คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ข้าเป็นใคร
8 เทพอสูรทะยานฟ้า
หุบเหวลึกมีหมอกปกคลุมตลอดปี มองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง ใต้หุบเหวมีต้นไม้สูงใหญ่ กอไผ่ ต้นกล้วย และเถาวัลย์ปกคลุมหนาแน่น ล้อมลอบด้วยผาสูงชันเทียมฟ้า เหมือนแอ่งบ่อขนาดใหญ่ที่ไม่มีทางออกสู่โลกภายนอกได้เลย สถานที่นี้ไม่มีแม่สัตว์ใหญ่อยู่อาศัย ที่ใหญ่สุดคงจะเป็นหนู และตัวตุ่นที่อาศัยอยู่ในรูโพรงเท่านั้น
“ตุบ ตุบ แกรบ”
ใต้หุบเหวที่เงียบสงัดจู่ๆ ก็มีบางสิ่งบางอย่างหล่นลงมาไต้หุบเหวแห่งนี้ สิ่งนั้นหล่นลงมากระทบต้นไม้ใหญ่ที่มีใบหนาแน่น จากนั้นก็กระเด็นไปชนกิ่งไผ่ แล้วกระเด็นลงไปชนต้นกล้วยและใบตองที่ทับถมอยู่ในหุบเหวแห่งนี้อย่างหนาแน่น จึงมีเสียงดังตุบแทนจะเป็นเสียงดังโครม เนินนานเป็นสามชั่วยาม สิ่งนั้นก็ครางออกมาอย่างอ่อนแรง
“อย่า ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
เสียงก็เงียบหายไปอีกครั้ง อีกชั่วยามต่อมาเป็นเวลามืดค่ำเวลานั้นเองก็มีหนูตัวหนึ่งออกมาหากิน มันเห็นร่างๆหนึ่งนอนคล่ำหน้าอยู่ในกองใบตอง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด มีบาดแผลหลายแห่ง มีกระบี่เล่มหนึ่งปักอยู่ที่ไหล่ซ้ายเหนือหัวใจไม่มากนัก ร่างนั้นกลับเป็นเด็กหนุ่มน้อยอายุเพียง 13 ปีกว่า มันนึกว่าเป็นซากสัตว์ที่พลัดตกเหวลงมาจึงตรงเข้าไปกัดแทะร่างนั้น
ร่างนั้นจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา หนูตัวนั้นก็ตกใจรีบหลบหนีไป ร่างนั้นพยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง และสำรวจร่างตนเอง นอกจากบาดแผลมากมายแล้วกลับไม่มีกะดูกชิ้นไหนแตกหักแต่อย่างใด มันจึงพยายามดึงกระบี่ออกอย่างอดทน และพยายามนึกว่าตนเองเป็นใครมาจากไหน ตกลงมาที่นี้ได้อย่างไร แต่ในสมองเหมือนว่างเปล่า เขาจึงตระโกนขึ้นว่า
“ข้าเป็นใคร มีใครอยู่ไหม ช่วยข้าด้วยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
หลังจากตระโกนให้คนช่วยอยู่นาน สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเพียงเสียงสะท้อนของเขาเท่านั้น เขาคิดแทบตายก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าเขาเป็นใครมาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร เหมือนความทรงจำของอดีตของเขาจะสูญเสียไปจากการตกลงมาที่นี้ หัวเขาคงไปฟาดถูกก้อนหินหรือต้นไม้จึงทำให้สูญเสียความทรงจำไป แต่ทักษะในการใช้ชีวิตกลับไม่หลงลืม ภาษาการพูดและการอ่านเขียนความรู้ที่เคยร่ำเรียนมาก็ยังปกติ แต่ทำไมเขากลับจำตนเองไม่ได้ว่าเป็นใครมาจากไหน และร่ำเรียนการพูดการเขียนอ่านมาได้อย่างไร เขาพยามยามนึกหาว่าตนเป็นใครจึงสำรวจเสื้อผ้า และร่างกายก็พบเห็นตำราสองเล่มหล่นอยู่ข้างกาย มันคงตกลงมาพร้อมกับเขา เขาหยิบมันขึ้นมาดู น่าแปลกเขากับไม่รู้สึกคุ้นกับหนังสือทั้งสองเล่มนี้เลย เขาลองอ่านหน้าปกดู
“ภาคเทพ ลมปราณเทวะ, ท่าเท้าทะยานฟ้า, 8 กระบวนท่ากระบี่บิน”
“ภาคอสูร ลมปราณอสูร, ฝ่ามือขั้วแม่เหล็ก, 8 กระบวนท่าหมัดอสูร”
หลังจากอ่านหน้าปกทั้งสองเล่ม เขาก็พยายามนึกว่าเขาได้ตำราทั้งสองเล่มมายังไง แต่นึกยังไงก็ไม่ออก
“โอ้ย ปวดหัวทำไมข้าถึงนึกอะไรไม่ได้ ข้าเป็นใคร”
เมื่อไม่ได้คำตอบจึงคิดว่าสักวันเขาคงนึกออกเองนั้นแหละ จึงเลิกใส่ใจที่จะนึกอีกเพราะเขาหิวมากแล้ว ปัญหาเบื้องหน้าคือต้องหาอะไรกินก่อนและหาทางออกจากที่นี้ให้ได้เสียก่อน
เขาจึงหาของกินรอบตัวอีกครั้งแต่รอบตัวเขากับไม่มีอะไรให้กินได้เลย ต้นกล้วยที่เขาหล่นทับก็ยังไม่มีผล เขาจึงเก็บตำราทั้งสองไว้ในอกเสื้อ จากนั้นก็เดินสะแปะสะปะไปไม่รู้ทิศทางเพื่อหาของที่สามารถกินได้
เขาคงมีชะตาชีวิตที่กล้าแข็งมาก ขนาดตกจากเหวที่สูงเสียดฟ้ากลับไม่ตาย และไม่มีกระดูกแตกหัก เพียงมีบาดแผลอยู่หลายแห่งจากการกระทบกับกิ่งไม้ และเศษก้อนหิน แต่ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต เขาคิดไปพลางและหาของกินไปพลาง เขาเห็นต้นไม้มากมายที่เกิดภายในหุบเหวนี้ แต่ละต้นสูงใหญ่มาก มีผลเต็มต้น แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นผลไม้ชนิดใด เขาเก็บผลที่หล่นลงพื้นมาผลหนึ่งด้วยความหิวมากจึงไม่คำนึงว่าเป็นผลไม้มีพิษหรือไม่ เขากัดกินทันที
ผลไม้ที่หุบเหวนี้มาจากหลายๆท้องที่ส่วนมากจะเป็นเมล็ดที่เกิดจากมูลของสัตว์ปีกที่บินผ่านมาที่นี้และถ่ายมูลลงมา และในจำนวนนั้นกลับมีหงส์แดงตัวหนึ่งบินผ่านมาและถ่ายเมล็ดมรกตลงมาที่หุบเหวนี้ ปกติต้นมรกตจะเกิดในป่าลึกที่ผู้คนเข้าไม่ถึงหรือเกิดในหุบเหวและต้องมีอายุถึง 200 ปีถึงจะเริ่มออกดอกออกผลและเมื่อออกดอดผลแล้วก็จะออกตลอดทั้งปี มรกตเป็นต้นไม้ที่มีผลสีมรกต เป็นอาหารที่หงส์แดงชอบกิน แต่มันหายากมากเพราะผลของมันช่วยในการทำให้หงส์แดงมีชีวิตที่ยืนยาว หากเป็นผู้ฝึกยุทธผลแต่ละผลจะช่วยให้เพิ่มพลังวัตรได้ถึง 1 ปีต่อ 1 ผล เมล็ดมรกตนี้ตกลงมาที่หุบเหวนี้เมื่อพันปีก่อน จากนั้นมันก็เจริญเติบโตที่หุบเหวนี้และมีผลหล่นลงมาและแผ่ขยายไปทุกพื้นที่ของหุบเหวนี้เนื่องจากเป็นต้นไม่ที่มีอายุยืนมาก ผลมรกตยังเป็นอาหารพวกหนู และตัวตุ่น และนกขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในหุบเหวนี้
เขากินผลหนึ่ง รสชาติมันทั้งหวานอร่อยทั้งชุ่มฉ่ำในลำคอ เรียกได้ว่าแก้หิวและแก้กระหายได้เลย เขาจึงเก็บมากินอีกสามสี่ผลเขาก็อิ่ม เขาสำรวจหุบเหวนั้นต่อก็ไม่พบทางออก จึงต้องยุติไป จากการสำรวจของเขาพบว่าหุบเหวนี้ใหญ่มาก กินบริเวณพื้นที่ไม่ต่ำกว่าสิบตารางกิโลเมตร
เมื่อผ่านไปอีก 1 เดือนแผลเขาหายสนิทแล้ว แต่ความทรงจำของเขาก็ไม่กลับคืนมา เขาจึงเลิกสนใจที่จะนึกว่าเขาเป็นใครอีกต่อไป เมื่อไม่มีอะไรทำเขาก็หันมาศึกษาตำราทั้งสองเล่มที่ติดตัวเขาแทน เขาเอาเล่มหนึ่งมาอ่านก่อน
“ลมปราณเทวะ ผู้ศึกษาต้องนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ หลับตาตั้งจิตละลึกถึงพลังแสงจนเกิดความร้อนที่จุดตั่งชัง (ท้องน้อย) จากนั้นให้พยายามแผ่ความร้อนให้กระจายไปตามเส้นสายชีพจรสู่จุดของอวัยวะภายใน เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ สมอง และโครงกระดูกทั้งสามร้อยหกสิบหกแห่งในร่างกาย เริ่มจากยี่สิบจุดหลักก่อน เมื่อทำได้แล้วจึงกระจายไปที่ จุดย่อยอื่นๆตามลำดับ จนถึงจุดตายที่กลางกระหม่อมที่จะเป็นจุดสุดท้าย จุดทั้งสามสิบหกจุดมีดังนี้.....ผู้ศึกษาต้องไม่เร่งรีบในการทะลวงจุดปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ให้หมั่นฝึกปรือ ทุกวันๆละหนึ่งชั่วยามพลังลมปราณเทพจะเพิ่มพูนตลอดเอง...”
เขาที่ไม่มีอะไรทำจึงไม่อยากเร่งอ่านให้จบเร็วนักเพราะกลัวว่าจะไม่มีอะไรให้ทำหากอ่านจบเร็วเกินไปจึงปิดตำราและเริ่มหัดทำตามที่ตำราบอก เขาหาที่นั่งเหมาะๆที่ไม่มีหนูมารบกวนได้ เป็นโขดหินสูงพอสมควรจากนั้นก็เริ่มนั่งหลับตากำหนดพลังแสงที่ท้องน้องตามที่หนังสือบอก
แรกๆเขาไม่อาจกำหนดพลังแสงได้เลย แต่เมื่อไม่มีอะไรทำเขาจึงไม่เบื่อหน่ายที่จะทำ พอวันที่เจ็ดเขาก็สามารถกำหนดพลังแสงได้มีความร้อนเล็กๆเกิดขึ้นที่ท้องน้อยมันหมุนวนอยู่ตลอดเวลา เขายินดียิ่งจึงเริ่มบังคับพลังแสงนั่นให้เคลื่อนไปจุดที่สองเขาใช้เวลาอีกสองวันจึงเคลื่อนไปทะลวงจุดที่สองได้ เมื่อสามารถเคลื่อนไปทะลวงจุดที่สองได้ก็ทำให้เขาเข้าใจหลักการเดินลมปราณขึ้นแล้ว แต่นั้นมาเขาจึงหมั่นฝึกเดินลมปราณทุกวันๆละหนึ่งชั่วยามตามที่หนังสือบอก ส่วนเวลาอื่นๆ เขาก็เลยเพาะสร้างร่างกายโดยการฝึกยกก้อนหินและปีนต้นไม้ที่สูงใหญ่เล่น และจับหนังสืออีกเล่มมาอ่านดูบ้าง
“ลมปราณอสูร ผู้ศึกษาให้ยืนด้วยท่ายืนโดยใช้ปลายเท้าในการทรงตัวหลับตากำหนดพลังที่ปลายเท้าจะรู้สึกถึงแรงที่พื้นดินส่งมาที่ปลายเท้าไหลสู่ร่างกายกำหนดจิตให้ร่างกายดูดซับพลังนั้นไว้ไม่ให้ไหลเวียนออกสู่ภายนอกแต่ให้สะสมไว้ที่หัวใจ และส่งพลังสู่กระแสเลือด ทำให้เม็ดเลือดสะสมพลังแม่เหล็กจนมีพลังงานสะสม ร่างกายจะมีพลังวัตรเพิ่มพูนตลอดเวลา ....ฝึกทุกวันๆละหนึ่งชั่วยาม ผู้ฝึกพลังนี้สำเร็จแม้อสูรยังยอมสยบแทบเท้า....”
เขาอ่านเพียงวิธีฝึกลมปราณอสูร ก็ปิดไว้และทดลองฝึกดู เขาไปยืนในที่ที่เห็นว่าเหมาะจากนั้นก็หลับตาทำจิตกำหนดถึงแรงพลังงานของโลกที่ส่งผ่านมาในร่างกาย แรกๆเขาก็ไม่รู้สึกอะไร แต่จู่ๆจิตเขาก็สามารถรับรู้ถึงกระแสพลังนั้นได้ จากที่รับรู้กระแสพลังเพียงนิดหน่อยก็เริ่มรับรู้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 1 เดือนผ่านไป เขาก็สำเร็จลมปราณอสูรขั้น 1 ได้แล้ว
1 ปีผ่านไป เขาอาศัยผลมรกตที่มีผลตลอดทั้งปีกินประทังชีวิต และฝึกลมปราณเทวะ และลมปราณอสูร จนสำเร็จขั้นที่ห้าได้แล้ว มีพลังเพียงพอจะฝึกท่าเท้าทะยานฟ้า และฝ่ามือขั้วแม่เหล็กได้แล้ว เขาจึงเริ่มฝึกวิชาทั้งสองพร้อมกัน
น่าแปลกที่ลมปราณเทวะ กับลมปราณอสูร ไม่เกิดการหักล้างกันกลับเกื้อหนุนซึ่งกันและกันมากกว่า เพราะมีวิถีโคจรที่ต่างกัน และใช้จุดชีพจรที่ไม่เหมือนกัน แต่เป็นเหมือนตรงกันข้ามแต่กลับหนุนเสริมซึ่งกันและกัน เหมือนแสงสว่างและความมืดยังไงยังงั้น ลมปราณเทพใช้จุดชีพจรของ อวัยวะภายใน เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ กระดูก และสมอง แต่ลมปราณอสูรใช้จุดชีพจรของหัวใจ เม็ดเลือด และกระแสเลือด
วิชาท่าเท้าทะยานฟ้ามีทั้งหมด 21 ท่าร่าง เขาจึงไม่อาจฝึกสำเร็จได้โดยง่ายยิ่งกระบวนท่าที่ 21 ท่าเท้าทะยานเหยียบอากาศต้องรอจนฝึกลมปราณเทพถึงขั้น 9 ก่อนจึงจะฝึกสำเร็จได้ (ลมปราณเทวะมีทั้งหมด 11 ขั้น ลมปราณอสูรมี 13 ขั้น)
ปีที่ 4 เขามีอายุ 17 ปีแล้ว เขาฝึกฝ่ามือขั้วแม่เหล็ก ได้จนชำนาญ ท่าเท้าทะยานฟ้าถึงกระบานท่าที่ 19 ได้และลมปราณเทวะฝึกถึงขั้น 8 ลมปราณอสูรฝึกถึงขั้น 10 ที่เขาฝึกลมปราณเทพขั้น 9 ไม่สำเร็จเพราะเขาไม่มีพลังมากพอที่จะทะลวงจุดตายกลางกระหม่อมนั้นเอง เขาต้องสะสมพลังวัตรให้มากกว่าที่มีถึงเท่าตัวจึงจะทะลวงจุดนั้นได้ ซึ่งต้องรออีก 1 ปี เขาจึงจะมีพลังลมปราณเทวะมากพอที่จะทะลวงจุดนั้นได้ เขาจึงต้องศึกษา 8 กระบวนท่ากระบี่บิน และ 8 กระบวนท่าหมัดอสูร ด้วย เขานำกระบี่ที่แทงเขามาใช้ในการฝึก 8 กระบวนท่ากระบี่บิน
ในสี่ปีนี้เมื่ออยู่คนเดียว เพื่อไม่ให้ลืมภาษาพูดเขาจึงตั้งชื่อตนเองง่ายๆว่า อู่หมิง ที่แปลว่า นิรนามหรือไม่มีชื่อ เขาจะจับเจ้าหนูมาพูดด้วยเป็นประจำ จนจู่ๆเขาก็เกิดเข้าใจเสียงร้องของหนูออกว่ามันต้องการสื่อสารกับตนอย่างไรแบบง่ายๆ เหมือนภาษาร่างกายมากกว่า และเหมือนหนูตัวนั้นก็จะเข้าใจภาษาที่เขาพูดให้มันฟังยังไงยังงั้น
“เจ้าหนู วันนี้ข้าสามารถใช้ท่าเท้าทะยานฟ้าขึ้นไปที่หน้าผาได้สูงถึง 300 เมตรได้แล้วนะ ข้าว่าคงอีกไม่กี่ปีข้าก็คงขึ้นถึงยอดผานั้นได้แล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวด้วยเจ้าจะไปกับข้าไหม”
“เชิญเจ้าไปคนเดียวเถอะข้าเริ่มแก่แล้ว ลูกหลานข้าก็มีมากมายที่นี้กว่าเจ้าจะออกไปได้ข้าคงตายไปก่อนแล้ว” เจ้าหนูเปล่งเสียงและใช้ท่าทางประกอบสื่อให้อู่หมิงทราบ
“เจ้านี้โชคดีนะที่มีครอบครัวที่นี้ มีอาหารให้กินไม่อดอยาก ข้าถามจริงเจ้ามีลูกหลายกี่ตัวแล้วนี้”
“พูดแล้วจะหาว่าข้าคุย ข้ามีเมีย 5 ตัว มีลูก 100 ตัว มีหลานอีก เป็นพันตัวแล้ว ที่ออกมาที่หุบเหวนี้ลูกหลาน ข้าทั้งนั้น” เจ้าหนูพูด มันอยู่ที่นี้มาก่อนอู่หมิงจะตกลงมาเสียอีก เพราะกินผลมรกตมันจึงมีอายุยืนกว่าหนูทั่วไปหลายเท่านัก มันตอนนี้มีอายุมากถึง 50 ปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็นปู่อู่หมิงได้สบาย แต่ทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างกะเป็นเพื่อนกัน
“โห เจ้านี้เจ้าชู้ไม่เบาเลยนะ ไหนว่าอายุเยอะนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วนี้” อู่หมิงถาม
“ข้า อายุ 50 ปีแล้ว อีกไม่กี่ปีข้าก็คงตายแล้วละ หมู่นี้ข้าก็เริ่มๆเบื่อๆอาหารแล้ว นี้ถ้าไม่มีเอ็งมาอยู่ด้วย ข้าเห็นว่าแปลกๆดีเลยทำใจอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอีกหลายปีก่อน ไม่งั้นข้าคงตายไปก่อนแล้ว หากเจ้าไปข้าก็ไม่มีอะไรต้องอาลัยแล้ว ก็คงต้องขอตายจริงๆละ เพราะเมียข้าทั้ง 5 ตัวก็ตายจากข้าไปได้หลายปีแล้ว” เจ้าหนูทำท่าทางบอก
“คงอีกไม่กี่ปีละ หากไม่มีอะไรเกินจากที่ข้าคำนวณ ไม่เกิน 2 ปีข้าคงสำเร็จลมปราณเทวะขั้นสุดยอดและลมปราณอสูรขั้นสุดยอด และฝึกวิชาในตำราทั้งสองได้ทั้งหมดแน่นอน ข้าจะได้ออกไปสืบหาดูว่าข้าเป็นใครมาจากไหนเสียที” อู่หมิงพูด
“เออ ขอให้ทำสำเร็จเถอะข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ข้าจะไปนอนหละ ชักเหนื่อยๆแล้ว ไปละ” แล้วเจ้าหนูก็วิ่งเข้าโพรงรูของตนเพื่อไปนอน
อู่หมิง ฝึกวิชาอยู่อีก 2 ปี ก็สำเร็จวิชาทั้งหมดในตำราทั้งสองเล่มตามที่เขาคำนวณไว้จริงๆ เขามีอายุ 19 ปีแล้ว มีร่างกายที่ใหญ่สมส่วน สูง 184 เซนติเมตร มีกล้ามเนื้อพอดีได้รูป เนื่องจากการฝึกฝนเป็นประจำนั้นเอง เสื้อผ้าที่มีขาดวิ่นหมดแล้ว เขาจึงเอาใบตองมาร้อยเข้าด้วยกันเป็นเสื้อผ้าเพื่อปกปิดและป้องกันยุงแมลงเท่านั้น
วันนี้หลังจากเอาตำราทั้งสองเล่มไปซ่อนในที่มิดชิดอยากดีแล้ว วันนี้เขาจะทะยานฟ้าขึ้นไปสู่ยอดผาให้ได้ เขาจึงกล่าวลาเจ้าหนู
“เจ้าหนูข้าจะไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตต่อไปนะ”
“ข้าขอให้เจ้าค้นหาความทรงจำของเจ้ากลับคืนมาให้ได้ละ ส่วนข้าอีกไม่กี่วันก็จะจากโลกนี้แล้วละ ข้าอยู่มานานมากแล้วจนไม่อาลัยในชีวิตอีกแล้ว ขอให้เจ้าโชคดี”
อู่หมิงยืนอยู่ที่โขดหินและเร่งลมปราณเทวะถึงขั้นสูงสุด ใช้ออกด้วยท่าเท้าทะยานฟ้า ท่า ทะยานเหยียบอากาศทันที ร่างเขาเป็นเหมือนลมพายุหมุนขึ้นสู่เบื้องบน ลมปราณเทวะขั้นสุดยอดสามารถดึงพลังธรรมชาติมาเป็นพลังของตนได้ไม่สิ้นสุด เขาจึงสามารถทะยานขึ้นยอดผาได้ตลอดเวลา ผาแห่งนี้มีความสูงถึง 2600 เมตร หากไม่มีพลังฝึกปรือและท่าเท้าที่สุดยอดแล้วไม่มีทางที่จะขึ้นมาถึงยอดผาได้เลย ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเขาก็ขึ้นถึงยอดผาได้สำเร็จ ด้วยการใช้ท่าเท้าทะยานเหยียบอากาศเพียง 9 ครั้งเท่านั้น
ยอดผาที่อู่หมิงขึ้นมา ผานี้มีชื่อว่าผามรณะตั้งอยู่ที่หุบเขาซ่งซาน เขายืนอยู่ที่ริมหน้าผาก้มหน้ามองลงไปก็ไม่เห็นก้มหุบเหวเพราะมีหมอกปกคลุมตลอดเวลา เขาจึงคิดว่า
“อย่างนี้นี้เอง จึงไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ในหุบเหวนี้เลยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แม้เราจะตะโกนหรือทำเสียงดังขนาดไหนก็ตาม ลาก่อนเจ้าหนูเพื่อนยาก...เฮ้ยแล้วข้าจะไปทิศทางไหนละทีนี้... เอาเป็นว่าไปทางทิศตะวันออกดูแล้วกัน”
เมื่อตกลงใจได้อู่หมิงจึงเริ่มใช้ท่าร่างทะยานฟ้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ระหว่างทางเขาก็พบบ้านหลังหนึ่งเข้า เป็นบ้านร้าง อู่หมิงตรงไปที่บ้านหลังนั้น เขาเข้าไปเคาะประตูอยู่นานก็ไม่เห็นคนออกมาจึงผลักประตูเข้าไป ภายในบ้านไม่มีอุปกรณ์มากนัก มีเครื่องครัวไม่กี่ชิ้น และเสื้อผ้านายพรานอยู่หนึ่งชุดซึ่งเก่ามากแล้วมีรอยขาดอยู่หลายแห่งแต่ก็ยังพอสวมใส่ได้ เจ้าของบ้านจึงไม่นำไปด้วย เพราะเห็นว่าถึงนำกลับไปก็ไม่ได้ใช้จึงทิ้งไว้ในบ้านนี้
อู่หมิงจึงหยิบมาใส่ แทนใบตองที่ตนใส่อยู่ น่าแปลกที่หุบเหวที่เขาอยู่มีฝนตกบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องสภาพอากาศแต่อย่างใด เพราะลมปราณที่เขาฝึกทั้งสองทำให้เขาไม่รู้สึกหนาวอีกเลย
เขาสำรวจบ้านนั้นอีกครั้ง ก็พบว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว หยากไย่และฝุ่นหนามาก น่าจะไม่น้อยกว่า 3 ปีได้ เพราะมีสภาพผุพังอยู่หลายแห่งด้วย เขาจึงเลิกสนใจและออกจากบ้านหลังนั้นมุ่งหน้าตามทางเดิมที่ตั้งใจจะไป ไม่นานเขาก็พบลำธารน้ำอยู่ริมทาง เขาจึงหยุดดื่มน้ำและลงอาบทันที
เมืองลกเอี้ยง เวลาเที่ยงพอดี อู่หมิง มองเห็นตัวเมืองแต่ไกลเขาจึงหยุดฝีเท้าและเดินเข้าไปแบบปกติทั่วไป เมื่อหิวเขาก็หยิบผลมรกตที่เก็บติดตัวมาด้วยถึงสิบกว่าผลขึ้นมากิน เขารู้สึกแปลกใหม่กับผู้คนจำนวนมากๆ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยความที่ต้องอยู่คนเดียวห่างจากผู้คนและยังไม่มีความทรงจำเดิมหลงเหลือ ทำให้นิสัยของเขาไม่พัฒนาตามร่างกาย เขาจึงมีนิสัยเหมือนเด็กอายุ 13 ปีอยู่ตลอดเวลา เห็นอะไรแปลกใหม่ก็แสดงอาการเหมือนเด็กๆ ทั่วไปเขาวิ่งไปนั้นไปนี้เพื่อดูสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ใส่ใจผู้คนรอบข้าง จนวิ่งไปชนหญิงสาวสวยนางหนึ่ง อายุประมาณ 17 ปีที่กำลังหาซื้อของตามตลาดอยู่เข้าอย่างจัง นางกระเด็นไปทันที เขาจึงวกสายตามาดูว่าชนอะไรเห็นนางกระเด็นไปและกำลังตกลงพื้นเขาจึงใช้ท่าเท้าทะยานฟ้าเข้าไปอุ้มนางไว้ทันอย่างหวุดหวิด
“แม่นางเป็นอะไรมากไหม ข้าขอโทษด้วย ข้ามัวแต่มองสิ่งรอบข้างเพลินไปหน่อย จึงได้ชนแม่นางเข้า ขอท่านให้อภัยด้วย”
“ปล่อยข้าลงก่อนได้ไหม เจ้าขอทานบ้านนอก วันนี้วันซวยอะไรของข้านี้” นางพูด
อู่หมิงจึงรีบปล่อยนางลงทันที และพูดว่า
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่มีอะไรชดใช้ให้ท่านหรอกนะ ข้ามีผลไม้ ข้าให้ท่านสี่ผลแล้วกัน” แล้วเขาก็หยิบผลมรกตออกมาจากกระเป๋าใบตองที่เขาทำเองออกมาสี่ผลส่งให้นาง
ชาวบ้านที่มามุงดูมีผู้คนหลากหลายประเภทในจำนวนนั้นมีผู้ที่เป็นหมอที่เปิดร้านอยู่แถวนั้นด้วย เมื่อหมอคนนั้นเห็นผลมรกตก็อุทานออกมาเสียงดังทันทีว่า
“ผลมรกต ผลไม้วิเศษที่หายาก หากนำมาทำยายืดชีวิตคนได้ และเพิ่มพลังวัตรได้ด้วย แม่นางช่างโชคดีมากเลย ที่เขายกให้ตั้งสี่ผล พ่อหนุ่มยังมีเหลืออยู่อีกหรือไม่ ข้าขอซื้อในราคาผลละหนึ่งหมื่นตำลึง”
สตรีนางนั้นเมื่อได้ยินว่าเป็นผลมรกตที่นางตามหาก็รีบรับมาทันที พร้อมทั้งรีบยิ้มให้อู่หมิงและกล่าวว่า
“ไม่เป็นไรๆ ท่านคงไม่เห็นข้าจึงได้ชน แล้วกันไปๆ” นางรีบเอาผลมรกตเก็บเข้าไว้ในเสื้อทันทีเพราะกลัวว่าอู่หมิงจะเอาคืนไปขายให้หมอยาคนนั้น
“หากแม่นางไม่ถือสาข้าก็วางใจ ข้าชื่ออู่หมิงนะ” แล้วก็หันไปพูดกับหมอยาว่า
“ข้ามี 5 ผล ท่านรอก่อนนะข้าพูดกับแม่นางนี้เสร็จก่อนจะมาคุยด้วย”
“ได้ๆ ข้าจะรอ” หมอยาพูด
“ข้าชื่อ เหมยฮัว ข้าขอตัวก่อนละ เชิญท่านคุยกับท่านหมอตามสบาย” ว่าจบนางก็รีบจากไปทันที เพราะกลัวคนจะมาแย่งผลมรกตของนางโดยไม่ลืมจดจำใบหน้าของอู่หมิงไว้
อู่หมิงมองตามนางไปจนลับตา จึงหันกลับมาพูดกับหมอยาว่า
“ท่าน จะซื้อกี่ผลละ ข้ามี 9 ผล ให้แม่นางนั้นไปแล้วสี่ผล ยังมีอีกเพียง 5 ผลเท่านั้น”
“ข้าขอซื้อทั้งหมดจะได้หรือไม่” หมอยาพูด แต่แล้วก็มีเสียงอีกหลายเสียงแทรกมาว่า
“ท่านหมอหลีท่านไม่โลภไปหน่อยหรือ ใช่ว่าท่านจะมีเงินเพียงคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ข้าให้ผลละสองหมื่นตำลึง ข้ารับหมดเลย ว่าไง”
“ท่านเศรษฐีจางท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่ปกติท่านไม่เคยมาตลาดเลยนี้” หมอหลีกล่าว
“ข้ารีบมาตั้งแต่ได้ยินใครก็ไม่รู้อุทานว่าผลมรกตแล้ว ดีนะที่มาทันไม่งั้นคงหวานคอแร้งท่านไปแล้ว” เศรษฐีจางพูด
“เอาอย่างนี้แล้วกันท่านเศรษฐี ท่านให้ข้าซื้อ 3 ผล ท่านซื้อ 2 ผล แล้วข้าจะผลิตยาบำรุงเพศให้ท่านเป็นพิเศษอีกชุดดีหรือไม่ ไม่งั้นได้แข่งราคากันไม่จบสิ้นแน่จะไม่เป็นผลดีต่อเราทั้งสองนะ”หมอหลีเสนอ
“ข้า ก็แค่อยากซื้อมาปรุงยาให้ท่านแม่เท่านั้น ส่วนการปรุงก็ต้องรบกวนท่านอยู่ดี เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าซื้อทั้งหมด แต่ให้ท่านหาวัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาอายุยืนจากผลมรกตให้ข้า ท่านก็เก็บไว้ใช้คนละครึ่งดีไหม ท่านจะได้ไม่ต้องจ่ายเงิน ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ข้ารู้ว่าท่านก็จะเอาไปปรุงยาเหมือนกันละสิ”
“ท่านเศรษฐีจาง ท่านนี้ช่างใจดีเหลือเกิน ได้ตกลงตามนี้ เพื่อไม่ให้ท่านกังวลใจข้าจะให้ท่านนำผลมรกตไปก็ได้ข้าจะไปปรุงยาที่บ้านท่านเลย ปรุงเสร็จค่อยแบ่งกันคนละครึ่ง”
เมื่อตกลงกันได้จึงหันไปพูดกับอู่หมิงว่า
“น้องชาย ตกลงเจ้าขายให้ท่านเศรษฐีจางเถอะ ผลละสองหมื่นตำลึงห้าผลก็หนึ่งแสนตำลึงพอดี”
เศรษฐีจางจึงนำเงินตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงจ่ายให้อู่หมิ่ง และจะรับผลมรกตจากอู่หมิงทันที อู่หมิงรับเงินมาเห็นเป็นเพียงกระดาษไม่กี่แผ่นจึงกล่าวว่า
“นี้ไม่ใช่เงินนี้ ท่านอย่ามาหรอกข้า ที่เห็นข้าเป็นคนบ้านนอกนะ” เขาพูดเพราะเขาพอจะจำได้รางๆว่าไม่เคยใช้เงินที่เป็นกระดาษมาก่อนจึงพูดออกไปเช่นนั้น
“หนุ่มน้อยคงไม่เคยใช้ตั๋วเงินละสิ คงมาจากชนบทมากแน่ๆ นี้เรียกว่าตั๋วเงินใช้แทนเงินได้ เพราะไม่อาจพกเงินจำนวนมากเดินทางได้ จึงต้องทำเป็นตั๋วเงินแทน หากเจ้าอยากได้เป็นเงินจริงๆ เจ้าก็นำตั๋วเงินไปแลกที่ร้านรับแลกตั๋วเงินที่ข้างหน้านั้นไงที่มีป้ายเขียนไว้ว่าร้านรับแลกตั๋วเงินนะ ตั๋วเงินนี้ออกโดยแหล่งเงินทุนที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดินจึงเชื่อใจได้ ไม่มีร้านไหนไม่รับแลก หากไม่เชื่อใจเจ้าก็ตามข้ามาสิข้าจะพาไปแลกให้”
เศรษฐีจางจึงพาอู่หมิงไปที่ร้านรับแลกตั๋วเงิน จากนั้นก็ให้เขานำตั๋วเงินฉบับละหนึ่งพันตำลึงแลกที่ร้านนั้น อู่หมิงก็ทำตามก็แลกได้จริงๆ เขาจึงเบาใจรับเงินนั้นมา และเก็บตั๋วเงินที่เหลือไว้ในเสื้ออย่างมิดชิด และเอาผลมรกตให้แล้วกล่าวขอบคุณเศรษฐีจางและเดินจากไป
อู่หมิงเมื่อมีเงินแล้วเขาจึงเดินหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ ร้านเสื้อผ้าจัดหาเสื้ออย่างดีให้แก่เขา เพราะเห็นถือถุงเงินมาจำนวนมาก ซึ่งร้านเสื้อนี้ก็อยู่ถัดจากร้านแลกเงินมาเพียงสองร้านเท่านั้น อูหมิงจึงไม่ได้เก็บถุงเงินเพราะถุงใหญ่จนเขาไม่รู้ว่าจะเก็บเอาไว้ที่ไหน
อู่หมิงเลือกชุดข้างในเป็นสีขาวทับด้วยชุดนอกสีเขียวอ่อน กางเกงสีเดียวกันซึ่งเขาเห็นว่าคล้ายชุดใบตองซึ่งเขาเคยทำใส่ จากนั้นก็เลือกซื้อผ้าคาดเอว กระเป๋าเก็บของที่ซุกเก็บไว้ในเสื้อได้ กระเป๋าสะพายแบบบัณฑิตทั่วไปและชุดสำรองอีกหนึ่งชุด ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินมากถึงสามร้อยตำลึง จึงทำให้เงินในถุงลดลงจนมีขนาดพอที่จะเก็บเข้ากระเป๋าได้แล้วเขาจึงเก็บเงินไว้ที่กระเป๋าสะพายและเดินออกจากร้านเสื้อผ้ามา
เสือน้อยเป็นนักฉกชิงที่หากินที่เมืองลกเอี้ยงนี้มานานและไม่เคยถูกจับได้สักครั้งเดียว เสือน้อยเป็นเด็กกำพร้า ร่อนแร่มาที่เมืองลกเอี้ยงเมื่อ 6 ปีก่อนตอนนั้นเขาอายุเพียง 11 ปี เขาจึงขอเข้าพรรคขอทาน แต่หัวหน้าสาขาไม่รับเขาไว้ เขาจึงต้องลักขโมยของกินประทังชีวิต จนสุดท้ายก็ติดเป็นนิสัยและมีความชำนาญมากขึ้น6 ปีมานี้ไม่เคยถูกจับได้มาก่อนเลย
ก่อนที่จะมาที่เมืองลกเอี้ยงเสือน้อยมีเพื่อนคนหนึ่งชื่ออาเปา ทั้งสองมักไปไหนมาไหนด้วยกัน จนวันหนึ่งอาเปาได้เล่าเรื่องของครอบครัวให้ฟังว่าพ่อแม่อาเปาเป็นชาวยุทธ วันหนึ่งเขาออกมาฉี่ก็พบคนกลุ่มหนึ่งมาจากที่มืดจำนวนมากบุกมาฆ่าพ่อแม่และคนในครอบครัวเขาทั้งหมด ที่เขารอดมาได้เพราะเขาหลบซ่อนตัวแต่แรกพวกนั้นจึงไม่รู้ว่ามีเขาอยู่ เขาไม่กล้าฝังศพพ่อแม่เพราะกลัวว่าพวกนั้นจะรู้ว่าเขามีชิวิตอยู่ เขาจึงระเหแร่ร่อนไปที่ต่างๆจนมาพบเสือน้อยนี้แหละ ตอนนั้นเสือน้อยอายุ 9 ขวบ อาเปาอายุ 11 ปี ทั้งสองอยู่ด้วยกัน 2 ปี มีอยู่วันหนึ่งอาเปาเกิดจำได้จึงเล่าเรื่องนี้ให้เสือน้อยฟังและเล่าต่อว่าพ่อของเขาเคยบอกไว้ว่าหากพวกท่านเป็นอะไรไปให้ไปที่ลกเอี้ยงหาคนที่ชื่อเหมยอิง นางจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี และให้ไปเอาห่อของที่เก็บซ่อนไว้ที่เนินหินที่พ่อเขาทำเครื่องหมายดาบไขว้ไว้ที่ผามรณะด้วย อาเปาจึงชวนเสือน้อยมาเมืองลกเอี้ยง ทั้งสองเมื่อมาถึงก็ตามหาเหมยอิง หาอยู่หลายวันก็หาไม่พบ อาเปาจึงบอกให้เสือน้อยรออยู่ในตัวเมืองก่อน ส่วนเขาจะไปหาเอาของที่พ่อบอกเขาไว้ เผื่อว่าจะเอามาขายหาซื้อของกินได้บ้าง
แต่แล้วในระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองตามหาเหมยอิงนั้น พวกสมุนของคนที่ตามหาตำรายุทธทั้งสองเล่มก็ทราบข่าวว่าตำรายุทธอาจจะมีอยู่ที่เหมยอิงด้วย จึงเกิดสนใจเด็กน้อยทั้งสองขึ้นมา เมื่อเห็นอาเปาแยกจากเพื่อนเดินทางไปที่ผามรณะก็แอบติดตามไปโดยที่อาเปาไม่รู้ตัว พอเห็นอาเปาขุดเอาห่อของออกมา พวกมันก็ปรากฏตัวออกมา และขู่ให้อาเปาส่งห่อของให้ อาเปาเห็นว่าเป็นของสำคัญของพ่อ แม้ยังไม่ได้ทราบว่าเป็นอะไรก็รีบเก็บเข้าอกเสื้อ และจะวิ่งหนี พวกมันเห็นว่าอาเปาจะหนีด้วยความใจร้อนจึงพุ่งกระบี่แทงใส่อาเปาทันทีปลายกระบี่ทะลุไหล่ซ้ายออกไป และด้วยแรงวิ่งและแรงกระบี่ทำให้อาเปาเสียหลักพุ่งตกหุบเหวไปพร้อมตำรายุทธทั้งสองทันที พวกนั้นตามมาถึงจุดที่อาเปาตกลงไป และก้มมองดูเห็นเป็นหุบเหวไม่เห็นก้นจึงไม่มีใครกล้ากระโดดตามลงไป และไม่อาจหาวิธีลงไปที่หุบเหวนั้นได้เลย จึงสั่งคนเฝ้าไว้และกลับไปรายงานประมุขของตน แต่แล้วก็มีข่าวว่าพบตำรายุทธที่ต้องการหาแล้ว จึงคิดว่าที่อาเปาหยิบไปคงเป็นสิ่งอื่นเสียมากกว่า จึงไม่สนใจและไม่รายงานเรื่องที่อาเปาตกเหวไปให้ประมุขของตนทราบอีกเลย และกลับมาชวนพวกตนกลับสำนักไป ส่วนเสือน้อยรออาเปากลับมาหาตนอยู่หลายวันก็ไม่เห็นอาเปากลับมาหาเลย จึงต้องใช้ชีวิตแบบเด็กเร่ร่อนที่เมืองลกเอี้ยงแต่นั้นมาโดยหวังว่าสักวันอาเปาจะคิดถึงตนและกลับมาหาตนอีกครั้ง
พ่อของอาเปาไปพบตำรายุทธที่ถ้ำแห่งหนึ่ง แต่ข้อความในตำรานั้นมีวิธีฝึกที่ผิดแผกแตกต่างจากการฝึกของชาวตงหงวนทั้งสิ้นเขาจึงไม่ได้ฝึก และเขากลัวว่าจะเป็นภัยเพราะตำรายุทธเขาจึงทำปลอมขึ้นอีกหนึ่งชุด แยกชุดจริงกลับชุดปลอมซ่อนไว้คนละที่ หนึ่งปีต่อมาเขาคัดลอกข้อความบางส่วนในส่วนของวิชาหมัดอสูรไปสอบถามเพื่อนที่เคยคบหากันมาอย่างดีเพื่อช่วยตีความ แต่แล้วเมื่อเพื่อนคนนี้ทราบว่าเขาได้ตำรายุทธโบราณมาจึงเกิดความโลภ จึงติดต่อกลุ่มนักฆ่ากลุ่มหนึ่งให้ลงมือบีบบังคับให้พ่อเขาบอกที่ซ่อนตำรายุทธออกมา แต่เมื่อพ่อเขาบอกที่ซ้อนปลอมให้พวกนั้น พวกนักฆ่าได้ลงมือข่มขืนผู้หญิงและฆ่าทุกคนเพื่อไม่ให้มีใครมาตามทวงแค้นได้อีก จนผ่านไปสองปีพวกนั้นก็ตามหาตำรายุทธปลอมเจอ ส่วนตำรายุทธของจริงได้ตกลงไปในหุบเหวพร้อมกับอาเปา
ความคิดเห็น