ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #3 : นักรบจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.1K
      41
      8 ก.ย. 55

         ฟางเหวินหลงกลับเข้ากระโจมตัวเอง ล้มตัวลงนอน ยามนี้เขากลายเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันภัยโดยปริยาย

         เมื่อตื่นขึ้นมา พบว่าภายในกระโจมเพิ่มหญิงสาวแช่มช้อยนางหนึ่ง  เห็นนางหมอบกราบกราน หน้าผากแตะ

    สัมผัสพื้นเสื่อ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า

         "ข้าพเจ้าจ้าวอี้เจิน ได้รับคำสั่งท่านโจวมาปรนนิบัติท่านฟาง"

         ฟางเหวินหลงลอบชมเชยโจวหย่งเต๋อรู้จักผูกมัดจิตใจคน เมื่อเขามีกุศลจิต ตนก้อพร้อมจะตอบสนอง

         "ลุกขึ้นนั่งเถอะ"

         จ้าวอี้เจินนั่งตัวตรง ฟางหวินหลงจับจ้องมองนาง พบว่าความงามของนางไม่ด้อยกว่าซิงลี่จวินเลย เขามองดู

    นางชั่วครู่ แล้วถามเสียงอ่อนโยนว่า

         "ท่านมาจากแคว้นจ้าวหรือ?" 

         จ้าวอี้เจิน ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

         "ถูกแล้วนายท่าน ข้าพเจ้าหนีภัยสงคราม เนื่องจากแคว้นของเราถูกแคว้นฉินโจมตี จึงจำเป็นต้องลี้ภัยมา"

          การศึกระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นฉินเกิดขึ้นราวๆปีที่สิบหกหลังจากจิ๋นซีขึ้นครองราชย์ เช่นนี้เราเดิน

    ทางมาช้ากว่าที่คาดไว้สิบหกปีแล้ว ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะเดินทางมาถึงช้าหรือเร็วกว่าที่กำหนดกี่ปี!

         ถ้าเกิดคนผู้นั้นเดินทางมาช้ากว่ากำหนดเป็นร้อยปี เราจะทำอย่างไรต่อดี คิดเช่นนี้แล้ว สร้างความปวดเศียร

    เวียนเกล้าให้กับฟางเหวินหลงยิ่งนัก

         การทำศึกสงครามแย่งชิงดินแดนดำเนินถึงตอนนี้ จากเจ็ดรัฐ ตอนนี้รัฐหานกับรัฐจ้าวถูกกลืนกินไปแล้ว

    เหลือเพียงห้ารัฐ ตามบันทึกประวัติศาสตร์จิ๋นซีฮ่องเต้จะรวมประเทศสำเร็จ สถาปนาราชวงศ์ใหม่ เมื่ออายุ

    สี่สิบปี

    ฉินอ๋องเจิ้ง ขึ้นครองราชสมบัติในขณะพระชนมายุได้ 13 พรรษา

    พระชนอายุ         22 พรรษา   ยึดรัฐหาน

    พระชนอายุ         29 พรรษา   กลืนรัฐจ้าว

    พระชนอายุ         31 พรรษา   กวาดรัฐเว่ย

    พระชนอายุ         34 พรรษา   ขยี้รัฐฉู่

    พระชนอายุ         36 พรรษา   เหยียบรัฐเอี้ยน

    พระชนอายุ         37 พรรษา   ครองรัฐฉี

          ฟางเหวินหลง ถามอีกว่า

         "พวกท่านกำลังจะเดินทางไปสถานที่ใด?"

         จ้าวอี้เจินกล่าวว่า

         "ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับ คาดว่าอีกสิบกว่าวันจะเดินทางไปถึงที่ปศุสัตว์ม้าบิน"

         จ้าวอี้เจินกล่าวต่อว่า

         "ท่านฟางอยู่ในป่าเขาคงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเกียรติภูมินายเหนือของปศุสัตว์ม้าบินเรา ท่านได้รับ

    ขนานนาม 'ท่านฮกหลง (มังกรหลับ)'  เป็นเจ้าแห่งปศุสัตว์ทางภาคเหนือ พวกเรารับซื้อพันธุ์ม้าจากที่ต่างๆ

    เพื่อนำไปผสมพันธุ์ จากนั้นจะขายให้กับแว่นแคว้นต่างๆที่ต้องการ"

          ในยุคการศึกสงครามเช่นนี้ม้าศึกและอาวุธเป็นที่ต้องการสูง ผู้ที่ทำการค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอย่างใด

    อย่างหนึ่งนี้ ต้องสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล

         "ตัวท่านมาอยู่ที่ปศุสัตว์นานเท่าใดแล้ว"

         จ้าวอี้เจิน ใบหน้าหมองเศร้าลง กล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า

         "เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน ครอบครัวข้าพเจ้ามีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น จึงถูกบิดามารดาขายเข้าซ่อง

    คณิกา ดีที่ท่านโจวและคุณหนูผ่านทางมา จึงซื้อตัวข้าพเจ้ามาเป็นหญิงรับใช้"

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดว่าโลกอนาคตในอีกสองพันกว่าปีบุรุษสตรีอยู่กันอย่างเสมอภาค แต่ในอดีตสตรีมี

    สถานภาพด้อยกว่าบุรุษมากนัก

         จ้าวอี้เจินเห็นว่าฟางเหวินหลงนิ่งเงียบไป คาดคิดว่าเขาคงกำลังเห็นใจในชะตากรรมอันอาภัพของตน

    ทำให้รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขา จึงกล่าวต่อว่า

         "ตัวข้าพเจ้าถือว่ายังโชคดีกว่าบุคคลอื่นมากนัก เพราะผู้คนที่สถานปศุสัตว์ทุกคนต่างดีกับข้าพเจ้ายิ่ง 

    หากท่านฟางไปถึงสถานที่ปศุสัตว์ จะทราบเองว่าที่แห่งนั้นเปรียบเสมือนสวรรค์ในแดนดิน"

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดอีกว่า

         'เจ้าของสถานที่ปศุสัตว์นั้นเรียกตัวเองว่า 'ฮกหลง' ไม่รู้ว่าจะเก่งกล้าสามารถเท่ากับขงเบ้งในสมัยสามก๊ก

    หรือไม่ ฮาฮา'

         หลังจากคนทั้งสองสนทนากันอีกชั่วครู่ จ้าวอี้เจินก้อจัดเตรียมอาหารเช้าให้กับฟางเหวินหลง ส่วนตัวเอง

    นั่งคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ฟางเหวินหลงชักชวนนางให้รับประทานอาหารด้วยกัน

         เแรกๆนางไม่ยินยอม ฟางเหวินหลงยืนกรานให้นางรับประทานร่วมกัน ชั่วครู่นางจึงนั่งลงรับประทาน

    พร้อมกับฟางเหวินหลงอย่างเอียงอาย

         ระหว่างการรับประทานอาหารไปพลางสนทนาไปพลาง ทำให้ฟางเหวินหลงทำความเข้าใจการดำเนินงาน

    ของปศุสัตว์ม้าบินอย่างคร่าวๆ

         ผู้ที่มีฐานะสูงสุด ย่อมเป็น 'ท่านฮกหลง'

         รองลงมายังมีผู้ดูแลเรื่องใหญ่น้อยอีกสองคน แล้วยังแบ่งหน่วยงานลงมาอีกสิบสองหน่วยงานในการ

    จัดหาซื้อและลำเลียงส่งพันธุ์ม้า และในหน่วยงานทั้งสิบสองยังมีการแบ่งหมวดย่อยลงมาอีกสิบสามหน่วยงาน

         ขบวนการคุ้มกันนี้ นับเป็นหน่วยงานที่สิบสามที่มีหน้าที่คุ้มกันขบวนการลำเลียงม้า นับได้ว่าสถานปศุสัตว์

    ม้าบินเป็นกิจการค้าที่ใหญ่โตมากทีเดียว

         ยามนั้น ฟางเหวินหลงพลันบังเกิดปฎิภาณขึ้นแวบหนึ่ง

         ในยุคโบราณเช่นนี้ การจะตามหาบุคคลผู้หนึ่งเป็นเรื่องยาก ถ้าเกิดตนเองสามารถใช้เครือข่ายอันกว้างไกล

    ของสถานปศุสัตว์นี้ได้ ความหวังอันเลือนลางของตน อย่างไรน่าจะทำได้ง่ายกว่าที่ตนจะตามหาเพียงผู้เดียว

         คิดได้ดังนี้แล้ว ฟางเหวินหลงรู้สึกคึกคักอักโข พุ้ยข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดีจนจ้าวอี้เจินที่จ้องมองอยู่

    ชมดูด้วยความแปลกใจ

         ด้านนอกมีนักบู๊คนหนึ่งเดินเข้ากระโจมมา ประสานมืออย่างนอบน้อมบอกต่อฟางเหวินหลงว่าท่าน

    โจวหย่งเต๋อขอเรียนเชิญให้ไปเข้าพบ

         เมื่อฟางเหวินหลงเข้าไปพบ โจวหย่งเต๋อยืนอยู่ที่ลานกว้างกึ่งกลางค่ายพักแรม เบื้องหน้าเขายังมี

    ชายฉกรรจ์สามคนถูกพันธนาการอยู่อย่างแน่นหนา

         เมื่อโจวหยางเต๋อเห็นฟางเหวินหลงมาถึง ก้อเบือนสายตาที่จับจ้องคนทั้งสามมาที่เขา แล้วกล่าวว่า

         "วิธีการหาของท่านได้ผล เราสามารถค้นพบไส้ศึกสามคน แต่เมื่อสอบสวนมันอย่างไรก้อปากแข็งไม่

    ยอมตอบคำ

         ฟางเหวินหลงเสนอให้แยกกันสอบปากคำคนทั้งสาม จากนั้นให้นำมาเปรียบเทียบกัน ผู้ใดกล่าวผิดเพี้ยน

    เป็นผู้พูดปด คนทั้งสามได้ยินวิธีการนี้ก้อแตกตื่นจนหน้าถอดสี เพราะทั้งสามตกลงกันไว้แต่แรกว่าจะไม่ยอมพูด

    อะไร แต่ถ้าถูกทารุณมากๆจะปั้นเรื่องโป้ปดตอบไป

         โจวหย่งเต๋อพยักหน้าเห็นด้วยกับวิธีนี้ จึงออกคำสั่งแยกคนทั้งสามให้ห่างกันออกไปประมาณสองร้อยก้าว

    จากนั้น ใช้เท้าเขี่ยร่างนักโทษเบื้องหน้า ชักกระบี่ออกมากวัดแกว่ง แล้วกล่าวว่า

         "พวกเจ้ามีแผนการณ์บุกรุกยังไง บอกมา?"

         คนผู้นั้นไม่ยอมกล่าวคำพูดใด  โจวหย่งเต๋อแค่นหัวร่ออย่างเย็นชา สะบัดกระบี่วูบหนึ่ง เชือดคอหอยคน

    ผู้นั้นขาดสะบั้นหยาดโลหิตฉีดพุ่งจากลำคอ คนสิ้นใจตายในบัดดล

         ฟางเหวินหลงชมดูอยู่ด้านข้างแตกตื่นจนใบหน้าถอดสี  เพราะถึงอย่างไรตัวเขาเพิ่งเคยเห็นการฆ่าคน

    กับตาเป็นครั้งแรก แต่ในยุคสมัยเลียดก๊ก การฆ่าคนมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด

         ฟางเหวินหลงปลุกปลอบใจตัวเองว่า

         'ในยุคสมัยที่ผู้เข้มแข็งกลืนผู้อ่อนแอ การเมตตาปราณีต่อศัตรู เท่ากับโหดเหี้ยมอำมหิตต่อตัวเอง

    ถ้าเราอยากเอาชีวิตรอดต้องมีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว'

         นักโทษอีกสองคนเมื่อเห็นสหายของพวกตนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมต่างแตกตื่นจนขาสั่น เข่าอ่อนระทวย

    ล้มลง ปากสั่นร้องว่ายอมสารภาพแล้ว

         โจวหย่งเต๋อนำผลการสอบสวนมาบอกฟางเหวินหลงว่า

         "จากการสอบสวนพบว่าค่ำคืนนี้พวกมันตระเตรียมผสมยาสลบในน้ำ หลังจากมอมทำร้ายพวกเราสิ้นสติ จะ

    ส่งสัญญาณให้กองโจรที่ซุ่มอยู่เบื้องนอกบุกเข้ามาปล้นชิงม้า บุรุษจะฆ่าทิ้งและข่มขืนสตรีทั้งหมด"

         ฟางเหวินหลงได้ยินดังนั้น จึงรู้ถึงความเหี้ยมโหดของกองโจรภูเขา ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ ลอบ

    กำหมัดแนบแน่นตกลงใจว่า

         'เมื่อพวกมันไร้เมตตา เราก้อจะไร้ความปราณี' จากนั้นกล่าวาจาว่า

         "ท่านโจวหลังจากรับประทานอาหาร ขอให้ท่านรีบเร่งออกเดินทาง พร้อมกับจัดคนให้ข้าพเจ้าสิบคน

    ข้าพเจ้าจะลบร่องรอยให้กับท่านเอง"

         โจวหย่งเต๋อเชื่อมั่นในตัวฟางเหวินหลงอย่างแรงกล้า พอฟังจบผงกศีรษะกล่าวว่า

         "ขอฝากฝังไว้กับท่านแล้ว ขอให้รักษาชีวิตไปยังปศุสัตว์ม้าบิน เราจะคอยต้อนรับท่านเอง"

         ฟางเหวินหลง รับคำ คิดคำนึงในใจ

         'พวกโจรภูเขา พวกเจ้าเตรียมใจพบเจอกับแรมโบ้จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเถอะ!'

         ไม่นานให้หลัง โจวหย่งเต๋อนำสตรีทั้งหมดโดยสารรถม้า จัดนักบู๊ห้าสิบคนอารักขา โดยที่แบ่งกำลังทิ้งไว้

    สี่สิบคนเดินทางจากไป

         เมื่อฟางเหวินหลงมองตามขบวนคาราวาน ด้านท้ายขบวนปรากฎเงาร่างอ้อนแอ้นสายหนึ่งพุ่งมาเบื้องหน้า

         ฟางเหวินหลงจ้องมองดูพบว่าคือซิงลี่จวิน นางวิ่งปราดมาถึงเบื้องหน้าเขา เงยหน้ามองดูเขากล่าวว่า

         "ข้าพเจ้าจะรอคอยท่านอยู่ที่สถานปศุสัตว์ ขอให้ท่านได้รับชัยชนะกลับไป"

         ฟางเหวินหลงฉุดรั้งนางเข้ามา ยื่นมือโอบเอวเพียงหยิบมือเดียวของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า

         "เมื่อมีเทพธิดาสะคราญโฉมอยู่เคียงข้าง ข้าพเจ้าต้องได้รับชัยชนะแน่นอน"

         ซิงลี่จวินประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา กล่าวว่า

         "ท่านช่างมีความมั่นใจนัก ใช่แล้ว ท่านแวะไปหาอี้เจินด้วย นางบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับท่าน"

         ฟางเหวินหลงรับคำ หลังจากพัวพันกับซิงลี่จวินชั่วครู่ ก้อเดินทางไปพบจ้าวอี้เจิน

         จ้าวอี้เจินเมื่อพบเห็นเขา ก้อเดินถึงเบื้องหน้าเขากล่าวอย่างเอียงอายว่า

         "ข้าพเจ้าขออวยพรให้ท่านฟางประสบพบกับชัยชนะ"

         ฟางเหวินหลงมองดูดวงหน้าอันสวยซึ้งบริสุทธิ์ของนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า

         "ตอนนี้ข้าพเจ้าจะไปจัดการกับศัตรู ท่านจะไม่ให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าบ้างหรือไร?"

         จ้าวอี้เจินก้มหน้าเอียงอาย หน้าแดงจรดใบหู ฟางเหวินหลงยื่นสองมือโอบรั้งนางเข้ากับอก จากนั้น

    จุมพิตลงบนริมฝีปากหอมกรุ่นของนาง จ้าวอี้เจินอกอูมสะท้อนขึ้นลง รู้สึกเป็นสุขอย่างประหลาด ยิ่งมายิ่ง

    แผ่ซ่านไปทั่วร่าง

         ทั้งสองเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำกับการสัมผัสอันสนิทแนบแน่น

         เนิ่นนานฟางเหวินหลงค่อยผละจากจ้าวอี้เจิน จากนั้นเอามือช้อนใบหน้าผุดผาดของนางขึ้นมาสบสายตา

    สวยซึ้ง กล่าวว่า

         "เมื่อได้รับจูบนี้อย่างไรข้าพเจ้าจะต้องรอดชีวิตไปพบท่านแน่นอน ฮาฮา"

         ขณะที่จ้าวอี้เจินเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำต่อจูบแรกของบุรุษ ร่างอันสูงใหญ่ของฟางเหวินหลงก้อเดินจากไปไกล

    แล้ว

         หลังจากที่คณะคุ้มภัยจากไปแล้ว ฟางเหวินหลงกับนักบู๊ระดับสูงอีกสองคนออกสำรวจภูมิประเทศรอบข้าง

    เมื่อทอดตามองทั้งสี่ทิศเป็นทุ่งราบเขียวชอุ่ม มีแม่น้ำลำธารใหญ่อ้อมผ่านทิวทัศน์ธรรมชาติงดงามชนิดที่คน

    ในโลกอนาคตไม่มีทางที่จะได้พบเห็น

         ทั้งหมดร่วมกันกำหนดจุดยุทธศาสตร์ที่จะวางกำลังคน จากนั้นแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจ ฟางเหวินหลง

    นำผู้คนสามสิบคน ขุดหลุมดินบนเนินโดยรอบ

         ยามสนธยา อาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า ฟางเหวินหลงกลับเข้ากระโจมเข้ามาเปิดกระเป๋าทรงกลมหยิบ

    เครื่องมือออกมาหลายอย่าง พกไว้ที่เสื้อชั้นใน จากนั้นนำเชือกฟางมัดติดกระเป๋าไว้ที่กลางหลังอย่าง

    แน่นหนา

         ฟางเหวินหลงคาดคำนวณว่าไม่เกินเที่ยงคืนคืนนี้ทัพโจรภูเขา อย่างไรต้องบุกถล่มเข้ามาอย่างแน่นอน

    ฟางเหวินหลงหยืบเครื่องดูดเสียง ฟังเสียงจากระยะไกล ซึ่งสามารถตัดสัญญาณเสียงรบกวนและรับฟังเสียง

    จากระยะไกลนับสิบกิโลเมตรมาใส่ไว้ที่หู

         จากนั้นนั่งหลับตารวบรวมสมาธิ รับฟังเสียงจากทั่วทุกทิศอย่างจดจ่อ ทุ่งหญ้าซึ่งเงียบงันวังเวงเกิดเหตุ

    ผิดปรกติ  นกกาตามต้นไม้บินเตลิดวุ่นวาย ทั้งยังแว่วเสียงพยัคฆ์คำรามดังมา ครู่ใหญ่ก้อได้ยินเสียงเกือกม้า

    ที่คาดว่าจะใช้ผ้าห่อหุ้มไว้เพื่อไม่ให้พวกตนรู้ตัว ดังมาจากทางทิศตะวันออก

         ฟางเหวินหลงลืมตาขึ้น ดวงตาทอประกายแวววาว

         "มาแล้ว"

         ฟางเหวินหลงออกไปสั่งพวกนักบู๊ว่าให้เพิ่มบ่วงบาศก์ดักม้าและเตรียมลูกธนูไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้

         หนึ่งชั่วยามให้หลัง กองโจรภูเขายกกำลังมาถึง โอบล้อมภูเขาเป็นชั้นๆ สร้างความหวั่นผวาแก่เหล่านักบู๊

    ทั้งนี้เพราะขุมกำลังของฝ่ายตนเทียบกับฝ่ายศัตรู ฝ่ายตนมีจำนวนน้อยกว่าอย่างเทียบไม่ติด

         ฟางเหวินหลงบอกเหล่านักบู๊ให้เตรียมพร้อม เมื่อได้ยินเสียงเหล่าโจรภูเขาและเห็นม้าติดบ่วงบาศก์ดักม้า

    เมื่อใดให้ยิงธนูได้เลย

         จากนั้นฟางเหวินหลงลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้โบราณที่สูงใหญ่ต้นหนึ่ง จากนั้นกระโดดโลดแล่นไปเบื้องหน้า

    อย่างรวดเร็ว ซ่อนตัวอยู่บนพุ่มไม้บนกิ่งไม้ใหญ่ หยิบแว่นอินฟาเรดที่ใช้ตรวจจับคลื่นความร้อนมาสวมไว้

         จากที่ฟางเหวินหลงมองเห็นฝ่ายศัตรูมีกำลังคนประมาณแปดร้อยคน ตั้งขบวนเป็นสองขบวนไสม้าบุกขึ้นมา

    อย่างรวดเร็ว

         ฟางเหวินหลงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบ ระเบิดเสียง (TYPE-D) สิ่งนี้เป็นระเบิดที่เมื่อตกกระทบพื้นจะ

    ทำให้เกิดเสียงสูงแหลมดังไปไกล จากนั้นจ้องมองไปที่ท้ายขบวน เมื่อเล็งหาเป้าหมายได้แล้ว ก้อขว้าง

    ระเบิดเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว

         ระเบิดเสียง (TYPE-D) เมื่อตกลงไปด้านหลังขบวน ชั่วครู่ก้อเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว

    บรรดาม้าที่เหล่าโจรร้ายขี่อยู่ ตื่นตกใจอย่างสุดระงับ 

          เหล่าโจรร้ายที่เดินเท้าไม่ได้อยู่บนหลังม้า ต่างถูกม้าเหยียบจนบ้างก้อบาดเจ็บ บางคนโดนจุดสำคัญจน

    ล้มตายไปก้อมี ขบวนม้าแถวหน้าสุดล้มระเนระนาด หากมิใช่พลัดตกลงในหลุมซึ่งปักไว้ด้วยไม้ปลายแหลม

    ก้อติดบ่วงบาศก์ดักม้า เสียหลักพลัดตกลงจากเนินเขา ชนใส่ผู้คนและม้าที่ด้านหลังกลิ้งตกลงไป กองกำลัง

    เกือบแปดร้อยคนบาดเจ็บล้มตายลงกว่าครึ่ง แตกพ่ายไม่เป็นขบวน

         เหล่านักบู๊โห่ร้องด้วยความยินดี มีขวัญกำลังใจเพิ่มพูนขึ้นอักโข  ต่างปล่อยลูกธนูไปอย่างพร้อมเพรียง

    เพียงไม่นานเหล่าโจรร้ายที่กำลังแตกตื่น ล้มตายลงดุจใบไม้ร่วง

          ฟางเหวินหลงทราบว่า ฝ่ายตรงข้ามถึงจะล้มตายไปบ้าง แต่จำนวนคนก้อยังมากกว่าฝ่ายตนอย่างทาบ

    ไม่ติด จึงรีบสั่งคนทั้งหมดเคลื่อนกำลังลงจากเนินเขา ซ่อนตัวในหลุมซึ่งไม่มีไม้ปลายแหลม ตระเตรียมรับ

    การบุกจู่โจมระลอกสองของศัตรู

         รอบบริเวณปรากฎคบไฟหลายร้อยอันลุกโชนขึ้น สาดส่องบนภูเขาและเชิงเขาเป็นสีแดงเพลิง ในขบวน

    ฝ่ายตรงข้ามปรากฎชายฉกรรจ์เคราดกหนาที่ตนเคยพบเห็นมาแล้วผู้หนึ่ง กระตุ้นม้าควบเหยาะย่างออกมา

    ชี้มือตวาดว่า

         "เจ้าพวกบัดซบ หากเราจอมโจรหมีน้อยปล่อยให้พวกเจ้ามีซากศพสมบูรณ์แม้ซากเดียว นับแต่นี้จะไม่คลุก

    คลีบนเส้นทางมิจฉาชีพอีก"

         ในเสียงเป่าหลอดเขา เหล่าโจรร้ายพากันลงจากหลังม้าแบ่งกำลังเป็นสองระลอก เปิดฉากจู่โจมจากทั่ว

    สี่ทิศแปดทาง

         ฟางเหวินหลงคะเนว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีกำลังสู้ศึกเกือบสองร้อยคน ถ้าเกิดการปะทะกัน ฝ่ายตนต้องมีการ

    บาดเจ็บล้มตาย ดังนั้นฉุกใจคิด สั่งต่อผู้ที่หลบซ่อนอยู่ข้างกายว่า

         "เมื่อข้าพเจ้าให้สัญญาณ ขอให้พวกท่านทุกคนหาเศษผ้าชุบน้ำมาห่อหุ้มศีรษะ ปิดบังดวงตา จมูก ปากเอา

    ไว้ แล้วบุกทะลวงลงจากเขาด้านทิศตะวันออก"

         เหล่านักบู๊ไม่ทราบว่าทำไมฟางเหวินหลงถึงให้ทำเช่นนั้น แต่เมื่อทุกคนฟังว่าสามารถหนีเอาชีวิตรอด ล้วน

    กระตือรือร้นยินดี เลยไม่ได้ถามเหตุผลใด เพราะจนบัดนี้ทั้งหมดไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ย่อมยอมรับนับถือ

    ฟางเหวินหลงจนหมดหัวใจ

         เสียงเป่าหลอดเขาดังขึ้น โจรภูเขาบุกขึ้นมาทั่วสารทิศ ฟางเหวินหลงรอคอยจนพวกมันขึ้นมาถึงกลาง

    เนินเขา จากนั้นล้วงมือไปในอกเสื้อ หยิบเอาแท่งแก๊สน้ำตาสามแท่งมาคีบไว้ที่นิ้วมือ จากนั้นร้องตะโกน

    ขึ้นว่า

         "พวกเรา ไป!" จากนั้นเขวี้ยงแท่งแก๊สน้ำตาไปที่กลางฝูงโจรที่กำลังบุกขึ้นมา

         แท่งแก๊สน้ำตาทั้งสาม เมื่อกระทบถูกพื้นดิน ก้อปรากฎควันพวยพุ่งขึ้น เหล่าโจรภูเขา เมื่อถูกควันนี้ต่าง

    ยกมือขึ้นกุมหน้า ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด น้ำหูน้ำตาไหลไม่มีผู้ใดสามารถลืมตาขึ้นได้

         เหล่านักบู๊เห็นดังนั้น จึงบุกตะลุยเข้าไป พวกโจรที่ขวางทางถูกเข่นฆ่าจนม้าพลิกล้มคนตกตาย

         บนเนินเขาด้านทิศตะวันออกมีสภาพชุลมุนวุ่นวาย เหล่าโจรอีกสามทิศทางพากันรุดไปช่วยเหลือ เสียงม้า

    แผดร้อง เสียงคนตวาดร่ำร้องดังแทบถล่มทลาย

         ฟางเหวินหลงอยู่ด้านท้ายขบวนคอยต้านลูกธนูที่ถูกระดมยิงเข้ามา เหล่านักบู๊พากันหนีเตลิดไปอย่าง

    เร่งร้อน

         ชั่วครู่ฟางเหวินหลงก้อถูกทอดทิ้งห่างออกไป ขณะที่รีบเร่งฝีเท้าติดตามไป พลันรู้สึกปวดแปลบที่หัวไหล่

    เพราะมีธนูถูกยิงมาใส่

         ที่แท้จอมโจรหมีน้อยยามขุ่นแค้นยิงลูกธนูออกมาสองดอก กะจะยิงให้ทะลุกลางหลังฟางเหวินหลงไป

    ดอกหนึ่งพุ่งมาตรงเป้าหมาย แต่โชคดีที่กระทบถูกกระเป๋าทรงกลมที่เป็นโลหะที่แข็งแกร่งจึงสะท้อน

    กระเด็นออกไป

         แต่อีกดอกหนึ่งฝังเข้ามาที่หัวไหล่จนเลือดไหลอาบแขนซ้าย ฟางเหวินหลงยามขุ่นแค้น ไม่สนใจ

    ความเจ็บปวดดึงเอาลูกธนูซัดกลับไปที่คนยิงธนูนี้

         'เฟี้ยวววว'  เสียงลูกธนูฝ่าอากาศไปดุจดาวตก

         ลูกธนูถูกซัดไปด้วยความแรงดุจลูกปืนจนจอมโจรหมีน้อย มิอาจหลบได้พ้น ลูกธนูพุ่งเข้าไส่คอหอยของมัน

    จนทะลุตัวมันล้มหงายไปด้านหลังขาดใจตายทันที ส่วนลูกธนูทะลุลำคอจนไปปักตรึงที่ต้นไม้ใหญ่จนจมลึก

    เหลือเพียงปลายลูกธนู!

         ฟางเหวินหลงร่ำร้องคำหนึ่ง แล้วกลิ้งพลัดตกเนินเขาไปยังแม่น้ำใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง ชั่วครู่กระแสน้ำก้อพัด

    จนร่างนั้นลอยหายไป.......


                                                                         (จบตอน)

     

     

     

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×