ตอนที่ 4 : หวนคืน
“แทยง” เสียงกระซิบแผ่วเบาจากโดยองดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบยามวิกาล มือหนาสะกิดเพื่อนตัวเองที่นอนสลบเหมือดอยู่บนพื้นซีเมนต์เย็นๆในห้องขัง โดยองแอบเข้ามาในห้องขังเดี่ยวที่แทยงโดนขังไว้แทบจะทุกคืนตั้งแต่ตอนที่แทยงโดนจับได้แล้วโดนจับมาลงโทษ
“มาทำไมอีก” แทยงตอบ เขาไม่ได้หันหน้ามาคุยเหมือนเคย เขากลับนอนหันหลังให้โดยองที่นั่งยองอยู่แบบนั้น
“ฉันก็มาหาแกทุกคืนอยู่แล้วป่ะวะ” โดยองตอบ มือวางขวดยาเล็กลงบนพื้นข้างตัว “เป็นอะไร ไม่สบายหรอ”
“เปล่า” เขาตอบห้วน ห้วนจนโดยองสัมผัสได้ถึงความผิดแปลกของเพื่อนคนนี้ ยังไม่ทันที่โดยองจะได้เอ่ยถามอะไรแทยงก็แย่งพูดขึ้นมาก่อน
“จีซองล่ะ หลับแล้วหรอ”
“หลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว” โดยองนั่งลงข้างๆ “แกน่ะเป็นอะไร”
..ความเงียบเข้าปกคลุมแทนที่เสียงพูดคุย แทยงไม่ตอบอะไร ไม่มีใครพูดอะไรเลย โดยองก็ได้แต่นั่งอยู่แบบนั้นเพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ บางทีแทยงอาจต้องการเวลาที่จะพูดอะไรบางอย่างที่เขาอยากพูดก็ได้ล่ะมั้ง
“โดยอง” แทยงเอ่ยชื่อเพื่อน ก่อนจะหันหน้ามาหาเจ้าของชื่อช้าๆ “คืนต่อๆไปไม่ต้องมาหาแล้ว”
“...” โดยองไม่ได้แสดงทีท่าตกใจหรืออะไรออกมา
..ทั้งๆที่หัวใจกระตุกวูบและปวดหนึบไปหมด แทยงโดนหนักกว่าที่เขาคิด หนักกว่ามากและไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้
ดวงตาคู่ที่หล่อคมนั่น ตอนนี้อาจจะมองไม่เห็นอะไรแล้วด้วยซ้ำ
จมูกโด่งได้รูป ตอนนี้มันคงหายใจได้ติดขัด
ปากที่กำลังใช้คุยกับเขา ตอนนี้คงเจ็บจนแทบไม่อยากจะพูดอะไร
“แก..มองเห็นมั้ย” โดยองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเบาที่แทบหมดเรี่ยวแรงก่อนจะยกมือโบกไปมาอย่างช้าๆตรงหน้าของแทยง
“ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจแล้วนี่”
อันที่จริงสภาพแบบแทยง โดยองเคยเห็นมานักต่อนัก หลายต่อหลายคน หนักกว่านี้โดยองก็เคยเจอมาแล้ว ทั้งที่เขามีส่วนร่วม และทั้งที่เขาเป็นคนทำให้คนพวกนั้นเป็นแบบนั้นเอง แต่ครั้งนี้จิตใจเขากลับไม่เข้มแข็งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทันทีที่ได้ยินคำตอบของแทยงน้ำตาก็ไหลร่วงอาบแก้มทันทีทั้งๆที่โดยองไม่ใช่คนอ่อนไหวอะไรเลย
นอกจากความเสียใจที่แทยงเป็นเพื่อนที่ดีและเพื่อนที่สนิทมากๆของเขา มันยังมีภาพไอ้เจ้าเด็กจีซองลูกแทยงลอยมาในหัวด้วย เหมือนว่าเขากำลังเสียใจแทนเด็กนั่นอยู่ผสมปนเปกับความเสียใจของตัวเอง
“ห..หายใจออกมั้ย” โดยองพยายามกลั้นน้ำเสียงที่สั่นเครือให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำมันได้
“อารมณ์เหมือน..ไม่สบายแล้วน้ำมูกเต็มจมูก”
“ทำไมถึงเป็นแกวะ” โดยองหลุบสายตาลงต่ำ มองพื้นปูนนั่นโดยไม่รู้ว่าจะมองไปทำไม เขาแค่ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าแทยงเลย เพราะนอกจากสภาพของแทยงแล้ว อีกเรื่องที่โดยองตระหนักได้อีกนั่นก็คือ
ใกล้ถึงวันนั้นแล้ว วันที่แทยงจะต้องโดนบทลงโทษสูงสุด
“โดยอง ฟังฉันนะ” แทยงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ร่างกายเขาคงอ่อนแรงเต็มที่บวกกับปากที่เป็นแผลเหวอะหวะแตกยับขนาดนั้น “ไม่ต้องมาหาฉันแล้ว”
“ให้มาหาถึงคืนที่ 30 ยังได้เลยเว้ย” โดยองกัดปากตัวเองแน่น ใช่ เขาทำได้และเต็มใจจะทำ
“ถ้าแกโดนจับได้ ใครจะดูแลลูกฉันล่ะวะ ฮ่าๆ” เขาหัวเราะออกมา มือหนาเลื่อนมาคลำๆแขนโดยองก่อนจะเลื่อนขึ้นมาตบบ่าโดยองเบาๆ
“ดูแลตัวเองกับจีซองดีๆ”
“ฝากด้วยนะ..โดยอง”
“อีกแล้วหรอวะ” ร่างสูงลืมตาขึ้นมองเพดานไม้เก่าๆก่อนยันตัวเองลุกขึ้นพิงหัวเตียง โดยองเสยผมม้าที่ปรกหน้าขึ้นแล้วนั่งปรับสายตาพักหนึ่ง เขาฝันถึงเรื่องแทยงอีกแล้ว
เหตุการณ์แย่ๆ เขามักจะเก็บมันกลับมาฝันแบบนี้เป็นประจำ
“บ้าจริงๆ” โดยองเอามือจับหน้าก็พบว่าตัวเองไม่เพียงแต่ฝัน เขาร้องไห้ซะด้วย
อันที่จริง ทุกครั้งที่ฝันถึงเรื่องพวกนั้นเขาก็จะพบว่าตัวเองร้องไห้ทุกทีที่ตื่นจากฝัน
มันยากที่จะลืมเรื่องพวกนั้น..ยากสุดๆเลยล่ะ
หลังจากที่ลุกขึ้นจัดการอาบน้ำอาบท่าอะไรแล้วเรียบร้อยโดยองก็กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานในห้องตัวเองเหมือนเดิม เขามีงานที่ต้องเคลียร์นิดหน่อยจนกว่าจะถึงช่วงสายๆที่ต้องออกไปทำงานข้างนอกต่อ
อันที่จริง..โดยองไม่ค่อยมีอารมณ์จะทำงานนักหรอกในตอนนี้ นอกจากจะเรื่องฝันร้ายแล้ว โดยองยังคิดไม่ตกเรื่องเมื่อคืนที่เขาแอบไปหาเตนล์แล้วดันเจอจอห์นนี่ด้วย
ร่างสูงสาวเท้าอย่างเบาที่สุดตามทางเดินในคฤหาสน์เพื่อออกไปอย่างไม่ให้ใครรู้และสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ไม่พ้นสายตาจากชายหนุ่มอีกคนอยู่ดี ..
“มาทำอะไรที่นี่ตอนดึกๆน่ะ คิมโดยอง”
“..จอห์นนี่?” โดยองเอ่ยถามออกไป ดวงตาหรี่มองเพราะต้องการจะเพ่งคนตัวสูงกว่าในความมืดนั่น จริงๆก็พอจะเดาได้ว่าเป็นจอห์นนี่เพราะเสียงพูดของเขานั่นแหละ
“แปลกใจอะไรงั้นหรอ” จอห์นนี่ก้าวเท้าเดินออกจากมุมมืด เผยให้เห็นแสงจันทร์สลัวที่ลอดผ่านหน้าต่างบานเก่าเข้ามากระทบผมสีน้ำตาลของร่างสูง และใบหน้าที่ดูมีเลศนัยทำให้โดยองรู้สึกไม่ชอบมาพากลนัก
“ก็เปล่านี่ มีอะไรนักล่ะ”
“ปากดี” จอห์นนี่กระตุกยิ้ม “มาเดินตรวจตราตอนดึกหรอครับ?”
“อืม” โดยองขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขาไม่ชอบจอห์นนี่เอาซะเลย
“ก็ดี คืนนี้ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำเอง ขอบคุณแล้วกันนะครับคิมโดยอง” จอห์นนี่เดินผ่านโดยองไปแต่ก็ไม่วายเดินแบบเอาไหล่เฉียดตัวโดยองไปด้วย การกระทำพวกนั้นของจอห์นนี่มันทำให้โดยองทั้งหงุดหงิดและเป็นกังวล
..จะทำอะไรก็นึกถึงแต่หน้าเจ้าเด็กจีซองไปหมด สงสัยฉันควรเป็นพ่อคนแบบเต็มตัวได้แล้วมั้ง
ร่างเล็กโซซัดโซเซตามทางก้อนกรวดด้วยเท้าเปล่าเปลือยไม่มีอะไรห่อหุ้ม วันนี้เป็นวันที่ 4 หลังจากที่เตนล์ถูกจับไปอยู่ในนรกนั่น เตนล์ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเป็นผลบังคับใช้จากกฎใหม่ที่ว่า ปล่อยตัวออกมาหาใบล้างบาปให้ทันใน 15 วัน
“เตนล์”
“?” ร่างเล็กหันตามเสียงเรียกชื่อ พ่อค้าสมุดหนังสือในฮู้ดน้ำตาลอ่อนคนคุ้นตายืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“คุณจริงๆด้วย” พูดจบก็รีบปรี่เข้าไปหาร่างเล็กที่ยืนตรงนั้น “ผมรู้เรื่องกฎใหม่ที่ศาสนจักรออกมาแล้ว คิดไว้แล้วว่าต้องเจอคุณวันนี้เตนล์”
“อืม..ไม่เจอสิแปลก”
“ให้ผมไปส่งมั้ย อย่างน้อยก็ได้เดินไปด้วยกัน” แจฮยอนพูดแบบนี้เพราะดูท่าทีแล้วถ้าหากปล่อยเตนล์เดินกลับไปคนเดียวมีหวังเป็นลมหมดสติก่อนถึงบ้านแน่ คนตัวเล็กพยักหน้าทั้งสองจึงออกเดินหน้าไปยังบ้านเตนล์ที่อยู่ท้ายๆซอยหมู่ โดยมีแจฮยอนประคองเตนล์บ้างเป็นระยะเพราะกลัวเตนล์จะล้มเอา
หน้าประตูบ้านเก่าๆที่คุ้นเคย มันปิดสนิท คนตัวเล็กชะเง้อมองลอดผ่านกระจกขุ่นมัวเข้าไปในบ้านก็พบว่าไม่มีร่างน้องชายตัวเองอยู่ในบ้าน เหรินจวิ้นไปไหนกันนะ?
“อ้าว พี่เตนล์!”
“เหรินจวิ้น!”
เหรียญขนาดกลางเก่าๆลอยขึ้นลง ไปทางซ้าย กลับมาทางขวาด้วยนิ้วไม่กี่นิ้วของจีซอง อีกหนึ่งกิจกรรมที่เวลาเจ้าเด็กนี่ว่างคือนั่งโยนเหรียบดีดเหรียญเล่น มันไม่ใช่เหรียญธรรมดาที่ไว้ใช้ซื้อของ แต่มันคือเหรียญประจำตัวพ่อของเขา เหรียญของลี แทยง
“จีซอง มากินข้าวเร็ว” เสียงคุณอาโดยองดังมาจากครัว พูดตามตรงตั้งแต่ที่จีซองเจอจอห์นนี่เขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งในห้องครัวที่จอห์นนี่รับผิดชอบอีกเลย แต่ทำไงได้ล่ะ
“วันนี้มีอะไรกินครับ” จีซองโผล่หน้าเข้าไปในครัว กวาดสายตามองจานบนโต๊ะอาหารไม้ที่เหมือนจะยาวสุดลูกหูลูกตา แต่มันกลับไม่เคยมีซักครั้งที่ทุกคนจะมากินข้าวพร้อมกันเต็มโต๊ะอย่างอบอุ่น
...มากสุดก็มีแค่จีซองกับอาโดยอง แล้วก็มีป้าเฮลี่ย์มานั่งกินด้วยกัน
“มีแต่ของโปรดจีซองทั้งนั้น วันนี้สั่งป้าเฮลี่ย์ทำพิเศษให้เลยนะรู้รึเปล่า” โดยองพูดในขณะที่ป้าเฮลี่ย์ก็ยิ้มแป้น บางทีอาโดยองอาจจีบป้าเฮลี่ย์อยู่ก็ได้
บ้าบอน่า ป้ามีสามีแล้ว
“ขอบคุณครับ” พูดขอบคุณเสร็จก็ขยับก้นนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะจัดการอาหารสุดโปรดตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โดยองยืนดูหลานตัวแสบพักหนึ่งถึงตัดสินใจพาตัวเองกลับไปเคลียร์งานที่ค้างคาอยู่
“อาไปทำงานก่อนนะ เสร็จแล้วก็อยู่กับป้าเฮลี่ย์ ไม่ดื้อกับป้านะครับ” พูดจบก็หอมผมหลานก่อนไป ป้าเฮลี่ย์คงเป็นคนเดียวที่ได้เห็นมุมนี้ของโดยองล่ะมั้ง อ่อนโยนเป็นคนละคนกับตอนทำงานเลย
โดยองมีเรื่องที่ต้องเคลียร์ เรื่องสำคัญซะด้วย
ร่างสูงโปร่งในชุดธรรมดาแบบชาวบ้านทั่วไป ใบหน้าหล่อเรียบที่ถูกบดบังด้วยแมสผ้าปิดปากกำลังเดินอยู่ตามทางก้อนกรวดในหมู่บ้าน ใช่แล้ว โดยองปลอมตัวเข้ามา
..เพราะถ้าเดินเข้ามาโต้งๆมีหรอที่ชาวบ้านชาวช่องจะจำเขาไม่ได้ โดยองแค่จะเข้ามาที่หมู่บ้านเพื่อซื้อตลับหมึกไว้ใช้เขียนหนังสือตอนทำงานเท่านั้น
อันที่จริงเขาใช้พวกไพร่พวกทาสในศาสนาจักรมาซื้อได้ แต่ที่ตัวเองลงทุนปลอมตัวเข้ามาซื้อเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากนั่นคือเขาอยากเจอเตนล์
“อันนี้ดีมั้ยพี่เตนล์ แบบที่พี่เตนล์ชอบกินเลย” มือเล็กๆของเหรินจวิ้นหยิบขนมปังตั้งไม่รู้กี่ชิ้นจนเตนล์ต้องปรามให้น้องเบามือ
“นี่เหรินจวิ้น เยอะขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่พอจ่ายหรอก ชิ้นเดียวก็อิ่มแล้ว” เตนล์หยิบแค่ขนมปังบาแก็ตหรือขนมปังฝรั่งเศสที่เป็นชิ้นยาวๆขึ้นมาแค่ชิ้นเดียว
“พี่เตนล์โดนจับไปตั้ง 3 วัน ตัวผอมซูบลงเร็วมากขนาดนี้ก็ต้องกินเยอะๆสิ”
“มีเงินจ่ายรึไงถามจริง”
“โถ่ ก็ไม่อยากจะอวด ผมมีงานทำแล้วนะพี่เตนล์” หน้าจิ้มลิ้มไม่ต่างจากคนพี่ยิ้มแป้น
“งานอะไร ตัวเล็กแค่นี้ทำงานไหวหรอ บอกแล้วไม่มีพี่ให้ไปอยู่กับลุงทงเฮลุงอึนฮยอก” ใช่ ก่อนจะไปเตนล์สั่งน้องไว้ว่าให้ไปอยู่กับ 2 ลุงที่เคยดูแลเตนล์กับเหรินจวิ้นช่วงเด็ก
“ไม่เอา ผมอยากอยู่บ้าน”
“ดื้อจริงๆเด็กนี่” ตำหนิน้องพลางเอามือขยี้ผมนุ่ม เตนล์ยิ้มกว้างแต่ก็ต้องหุบกลับทันทีเพราะเจ็บแผลที่มุมปาก ร่างกายเจ็บและล้าไปหมดแต่ก็ดีขึ้นมาทันทีที่ได้กลับมาเจอหน้าน้องชายตัวเอง
“เตนล์”
เสียงนั่น ..
“คุณตามผมมาทำไม” คนตัวเล็กถอยติดชั้นขนมปัง เจ้าของเสียงเรียกชื่อนั่นทำให้คนตัวเล็กอดผวาและรังเกียจไม่ได้ โดยองมาปรากฏอยู่ข้างหลังเขาและเหรินจวิ้นตอนนี้ ที่นี่
ร่างสูงเลื่อนมือดึงแมสผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าเรียบเฉยที่มีรอยแผลเป็นที่แก้มขวาแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า โดยองถอนหายใจเล็กๆกับท่าทีที่เตนล์แสดงออกมาทันทีที่เห็นหน้าเขา โดยองเกาหลังคอก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคง่ายๆสั้นๆที่เรียบเรียงมาตลอดทาง
“ผมแค่มีเรื่องอยากคุยด้วย..ขอเวลาคุยกันสองต่อสองซักแปปนึงได้รึเปล่า”
- 50% -
“ผมแค่มีเรื่องอยากคุยด้วย..ขอเวลาคุยกันสองต่อสองซักแปปนึงได้รึเปล่า” เตนล์ฟังคนตรงหน้าพูด ข้อมือเล็กก็ถูกมือหนาจับเอาไว้ทำให้เตนล์ไม่ชอบใจมากนักที่อีกคนมาถือวิสาสะจับข้อไม้ข้อมือตัวเองแบบนี้
“ทำไมผมถึงต้องไว้ใจคุณด้วย มีอะไรก็คุยกันตรงนี้สิ” เตนล์ตอบด้วยน้ำเสียงแข็ง โดยองเห็นแล้วว่าคนตัวเล็กตรงหน้าดื้อเอาเรื่อง เขามองซ้ายมองขวาก่อนจะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหูแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“คุยตรงนี้ไม่ได้ ผมปลอมตัวออกมา ถ้ามีคนรู้ว่าผมมาจากศาสนจักรทั้งคุณและผมเราจะโดนทั้งคู่” โดยองผละออกมามองดวงตากลมที่ดื้อรั้นด้วยสายตาที่จริงจังเพื่อให้คนตัวเล็กยอม และแน่นอน เตนล์ยอม
“เหรินจวิ้น กลับบ้านไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”
“แต่..”
“ไม่ต้องห่วง นี่ เอ่อ..คนรู้จักพี่ ขอคุยธุระแปปเดียว” เตนล์ยิ้มให้น้องชายตัวจิ๋วข้างๆที่ยืนทำหน้าไม่ไว้ใจโดยองซักเท่าไหร่ “ไปเถอะน่า ไม่มีอะไรจริงๆ”
พูดอยู่นานสองนานกว่าเหรินจวิ้นจะยอมกลับบ้านไปโดยทิ้งเตนล์ไว้กับโดยองที่หน้าร้านขนมปัง เตนล์กับโดยองยืนมองเหรินจวิ้นที่เดินหิ้วขนมปังไปจนสุดสายตา เมื่อโดยองมั่นใจว่าน้องชายคนตัวเล็กกลับไปแล้วเขาจึงเอ่ย
“ไปนั่งที่ร้านนั้นซักเดี๋ยวเป็นไง”
บรรยากาศร้านอาหารเล็กๆเก่าๆที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนั้นทำให้โดยองพอใจ เขาเลือกที่จะนั่งโต๊ะมุมร้าน ไม่เป็นที่สนใจของคนและคนอื่นๆจะไม่ได้ยินว่าเขาคุยอะไรกับเตนล์
“มีอะไร” เตนล์เปิดบทสนทนา คนตัวเล็กไม่ได้มองคู่สนทนา เขาทำแค่เท้าคางเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
..ใครจะอยากมองหน้าคนที่เอากริชกรีดหลัง เอาโซ่ฟาดตัวเองกันล่ะ
โดยองมองใบหน้าหวานที่มองไปทางอื่นอยู่ครู่หนึ่ง ในหัวได้แต่คิดหาคำตอบของคำถามที่เตนล์ถาม นั่นสิ เรามีอะไร ทำไมถึงได้ออกมาทำธุระแล้วตามหาเตนล์
เขานั่งคิดอยู่พักใหญ่ เตนล์ไม่ได้เร่งเร้าหรืออะไร เตนล์นั่งเฉยๆรอฟังคนตรงหน้าพูด เวลาผ่านไปแล้ว ผ่านไปเล่าโดยที่โต๊ะอาหารที่มีเพียงน้ำเปล่าสองแก้วก็ยังคงเงียบงัน โดยองสูดหายใจเข้าและปล่อยออกมาเฮือกใหญ่
“เจ็บมั้ย”
เตนล์หันมามองคนตรงหน้าแทบจะทันที คิ้วบางเลิกขึ้นด้วยความสงสัย เตนล์มองโดยองอยู่แบบนั้นโดยไม่ได้ถามข้อสงสัยของตัวเองกลับ เพียงแต่รอให้โดยองพูดออกมาให้หมด
“ขอโทษนะ”
ตลกชะมัด
คนอย่างโดยองเนี่ยนะ..ขอโทษคนที่ตัวเองลงโทษ
บ้าไปแล้ว ถ้าแทยงยังอยู่คงต้องคิดว่าเพื่อนตัวเองคนนี้เสียสติหรือโดนผีที่ไหนเข้าแน่ๆ
“ขอโทษทำไม” คนตัวเล็กถามกลับ น้ำเสียงไม่ได้มีความอ่อนนุ่มใดๆซักนิด มันแข็งกร้าวไปหมดในทุกครั้งที่ได้คุยกัน ดูเหมือนเตนล์จะทั้งโกรธทั้งเกลียด
..ก็ไม่แปลกหรอก
“แล้ว15วันนี้คุณจะทำยังไง” โดยองถาม
“ไม่ทำไง ผมไม่ได้กะออกมาหาใบล้างบาปอยู่แล้ว” คำตอบของเตนล์ทำเอาโดยองเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง
...เราอุตส่าห์ไปเสี่ยงเสนอกฎปล่อยตัวเพื่อช่วยแท้ๆ แต่เตนล์กลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ยอมรับว่าในใจก็รู้สึกเฟลเล็กๆ แต่ทำไงได้ล่ะ มันเป็นการตัดสินใจของเตนล์
“แล้ว..” โดยองคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมเมื่อกี้ออก “แปลว่าคุณยอมจำนนต่อสิ่งที่จะเกิดงั้นหรอ”
‘ สิ่งที่จะเกิด ‘ ที่โดยองว่า เตนล์รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
ไม่พูดให้ยาวให้มากความ มันหมายถึงความตาย
“จะว่าแบบนั้นก็ใช่นะ”
“ไม่คิดจะสู้หน่อยหรอ”
“เอ๊ะ คุณนี่แปลกคนจังโดยอง” เตนล์ส่ายหน้า โดยองได้ยินแบบนั้นก็เผลอยิ้มน้อยๆเพราะคนตรงหน้าเรียกชื่อเขาแถมยังอารมณ์เสียใส่เขาอีก
“คุณเป็นคนจับเรา ทำร้ายเรา แล้วมาบอกให้เราสู้เนี่ยนะ” เตนล์ยังคงพ่นคำบ่นออกมาไม่หยุด ปากเล็กมุบมิบพูดถึงโดยองอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
“ทำไมเรียกแทนตัวเองว่าเราแล้วล่ะ” ใช่แล้ว โดยองเอ่ยคำถามใหม่ออกไปโดยไม่ได้สนใจคำพูดที่เตนล์พูดเลยซักคำ
“เรียกผมมันดูเป็นทางการเกินไป”
“แปลว่าเราสนิทกันแล้วงั้นสิ”
“ไม่”
เตนล์แยกกับโดยองมาได้ซักพักแล้ว เขาตัดสินใจแวะไปหาแจฮยอนก่อนที่จะกลับเข้าบ้านไปหาเหรินจวิ้น เตนล์มีเงินติดตัวอยู่มากพอที่จะซื้อหนังสือน่าอ่านซักเล่มกลับไปอ่านที่บ้านเวลาว่าง
ระหว่างทางที่เดินก็คิดถึงแต่เรื่องคิมโดยอง หน้าเขา เสียงเขา การกระทำเขามันช่างรบกวนจิตใจเตนล์ซะจริง มิหนำซ้ำความเจ็บจากบาดแผลก็ยังรบกวนประบบการรับรู้ความรู้สึกของเขาที่ก็โดยองอีกนั่นแหละที่เป็นคนทำ
“แจฮยอน” เตนล์เอ่ยเรียกพ่อค้าขายหนังสือหนุ่มทันทีที่ผลักประตูร้านเข้าไป แจฮยอนเงยหน้าจากหนังสือที่กำลังเขียนมาและส่งยิ้มให้เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเรียกคือเตนล์
“อ้าว ไม่ไปพักที่บ้านหรอเตนล์ ออกมาเดินเล่นใหญ่เลยนะ” แจฮยอนแซวเพราะเมื่อไม่นานมานี้ตัวเองก็พึ่งไปส่งเตนล์ที่บ้าน ตอนนี้เตนล์ก็ออกมาเดินเล่นอีกแล้ว
“แวะมาหาอะไรติดมือกลับไปอ่านซักหน่อยน่ะ” พูดไปพลางเดินดูวรรณกรรมสั้นบนชั้นหนังสือไป เตนล์ไม่อยู่เพียงไม่ถึงสัปดาห์แต่กลับรู้สึกเหมือนจากร้านหนังสือไปนานแรมปี เขาชอบกลิ่นหนังสือ ชอบบรรยากาศร้านที่ดูผ่อนคลายของแจฮยอน
“อยากอ่านอะไรก็หยิบไปเลย ผมให้”
“ทำไมล่ะ?” เตนล์ปิดหนังสือในมือที่กำลังหยิบมาดูพร้อมหันไปถาม แจฮยอนยืนยิ้มแห้งๆ
“แค่อยากทำอะไรให้คุณบ้าง ก่อนที่บางทีอาจจะไม่ได้ทำ ผมคงเสียใจแย่”
“แหม ไม่คิดว่าฉันจะหาใบล้างบาปได้รึไงพูดแบบนี้” เตนล์หัวเราะพร้อมเดินเอาหนังสือไปตีที่แขนแกร่งเบาๆที่แจฮยอนหยอกเอิน
“คนแบบคุณผมรู้นะว่าถ้ามั่นใจว่าคนข้างหลังอยู่ได้ คุณก็จะปล่อยตัวเองไม่ให้เป็นภาระกับใคร”
...พูดอีกก็ถูกอีก
“ผมว่าคุณคงรู้แล้วว่าเหรินจวิ้นมีงานทำ รู้แล้วว่าเขาดูแลตัวเองได้”
“...”
“เลยไม่คิดจะหาใบล้างบาปอีกแล้ว ผมพูดถูกมั้ย”
“ทำไมนายทำเหมือนอ่านใจฉันออกเลยนะ” เตนล์เกาหัวเบาๆพร้อมยิ้มเจื่อนๆ เพราะทุกอย่างที่แจฮยอนพูดมันคือความจริง ตอนนี้เตนล์แค่อยากใช้เวลา 15 วันที่เหลือให้มีความสุขที่สุดกับโลกภายนอก
...ก่อนที่จะไม่ได้มีอีก
เวลาล่วงเลยมา ถึงวันที่ 13 ที่เตนล์ได้ออกมาใช้ชีวิตปกติสุขข้างนอก เหมือนเตนล์โหยหาความสุขนี้มานาน ทั้งๆที่ในตอนนั้นเขาโดนจับไปไม่กี่วัน
คืนวานเขาได้รับข่าวดีจากเหรินจวิ้นว่าเหรินจวิ้นซื้อใบล้างบาปได้แล้ว จริงๆก็แอบแปลกใจว่าน้องชายเอาเงินจากไหนเยอะแยะขนาดนั้น แต่ก็ได้เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจแล้วยินดีกับน้องชายแทน
เตนล์ไม่คิดจะเอ่ยถามอะไร
ถ้ามันทำให้น้องชายไม่ต้องเจอสิ่งที่โหดร้ายแบบที่ตัวเองต้องเจอ เตนล์ก็พอใจ
เช้าวันที่ 13 ที่ได้ลืมตาตื่นมาบนที่นอนที่เดิม ในบ้านหลังเล็กที่แสนอบอุ่น ที่มีน้องชายหลับอยู่ที่เตียงข้างๆ อีก 2 วันเตนล์ก็จะต้องกลับไปที่นั่นแล้ว
และเตนล์จะไม่กลับไป
ร่างเล็กลุกจากที่นอนด้วยความแผ่วเบาเพราะไม่อยากให้เหรินจวิ้นตื่น เตนล์ย่างเท้าอย่างแผ่วเบาออกจากห้องนอนและตรงไปยังตู้เก็บของ เขาไม่ได้จะหยิบของในตู้หรอก
เตนล์ก้มตัวลงไปหยิบของจากใต้ตู้ต่างหาก
ของชิ้นนั้นออกจากบ้านไปกับเตนล์ในยามเช้าที่ทุกอย่างเงียบสงบ เตนล์เดินเท้าออกมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเขา
เชือก คือสิ่งที่เตนล์หยิบออกมาด้วย
“ไม่เอาน่า ผมบอกให้คุณสู้ไง”
เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลังในขณะที่เตนล์พยายามจะผูกเชือกกับกิ่งไม้ใหญ่มั่นคง เท้าเล็กเขย่งสุดปลายเท้าเพื่อจะผูกเชือกสำหรับจบชีวิตตัวเอง
เตนล์ปล่อยเชือกที่พาดบนกิ่งใหญ่แล้วหันไปหาต้นตอของเสียง ก็พบว่าคือใบหน้าเดิมที่รบกวนจิตใจเขามาตลอด
“ขนาดแอบมาที่นี่คุณยังตามเราเจออีกงั้นหรอ”
“ผมมาทำธุระแล้วบังเอิญเห็นคนถือเชือกเดินเลี้ยวเข้าป่าแว๊บๆ พอตามมาเลยรู้ว่าเป็นคุณ”
“ปล่อยเราเถอะ คิดดีแล้ว”
“ให้ช่วยผูกเชือกมั้ย ดูลำบากๆนะ?” โดยองยิ้มๆก่อนจะเดินไปดึงเชือกลงจากกิ่งใหญ่แล้วม้วนมันเข้าให้เรียบร้อยพร้อมเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างไม่ถามเจ้าของซักคำ
“โดยอง” คนตัวเล็กเรียกชื่อคนสูงกว่าด้วยน้ำเสียงดุ
“นี่มันไม่ใช่ทางออกหรอกนะ”
“มันคือประตูไปสู่โลกที่ไม่เจ็บปวด คุณไม่รู้หรอ” เตนล์ถอนหายใจ “คุณอยากตีเรา อยากทำร้ายเราต่อรึไง”
โดยองส่ายหน้า ก็ไม่แปลกที่เตนล์จะคิดว่าเขาจ้องแต่จะทำร้ายเตนล์หรอกเพราะเขาทำเตนล์ไว้เยอะเหมือนกัน
“สู้ได้มั้ย”
“…”
“ผมรู้ว่ามันเจ็บ มันทรมาน”
“ไม่สู้แล้วได้มั้ย..”
โดยองมองใบหน้าที่เปลี่ยนไปแทบจะทันทีของเตนล์ ใบหน้าดื้อรั้นจิ้มลิ้มแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่แบกรับความทุกข์ใจมานานหลายวัน เตนล์ไม่ได้เข้มแข็งแบบที่เห็นเลยซักนิด เขาแค่พยายามทำให้ทุกคนสบายใจ
ลึกๆแล้วในใจของเตนล์ทั้งกลัว ทั้งกังวล อ่อนแอและไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง
เตนล์กลัวถ้าต้องกลับไปทรมานในนั้น
นั่นเป็นสาเหตุที่เขาตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเองในวันนี้
มือหนาเลื่อนไปกุมมือเล็กที่กำไว้ข้างลำตัว
มืออีกข้างก็ช่วยกอบกุมอีกแรงจนมือเล็กจมหายไปในมือใหญ่ของโดยอง
“สู้แล้วเชื่อใจผม ผมจะช่วยคุณเองเตนล์”
“มันเสี่ยงมากนะ ฉันเตือนแกแล้วนะ” ชายในชุดดำรับเงินจำนวนหนึ่งมาจากมือขาวของแจฮยอนในซอกตึกแคบๆที่ไม่ค่อยมีคนผ่านเข้ามามากนัก มันคือตลาดมืดขนาดย่อม
แจฮยอนมาที่นี่เพราะตลาดมืดจะมีการปลอมใบล้างบาปขึ้น ขายในราคาที่ถูกกว่าใบล้างบาปของจริง แจฮยอนตัดสินใจซื้อมันเพื่อช่วยเตนล์
“ชื่ออะไรนะ ขออีกรอบ” ชายชุดเงยหน้ามาถามในขณะที่เสียบกระดาษลงเครื่องพิมพ์ดีด
“ชิตพล ลี้ชัยพรกุล”
“ชิต...พล...ลี้...ชัยพรกุล โอเค เรียบร้อย” ใช้นิ้วพิมพ์ไปพิมพ์มา เขาก็ยื่นใบล้างบาปปลอมให้แจฮยอน มันดูเหมือนใบจริงอย่างไม่มีที่ติ เพียงแต่ถ้าสังเกตให้ดีมันก็จะมีจุดด่างพล้อยอยู่ แจฮยอนศึกษามาดีพอตัวว่าคนส่วนมากเลือกเสี่ยงวิธีนี้ ซึ่งก็เกินครึ่งที่ทำมันได้ผล หลังจากยื่นใบปลอมไปคนพวกนั้นก็รีบหนีออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่นทันทีเพื่อป้องกันศาสนจักรจับได้ภายหลัง
แจฮยอนเดินออกจากซอกมืดพร้อมม้วนใบล้างบาปที่ถูกเก็บใส่ภายใต้เสื้อคลุมสีน้ำตาล แจฮยอนมีบ้านที่ต่างจังหวัด เป็นบ้านไม่ใหญ่อะไร เขาคิดว่าจะให้เตนล์ไปอาศัยอยู่ที่นั่นหลังยื่นใบล้างบาปปลอม
รู้ว่าที่ทำมันเสี่ยง เสี่ยงทั้งกับตัวเตนล์และตัวแจฮยอน ถ้ามันจะเกิดอะไรที่ผิดพลาดแจฮยอนจะเสนอตัวเข้ายอมรับผิดแทนเตนล์เอง
- 100 % -
ครบ 100 แล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่กดให้นะคะ
แล้วก็ขอบคุณที่ยังตามอ่านกันต่อค่ะ 55555 คิดว่าเรื่องนี้คงจบ
ภายในปลายปีนี้ไม่ก็ต้นปีหน้าแหละค่ะ ; - ;
ปล. มีแผนจะเปิดอีกเรื่องควบคู่กันไปด้วยค่ะ
มีใครชอบแนว omegaverse มั้ยคะ ‘ w ‘
#betrayerdt
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอ๊ยยยย นี่มันดีมากเลยค่ะ ทำไมเราเพิ่งมาเห็นเรื่องนี้เอาป่านนี้เนี่ย ชอบตัวละคร ชอบเซ็ตติ้ง ชอบการบรรยาย ชอบทุกอย่างที่ได้อ่านเลยค่ะ เขียนได้น่าติดตามมาก เหมือนกำลังดูซีรีส์ต่างประเทศเลย ปมน่าสนใจมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ ลุ้นมากเลย ชอบคาแรคเตอร์ของโดยองจังค่ะ ดูเป็นคนที่พยายามจะคงความเป็นสีขาวในตัวให้มากที่สุดในโลกเทาๆมืดๆนี้ รู้สึกดีจังที่ได้เจอเรื่องนี้ ขอบคุณที่เขียนนะคะ รออ่านต่อใจจดใจจ่อเลยค่ะ
(และถ้าเขียนแนวโอเมก้าเวิร์สก็จะอ่านนะคะ! เหมือนโดนป้ายยาจากเรื่องนี้เลย ถ้าเขียนอะไรก็จะตามอ่านหมดค่ะ เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ!)