให้ทุกท่านหมดสนุก เหวินซานขอร่วมลงทุนด้วย จะเป็นอย่างไร?"
     

         เผิงกุ้ยถิงหัวร่อดังยาวนาน จ้องมองไปที่ฟางเหวินหลง พลางกล่าวว่า
         "ครั้งนี้ทุนรอนฝั่งเรามีพร้อม หวังว่าท่านคงไม่ประพฤติตัวเป็นเต่าหดหัว"
     

         ฟางเหวินหลง ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำเผิงกุ้ยถิง แต่หันไปกล่าวกับหยางเจิ้งขึ้นว่า
         "ท่านหยางเชิญ"
     

         จงซุนเสวียนหัวซึ่งมีเหงื่อผุดเต็มใบหน้า โน้มกายไปกระซิบที่ข้างหูฟางเหวินหลงว่า
         "น้องเหวินหลงมีความมั่นใจเพียงใด?"
     

         ฟางเหวินหลง หันไปฝืนยิ้ม พลางกล่าวว่า
         "เมื่อการเเข่งยังไม่เริ่ม ย่อมมีความมั่นใจห้าส่วน"
     

         หยางเจิ้งพลันกล่าวว่า
         "เราจะเขย่าลูกเต๋าแล้ว ขอท่านฟางเตรียมพร้อมด้วย"
     

         กล่าวจบหยางเจิ้งหยิบฝาครอบชูขึ้นสูง ดวงตาสาดประกายวาววับ จับจ้องไปที่ลูกเต๋าทั้งสามลูก มือขวาที่
    จับฝาครอบวาดไปทางซ้าย ทางขวาสลับไปมา เพิ่มระดับความเร็วมากขึ้น
     

         จากนั้นมันอาศัยความรวดเร็วที่ไม่อาจมองตามได้ทัน วาดมือลงต่ำกวาดเอาลูกเต๋าทั้งสามลูกเข้าไปไว้ใน
    ฝาครอบเขย่าลูกเต๋าบังเกิดเสียงดังติงๆเป็นจังหวะเร่าร้อน เสียงลูกเต๋ากระทบกับฝาครอบดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง
     

         หยางเจิ้งเหงื่อกาฬไหลหยาดหยดจากใบหน้ารดใส่เสื้อขาวสะอาดที่สวมใส่จนชุ่มเปียกไปด้านหนึ่ง แต่
    มือขวาก็ยังคงเขย่าลูกเต๋าไม่หยุด ดวงตาก็สาดประกายเย็นเยียบจ้องมองไปที่ฟางเหวินหลงที่จ้องมองมาที่
    ตัวมันไม่กระพริบ
     

         สายตาทั้งสองคู่จดจ้องใส่กันอย่างไม่ลดละ เป็นเวลาครู่ใหญ่สุดท้ายหยางเจิ้งคว่ำถ้วยที่ใช้เขย่าลูกเต๋าลง
    บนพื้นโต๊ะด้วยเสียงอันดังกึกก้อง จนโต๊ะที่จัดสร้างด้วยเนื้อไม้อันแข็งแกร่งสั่นไหว ลูกเต๋าภายในถ้วยยัง
    ไม่หยุดเคลื่อนไหว ยังคงส่งเสียงกระทบกันอีกครู่ใหญ่ก็สงบลง
     

         หยางเจิ้ง กล่าวกับฟางเหวินหลงด้วยเสียงอันสั่นเทากับฟางเหวินหลงว่า
         "ท่านฟางเชิญแทงได้"
     

         ฟางเหวินหลงจ้องมองไปที่ฝาครอบลูกเต๋าบนพื้นโต๊ะ จากนั้นหันไปมองที่หยางเจิ้ง ยิ้มอย่างเยือกเย็นก่อนจะกล่าวว่า
         "ท่านหยาง ยอดเยี่ยมยิ่งนัก"

     

         กล่าวจบ พลันผลักดันเบี้ยพนันมหาศาลเบื้องหน้าออกไป กล่าวว่า
         "หนึ่ง สอง สาม สี่ สิบแต้ม!"


         ทุกผู้คนงงงวยกับคำกล่าวของฟางเหวินหลง ลูกเต๋ามีสามลูก ไฉนขานแต้มลูกเต๋าถึงสี่ลูก?


         จงซุนเสวียนหัว พลันผุดลุกจากที่นั่ง รีบกล่าวกับฟางเหวินหลงว่า
         "น้องเหวินหลง ไฉนท่านขานแต้มลูกเต๋าเท่ากับลูกเต๋าสี่ลูก หากท่านกล่าวผิดพลาดรีบแก้ไขตอนนี้ยังพอจะทันเวลา"


         สุ้มเสียงอันน่าชังของเผิงกุ้ยถิงดังขึ้นว่า
         "ท่านคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เช่นนั้นหรือ? ข้าพเจ้าในฐานะผู้ร่วมทุนเดิมพันขอกล่าวแทนท่านหยางให้นับ
    คำขานแต้มที่ท่านกล่าวออกมาแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนได้!"


         ฟางเหวินหลง จ้องมองไปที่เผิงกุ้ยถิง ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า
         "เปลี่ยนไม่ได้จะนับเป็นอย่างไร?"


         จงซุนเสวียนหัว กล่าวอย่างเคร่งเครียดขึ้นว่า
         "การแข่งครั้งนี้สำคัญยิ่งนัก ชะตากรรมของเหมยกุยยังขึ้นอยู่กับผลแพ้ชนะนี้  หรือว่าน้องท่านตัดใจ
    ละทิ้งได้?"


         ฟางเหวินหลงหันกายไปก็พบกับดวงตาสุกใสจ้องมองมาที่ตนเอง จึงกล่าววาจาเสียงอ่อนโยนขึ้นว่า
         "เหมยกุยน้อยเชื่อมั่นข้าพเจ้าหรือไม่?"


         เหมยกุยน้อย แม้นจะเกรงกลัวเพียงใด เมื่อสบตากับชายในดวงใจ กลับรู้สึกมีความอบอุ่นแผ่ซ่านในใจ
    ดวงตาปรากฎประกายความรักลึกล้ำ กล่าววาจาเสียงอ่อนหวานขึ้นว่า
         "ชีวิตเหมยกุยมอบแก่ท่านฟางแต่แรก ทุกอย่างแล้วแต่ท่านตัดสินใจ"


         จงซุนเสวียนหัวลอบสั่นศีรษะอย่างผิดหวัง ฟางเหวินหลง กล่าวว่า
         "พี่เสวียนหัวจะกลัดกลุ้มไปใย ในเมื่อถ้วยยังไม่เปิดออก โอกาสของเรายังมีครึ่งต่อครึ่ง"


         จากนั้นหยุดเล็กน้อย หันไปมองเถียนเหวินซานก่อนจะยิ้มอย่างลึกซึ้งเยือกเย็น กล่าวว่า
         "อีกอย่างหนึ่ง จะให้ข้าพเจ้าขานแต้มใหม่ หากท่านเผิงไม่เห็นด้วย พี่เหวินซานก็คงไม่อาจทำอย่างไรได้กระมัง?"


         กัวเฮิ่นอี้ ลอบสาแก่ใจ เห็นว่าคำพูดนี้จี้ถึงใจดำอีกฝ่าย


         เถียนเหวินซานงงงัน ดวงตาทอประกายอำมหิตวูบหนึ่ง ก่อนจะเค้นรอยยิ้ม กล่าวว่า
         "เป็นเช่นนั้นจริง เค้าเดิมพันครั้งนี้สูงยิ่ง ทำให้ข้าพเจ้ามิอาจไม่เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม
    ขอน้องเหวินหลงอย่าได้ถือสา"


         ฟางเหวินหลง เห็นว่าคนผู้นี้ถึงจะเป็นฝั่งตรงข้ามกับตน แต่การวางตัวเหมาะสมยิ่ง ยากจะเรียกความ
    โกรธขึ้งจากตนได้ ได้แต่ทอดถอนใจ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำจากวาทะโกวเล้ง ขึ้นว่า
         "คนอยู่ในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง ท่านไม่ต้องใส่ใจไป"


         เถียนเหวินซาน ผงกศีรษะ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า
         "คำกล่าวนี้ กล่าวได้ลึกซึ้งยิ่งนัก ถึงค่ำคืนนี้ผลแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร ตัวเราก็ถือว่าน้องเหวินหลงเป็น
    ผู้รู้ใจ" 


         จากนั้นหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า
         "ท่านหยาง เปิดถ้วย!"


         หยางเจิ้ง ผงกศีรษะ เปิดถ้วยมองเห็นจำนวนแต้มลูกเต๋า  สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป


         ลูกเต๋าภายในถ้วย สองลูกแรกออกแต้มหนึ่งกับสองแต้ม ลูกที่สามกลับแตกออกเป็นสองซีกหงายแต้ม
    เป็นสามกับสี่แต้ม รวมเป็นสิบแต้ม ฟางเหวินหลงแทงถูกในตาเดียว กวาดเงินเดิมพันหกแสนกว่าตำลึงทอง!


         ฟางเหวินหลงกับพวก เดินออกจากบ่อนมังกรพยัคฆ์ ห้วงสมองยังปรากฏภาพสีหน้าผิดหวัง
    ซึมเซาของเผิงกุ้ยถิง เถียนเหวินซานและหยางเจิ้ง


         จงซุนเสวียนหัว ทอดถอนลมหายใจ กล่าวว่า
         "การเล่นพนันในค่ำคืนนี้ช่างเร้าใจยิ่ง คาดว่าชั่วชีวิตมิอาจลืมเลือนได้ ข้าพเจ้านับถือน้องเหวินหลง
    ทั้งปากและใจ ศิษย์อย่างท่านยังร้ายกาจปานนี้ ท่านเกาจิ้งคงมีฝีมือการฟังเสียงลูกเต๋าเลิศล้ำดุจเทพยดา
    ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะกราบท่านโคตรเซียนเป็นอาจารย์  ไม่ทราบชาตินี้จะมีวาสนาไหม?"


         ฟางเหวินหลง กุมมือเหมยกุยน้อยซึ่งเดินเคียงข้าง ไม่ได้กล่าวตอบอะไร ได้แต่ฝืนยิ้มคราหนึ่ง
    ภายในใจ ครุ่นคิด หากท่านจะกราบโคตรเซียนคงต้องไปกราบในภาพยนตร์ที่เขาเคยผ่านตาแล้ว


         การพนันในค่ำคืนนี้หวาดเสียวยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่า ยูไลพันมือหยางเจิ้ง จะมีฝีมือการเขย่าลูกเต๋าเลิศล้ำ
    ถึงขั้นสามารถเขย่าจนลูกเต๋าแตกออกเป็นสองซีกได้ หากเขาไม่อาศัยคอนแทกเลนส์เอ็กซเรย์วัตถุ ซึ่งเป็น
    นวตกรรมในอนาคต ที่สามารถมองทะลุฝาครอบจนเห็นแต้มลูกเต๋าคงไม่สามารถเอาชนะได้


         จากนั้นเขาฉุกใจคิดขึ้นว่าเมื่อเผิงกุ้ยถิงแพ้พนันย่อยยับเพียงนี้ คงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เขาจึงหันไป
    กล่าวกับคนทั้งสามขึ้นว่า
         "จิตใจคนยากหยั่งคำนวณ พี่เสวียนหัวนำเหมยกุยน้อยขึ้นรถม้าออกทางประตูหลังบ่อนพนันไปก่อน
    ข้าพเจ้ากับพี่เฮิ่นอี้ จะออกทางประตูหน้า พวกเราไปสมทบกันที่ตึกตระกูลจงซุน"


         จงซุนเสวียนหัว ขมวดคิ้วกล่าวว่า
         "น้องเหวินหลง คาดว่าพวกมันจะลอบทำร้ายหรือ?"


         ฟางเหวินหลง ผงกศีรษะคราหนึ่ง กล่าวว่า
         "เผิงกุ้ยถิงขโมยข้าวไม่สำเร็จ ขาดทุนข้าวไปกำมือ อาจจะเกิดความคิดเช่นนี้ พวกเราวางแผนป้องกันไว้
    อย่างไรจะปลอดภัยกว่า"


         จงซุนเสวียนหัว กล่าวว่า
         "พวกท่านเพียงสองคนเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจไว้วางใจ"


         กัวเฮิ่นอี้ หัวร่อฮาฮา กล่าวว่า
         "ท่านจงซุน วางใจเถอะ มีเรากัวเฮิ่นอี้ ข้าพเจ้ารับรองว่าจะคุ้มครองเหวินหลงกลับไปอย่างปลอดภัย"


         เหมยกุยน้อย สีหน้าขาวซีด สั่นศีรษะเล็กน้อย ไม่ยอมแยกจากไป ฟางเหวินหลงต้องกล่าวคำปลอบ
    ประโลมอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงยอมตัดใจแยกจากไป
        




                                                                        (จบตอน)
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×