ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจาะเวลาหาอดีต

    ลำดับตอนที่ #1 : กลับสู่อดีต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.56K
      30
      9 ส.ค. 55

     ในอนาคต (ปี 2050)

         ท้องฟ้าเหนือมหานครนิวยอร์ค สาดส่องเป็นสีแดงเพลิง สายวิชชุแปรบปราบเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผ่าลงมา

    ยังซากปรักหักพังของอาคารที่ยังคงพอจะดูออกว่าเคยเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามและแฝงไว้ด้วยวิทยาการอัน

    สูงล้ำที่สุด

         ภายใต้ซากสิ่งปลูกสร้าง และถนนลอยฟ้าที่เหลือเพียงเสาค้ำยันที่พังลงมาหลายร้อยต้น ลึกลงไปใต้ดิน

    หลายพันฟุต ลิฟท์อัตโนมัติเลื่อนลงชั้นแล้วชั้นเล่าราวกับว่าจะลงไปยังใจกลางโลก

         ลิฟท์เลื่อนต่ำลงไปห้าสิบกว่าชั้น ค่อยหยุดนิ่งลง

         ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างเร่งร้อน ผ่านประตูอีกหลายชั้น มาถึงห้องโถงกว้างขวางหลังหนึ่ง

         สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มีความสูงเกือบสามสิบเมตร ตอนปลายทำจากโลหะผสม ลักษณะคล้ายเตาหลอม

    ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ตรงหน้า ภายในห้องโถงเรียงเต็มไปด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ราวกับเป็นห้องเครื่องของยาน

    อวกาศลำหนึ่ง

    หญิงสาวอายุราวสามสิบกว่าสวมชุดยาวสีขาวกำลังสาละวนกับการควบคุมบังคับเครื่องมือต่างๆ

         สองฟากข้างห้องโถงแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นบนกั้นกระจกไว้ ยังมีเด็กชายอายุราวสิบสี่สิบห้าปีคนหนึ่งนั่ง

    ประจำอยู่หน้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกชื่อไม่ถูก ท่ามกลางบรรยากาศในห้องที่เคร่งเครียดกดดัน

         ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาถึงภายในห้อง ก้าวเท้ายาวๆเข้าไปหาหญิงสาวผู้นั้น เข้าไปกระซิบข้างหูอย่าง

    เร่งร้อนว่า

         "ที่รัก ทุกอย่างเรียบร้อยรึยัง เราเหลือเวลาน้อยเต็มทีแล้ว!"

         หญิงสาวเงยหน้าขึ้น สบตากับชายคนนั้น พูดด้วยเสียงสั่นเครือขึ้นว่า

         "ฟางถิง ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว แต่ฉันไม่มั่นใจเลยว่าการเดินทางข้ามเวลานี้จะทำได้สำเร็จ?"

         หญิงสาว ถอนหายใจ แล้วกล่าวต่อขึ้นว่า

         " ตามบันทึกเมื่อห้าสิบปีก่อนประเทศจีน ก้อเคยมีการทดลองนี้ แต่เตาปฎิกรณ์ปรมณูก้อเกิดระเบิดขึ้น 

    แรงระเบิดอันรุนแรงทำให้ไม่มีใครรอดชีวิต ฉันเกรงว่าเราจะทำไม่สำเร็จ"

         ชายที่ชื่อฟางถิง ดึงตัวหญิงสาวมากอดไว้แนบอก พร้อมกับพูดอย่างแผ่วเบาขึ้นว่า

         "เหม่ย ลี่ อย่างที่ผมเคยบอกคุณแล้วไง ว่าตอนนี้เราไม่มีทางเลือก โลกเราตอนนี้เต็มไปด้วยสาร

    กัมมันตภาพรังสีจากการทำสงคราม ถ้าเราไม่ไปในตอนนี้ จะช้าหรือเร็ว พวกเราก้อคงจะต้องตายกันหมด!"

         เหม่ย ลี่ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่คลออยู่ที่ดวงตา หันกายกลับไปยังเครื่องควบคุม แล้วพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

    ว่า

         "คุณพูดถูกแล้ว ฟางถิง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ขอเพียงครอบครัวเราอยู่ด้วยกัน ฉันก้อพอใจแล้ว"

         ฟางถิง สบตากับภรรยารัก แล้วพูดว่า

         "เราไม่พลาดแน่นอนที่รัก พวกเราทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทุนทรัพย์ เสียเวลาไปมากมาย อย่างไรเราต้อง

    ทำได้แน่"

         เสียงชายหนุ่มดังขึ้นจากชั้นสอง ตะโกนลงมายังคนทั้งสองว่า

         "พ่อครับ ลาวาจากใต้ดินเริ่มประทุเข้ามาใกล้เรามากขึ้นทุกทีแล้ว!"   

         ฟางถิง เอามือปาดเหงื่อที่ใบหน้า แล้วพูดขึ้นว่า

         "ดูเหมือนเราต้องเร่งมือแล้ว เหวิน หลง เราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ก่อนที่ลาวาจะปะทุมาถึง?"

         เด็กหนุ่มที่ชื่อเหวิน หลง หันกลับไปมองที่จอมอนิเตอร์ กดปุ่มคำนวณอย่างว่องไว แล้วหันกลับมาตอบว่า

         "จากการคำนวณ เราเหลือเวลาอีกประมาณสามสิบนาทีครับ!"

         จู่ๆก้อเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ขนาดที่ห้องทดลองซึ่งอยู่ลึกหลายพันฟุตยังรู้สึกได้ ความสั่น

    สะเทือนทำให้เพดานห้องบางส่วนเกิดรอยร้าวขึ้น

         ฟางถิง ตะโกนบอกเหม่ยลี่และเหวินหลง อย่างเร่งร้อนขึ้นว่า

         "เร็วเข้า! ทั้งสองคน อย่ามัวชักช้า รีบเข้าไปในแคปซูลส่งตัวเดี๋ยวนี้!"

         ทั้งสอง เมื่อได้ยินฟางถิงสั่งการ ทั้งคู่จึงรีบวิ่งเข้าไปที่แคปซูลโลหะที่วางเรียงรายอยู่ตรงกลาง สองในสาม

    ใบอย่างรวดเร็ว

         ฟางถิง เข้าไปที่ศูนย์ควบคุมที่ใช้สั่งการ กดปุ่มเดินเครื่องเตาปฎิกรณ์ที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการขับ

    เคลื่อน เครื่องมือทุกชิ้นในห้อง

    ทดลองเริ่มเดินเครื่อง ไฟแจ้งผลหลากสีสว่างพรึบขึ้น ฝาครอบแคปซูลที่เหม่ยลี่และเหวินหลงเข้าไปนอนอยู่

    ภายใน ก้อปิดลงอย่างรวดเร็ว

         ฟางถิง เมื่อจัดการป้อนคำสั่งเดินเครื่องเรียบร้อย ก้อรีบวิ่งไปที่แคปซูลใบสุดท้าย

         พลัน!! เพดานห้องที่แตกร้าว เนื่องจากคานที่รับน้ำหนักแอ่นตัวจนไม่สามารถทนรับได้ไหว เกิดหักลงมา

    ด้านหนึ่ง จนทำให้เพดานซึ่งรับน้ำหนักอันมหาศาลไม่ไหว ถล่มลงมา

         โครม!!!!!

          พื้นเพดานที่เป็นปูนซีเมนต์ก้อนมหึมา ถล่มลงมากดทับใส่แคปซูลใบแรกที่ฟางถิงจะเข้าไปใช้เดินทางจน

    แหลกละเอียด!!!

         นอกจากนั้นก้อนปูนที่ขนาดย่อมกว่าครึ่งหนึ่ง ยังตกกระแทกพื้นกระดอนลอยขึ้น แล้วตกลงมากระทบฝา

    ครอบแคปซูลของเหม่ยลี่ จนแตกร้าว

         ฟางถิงระงับอาการตื่นตกใจ ลุกขึ้นจากท่านอนหมอบ วิ่งตรงเข้าไปที่แคปซูลของเหม่ยลี่!

         ฟางถิง ตะโกนเรียกชื่อ "เหม่ยลี่!!" พร้อมกับหยิบแท่งเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ เข้าไปงัดเอาก้อนซีเมนต์นั้นออก

    ไป จากนั้นกดปุ่มจากด้านข้างเปิดฝาครอบออก

         ฟางถิง เข้าไปประคองเหมยลี่ ซึ่งอยู่ด้านในออกมา

         เหมยลี่ ซึ่งได้รับการกระทบกระเทือนจากแรงกระเเทก ค่อยๆลืมตาขึ้น เมื่อมองเห็นฟางถิงผู้เป็นสามี จึง

    ค่อยๆระงับอาการตื่นตกใจ แล้วพูดว่า

         "ฟางถิง ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย..."

         เหวินหลง ซึ่งอยู่แคปซูลข้างๆ เมื่อเห็นเหมยลี่ ซึ่งเป็นมารดาตน ไม่เป็นอะไร ก้อเป่าปากอย่างโล่งใจ แล้ว

    พูดขึ้นว่า

         "พ่อครับ เปิดฝาแคปซูลให้ผมด้วยครับ!"

          ฟางถิง ได้ยินเสียงเหวินหลงพูด แต่ยังนิ่งเงียบ ดวงตามองไปยังแคปซูลของเหวินหลง แล้วกวาดตามอง

    ไปยังแคปซูลที่ได้รับความเสียหายอีกสองใบ

    ชั่วครู่ ฟางถิงโอบกอดเหมยลี่ผู้เป็นภรรยาแนบแน่น ประกายน้ำตาปรากฦจากดวงตาของเขา

         ท่ามกลางเสียงถล่มของอาคารเบื้องบน ฟางถิงพูดกับภรรยาและลูกชายคนเดียวของเขาด้วยเสียงสั่นเครือ

    ขึ้นว่า

         "ลูกรัก พ่อกับแม่คงต้องลาจากลูกแล้ว!"

         เหวินหลง ซึ่งอยู่ภายในแคปซูล ทำหน้างุนงง มองไปที่คนทั้งสอง แล้วพูดขึ้นว่า

         "ทำไมล่ะครับพ่อ...... เปิดฝาแคปซูลให้ผมก่อนสิครับ"

         เหมยลี่ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม บีบมือสามีแน่น มองไปที่เหวินหลง พูดขึ้นว่า

         "ลูก....รัก....   แคปซูลส่งตัวของพ่อกับแม่ เสียหายหมดแล้ว....   ตอนนี้พ่อกับแม่คงเดินทางไปกับลูก

    ไม่ได้แล้ว...."

         คำพูดนี้้เหมือนสายฟ้าฟาดลงมายังหัวใจของเหวินหลง ดวงตาสดใสของชายหนุ่มมีน้ำตาไหลอาบแก้ม

    ยกมือสองข้างกำเป็นกำปั้นขึ้นทุบฝาครอบแคปซูลดุจพายุฝนคลุ้มคลั่ง แล้วตะโกนขึ้นว่า

         "พ่อแม่.... ปล่อยผมออกไป!!   เราสัญญากันแล้วว่าครอบครัวเราจะไปด้วยกัน....ถ้าจะตายก้อตายด้วยกัน

    สิครับ......!!!" 

         ฟางถิง มองไปยังเหวินหลง ท่ามกลางม่านน้ำตา ทำให้เห็นหน้าลูกชายที่รัก เป็นภาพอันพร่ามัว แล้วพูดขึ้นว่า

         "เหวินหลง.....พ่อกับแม่ ขอโทษที่ผิดสัญญากับลูก แต่นี่คงเป็นการผิดสัญญาเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต่อไป

    ลูกต้องรักษาตัวให้ดี จงจำไว้ว่าพ่อกับแม่...ถึงจะไม่ได้อยู่ข้างๆลูก แต่วิญญาณ...ของพ่อกับแม่  จะคอยดูแล

    อยู่ใกล้ๆ ลูกตลอดไป...."

         เหวินหลง ซึ่งอยู่ภายในแคปซูล กำปั้นสองข้างแดงฉาน น้ำตาอาบหน้า มองไปยังพ่อกับแม่ของตน ขยับ

    ดิ้นรน ตะโกนจนเสียงแหบแห้ง

         "พ่อครับ แม่ครับ...ให้ผมออกไป!! ผมไม่ไปแล้ว! ปล่อยผมม อ๊าาาาาาา......!!!"

         เหม่ยลี่ คลายมือจากการกุมมือของสามี ทั้งสองคนเข้าไปยืนใกล้ๆแคปซูลของเหวินหลง ยกมือขึ้นลูบคลำ

    ที่ฝาครอบบริเวณใบหน้าของเหวินหลง แล้วพูดว่า

         "ลูกรัก ถึงเราทั้งสามจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว แต่ยังไงสายใยความเป็นครอบครัวของเรา จะยังอยู่ตลอด

    ไป....."

         เมื่อเหมยลี่พูดจบ หีบอันแข็งแรงซึ่งทำจากโลหะผสมเริ่มเคลื่อนที่ พุ่งผ่านอุโมงค์แห่งกาลเวลา ขับเคลื่อน

    เข้าไปยังเตาปฦิกรณ์

         เมื่อแคปซูลเข้าไปยังเตาปฦฺกรณ์ เสียงระเบิดจากเบื้องบนก้อบังเกิดขึ้น!!!!

         คนทั้งสองยืนกอดกัน ส่งสายตามองไปยังแคปซูล ทั้งสองกล่าวเบาๆขึ้นว่า

         "ลาก่อน ลูกรัก..."

         เปลวความร้อนพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แรงระเบิดทำลายห้องทดลองจนถล่มลงมาหมดสิ้น!!!!

         ฟางเหวินหลง พลันฟื้นคืนสติขึ้นมา รู้สึกผิวกายทั่วร่างปวดแปลบราวกับจะปริแตกออก จากนั้นพบว่าตัวเอง

    กำลังร่วงลิ่วลงจากที่สูง

         เสียงโครมคราหนึ่ง ท่ามกลางเสียงการต่อสู้ เสียงอาวุธปะทะกันอย่างถี่ยิบ เขาพบว่าตัวเองตกลงมากดทับ

    ใส่ร่างเลือดเนื้อร่างหนึ่ง บังเกิดเสียงแผดร้องกับเสียงกระดูกหักดังขึ้น

         เสียงกรีดร้องด้วยความตระหนกของสตรี เสียงตวาดร้องคำรามของบุรุษ ฟางเหวินหลงยามเคลิบเคลิ้ม

    เลอะเลือน เหลือบเห็นเงาหลังอันสูงใหญ่เหี้ยมหาญของบุรุษที่แต่งกายโบราณผู้หนึ่งกำลังบุกตะลุยไล่ฆ่าฟัน

    เข้าหาฝ่ายศัตรูอย่างดุดัน จากนั้นเขาสิ้นสติสมประดี

         ไม่ทราบผ่านไปกี่วัน ในความเลอะเลือนมึนงง ฟางเหวินหลงคลับคล้ายคลับคลาว่ามีสตรีนางหนึ่งปรนนิบัติ

    ดูแลเขา เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าพันบาดแผล ป้อนนมแพะให้แก่เขา

         จวบกระทั่งค่ำคืนหนึ่ง ฟางเหวินหลงค่อยฟื้นคืนสติขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้น ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาต้องสูดลม

    หายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ

         สวรรค์ นี้เป็นสถานที่ใด?

         เขายังมีชีวิตอยู่หรือ?  พ่อแม่ของเขาเป็นอย่างไร?

         เขานอนอยู่ภายในกระโจมหลังหนึ่ง บนเสื่อหนานุ่ม  ด้านข้างจัดวางหีบไม้ใหญ่เล็กหลายใบ บนหีบ

    ยังวางกระจกทองเหลืองใบหนึ่ง ด้านนอกกระโจม ฟางเหวินหลงได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงเป็นสำเนียง

    ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

         ฟางเหวินหลง ระงับอาการเสียใจ เมื่ออยู่เพียงลำพัง ครุ่นคิดถึงความหลังว่า

          ตอนที่ฟางถิง (บิดาของฟางเหวินหลง) เคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ในกระทรวงวิทยาศาสตร์ของจีน

    เมื่อสิบห้าปีก่อนมีการขุดลงไปค้นหาห้องทดลองใต้ดินภายใต้อาคารที่เคยเป็นกระทรวงวิทยาศาสตร์

         การขุดค้นหาใช้เวลากว่าสามเดือน สุดท้ายภายใต้การค้นหาอย่างยากลำบาก จึงค้นพบกล่องดำที่เคย

    บันทึกภาพการเดินทางข้ามเวลาที่เคยทำการทดลองเมื่อห้าสิบปีก่อน

         หลังจากที่ฟางถิงได้ดูบันทึกจากกล่องดำ นอกจากจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อ

    การเดินทางข้ามเวลา เขายังพบว่าการทดลองครั้งนั้น อาจจะประสบความสำเร็จก้อเป็นได้

         แต่เมื่อฟางถิงเอาความคิดของเขา บอกกับเพื่อนและหัวหน้าของเขา กลับได้รับเสียงหัวเราะเยาะกลับมา

    จากการกระทำของเพื่อนร่วมงานครั้งนั้น ทำให้เขาเกิดทิฐิอย่างแรงกล้า รุ่งเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงลาออกจาก

    กระทรวงวิทยาศาสตร์ ท่ามกลางคำขอร้องให้เขาเปลี่ยนใจ

         แต่ฟางถิงก้อไม่สนใจ หลังจากที่เก็บข้าวของออกมา ก่อนจะหันกลับไปบอกกับบรรดาเพื่อนร่วมงานว่า

         "ซักวันผมจะพิสูจน์ให้พวกคุณรู้ว่า ผมเป็นฝ่ายถูก!"

         หลังจากนั้นฟางถิง ทุ่มเทเวลา ทรัพย์สินของตระกูลฟาง ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ ที่ร่ำรวยติดอยู่ในสิบอันดับ

    แรกของจีนไปอย่างมากมายมหาศาล 

         การทดลองค้นคว้าผ่านไปห้าปี โลกก้อเกิดข่าวร้ายขึ้น เนื่องจากเกิดวิกฤติขาดแคลนพลังงาน ทำให้เกิด

    การสู้รบแย่งชิงกันอย่างรุนแรง

         สุดท้ายสองประเทศมหาอำนาจก้อยิงระเบิดนิวเคลียร์เข้าใส่กัน ผลจากการรบครั้งนั้น ทำให้เกิด

    สารกัมมันตภาพรังสีขึ้นทั่วโลก ประชากรสองในสามล้มตายลง

         ฟางถิงรับรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงทำการทดลองอย่างคร่ำเคร่ง และเพื่อเป็นการ

    เตรียมพร้อม ฟางเหวินหลงที่ขณะนั้นมีอายุเพียงห้าชวบ ก้อถูกฟางถิงส่งเข้าคอร์สการอบรมความรู้แขนงต่างๆ

    อย่างเข้มงวด

         ฟางเหวินหลงซึ่งเป็นลูกโทนเพียงคนเดียวของฟางถิงกับฟางเหม่ยลี่ เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก ใช้เวลา

    เพียงเจ็ดปี ขณะที่อายุสิบสองปีก้อสามารถเรียนสำเร็จวิชาความรู้ในระดับวิชาความรู้ขั้นสูงเทียบเท่าระดับ

    ปริญญาเอกถึงสามใบ ครอบคลุมทั้งด้านจิตวิทยา ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ 

         ส่วนทางด้านวิชาการต่อสู้สามารถเรียนมวยหย่งชุนระดับสูงได้สำเร็จและวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นได้ถึง

    ระดับแปดดั้ง

         ทุกคนที่ได้พบเห็นฟางเหวินหลง เห็นว่าเด็กหนุ่มอายุยังน้อยเพียงเท่านี้ มีความสามารถขนาดนี้

    เพราะความเป็นอัจฉริยะเพียงอย่างเดียว แต่หารู้ไม่ว่านอกจากพรสวรรค์แล้วฟางเหวินหลงต้องใช้ความ

    ตั้งใจ มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวเพียงใด ผ่านหยาดเหงื่อและหยดน้ำตามากมายขนาดไหน กว่าจะมีความ

    สำเร็จเช่นวันนี้ได้

         ผ่านไปอีกสามปีฟางถิงทำการทดลองผ่านความล้มเหลวจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก้อยังไม่ย่อท้อ

    ฟางเหวินหลงเห็นบิดาของตนทำการทดลองอย่างเหน็ดเหนื่อย จึงเข้าไปช่วยเหลือ ฟางถิงผู้เป็นพ่อเห็น

    บุตรชายของตนมีความตั้งใจ เป็นผู้ใหญ่เกินอายุ จึงอนุญาติให้ฟางเหวินหลงเข้าร่วมการทดลอง

         สุดท้ายด้วยความอุตสาหะของฟางถิง เหม่ยลี่และฟางเหวินหลง การทดลองจึงสามารถทำได้สำเร็จ

         ตอนที่ฟางถิงทดลองส่งหนูตะเภาส่งไปยังอดีตแล้วกลับมาได้สำเร็จ แล้วคิดจะส่งครอบครัวของตนเดินทาง

    ฟางเหวินหลงถามผู้เป็นพ่อว่าจะเลือกเดินทางไปอดีตในสมัยใด ฟางถิงตอบว่าตนเลือกสมัยเดียวกับที่เมื่อ

    ห้าสิบปีก่อนเคยมีการทดลองส่งนายทหารหนุ่มผู้หนึ่งไปนอดีต เพื่อตามหาเขา จะได้พิสูจน์ว่าความคิดของตน

    นั้นถูกต้อง

         ฟางเหวินหลง เมื่อคิดว่าต่อไปนี้ตนเองจะไม่ได้พบกับพ่อกับแม่ของตนอีกต่อไปแล้ว น้ำตาก้อไหลออกมา

    อย่างไม่อาจจะกลั้นเอาไว้ได้ พร้อมกับรำพึงในใจ

         'ถ้าเราคาดการณ์ไม่ผิด ตอนนี้เราคงเดินทางมาในอดีตสำเร็จแล้ว แต่เหลือเราเพียงคนเดียวจะมีประโยชน์

    อะไร?'

         ฟางเหวินหลงร่ำไห้อย่างเงียบงัน เวลาในยามราตรีผ่านไปอย่างแช่มช้า ลมหนาวผ่านร่องประตูกระโจมเข้า

    มากระทบใบหน้าของเขาเป็นระยะๆ ฟางเหวินหลงสะกดจิตใจ ระงับอารมณ์พลุ่งพล่านที่เกิดขึ้น กล่าวเบาๆกับ

    ตนเองว่า

         'หลังจากค่ำคืนนี้ เราจะไม่ร้องไห้อีก ความตั้งใจสุดท้ายของพ่อ เราจะต้องทำให้สำเร็จ ถึงจะยากลำบากแค่

    ไหน เราจะตามหานายทหารผู้นั้นให้พบให้จงได้!'

         คิดได้ดังนั้นแล้ว ฟางเหวินหลงก้อหลับไหลผ่านราตรีแรกในอดีตกาลอย่างเดียวดาย......

     

         แสงอาทิตย์ชอนไชเข้านัยน์ตา ปลุกฟางเหวินหลงตื่นขึ้นมา ภายในกระโจมสงบไร้ผู้คน รู้สึกสติสมาธิ

    แจ่มใสกว่าเดิม กอปรกับเขามีนิสัยสุขารมณ์ ไม่นำพาสิ่งใด ดังนั้นทดลองคืบคลานลุกขึ้นมา

         เมื่อมุดออกจากผ้าห่ม ค่อยพบว่าตัวเองใส่ชุดโบราณ ขนาดรับรูป อาจจะเล็กไปบ้าง เพราะฟางเหวินหลง

    เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ด้วยความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ขนาดรูปร่างของคนสมัยโบราณคงยากที่จะหา

    ขนาดเสื้อผ้าให้พอดีกับเขาได้

         ฟางเหวินหลงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนเองร่างลิ่วลงจากกลางอากาศ ยังกดทับใส่ร่างบุรุษผู้หนึ่ง

    คนผู้นั้นตายหรือยังมีชีวิตอยู่? เขาทำร้ายคนโดยไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวโบราณนางนั้นไฉนยังดีต่อเขาถึงเพียงนี้?

         ฟางเหวินหลงลุกขึ้นยืน รู้สึกฟ้าหมุนคว้างดินโคลงเคลง ชั่วครู่ค่อยพบว่าตนเองเอนร่างพิงกับกระโจม

    ยื่นมือท้าวหีบใบหนึ่งประคองตัวเอาไว้ แสงแดดส่องจากภายนอกกระทบใบหน้าเขา ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง

         เขากวาดตามองออกไป เห็นแต่ความเขียวชอุ่มสดใส ท้องฟ้าสีครามผิดธรรมดา เมฆขาวที่ลอยฟ่องยัง

    บริสุทธิ์กว่าปุยนุ่นเสียอีก

         ฟางเหวินหลงใจสั่นสะท้าน ถึงจะทราบแล้วว่าตนเองเดินทางสู่อดีตกาลแล้ว แต่เมื่อเห็นด้วยตาตนเองก้อ

    อดตระหนกไม่ได้

         ไม่เช่นนั้นท้องนภาไหนเลยสะอาดถึงเพียงนี้ ผิวกายตามมือเท้าล้วนมีริ้วรอยถูกลวกทำร้าย ดีที่อยู่ใน

    ขั้นตอนของผิวหนังหลุดลอก พ้นขีดอันตรายมาแล้ว

         หลังความโศกเศร้าทุกข์ตรม ฟางเหวินหลงพบว่าพละกำลังกลับฟื้นคืนมา ต้องบังเกิดความสงสัยอยากรู้ขึ้น

    ที่เบื้องนอกเป็นโลกเยี่ยงไร? ตัวเองจะสามารถเอาชีวิตรอดในอดีตกาลนี้ได้หรือไม่?

         ฟางเหวินหลงเดินออกมานอกกระโจม ที่แท้อยู่ในหุบเขาอันร่มรื่น ลำธารสายหนึ่งอ้อมผ่านหลังกระโจม

    ไหลรินออกนอกหุบเขา ริมธารด้านขวามือแว่าเสียงเพลงของสตรีดังขึ้นมา ซ้ายมือเป็นป่าโปร่งแถบหนึ่ง

         หวนนึกถึงหญิงสาวโบราณนั้น  ฟางเหวินหลงค่อยบังเกิดอารมณ์แช่มชื่นขึ้น สืบเสาะไปยังต้นเสียงของ

    บทเพลง สายตายามกวาดมองเห็นแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่งไหลผ่าน หญิงสาวเปลือยเปล่าจำนวนมากอาบน้ำ

    ชำระกาย เล่นน้ำเป็นที่สนุกสนาน

         สวรรค์ สตรีสมัยโบราณยังใจกล้ากว่าหญิงสาวยุคปัจจุบันเสียอีก

         ฟางเหวินหลงขณะที่จะเดินไปใกล้ๆ มิคาดฝีเท้าไม่มั่นคง ทั้งยังเหยียบใส่พื้นโคลนที่อ่อนร่วน ต้องร้อง

    อุทานออกมา เสียงตูมเมื่อพลัดตกลงในลำธาร หญิงสาวกลุ่มนั้นได้ยินเสียงดัง จึงพากันหันมามอง

         หญิงสาวหนึ่งในกลุ่มนั้น เมื่อมองเห็นฟางเหวินหลงพลัดตกน้ำก้อใจหายวาบ รีบพุ่งตัวแหวกว่ายเข้ามา

    ช่วยเหลือฟางเหวินหลงทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ หญิงสาวนั้นพอดีว่ายน้ำมาถึงข้างกาย ดึงมือของเขาไปพาดกับ

    หัวไหล่ของนาง

         ฟางเหวินหลงบังเกิดจิตวาบหวาม ฉวยโอกาสแอบอิงกับเรือนกายหอมกรุ่นของนาง

         ฟางเหวินหลง เหลือบตามองไปที่ใบหน้านาง  พบว่านางมีใบหน้าหมดจด รูปร่างแช่มช้อย ดวงตาดำขลับ

    นับว่าเป็นหญิงงามนางหนึ่ง

         นางเห็นฟางเหวินหลงมองดูนางจนตาค้าง จึงใช้สุ้มเสียงอันไพเราะกล่าววาจาที่ทั้งเร่งร้อน ทั้งระรัวออกมา

    หลายประโยค ฟางเหวินหลงมีความเชี่ยวชาญด้านภาษา จึงจับใจความได้กว่าครึ่ง คล้ายกับเป็นภาษาพื้น

    เมืองจีนแถบซานซี คาดว่าอีกฝ่ายตำหนิเขาร่างกายไม่ทุเลาหายดี ก้อออกมานอกกระโจม ดังนั้นจึงกล่าว

    ตอบว่า

         "ขอบคุณคุณหนู"

         หญิงสาวนั้นงงงันวูบ ลืมตาจนกลมกว้าง ถามว่า

         "ท่านมาจากสถานที่ใด?"

         คำพูดนี้แม้ยังยากเข้าใจ แต่ฟางเหวินหลงพอคาดคำนวณได้ จนใจที่ไม่ทราบตอบอย่างไรดี หรือจะบอกต่อ

    นางว่าเขาเป็นมนุษย์จากโลกอนาคต ซึ่งโดยสารไทม์แมชชีนมา?"

         ยามนี้ทั้งสองยังยืนอยู่ในน้ำ ตลอดทั้งร่างเปียกชุ่มโชก ฟางเหวินหลงมีเสื้อผ้าสวมใส่ยังพอทำเนา แต่หญิง

    สาวเรือนร่างเปลือยเปล่า

         หญิงสาวนั้นเห็นดวงตาแวววาวของฟางเหวินหลงจ้องจับบนหน้าอกของนาง พลันมีปฎิกริยาตอบสนอง

    ลืมถามไถ่ปัญหา ประคับประคองเขาขึ้นฝั่ง

         ฟางเหวินหลงอดกระทบหน้าอกของนางเบาๆมิได้ หญิงสาวนางนั้น มิเพียงไม่ขัดขืนและไม่ตำหนิติเตียน 

    กลับมีปฎิกิริยาตอบสนอง ยกมือโอบรอบคอเขา

         ฟางเหวินหลงยินดียิ่ง  ดูท่าหญิงงามสมัยโบราณยังปล่อยตัวปล่อยใจยิ่งกว่าหญิงสาวในสมัยของตนอีก

         ฟางเหวินหลงผลัดเปลี่ยนเป็นสวมใส่เสื้อผ้าที่แห้งสะอาด นั่งเคียงคู่กับหญิงสาวนั้นบนเสื่อ รับประทานเนื้อ

    แพะย่างที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูก ไม่ทราบเป็นเพราะหิวโหยหรือไร ฟางเหวินหลงรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

    ของทุกสิ่งล้วนมีรสชาติโอชะ

         หญิงสาวมองดูเขาด้วยความสนใจ พลางกล่าววาจาเป็นถ้อยคำสองประโยค

         ฟางเหวินหลงพอฟังออกว่า นางบอกว่าเขามีรูปร่างสูงยิ่งนัก  นางไม่เคยเห็นคนที่มีส่วนสูงถึงเพียงนี้มาก่อน

         ฟางเหวินหลงลอบหัวร่อ คาดว่าคนยุคนี้มีรูปร่างค่อนข้างเตี้ย พลางถามว่า

         "ท่านชื่อว่าอะไร?"

         หญิงสาวนั้นสั่นศีรษะเป็นความหมายว่าฟังไม่เข้าใจ ฟางเหวินหลงเรียบเรียงข้อความในหัว ค่อยกล่าวใหม่

    อีกเที่ยว หญิงสาว เข้าใจคำพูดที่เขาพูด จึงตอบว่า

     

     "ข้าพเจ้าชื่อ ซิงลี่จวิน เป็นหลานสาวของโจวหย่งเต๋อ ผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันภัยคณะเดินทางขบวนนี้"

         คราครั้งนี้ถึงรอบฟางเหวินหลงแจ้งชื่อของตัวเอง การสนทนาดำเนินไปอย่างออกรส ฟางเหวินหลงค่อยถาม

    ถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาตกลงมา

         ซิงลี่จวิน ขณะจะบอกเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้น เบื้องนอกก้อได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตื่นตระหนก!

     

        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×