ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #14 : อาจารย์ผู้การุณย์??

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1K
      35
      10 ม.ค. 57

     ฟางเหวินหลงควบม้าเหยาะย่างเคียงข้างกัวเฮิ่นอี้ เห็นบ้านเรือนในนครโบราณที่เรียงรายอยู่รอบข้าง
    แทบบันดาลให้ตนเกิดความรู้สึกคล้ายอยู่ในโลกความจริง และคล้ายอยู่ในห้วงความฝัน
     

         กัวเฮิ่นอี้พลันถามเบาๆว่า
         "เหวินหลงมีความคิดอ่านต่อเถียนเหวินซานอย่างไร?"
     

         ฟางเหวินหลง งงงันวูบ หยุดครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นกล่าวว่า
         "คนผู้นี้ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม จริงๆกลับลึกล้ำสุดหยั่งคาด"
     

         จากนั้นหยุดเล็กน้อย ทอดถอนลมหายใจ กล่าวสืบต่อว่า
         "หากประมาทคนผู้นี้ คงพินาศย่อยยับหมดสิ้น"
     

         กัวเฮิ่นอี้ ผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวว่า
         "ที่แท้ ท่านดูออกแต่แรก"
     

         จากนั้นหยุดเล็กน้อย กล่าววาจาเสียงทุ้มหนักสืบต่อว่า
         "ขออภัยที่เราคนหยาบกร้าน คิดเช่นไรก็กล่าวเช่นนั้น  หากให้เราเปรียบเทียบระหว่าง
    เถียนเหวินซานกับตระกูลจงซุน คงไม่มีฝ่ายใดดีกว่ากันซักเท่าไร ถึงแม้นว่าเถียนเหวินซานจะถืออำนาจ
    บาตรใหญ่ แต่จงซุนหลงผู้นี้เป็นปีศาจดูดเลือดที่ปล่อยเงินกู้เรียกดอกแพง ก่อกรรมทำเข็ญมาไม่น้อย"
     

         "น้องเหวินหลง อย่าได้เห็นว่าจงซุนเสวียนหัว ปากกล่าววาจาเรียกพี่เรียกน้อง หากวันใดที่ท่าน
    หมดประโยชน์ มันอาจจะหันมาแว้งกัดท่าน"
     

         จากนั้นกัวเฮิ่นอี้ ทอดถอนลมหายใจอีกครา กล่าวว่า
         "ขออภัยเราอาจจะกล่าววาจามากความ แต่เมื่อเห็นคนหนุ่มเยาว์วัยเช่นท่าน อดกล่าววาจากระตุ้นเตือน
    มิได้"
     

         ฟางเหวินหลงสายตาสำรวจดูหลังคา กำแพงสูงที่มืดมิดไร้แสงไฟแฝงความลึกลับสุดจะหยั่ง จากนั้นหันมา
    ฝืนยิ้ม พลางกล่าวว่า
         "กระต่ายตายฆ่าสุนัขล่าเนื้อ วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน นี่เป็นหลักการเที่ยงแท้..."
     

         ยามนั้นฟางเหวินหลงพลันบังเกิดความตื่นตัว ดังนั้นหลับตาลง สลัดความคิดคำนึง เพ่งสมาธิที่สองใบหู
    พบว่ามีคนเร้นกายมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
     

         ทิศทางอื่นก็ปรากฎร่องรอยศัตรูขึ้นล้วนอยู่ห่างจากเขายี่สิบกว่าวา แสดงว่าศัตรูหลายคนนี้มีฝีไม้
    ลายมืออยู่บ้าง จึงสามารถล่วงลึกเข้ามาในรัศมีใกล้เคียง โดยไม่ถูกพบเห็นแต่ต้น
     

         ฟางเหวินหลงหันไปหากัวเฮิ่นอี้ ชี้มือไปที่กิ่งไม้เบื้องบน กล่าวเบาๆว่า
         "พี่กัว เบื้องบน!"
     

         กัวเฮิ่นอี้ เข้าใจสัญญาณมือ ผงกศีรษะคราหนึ่ง
     

         จากนั้นคนทั้งสองทิ้งตัวลงจากหลังม้า ยกมือตบไปที่สะโพกม้าครั้งหนึ่ง ม้าทั้งสองตัวก้าวเดินไปเบื้องหน้า
    ห่างจากคนทั้งสองระยะหนึ่ง จากนั้นคนทั้งสองขยับวูบวาบสองครา ก็ขึ้นสู่คาคบไม้ที่มีใบไม้แน่นหนา ซึ่งเป็น
    จุดอับที่ศัตรูมองไม่เห็น
     

         เสียงชายเสื้อปะทะลมพลันดัง จากนั้นมีคนอุทานดังเอ๊ะ แสดงว่าหาตัวคนทั้งสองไม่พบ สร้างความตื่นเต้น
    สงสัยยิ่ง
     

         เสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้นอีก ใต้ต้นไม้เพิ่มผู้คนอีกสี่ห้าคน กล่าวว่า
         "ตรวจค้นแล้ว พบเพียงม้าสองตัว แต่ไม่พบคนทั้งสองแม้แต่เงา"
     

         ฟางเหวินหลงหันไปสบตากับกัวเฮิ่นอี้ คนทั้งสองลอบหัวร่อในใจ
     

         ชั่วครู่ให้หลัง ศัตรูอีกห้าคนตามมาสมทบ หารือกันเบาๆ จากนั้นกระจายกันครวจค้นบริเวณใกล้เคียง
     

         ซุ่มเสียงหยาบกร้านเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า
         "เด็กน้อยนั้นไปที่ใดกันแน่?"
     

         คนกล่าววาจาตอนแรกกล่าวว่า
         "ข้าพเจ้าคาดว่าพวกมันหลบหนีไปทางทิศอื่นแล้ว พวกเราวางกับดักไว้หลายแห่ง หากพวกมันหนีรอด
    ร่างแหทางเรา ก็ปล่อยให้กำลังที่ซุ่มอยู่อีกด้านจัดการมัน ขอเพียงพวกเรากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสังหารมันได้
    การเดิมพันของนายน้อยกุ้ยถิงก็ถือว่าเป็นอันยกเลิก"
     

         ฟางเหวินหลงใจสั่นสะท้าน รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของจงซุนเสวียนหัวกับเหมยกุยน้อย ไหนเลยมี
    กะใจรับฟังคำสนทนาของพวกมันต่อไป คนทั้งสองชิงล่าถอยอย่างเงียบงัน
     

         คนทั้งสองอาศัยความมืดยามวิกาลเป็นเกราะกำบัง โลดแล่นไปตามยอดไม้ราวกับสายลมหอบหนึ่ง
    สายตามองต่ำลงไปเบื้องล่าง พบเห็นกองกำลังชายชุดดำหลายกลุ่มแอบซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้ ในมือ
    ต่างถือดาบกระชับกระบี่แนบแน่น
     

         ฟางเหวินหลงฉุกใจคิด ฝ่ายตรงข้ามซุ่มโจมตี คล้ายกับผ่านการวางแผนมาอย่างดี ด้วยมันสมองของ
    เผิงกุ้ยถิงคงไม่มีความสามารถถึงขั้นนี้
     

         การจัดวางกำลังล้วนผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ แสดงว่าคนผู้นี้ถนัดในกลยุทธ์วางกำลังไพร่พล
    บวกกับคุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้เป็นอย่างดี หากว่าผู้ที่วางแผนคือเถียนเหวินซาน นับว่าตนเองพบกับศัตรู
    ที่ตึงมือยิ่ง
     

         ซึ่งความจริงการวางกลยุทธ์ทำศึกคล้ายกับการเล่นหมากล้อม ฟางเหวินหลงผ่านการศึกษาจากโลกอนาคต
    มาหลายศาสตร์สาขา การวางแผนกลศึกในประวัติศาสตร์หลายยุคหลายสมัยล้วนอ่านผ่านตามาหมดสิ้น

         ไหนเลยจะเห็นกับดักพวกนี้อยู่ในสายตา เร่งระดับความสามารถของดวงตา ใบหูถึงขีดสุดคำนวณที่อยู่
    ของศัตรู พลางเร่งความเร็วของฝีเท้าจนกัวเฮิ่นอี้ต้องติดตามอย่างลำบากกินแรง โผพุ่งไปเบื้องหน้า
    ดุจลูกเกาทัณฑ์
     

         หลังจากคนทั้สองโลดแล่นไปอีกราวธูปไหม้ครึ่งดอก ได้ยินเสียงติงติงตังตังอยู่เบื้องหน้า
    ยามนี้ฟางเหวินหลงค่อยเห็นจงซุนเสวียนหัวยืนหยัดอยู่หน้ารถม้ารับมือคนชุดดำสองสามคนที่กลุ้มรุม
    ท่ามกลางการโอบล้อมของคนศัตรูอีกสิบกว่าคน
     

         จงซุนเสวียนหัวสมกับเป็นมือกระบี่เลิศล้ำ แม้นต้องรับมือศัตรูหมู่มาก ก็ยังรับมืออย่างปลอดโปร่ง ไม่มีวี่แวว
    พ่ายแพ้แต่อย่างใด
     

         การที่ฟางเหวินหลงแยกกับจงซุนเสวียนหัว อย่างน้อยก็มีส่วนช่วยทำให้ศัตรูต้องแยกย้ายกำลังค้นหา
    มิเช่นนั้น พวกเขาคงต้องเผชิญกับการดักรอของกองกำลังซุ่มโจมตีกลุ่มใหญ่กว่าเบื้องหน้าเป็นแน่
     

         ฟางเหวินหลงชักดาบคู่กายออก จับดาบด้วยสองมือกู่ร้องดังยาวนาน จากนั้นฟาดฟันดาบใส่คนชุดดำ
    ที่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง
     

         คนชุดดำนั้นหันกลับมาพบว่ามีประกายดาบเบื้องหน้า รีบยกกระบี่ต้านทาน รู้สึกว่าพลังดาบของ
    ฝ่ายตรงข้ามหนักหน่วงดุจขุนเขา ต้องแผดร้องคำหนึ่ง ง่ามมือฉีกขาด หงายร่างปลิวลิ่วไป
     

         กัวเฮิ่นอี้ ซึ่งติดตามมาที่ด้านหลังพุ่งตัวติดตามไปราวกับพยัคฆ์เข้าตะครุบเหยื่อ ชักกระบี่วาววับ สะบัด
    คราหนึ่งคอหอยของคนชุดดำที่ถูกฟางเหวินหลงฟาดฟันจนเสียหลัก ก็ปรากฏโลหิตกระจายออก
     

         ฟางเหวินหลงเหลือบตามองเพียงแวบเดียว ครุ่นคิดว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ต้องอาศัยความเฉียบขาด มิอาจ
    ใจอ่อน หากปล่อยให้ศัตรูคนหนึ่งคนใดปล่อยสัญญาณเรียกพวกพ้องมา พวกตนคงจบสิ้นทั้งขบวน
     

         หลังจากขจัดศัตรูไปหนึ่งคน คนชุดดำที่ล้อมกรอบจงซุนเสวียนหัวล้วนบังเกิดความตื่นตระหนก เคลื่อนไหว
    เข้ามาจู่โจม
     

         ฟางเหวินหลงไม่ขบคิดใคร่ครวญ พลันพุ่งโถมไป ยึดพื้นที่ว่างซึ่งอยู่กึ่งกลางตำแหน่งหนึ่งหน้าสองหลัง
    ของศัตรูดาบยาวกรีดเป็นประกายวูบหนึ่ง แยกย้ายกวาดใส่กระบี่ของคนทั้งสาม
     

         สองคนแรกที่ถูกดาบฟันใส่ตัวกระบี่ต้องครางหนักๆเซถอยไป ฟางเหวินหลงพอขจัดการคุกคามจากกระบี่
    สองเล่ม ก็ตวาดก้อง เร่งระดับความเร็วของดาบ ฟันใส่กระบี่ของคนชุดดำทางซ้ายมืออย่างสุดกำลัง
     

         คนชุดดำคนที่สามรู้สึกมีพลังลมคุกคามตัว ดังนั้นรีบวกกระบี่กลับมาปิดป้อง ฟางเหวินหลงพลันพลิกแพลง
    เปลี่ยนกระบวนท่า ดาบยาวดึงกลับหาตัวแล้วยื่นออก ฉกฉวยโอกาสแทงใส่ช่องว่างทะลุทรวงอกฝ่ายตรงข้าม
    ล้มหงายไป
     

         ขณะที่คนผู้นั้นจบชีวิต ศัตรูที่ล้อมกรอบด้านหลัง ขณะจะห่อปากส่งเสียงกู่ร้องเรียกระดมผู้คน พลันรู้สึกมี
    ลมกระบี่คุกคามเมื่อหันไปดู พบว่าเป็น กัวเฮิ่นอี้ที่เร้นกายเข้ามาใกล้ ใบหน้าเย็นเยียบ
    กล่าววาจาสั้นๆ "สายไปแล้ว"
     

         จากนั้นสะบัดปลายกระบี่สะบั้นคอหอยฝ่ายตรงข้ามขาดไป
     

         ท่ามกลางแสงจันทร์รำไร เห็นเงาคนพลุกพล่านสับสน ฟางเหวินหลงและกัวเฮิ่นอี้ลงมือเข่นฆ่าจนดาวเดือนไร้ประกาย
     

         จงซุนเสวียนหัวพลันรู้สึกว่าแรงกดดันลดลง เหล่าศัตรูสลายวงล้อม จึงกวัดแกว่งกระบี่เป็นเงาประกาย
    นับร้อยสายคุกคามศัตรูเบื้องหน้าสามคนถอยร่น
     

         เมื่อตัวมันไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ก็สามารถบุกซ้ายทะลวงขวาได้อย่างเต็มที่
     

         จงซุนเสวียนหัวคล้ายได้รับความอัดอั้นตันใจ มันสะบัดกระบี่คราใดต้องมีศัตรูล้มลง
     

         พริบตาดุจประกายไฟ ฟางเหวินหลงและพวกควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ สังหารศัตรูที่เหลืออยู่ทั้งหมด
    ได้สำเร็จ
     

         นอกจากฟางเหวินหลงที่รับบาดเจ็บทางผิวกายหลายแห่ง กัวเฮิ่นอี้และจงซุนเสวียนหัวกลับปลอดภัย
    ไร้เรื่องราว
     

         ยังดีที่ศัตรูเหล่านี้ล้วนละโมบโลภมาก หวังรับความดีความชอบไม่ได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
    ตั้งแต่แรก มิเช่นนั้น พวกเขาคงมิอาจได้รับชัยชนะง่ายดายปานนี้
     

         ฟางเหวินหลง หันไปกล่าวกับจงซุนเสวียนหัวว่า
         "ขออภัยที่พวกเรามาล่าช้า พี่เสวียนหัวกับเหมยกุยน้อยปลอดภัยดีกระมัง?"
     

         จงซุนเสวียนหัวยังไม่ทันกล่าวตอบอันใด ประตูรถม้าที่เบื้องหลังพลันเปิดออก เหมยกุยน้อยโถมเข้ายัง
    อ้อมอกฟางเหวินหลง กล้ำกลืนน้ำตา หักหัวใจที่ร้อนรุ่ม กล่าวว่า
         "ท่านฟางได้รับบาดเจ็บ?"
     

         ฟางเหวินหลงฝืนยิ้ม กล่าวตอบว่า
         "เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย เหมยกุยน้อยปลอดภัยดี?"
     

         เหมยกุยน้อยผงกศีรษะเล็กน้อย ใบหน้ามีน้ำตาไหลอาบแก้มงาม ทางหนึ่งล้วงผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากแผล
    บนร่างฟางเหวินหลง
     

         ฟางเหวินหลงหันไปกล่าววาจากับจงซุนเสวียนหัวว่า
         "ดีที่พี่เสวียนหัวมีความสามารถต้านทานศัตรู มิเช่นนั้นคงย่ำแย่แล้ว โอ....พวกเรารีบเดินทางเถอะ
    ชักช้าพวกมันติดตามมาอีก คงเกิดปัญหายุ่งยากเป็นแน่"
     

         จงซุนเสวียนหัวเห็นด้วยกับฟางเหวินหลง ชักชวนคนทั้งหมดขึ้นรถม้า ส่วนตัวมันสวมหมวกปิดบังใบหน้า
    บังคับรถม้ากลับยังตึกจงซุน
     

         จงซุนเสวียนหัวบังคับรถอ้อมเป็นวง หลบเลี่ยงกองกำลังดักซุ่มของศัตรู ลดเลี้ยวสู่ตรอกขวางขับสู่ถนน
    ด้านหลังตึกจงซุนก็สลัดทอดทิ้งเหล่าศัตรูอย่างสิ้นเชิง
     

         กัวเฮิ่นอี้ซึ่งอยู่ภายในรถม้ากับฟางเหวินหลง สายตาจ้องมองหญิงงามข้างกายฟางเหวินหลงที่บรรจง
    เช็ดปากแผลหลายแห่งของเขา ชั่วครู่ก็กล่าววาจาอย่างฉงนสงสัยขึ้นว่า
         "เหวินหลง การต่อสู้เมื่อครู่ ไฉนทุกดาบที่ท่านฟาดฟันออกล้วนเป็นกระบวนท่าแลกชีวิต เหตุใดไม่มีกระบวนท่าตั้งรับ?"
     

         ฟางเหวินหลง หันมาฝืนยิ้มกล่าวตอบว่า
         "ข้าพเจ้าบอกกับพี่เฮิ่นอี้ตามตรง อาจารย์ของข้าพเจ้าท่านเฉาชิวเต้า ถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้ข้าพเจ้า
    ชุดหนึ่ง นาม'กระบี่ไร้ลักษณ์' ทุกกระบวนท่าเน้นเพียงการรุก ไม่เน้นตั้งรับ วันนั้นที่ข้าพเจ้าประลองกับท่าน
    จึงต้องออกอุบายให้ท่านเพียงตั้งรับ ต้องขออภัยที่ใช้เล่ห์คดโกงกับท่าน"
     

         กัวเฮิ่นอี้ ผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวว่า
         "อ้อ....มิน่าเล่า วันนั้นตัวเราต้องเผชิญกับเพลงดาบเน้น'รุก' เพียงอย่างเดียวของท่าน ตอนแรกเรายัง
    เข้าใจว่าท่านไม่กริ่งเกรงการโจมตีกลับ จึงไม่ตั้งรับ ที่แท้เพลงดาบท่านไม่มีท่ารับนี่เอง"
     

         จากนั้นหยุดเล็กน้อย ขบคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวสืบต่อว่า
         "เพลงดาบชุดนี้หากพบเจอศัตรูอ่อนด้อยก็สามารถใช้ออกได้ แต่หากว่าเจอคู่มือที่มีระดับฝีมือใกล้เคียงกัน
    มิต้องตายตกตามกันหรอกหรือ?"
     

         คำกล่าวนี้สร้างความฉงนสงสัยขึ้นในใจฟางเหวินหลงดุจระลอกคลื่น!


         ท่ามกลางเงาหิมะโปรยปราย จันทราลอยสูงกลางเวหน เบื้องนอกกำแพงรั้วตึกจงซุน ใบหูของ
    ฟางเหวินหลงยังแว่วเสียงฝีเท้าสับสนของเหล่าศัตรูที่อยู่ห่างไกล ที่ออกตามล่าหาพวกตน โดยที่
    ต่างหารู้ไม่ว่าพวกตนนั้นได้หลบกลับเข้าสู่ที่มั่นอันปลอดภัยแล้ว
     

         ภายในห้องพักรโหฐานที่จงซุนเสวียนหัวจัดเตรียมไว้ ฟางหวินหลงซึ่งยังไม่อาจข่มตาหลับลงได้
    เพราะภายในสมองเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่สนทนากับกัวเฮิ่นอี้
     

         นี่เป็นนิสัยซึ่งติดตัวฟางเหวินหลงมาตั้งแต่เยาว์วัย ที่หากมีปัญหาใดขบคิดไม่ออก ก้อจะเฝ้าแต่ขบคิดโดย
    ไม่อาจปล่อยวางได้
     

         ฟางเหวินหลง ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งจากสี่ตัวของชุดโต๊ะอาหารกึ่งกลางห้อง ออกไปวางไว้ริมหน้าต่าง
    จากนั้นผลักมือเปิดหน้าต่างห้องออกอย่างแผ่วเบา ทรุดตัวลงนั่ง สายตาทอดยาวไปยังห้องพักอีกสองห้อง
    ที่จงซุนเสวียนหัวจัดไว้ให้กัวเฮิ่นอี้และเหมยกุยน้อยที่อยู่หลังปุยหิมะเบาบางที่ตกลงมาไม่ขาดสาย


         ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบ ฟางเหวินหลงเริ่มวิเคราะห์ถึงสถานการณ์โดยรวม
     

         เริ่มจากเพลงดาบที่ตนฝึกฝนว่าเพราะเหตุใด ท่านปราชญ์กระบี่ถึงสอนเพลงดาบที่ไม่มีท่าตั้งรับนี้
    กับตนเอง?
     

         หากมองในแง่ดีแล้ว การฝึกเพลงดาบเชิงรุก หากแม้นกระบวนท่ารุก สามารถรุกไล่จนคู่ต่อสู้ได้แต่
    เพียงตั้งรับ โดยไม่อาจโงหัวได้ ก้อไม่จำเป็นจะต้องมีการตั้งรับ

         แต่หากมองในมุมกลับกันล่ะ!!!
     

         ปีศาจตายแทน??


         ฟางเหวินหลง หลั่งเหงื่อเย็นเยียบเต็มฝ่ามือ หัวสมองเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงใบหน้าเปี่ยมเมตตาของ
    ปราชญ์กระบี่ ภายในใจเกิดความขัดแย้งปะทุขึ้นอย่างไม่อาจระงับได้!
     

         ฟางเหวินหลง ส่ายศีรษะช้าๆ มุมปากฝืนยิ้ม ครุ่นคิดสืบต่อไปว่า

         อย่างไรเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น หากจะหาเหตุผล อย่างไรก้อต้องไปสอบถามจากท่านปราชญ์กระบี่เท่านั้น
     

         เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ฟางเหวินหลงตกลงใจว่าวันพรุ่งนี้จะกลับไปยังสำนักจี้เสีย....




                                                         (จบตอน)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×