ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #5 : แปดมือสังหารเสื้อทอง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.82K
      42
      4 ก.ย. 55

     ลมยะเยือกที่พัดผ่าน ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างฟ้า ยังมีเงาร่างสายหนึ่งโลดแล่นอยู่ตาม

    ยอดไม้

         ฟางเหวินหลงแบกหญิงสาวนางหนึ่งอยู่บนแผ่นหลังกระโดดโลดแล่นอยู่กลางหุบเขาลึก

    ด้วยประสิทธิภาพของแผ่นรองรองเท้าเหินบิน (power insole) เขากระโดดครั้งหนึ่งสามารถลอยตัวไปไกล

    ได้ถึงสองลี้ น้ำหนักของหญิงสาวที่อยู่บนแผ่นหลังแทบไม่มีผลกับความเคลื่อนไหวของเขาเลย

         ลมเย็นที่โชยลูบใบหน้า ทำให้หลี่เสวี่ยเหมยค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากรู้สึกตัวพบว่าตนเองอยู่บน

    แผ่นหลังชายที่ตนไม่รู้จัก รู้สึกอับอายจนใบหน้าแดงซ่าน เอ่ยปากถามขึ้นอย่างุนงง

         "ท่านเป็นใคร? ท่านอาของข้าพเจ้าอยู่ที่ใด?" 

         ฟางเหวินหลง แม้นทราบว่าหญิงสาวฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว ยังไม่ตอบคำใด อึดใจเดียววิ่งเป็นระยะทาง

    เจ็ดแปดลี้ มุ่งไปยังป่าเขารกร้างเมื่อถึงตอนท้ายถึงกับไร้สิ้นทาง พอมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งค่อยคลายใจลง

         จากนั้นวางนางลง หันกายไปกล่าววาจาว่า

         "แม่นางน้อย ข้าพเจ้ามิใช่คนร้าย ไม่ต้องกังวลใจไป"

         หลี่เสวี่ยเหมยเห็นบุรุษที่เบื้องหน้ารูปกายสูงโปร่ง หน้าตามอมแมม แต่ดวงตาคู่นั้นส่องประกายสดใสดู

    เป็นมิตร จึงรู้สึกคลายใจลง กล่าวว่า

         "ท่านยังไม่ตอบข้าพเจ้า ท่านอาข้าพเจ้าอยู่ที่ใด?" 

         ฟางเหวินหลงจ้องมองเห็นนางมีอายุเพียงสิบสองสิบสามปี แม้นว่าใส่เสื้อผ้าเยี่ยงชาวบ้านธรรมดา แต่ยัง

    ไม่อาจปกปิดเรือนร่างที่อ้อนแอ้นแน่งน้อย เค้าใบหน้าสวยซึ้งผุดผาด ถึงว่าจะยังไม่เจริญเติบโตเต็มสาวดี

    เเต่เมื่อเทียบกับหญิงสาวที่ฟางเหวินหลงเคยพบเจอมา นางนับเป็นหญิงงามที่สุดที่เขาเคยพบเจอ

         ชั่วครู่ฟางเหวินหลง เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หลี่เสวี่ยเหมยรับฟัง

         เมื่อนางฟังคำบอกเล่าของเขาจนจบ น้ำตาสุกใสเกลือกกลิ้งลงอาบแก้มสะอึกสะอื้นพลางกล่าวว่า

         "เป็นเพราะข้าพเจ้า ท่านอาทั้งสองถึงต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้"    

    ฟางเหวินหลงเอียงหน้าพินิจพิจารณาใบหน้าหลี่เสวี่ยเหมย ยามนั้นเมฆดำสลายคลาย แสงจันทร์สาดเฉียงๆ

    ลงมาใบหน้านางเคลือบคลุมด้วยประกายสีเงินจางๆชั้นหนึ่ง ยิ่งงามผุดผาดกว่าเดิม จากนั้นกล่าวปลอบใจนาง

    ว่า

         "แม่นางอย่าเพิ่งเศร้าโศกเสียใจไป ตอนนี้เราทั้งสองยังไม่รอดพ้นวิกฤติ ศัตรูยังตามล่าเราอยู่ 

    ว่าแต่แม่นางมีแผนจะทำอย่างไรต่อไป"

         หลี่เสวี่ยเหมยหันไปมองหน้าฟางเหวินหลง พยักหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า

         "ท่านผู้มีพระคุณมีนามว่าอะไร ข้าพเจ้าชื่อว่าหลี่เสวี่ยเหมย ถ้าท่านไม่รังเกียจเรียกข้าพเจ้าว่าเสวี่ยเหมย

    ก้อได้"

         ฟางเหวินหลงแนะนำตนเองต่อนาง จากนั้นนางบอกต่อเขาว่า

         "ท่านอาบอกกับข้าพเจ้าว่าจะหลบหนีไปพึ่งพาสหายที่แคว้นฉี ตอนนี้เราก้อห่างจากแคว้นฉีไม่ไกลแล้ว

    ถ้าเราเดินทางไปทางใต้ คาดว่าถึงตอนย่ำรุ่งน่าจะไปถึง"

         ฟางเหวินหลงบอกต่อนางว่า

         "เช่นนี้เรารีบออกเดินทางกันเถอะ"

         ยามนั้นวิกาลดึกดื่น ท่ามกลางป่าเขา คนทั้งสองเดินทางไปตามทางเกวียนเล็กๆมุ่งสู่เมืองฉี ท่ามกลาง

    ความมืดมิด

         นอกจากได้ยินเสียงสุนัขป่าเห่าหอนเป็นครั้งคราว นอกจากนี้มีแต่ความเงียบสงัด

         หลี่เสวี่ยเหมยได้ยินเสียงสุนัขป่าเห่าหอน รู้สึกกลัวจนร่างสั่นระริก ฟางเหวินหลงจึงกุมมือที่ขาวแทบโปร่ง

    แสงของนางไว้ แล้วกล่าวโดยไม่หันไปมองว่า

         "เสวี่ยเหมยไม่ต้องกลัว ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะคุ้ัมครองท่านแล้ว รับรองว่าท่านจะปลอดภัยแน่นอน ถ้าเกิด

    ใครจะทำอันตรายท่านต้องข้ามศพเราฟางเหวินหลงไปก่อน"

         หลี่เสวี่ยเหมยเริ่มแรกรู้สึกเขินอายที่กุมมือกับบุรุษที่เพิ่งเคยพบเจอเพียงไม่นานผู้นี้ แต่หลังจากได้ยิน

    คำกล่าวนี้ความอบอุ่นก้อแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจดวงน้อยของนาง

         นางรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่แฝงความจริงใจของเขา ทำให้รู้สึกได้ว่านางไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายในโลกนี้

    เพียงลำพังอีกแล้ว จึงกุมมือเขาตอบอย่างแนบแน่น 

         ทันใดนั้น ที่เบื้องหน้าคนทั้งคู่ปรากฎเงาร่างคนผู้หนึ่งยืนหยัดขวางเส้นทางอยู่ ฟางเหวินหลงดึงมือให้

    หลี่เสวี่ยเหมยชะงักฝีเท้าเอาไว้

         คนผู้นั้นส่งเสียงหัวร่อดังขึ้น พร้อมกล่าวว่า

         "ช่างเป็นคำพูดที่หวานหูยิ่งนัก เจ้าทั้งสองมาสาย ปล่อยให้ข้าต้องรอคอยจนรู้สึกเมื่อยขบไปหมด

    ทั้งตัวแล้ว"

         คนที่กล่าววาจานี้คือเฉวียนหย่งสือนั่นเอง หลังจากที่มันหลงกลล่อเสือออกจากถ้ำ หลังจากฉุกใจคิดได้

    ก้อย้อนกลับมาที่เดิม แต่ปรากฎว่าหลี่เสวี่ยเหมยได้หายไปแล้ว

         หลังจากที่มันระงับอารมณ์โกรธเกรี้ยวลงได้ ก้อครุ่นคิดว่าอย่างไรนางคงต้องหลบหนีไปที่เมืองฉี เพื่อไปหา

    เผิงหยางผิงผู้เป็นตาที่เป็นคหบดีใหญ่ที่แคว้นฉีเป็นแน่ จึงมาดักรออยู่ที่แห่งนี้

          ฟางเหวินหลง คลายมือจากหลี่เสวี่ยเหมย ชักดาบคู่มือออกมา ปรายตาบอกกับนางพร้อมกับพูดเบาๆว่า

         "ท่านหลบไปที่ด้านข้างก่อน"

         จากนั้นจ้องมองไปที่เฉวียนหย่งสือ หัวร่อฮาฮา แล้วกล่าวว่า

         "เหม็นคลุ้งยิ่งนัก สงสัยว่ามูลหมาไนไม่เพียงแต่เลอะตามตัวท่าน สงสัยว่าจะกระเซ็นเข้าไปในปากด้วย

    จึงกล่าววาจาออกมาส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งออกมาด้วย ฮาฮา" 

         เฉวียนหย่งสือโมโหโกรธาจนแทบมีเปลวไฟพุ่งออกจากดวงตา จ้องมองไปพบว่าฟางเหวินหลงเป็น

    เด็กหนุ่มเสื้อผ้าขาดวิ่นผู้หนึ่ง จึงกระชากเสียงกล่าวว่า

         "เด็กน้อยเจ้าแส่หาที่ตาย สวรรค์มีทางเดินเจ้าไม่ไป นรกไม่มีประตูดันจะเข้ามา วันนี้ถ้าข้าไม่สับเจ้า

    เป็นชิ้นๆ จะไม่ขอใช้ชื่อเฉวียนหย่งสืออีก!"  

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดว่า คนผู้นี้มีฝีมือในทางแกร่งกร้าว เราต้องใช้เพลงมวยหวิงชุน (หย่งชุน) แฝงใน

    เพลงดาบในแนวทางสลายพลังของมันก่อน จากนั้นค่อยใช้เพลงดาบในแนวฟาดฟัน (เคนโด้) โดยอาศัยพลัง

    จากปลอกแขนเพิ่มพลัง (Power ARM) น่าจะรับมือมันได้

    ปล.

    มวยหวิงชุน (หย่งชุน)

    แตกต่างจากกังฟูแบบอื่นอย่างชัดเจน เป็นมวยที่ไม่ต้องใช้พละกำลังหรือแรงกายมากนัก เหมาะสมกับสรีระ

    ของผู้หญิงที่แรงกายอ่อนกว่าผู้ชาย แต่เน้นในการป้องกันตัวและจู่โจมในระยะสั้นแบบรวดเร็ว

    เคนโด้ - วิถีแห่งดาบ

    "เคนโด้" คือ ศิลปวิทยายุทธ์ อันมีความหมายว่า "วิถีแห่งดาบ" ที่มีพื้นฐานจากการใช้ดาบของซามูไร ซึ่ง

    สืบทอดกันมาตั้งแต่ค.ศ.789  นอกจากจะเป็นวิชาการต่อสู้ที่รวดเร็วและเด็ดขาดแล้ว เคนโด้ยังแฝงหลัก

    จริยธรรมของนักรบและความลึกล้ำด้านจิตวิญญาณของศาสนาไว้อีกด้วย

         คิดดังนี้แล้วฟางเหวินหลง หัวร่อเสียงกังวาน กล่าวว่า

         "ถ้าท่านไม่ใช้ชื่อ เฉวียนหย่งสือ เปลี่ยนชื่อเป็น เฉวียนเหม็นคลุ้ง น่าจะเหมาะกับท่านมากกว่า ฮาฮา"

         เฉวียนหย่งสือดวงตาสาดประกายดุร้ายตะโกนออกมาอย่างขาดสติว่า

         "ตายยซะเถอะ!"

         จากนั้นพุ่งกายสะบัดกระบี่ฟาดฟันจากเบื้องบนลงมาอย่างดุดัน หมายจะผ่าศัตรูให้เป็นสองเสี่ยง

    มุมปากฟางเหวินหลงปรากฎรอยยิ้มวูบหนึ่ง ถอยกายไปเบื้องหลังครึ่งก้าว แสร้งทำเป็นหลุดพ้นจากกระบี่นี้

    อย่างหวุดหวิด

         เฉวียนหย่งสือยามขาดสติ คาดว่าเด็กน้อยเบื้องหน้าเพียงโชคดีที่สามารถหลบพ้นกระบี่นี้ได้ จึงฟันกระบี่

    ที่สองจากด้านข้างใส่แขนซ้ายของฟานเหวินหลงอีกครั้ง

         ฟางเหวินหลงเห็นกระบี่นี้ฟาดฟันมา เขายกดาบในมือสะกิดใส่ปลายกระบี่เบาๆ ปัดป่ายกระบี่พ้นห่าง

    ออกไป

    เฉวียนหย่งสือกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะฉวยโอกาสรุกไล่ ควงกระบี่วกกลับมาคุ้มครองช่องว่างรอยโหว่ไว้

         ฟางเหวินหลงก้อแกล้งเป็นอ่อนล้า เผยช่องว่างตรงใบหน้าขึ้น เฉวียนหย่งสือเห็นช่องว่าง จึงเปลี่ยน

    กระบวนท่าจากรับเป็นรุก พริบตานั้นประกายกระบี่สาดกระจาย ครอบคลุมใส่ฟางเหวินหลง

         ฟางเหวินหลงถึงจะวางหมากหลอกล่อ แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามมีเพลงกระบี่เลิศล้ำถึงเพียงนี้ ได้แต่ใช้

    เคล็ดหย่งชุน พลิกแพลงคิดปัดป่ายกระบี่ออกไป

         เสียงเคร้งดังสดใส เงากระบี่ของเฉวียนหย่งสือแตกสลาย จากนั้นหดรั้งกลับแล้วยืดปราดออก กลายเป็น

    บุปผากระบี่อีกวงหนึ่ง ไล่ติดตามมาดุจดาวตก ฟางเหวินหลงก้อสลับเท้าอย่างพิศดาร ฉากหลบออกด้านข้าง

    อย่างว่องไว

         เงาร่างทั้งสองบัดเดี๋ยวปะทะ บัดเดี๋ยวถอยห่างจนหลี่เสวี่ยเหมยที่ชมดูอยู่ด้านข้างต้องยกมือปิดปากอย่าง

    ลืมตัว

         ฟางเหวินหลงอาศัยการเข้าปะทะอย่างฉาบฉวยโดยเน้นไปที่ทางด้านซ้ายของเฉวียนหย่งสือ ซึ่งเป็นจุดที่

    ไหล่ซ้ายของมันถูกเข็มบินยิงใส่

         หลังจากฟาดฟันกันอีกสิบกว่ากระบี่ เริ่มมีโลหิตไหลซึมออกจากปากแผลของมันจนเสื้อด้านนอกเป็นวง

    เล็กๆสองสามวง ส่วนฟางเหวินหลงก้อถูกฟันจนได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายแผลหนึ่ง

         เสียงดาบกระบี่กระทบกันเสียงดังกังวานอีกครั้ง จากนั้นคนทั้งสองต่างลอยตัวออกห่างจากกัน

    ฟางเหวินหลงยกดาบขึ้นขวางใบหน้า ลอบหอบหายใจ จากนั้นตั้งกระบวนท่าตั้งรับอย่างรัดกุม

         เฉวียนหย่งสือจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าอย่างรู้สึกพิสวงงงงวย คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ยังเยาว์วัย แต่มี

    เพลงดาบร้ายกาจถึงเพียงนี้ นอกจากจะสามารถรับมือเพลงกระบี่ตนได้หลายสิบกระบวนอย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ

    บางขณะยังหาช่องว่างตีโต้กลับมาได้อีกด้วย

         ฟางเหวินหลงเห็นเฉวียนหย่งสือไม่บุกเข้ามา จึงกล่าววาจายั่วยุว่า

         "เฉวียนเหม็นคลุ้ง ท่านเกรงกลัวแล้วหรือ จึงไม่กล้าบุกเข้ามา ฮาฮา"

         เฉวียนหย่งสือ ข่มโทสะที่ประดังเข้ามา กล่าววาจาตอบโต้ไปว่า

         "เด็กน้อย พูดตามตรงว่าข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมในตัวเจ้าไม่น้อย เจ้าอายุยังเยาว์แต่ฝีมือสูงถึงเพียงนี้ ขอเพียง

    เจ้ามอบสาวน้อยผู้นี้มา ข้าพเจ้าสัญญากับเจ้าว่าจะมอบหญิงที่งามกว่าแม่นางน้อยนี้ให้กับเจ้าอีกสิบคน รวมทั้ง

    โอกาสในการรับใช้ต้าอ๋องแห่งแคว้นฉินเราอีกด้วย "     

         ข้อเสนอที่เฉวียนหย่งสือเสนอมานี้ นับว่าเป็นข้อเสนอที่ดียิ่ง เพราะแคว้นฉินขณะนี้เป็นแคว้นที่เรืองอำนาจ

    ที่สุด และตามประวัติศาสตร์ยังสามารถรวมแผ่นดินได้สำเร็จอีกด้วย ขอเพียงฟางเหวินหลงพยักหน้าครั้งเดียว

    ก้อสามารถเข้าร่วมกับแคว้นฉิน สามารถเสพสุขวาสนาไม่สิ้น

         แต่เขาสามารถกระทำเรื่องที่ผิดมโนธรรมนี้ได้หรือ หญิงสาวที่ไร้หนทางต่อสู้จะต้องประสบชะตากรรมที่

    เลวร้าย เมื่อตกอยู่ในมือคนชั่วช้าเช่นเฉวียนหย่งสือคงได้รับความทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น

         คิดได้ดังนี้แล้ว ฟางเหวินหลงสาดสายตาเกรี้ยวกราดไปยังเฉวียนหย่งสือ กล่าววาจาตอบไปว่า

         "เฉวียนหย่งสือ ท่านทราบหรือไม่ว่าลูกผู้ชายมีบ้างพึงกระทำ บ้างไม่พึงกระทำ บางเรื่องบางประการ

    หากท่านทราบว่ามิสามารถทำได้ ยังมิอาจไม่กระทำ ข้อเสนอที่ให้ข้าพเจ้ากระทำเรื่องผิดทั้งมโนธรรม

    คุณธรรมและจริยธรรมเช่นนี้ ต่อให้ข้าพเจ้าต้องตายก้อไม่อาจกระทำได้"

         จู่ๆเบื้องบนศีรษะของคนทั้งสอง ก้อมีเสียงหัวร่อดังกังวานขึ้น

         "เด็กน้อย เจ้ากล่าววาจาได้ดี ถูกใจเรายิ่งนัก ฮาฮา"

         คนทั้งสามใจหายวาบ คาดคิดไม่ถึงว่านอกจากพวกตนที่อยู่ ณ ที่นี้แล้ว ยังมีบุคคลอื่นอีกด้วย

         ฟางเหวินหลง พอเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นบนกิ่งไม้ใหญ่เหนือศีรษะของตนยืนไว้ด้วยชายชรา

    ผมเผ้าขาวโพลน จมูกงองุ้มประดุจเหยี่ยว เบ้าตาลึกกลวง สีผิวขาวนวลราวหิมะในชุดสีเทาหม่นผู้หนึ่ง

         ฟางเหวินหลง ครุ่นคิด

         'ผู้เฒ่าท่านนี้เป็นใครกันนะ ไฉนมายืนอยู่เหนือศีรษะเรา โดยที่เครื่องฟังเสียงของเราไม่ได้ยินได้?'

         เฉวียนหย่งสือ กระชากเสียงขึ้นว่า

         "เจ้าเฒ่า ถ้ายังไม่อยากตาย ก้อรีบไสหัวไปซะ!"

         ทันใด   เฉวียนหย่งสือรู้สึกมีลมวูบหนึ่งพัดใส่ใบหน้า จากนั้นแก้มสองข้างของมันถูกตบ เพียะ! เพียะ!

    หลังจากสลัดความมึนงง พบว่าแก้มสองข้างบวมแดงจนโลหิตไหลซึมจากปาก เมื่อมองไปพบว่าชายชราผู้นั้น

    หายไปจากสายตา จึงมองไปยังฟางเหวินหลงเห็นว่าสายตาของมันมองไปที่ด้านหลังของตน เมื่อมองตามไป

    พบว่าชายชรายืนสงบนิ่งเอามือไพล่หลังห่างจากตนไปประมาณสองวา (สี่เมตร)

         ฟางเหวินหลง ครุ่นคิด 'รวดเร็วยิ่งนัก'  ความเร็วของคนผู้นี้ รวดเร็วจนเหลือเชื่อว่าเป็นความสามารถของ

    มนุษย์ ขนาดนักกีฬาโอลิมปิกในสมัยตนดูแล้วยังกระทำไม่ได้

        เฉวียนหย่งสือเพ่งมองไปที่ชายชราอีกครั้ง ฉุกใจนึกถึงคนผู้หนึ่ง จากนั้นพบว่าแขนขาของมันสั่นสะท้าน

    จนไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ กล่าววาจาเสียงสั่นสะท้านว่า

         "ท่าน...ท่านคือเ.........."

         ชายชราผู้นั้น กราดสายตาเกรี้ยวกราดใส่เฉวียนหย่งสือ ก่อนที่มันจะพูดจบประโยค

         "ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ก้อจงสงบปากสุนัขของเจ้าซะ"

         เฉวียนหย่งสือเมื่อได้ยินเสียงออกคำสั่งของชายชราผู้นี้ ก้อไม่กล้าพูดอะไรต่อแม้แต่คำเดียว

         ฟางเหวินหลงอดแปลกใจไม่ได้ว่าศักดิ์ศรีของคนผู้นี้สูงส่งขนาดไหนกัน แม้แต่หนึ่งในแปดมือสังหาร

    เสื้อทองที่ผู้คนต่างหวาดหวั่นยังหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้  

         ชายชรากล่าวต่อว่า "ตอนนี้เราไม่มีธุระอันใดกับเจ้าแล้ว ไสหัวไปซะ!"

          เฉวียนหย่งสือได้ยินคำกล่าวนี้ รู้สึกราวกับตายแล้วเกิดใหม่ ระงับความรู้สึกลิงโลด รีบกล่าวคำอำลา

         "ผู้อาวุโสมีคำสั่ง ข้าพเจ้าขออำลา"

         ขณะที่ เฉวียนหย่งสือกำลังจะหันกายจากไปนั้น ชายชราก้อกล่าววาจาอีกว่า

         "หยุดก่อน!"

          เฉวียนหย่งสือชะงักฝีเท้าไว้ ทั้งที่ใจจริงๆของมันแทบอยากจะรีบกระโดดทะยานหนีไปอย่างสุดฝีเท้า

    ก้อตาม

         ชายชรา จ้องมองไปที่เฉวียนหย่งสือ กล่าวคำพูดว่า

         "เจ้ามาคลุกคลีอยู่ในแวดวงนักเลง เจ้าไม่รู้จักกฎเกณฑ์ธรรมเนียม จะจากไปเช่นนี้หรือ!"    

         ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังกล่าววาจาโต้ตอบกันอยู่ ฟางเหวินหลงก้อเดินไปหาหลี่เสวี่ยเหมยที่ด้านข้าง

    กล่าวาจาเร่งร้อนที่ข้างหูนางว่า

         "เสวี่ยเหมย ท่านฉวยโอกาสนี้ รีบหนีไปก่อน"

         หลี่เสวี่ยเหมย รีบสั่นศีรษะ แล้วกล่าวว่า "พี่เหวินหลง ท่านก้อไปกับข้าพเจ้าด้วย"

         ฟางเหวินหลง กล่าวว่า "ข้าพเจ้ายังไปไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องอยู่ถ่วงเวลาที่นี่ก่อน ท่านรีบล่วงหน้าไปตาม

    สหายของท่านอาท่านมาช่วยข้าพเจ้า"

         หลี่เสวี่ยเหมย หลั่งน้ำตาอาบแก้ม กล่าวว่า "ข้าพเจ้าขออภัยพี่เหวินหลงที่ต้องโกหกท่าน ที่แท้จริงแล้ว

    ข้าพเจ้าจะไปหาเผิงหยางผิงผู้เป็นตาของข้าพเจ้า"

         ฟางเหวินหลง ยิ้มมุมปาก กล่าวว่า "เสวี่ยเหมยรู้จักใช้เล่ห์กลบ้าง ข้าพเจ้าก้อวางใจแล้ว ท่านจำไว้ว่า

    อย่าไว้ใจผู้ใดโดยง่าย รีบไปได้แล้ว"

         หลี่เสวี่ยเหมย กุมมือฟางเหวินหลงไว้ กล่าววาจาด้วยเสียงสั่นเครือว่า

         "พี่เหวินหลง ข้าพเจ้าจะรีบกลับมา ท่านต้องคอยข้าพเจ้า สัญญากับข้าพเจ้านะ"

         ฟางเหวินหลงยกมือข้างหนึ่ง สัมผัสกับแก้มที่เนียน เรียบประดุจหยกบริสุทธิ์ สบสายตากลมโต ดำขลับ

    ที่มีน้ำตาคลออยู่ ผงกศีรษะแล้วกล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะรอคอยท่าน ไปเถอะ"

         หลี่เสวี่ยเหมยตัดใจ คลายมือที่กุมฟางเหวินหลง ฉากหลบไปที่ด้านข้างต้นไม้ใหญ่ จากนั้นค่อยๆ

    เคลื่อนกายจากไป

         ฟางเหวินหลง ครุ่นคิดในใจว่า 'เรามาถึงอดีตกาล ให้คำมั่นสัญญากับหญิงสาวมาแล้วสองคนยังไม่อาจ

    กลับไปพบหน้านาง ไม่รู้ว่าคำสัญญาครั้งที่สามจะทำได้ไหมนะ'

         คำสนทนาของคนทั้งคู่ ไม่อาจหลุดพ้นโสตประสาทของชายชราไปได้ เขารับฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แล้ว

    ครุ่นคิดว่า  'เด็กน้อยนี่ไม่เลว ไม่เลว'

         เฉวียนหย่งสือยืนนิ่ง หลั่งเหงื่อโซมกาย ชั่วครู่เหมือนตัดสินใจอันใดได้ ยื่นแขนซ้ายไปทางด้านหน้า

    จากนั้นมือขวาชักกระบี่ออกจากฝัก ขณะที่กำลังจะฟันลง ชายชรากล่าววาจาเสียงทุ้มขึ้นว่า

         "แขนซ้ายเราไม่ต้องการ ถ้าเจ้าจะไปให้ทิ้งแขนขวาเอาไว้!"

         สำหรับมือกระบี่ แขนขวาเปรียบได้กับว่าเป็นพลังฝีมือทั้งหมด ถ้าปราศจากแขนขวา แทบจะเรียกได้ว่า

    สูญเสียพลังฝีมือเกินครึ่ง ถ้าเป็นตนอย่างไรก้อจะปักหลักสู้ตาย ไม่ยอมตัดแขนตัวเองเด็ดขาด

         คาดไม่ถึงว่าเฉวียนหย่งสือกลับสลับกระบี่ด้วยมือซ้าย จากนั้นสะบัดกระบี่ลงมา ฟันใส่แขนขวาของตนเอง

    จนขาดสะบั้น โลหิตที่ปากแผลแขนที่ถูกตัด ไหลออกมาดุจน้ำพุ

         หลังจากมันยกมือข้างที่เหลือกดปากแผลไว้แล้ว ใบหน้าของมันมีเหงื่อโซมทั้งใบหน้า ปากซีดขาว

    เป็นอาการจากการสูญเสียเลือดมากเกินไป

         เฉวียนหย่งสือ ใช้กระบี่ค้ำยันตัว กล่าววาจาเสียงสั่นสะท้านกับชายชราว่า "ข้าพ...ข้าพเจ้าขอ....อำลา"

         จากนั้นมันค่อยๆประคองตัวเดินจากไป

         ชายชราเมื่อมองเห็น เฉวียนหย่งสือจากไปแล้ว ก้อหันมามองที่ฟางเหวินหลง กล่าววจาว่า

         "เด็กน้อยคราวนี้เหลือเพียงข้ากับเจ้าแล้ว"

                                        (ต่อตอนหน้านะครับ ตอนนี้เรียนวิชาไม่ทันแล้ว หุหุ)


     



     

     

     

     


                                                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×