คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 ชัดเจนในทุกความรู้สึก (100%)
4
ชัดเจนในทุกความรู้สึก
[เจิ้น]
เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก แป๊บ ๆ ก็สามปีแล้วสินะ เป็นช่วงเวลาที่ผมพยายามค้นหาตัวเอง พยายามหาใครอีกคนแต่ก็เหมือนเดิม มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เหมือนกำลังหลอกตัวเองไปวัน ๆ
โอเค! ส่วนลึกมันก็เหมือนถูกพรากช่วงเวลาหนึ่งไปหลายปี อยู่ใกล้ก็บ่นว่ารำคาญ แต่พอต้องห่างกันจริง ๆ กลับเพิ่งค้นพบว่ามันไม่โอเคเลย ผมแค่พยายามสร้างกำแพงให้สูงและเป็นฝ่ายพังมันลงมาเองกับมือนั่นแหละ
“ไงมึง เมียคนล่าสุดเลิกอีกแล้วเหรอ” เบื่อมันครับ เป็นเพียงคนเดียวที่คอยกัดผมทุกปี
“กัดกูทุกวัน ไม่เบื่อบ้างเหรอ”
“สนุกดี” ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ชาย ผมลุกไปถีบแล้วจริง ๆ ถึงจะคุยแบบไม่มีความเกรงใจอายุมันก็ตาม แต่ก็รักแหละ มีกันสองคนพี่น้องนี่
“ไปไกล ๆ เลย” วันนี้เบื่อไม่อยากทะเลาะ มันว้าเหว่ไปหมด “เดี๋ยว! ยืมโทรศัพท์หน่อย”
“จะไปส่องน้องทับทิมไง”
“เออ!”
ช่วงปีที่แล้วจู่ ๆ ยัยเด็กวุ่นวายก็หายไป จะว่าไปก็ค่อย ๆ หายตั้งแต่ที่ผมย้ายบ้านนั่นแหละครับ แต่เพิ่งมารู้ตัวก็ตอนที่ไปเห็นอัปเดตมากมายหน้าฟีดเฟซบุ๊กเครื่องของพี่ชายตัวเอง แต่ของผมกลับไปมี ผลปรากฏว่าผมถูกบล็อกตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ ส่วนไลน์ข้อความสุดท้ายคือสติ๊กเกอร์หมูส่งหัวใจมาให้และหายไปเลย
“ไม่ต้องส่องหรอก กูจะไปรับแม่ที่นนฯ มึงจะไปไหม”
“แม่ไปตอนไหนแล้ว?”
“เมื่อเช้าน่ะ มึงคงยังไม่รู้สินะ พ่อกับแม่ทับทิมแยกทางกันแล้ว น้าส้มเลยจะพาทับทิมย้ายกลับไปอยู่บ้านที่พิจิตร ส่วนหลังนั้นก็ว่าจะขายน่ะ”
“มึงว่ายังไงนะ” ตกใจสิครับ!
“ทำไมต้องให้พูดซ้ำวะ กูบอกว่าน้าส้มจะพาทับทิมไปอยู่พิจิตรแล้ว”
ผมเงียบไปทันที เหมือนความรู้สึกบางอย่างค่อย ๆ ไกลออกไปทีละนิด และบางอย่างที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ มันคือความผูกพันที่ผมไม่อยากให้หายไปและโหยหาที่จะฉุดรั้งมาอยู่ข้างกายตัวเองตลอดไป...
“ไอ้เจิ้น... เจิ้น!”
“ฮะ!”
“ตกลงจะไปไหม?”
“ไป”
“ไปก็ลุก”
ผมรีบลุกเดินตามไอ้เจออกไปที่รถทันที ก่อนจะพากันออกจากบ้าน วันนี้ร้านปิดผมกับไอ้เจเลยว่างงานกันครับ
ตลอดทางที่นั่งรถไปนนทบุรี ในหัวมีคำถามมากมายที่ผมไม่รู้จะหาคำตอบจากที่ไหน ทำไมผมถึงไม่รู้อะไรเลย เสียงไอ้เจยังคงดังอยู่ตลอด แต่ผมกลับไม่ได้ใส่ใจที่จะฟัง จนมันขับรถมาถึงบ้าน ผมเดินใจลอยลงจากรถเพื่อเข้าบ้าน ได้ยินเสียงเรียกของมันดังอยู่ แต่ไม่ได้ขานรับก่อนจะเดินตรงขึ้นไปบนห้องนอน เปิดประตูเข้าไปข้างในถึงกับอึ้งเพราะห้องผมรกมาก!
“เฮ้ย!”
ตกใจในความรกของห้องนอนและกระดาษโพสอิทมากมายที่กองอยู่ตรงประตูหลังห้อง เหมือนถูกสอดเข้ามาทางช่องเล็ก ๆ ใต้ประตู จนผมต้องเดินไปดู
ลายมือน่ารักเชียว แต่ละใบเขียนบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ พร้อมกับลงวันที่กำกับเอาไว้ ผมเลยต้องไปหากล่องกระดาษมาหยิบโพสอิทพวกนี้ใส่ลงไปแทน
มีความพยายามสูงมาก แถมยังไม่เลิกปีนระเบียงห้องนอนของผมอีกต่างหาก นั่งเก็บอยู่นานเลย จนได้ยินเสียงตุบเหมือนมีคนกระโดดเข้ามาอีก ผมไม่ได้เปิดประตูออกไปดูนอกจากรออยู่เงียบ ๆ เท่านั้น จนมีกระดาษสอดเข้ามา
‘ถ้าพี่อยู่ตรงนี้ก็คงจะดี นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน...’
ผมหยิบขึ้นมาอ่าน ความรู้สึกอธิบายไม่ถูก แต่ยัยหมูคงเศร้าพอสมควร
‘อีกเดี๋ยวก็คงไม่ได้เจอกันแล้วสินะ...’
ผมเพิ่งสังเกตว่าข้อความในครั้งนี้ไม่ได้ลงวันที่เอาไว้ หลังจากสอดใบที่สองเข้ามาก็เงียบไปหลายนาทีเลย จนมีสอดเข้ามาอีก
'หนูจะไม่อยู่ที่นี่แล้วนะ คงคิดถึงพี่แย่เลย ไม่รู้จะไปปีนระเบียงห้องใครเล่นอีก ถึงจะมีให้ปีน… ก็คงไม่เหมือนกับห้องของพี่'
“ยัยเด็กบ้า!” ได้แต่ก่นด่าเสียงแผ่วเบาเพราะไม่อยากให้รู้ว่าผมอยู่ในห้อง
‘ลาก่อน...’
เหมือนจะไม่มีอีกแล้ว ความรู้สึกที่ค่อย ๆ หล่นหายไป ถ้าผมยื่นมือออกไปคว้าเอาไว้ ความรู้สึกนี้จะยังคงอยู่กับผมตลอดไปไหม ผมแค่ไม่อยากให้หายไป...
แกร๊ก แอ๊ด
หมับ!
เปิดประตูด้านหลังเห็นยัยหมูยืนอยู่ แต่ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงคนตรงหน้าตัวเล็กลงมาก ซึ่งกำลังจะปีนกลับไป ผมรีบยื่นสองแขนไปคว้าเอวนั้นมากอดเอาไว้ทันที
“กรี๊ด!” ลั่นเลยครับ ผมเองก็ตกใจ แต่ไม่ได้ปล่อยกอดออก แถมยังวางปลายคางลงบนหัวของน้องแทน “พะ พี่เจิ้นเหรอคะ?”
“แล้วมาหาใครล่ะ” ผมถามกลับ จนทำให้คนในอ้อมกอดค่อย ๆ หมุนตัวกลับมามอง ใบหน้าที่เงยขึ้นมาสบตากัน ทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างมันหยุดเดิน รวมไปถึงสายตาของผมที่ไม่อาจละไปจากใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มและหยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ได้เลย
“ฮึก…” ร้องไห้พลางโผเข้าสวมกอดผมกลับอีกครั้ง จนผมต้องกอดตอบ มือข้างหนึ่งค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปลูบหัวของน้องแผ่วเบาเพื่อปลอบใจ “หนูคิดว่าจะไม่ได้เจอพี่อีกแล้ว”
“ก็ไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกัน... แต่ก็มาโดยไม่รู้ตัวซะงั้น”
ยัยเด็กวุ่นวายร้องไห้โฮเหมือนเด็กเลยทีเดียว ผมปล่อยให้ร้องและกอดปลอบอยู่อย่างนั้นนานมาก จนมีเสียงขัดจังหวะดังขึ้นมา
“เฮ้ย! ไอ้เจิ้น มึงจะยืนกอดลูกสาวเขาอีกนานไหม พาน้องลงมาได้แล้ว” เสียงไอ้เจเลยครับ จนทับทิมปล่อยกอดพลางถอยห่างออกไป
ผมชะโงกหน้าไปมองพร้อมเสียงก่นด่า ไอ้เจหัวเราะลั่นก่อนจะเดินอ้อมกลับเข้าไปในบ้าน ผมเลยหันกลับมามองหน้าทับทิมต่อ
“งั้นหนูลงไปก่อนนะคะ” จะปีนกลับครับ คิดได้ไงเนี่ย
“ประตูมี จะปีนทำไมนักหนา”
“ก็...”
“ไปได้แล้ว” ยื่นมือข้างหนึ่งไปจับข้อมือของทับทิมให้เดินตามผมออกจากห้อง แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะกองกระดาษโพสอิทนี่แหละครับ “ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คะ?”
“ของพวกนี้”
“เวลาเหงา ๆ ก็ปีนมานั่งเขียนเล่นน่ะค่ะ” ยิ้มทั้งน้ำตาเชียวครับ ยอมเลยจริง ๆ ผมเลยส่ายหน้าให้แทนก่อนจะพาเดินลงไปข้างล่าง
ลงมาถึงแม่กับน้าส้มและไอ้เจนั่งกันอยู่ที่โซฟาแล้ว ยิ้มกันใหญ่ ผมเลยยกมือไหว้น้าส้ม ส่วนคนปีนระเบียงหลังห้องผมก็เอาแต่แอบข้างหลัง จนต้องรั้งให้ออกมายืนข้าง ๆ ถึงกับมองผมตาละห้อยเชียว
“อีกแล้วนะเรา” น้าส้มหันมาพูดกับคนข้าง ๆ ผม
“แฮะ ๆ มันชินค่ะ” ตอบกลับยิ้ม ๆ “งั้นหนูขอไปเก็บกระเป๋าก่อนนะคะ ยังไม่ได้เก็บเลยค่ะ”
ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากยอมปล่อยมือจนหลุดออกจากกัน ยัยหมูมองหน้าผมแล้วยิ้มก่อนจะตัดใจเดินกลับออกไป ปากผมเหมือนอยากจะพูด แต่ก็พูดไม่ออกเลยเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ ไอ้เจแทน
“ฉันไปดูลูกก่อนนะ”
“เดี๋ยวฉันออกไปส่ง” แม่กับน้าส้มเดินออกไป ความเงียบเกิดขึ้น จนเสียงไอ้เจดังขึ้นมา
“ไม่รั้งเหรอ?” ผมหันไปมองหน้าพี่ชายพลางขมวดคิ้วสงสัยไปด้วย “อาจจะไม่ใช่สามปีอย่างตอนนี้หรือไม่อาจจะตลอดไปเลยก็ได้นะ กูมองมึงกับทับทิมมาโดยตลอด สำหรับน้องอาจจะชัดเจน แล้วมึงล่ะ? ไม่อยากพิสูจน์บ้างเหรอว่าความรู้สึกที่มีคืออะไร ถ้าแค่น้องสาวจริง ๆ อย่างน้อยก็รั้งไว้ได้อีกสี่ปี”
“อย่างที่มึงพูด เขาไม่เรียกรั้งหรอก เขาเรียกสร้างความผูกพันเพิ่ม”
“แล้วแต่มึงจะคิด... แต่สำหรับกู ถ้ามีโอกาสกูก็อยากจะลองดู”
“มึงชอบทับทิมสินะ” ผมหันไปจ้องหน้าสบตาพี่ชายพร้อมกับคำถามเมื่อกี้ ไอ้เจไม่ได้ตอบนอกจากยักไหล่ให้แทน จนผมตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไม?”
“เพราะการมองดูคนที่เรารักทั้งสองคนค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกัน มันมีความสุขกว่า ในสายตาของทับทิม มึงคือทุกความรู้สึก ส่วนกูแค่พี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น เคลียร์นะ”
“อืม แต่อย่างกูคงรั้งใครเอาไว้ไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าเจิ้นมั่นใจ แม่ช่วยได้นะ” เสียงแม่ดังขึ้นมา ผมกับไอ้เจเลยพากันหันไปมอง แม่เดินยิ้มเข้ามาหาพวกผมสองคน “แม่ดีใจนะที่ลูกเปิดอกคุยกันแบบนี้”
“ผมเปิดที่ไหนล่ะแม่” ผมเถียง
“เจโอเคจริง ๆ ใช่ไหม”
“ความรู้สึกของผมอาจจะน้อยกว่าไอ้เจิ้นก็ได้นะแม่ มันแค่ไม่ยอมรับความจริงในตอนนี้ก็เท่านั้นเอง”
“ว่ายังไงล่ะเจิ้น” ถูกกดดันจากสายตาของแม่กับพี่ชายเฉยเลยครับ “มีเวลาคิดแค่ไม่นานหรอกนะ”
“ผมอาจจะทำให้แม่กับเจผิดหวังก็ได้นะครับ”
“ไม่หรอก ก็อย่างที่เจว่า แม่ช่วยรั้งไว้ได้แค่สี่ปี ส่วนที่เหลือมันก็อยู่ที่ลูกกับหนูทับทิมมากกว่านะ”
“แม่จะทำยังไงครับ” ใจหนึ่งก็อยากรั้ง แต่อีกใจก็กลัวจะทำให้ทับทิมต้องเสียใจ
“รอดูละกัน” แม่ตอบกลับมายิ้ม ๆ มั่นใจเชียวครับ ก่อนจะเดินกลับออกไปจากบ้าน ผมกับไอ้เจเลยมองหน้ากันแบบงง ๆ
การแยกจากกันในครั้งนี้ มันคงดีกว่าเมื่อสามปีก่อนตรงที่ยัยหมูเดินออกมาส่งที่รถนี่แหละ ภายใต้แววตาเศร้าหมองกลับมีรอยยิ้มออกมาตลอดเวลา แม่กับน้าส้มคุยกันเสร็จก็แยกย้าย ไอ้เจเลยขึ้นไปนั่งรอฝั่งคนขับ ที่ตรงนี้เลยเหลือแค่ผมกับยัยหมูที่ยืนอยู่
“ยิ้มอะไรนัก”
“พี่ยังเหมือนเดิมเลยเนอะ”
“จะบอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปหรือยังไง” แอบแซวจนน้องยักไหล่ยิ้ม ๆ ท่าทางกวนเชียวครับ “แต่ก็ยังแก้มเยอะเหมือนเดิม” หยิกแก้มน้องเล่นเบา ๆ
“ฮึย! หนูเจ็บ” สงสัยหยิกแก้มแรงไปหน่อยมั้ง
“กลับแล้วนะ” กลายเป็นเงียบแล้วเม้มปากเข้าหากันแทน ไม่ยอมมองหน้าผมตรง ๆ ได้แต่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง จนผมยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปวางลงบนหัวของน้อง “ดูแลตัวเองดี ๆ เก่งอยู่แล้วนี่”
“ไปได้แล้วค่ะ” พูดไล่ผมโดยไม่ยอมมองหน้า
“ไปแล้วนะ” พยักหน้าให้ ผมเลยต้องตัดใจหมุนตัวเดินกลับขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ ส่วนแม่นั่งเบาะด้านหลัง
รอยยิ้มและมือข้างหนึ่งที่โบกไปมา ก่อนทุกอย่างจะหายลับไปจากสายตา ความเงียบเกิดขึ้น ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคน เหมือนเข้าใจกันเป็นอย่างดี
ตลอดช่วงบ่ายกับความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนถึงบ้าน ผมเดินกลับขึ้นมาบนห้องพลางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างของตัวเอง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
ไอ้เป้โทรมา คงไม่พ้นนัดออกไปเที่ยวอีกนั่นแหละ...
“ฮัลโหล”
(คืนนี้ว่างไหม)
“เออ ที่ไหน”
(ได้ยินแบบนี้แล้วชื่นใจ หลังจากมึงปฏิเสธมาหลายครั้ง)
“ตกลงที่ไหน ลีลาเดี๋ยวกูไม่ไปซะหรอก”
(ที่เดิม)
“เออ เดี๋ยวสองทุ่มกูออกไป”
ผมตอบกลับก่อนจะกดวางสาย ปล่อยให้ตัวเองคิดอะไรไปเรื่อยจนหลับ เออหลับครับ! แต่ต้องตื่นเพราะมีคนเปิดประตูเข้ามา พอลืมตาก็เห็นพ่อยืนกอดอกอยู่ตรงประตู
“ไง”
“ไม่ไงครับ” ตอบท่านก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าเสร็จ เดินออกมา พ่อนั่งรออยู่ที่เตียงแล้ว “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก็นิดหน่อย คุยกันแบบผู้ใหญ่นะ”
“ครับ” ผมตอบกลับพ่อก่อนจะเดินไปนั่งปลายเตียงข้าง ๆ ท่าน
“สามปีที่ผ่านมาลูกทำตัวเหมือนคนไม่มีหัวใจเลยนะเจิ้น รู้ไหมว่าการทำแบบนี้มันไม่ดีสำหรับผู้หญิง”
“รู้ครับ”
“แล้วทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” ผมนิ่งไปกับคำถามของพ่อ
“ผมรู้จักตัวเองดีกว่าใคร ๆ ต่อให้ผมพยายามหลอกตัวเองมากแค่ไหน สร้างกำแพงให้สูงยังไง สุดท้ายก็เป็นฝ่ายพังมันลงมาเองทุกครั้ง... ผมแค่ไม่อยากทำร้ายน้อง” พ่อยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากยื่นมือมาตบบ่าผมเบา ๆ สองสามครั้ง “ผมยังจำคำพูดวันนั้นของพ่อได้เสมอและยังรักษาสัญญาได้เป็นอย่างดี”
“ตอนนี้เจิ้นแค่ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ไปก็พอแล้ว พ่อเชื่อว่าเจิ้นโตจากตอนนั้นมากแล้วจริง ๆ แต่บางเรื่องเจิ้นก็ยังต้องรักษาสัญญากับพ่ออยู่ดีนะ พ่อไม่กวนแล้วดีกว่า ขอตัวก่อนนะ”
“ครับ” ผมเลือกจะยิ้มให้พ่อด้วย พอท่านเดินออกไปก็นอนราบไปกับเตียงอีกครั้ง ยื่นมือขึ้นไปคว้าอากาศเอาไว้ เพราะต่อไปสิ่งที่ผมจะไขว่คว้าไม่ใช่แค่อากาศอีกแล้ว... “ในเมื่อไม่ยอมหายไป ต่อไปก็อย่าหวังว่าพี่จะเปิดโอกาสนั้นให้อีกเลย”
เหมือนคนโรคจิต แต่ก็อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย และแน่นอนว่าผมก็ยังจะออกไปเที่ยวอยู่ดี... ผมก็ยังเป็นผมเหมือนเดิม แค่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงก็เท่านั้นเอง
เคล้ง ๆ
เสียงแก้วกระทบกันไปพร้อมกับเสียงเฮฮาในกลุ่มของผม ร้านประจำ ร้านที่มาทีไรก็เหมือนได้กินฟรีทุกทีเพราะลงบัญชีน้องชายเจ้าของร้านเอาไว้
“ช่วงนี้มึงโสดแล้วเหรอไอ้เจิ้น”
“กูก็โสดตลอด” ตอบกลับไอ้เป้ออกไป ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับคำถามของมันเลยจริง ๆ
“ตอแหล! มึงควงไม่ซ้ำหน้าเลยต่างหาก” มันเองก็สวนกลับผมมาทันทีเช่นกัน
“แค่ลอง ไปกันไม่ได้ก็ปล่อย”
“จ้าเจิ้น พ่อคนหล่อเลือกได้” ไอ้เป้ถึงกับเบะปากกลอกตาใส่ผมเลยทีเดียว
“กูไปเข้าห้องน้ำนะ ว่าจะกลับบ้านเลย”
“ฮะ! มึงเพิ่งมาได้สองชั่วโมง” ตกใจกันทำไม ผมแค่มาให้รู้ว่ามาแล้วนะ ไม่ได้บอกว่าจะอยู่ยาวสักหน่อย
“กูจะกลับไปนอน จบไหม?” บอกกับไอ้เป้ก่อนจะลุกเดินออกมา ไม่ได้เข้าห้องน้ำหรอกครับ แต่หนีกลับบ้านเลย
พอกลับมาถึงบ้านโทรศัพท์ก็มีสายโทรเข้ามารัวมาก ผมไม่ได้สนใจ กดปิดเสียงไปแทน ก่อนจะอาบน้ำเข้านอน ต่อไปคงต้องเป็นเด็กดีกว่านี้แล้วแหละครับ
๐๐๐๐๐
วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนโกหก เกือบสองเดือนกว่าแล้วที่ยัยหมูห่างออกไป ในทุก ๆ วันของผมก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเพิ่มเติมมาเลยจริง ๆ ต่อให้อะไรจะชัดเจนมากกว่าเดิมแค่ไหน สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างหมุนวนอยู่อย่างเดิมเพราะผมทำอะไรมากไปกว่าการรอไม่ได้อยู่แล้ว...
เฮ้อ!
“ไอ้เจิ้น!” ผมไม่ได้ตอบกลับนอกจากเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาพี่ชายเท่านั้น จนมันพูดต่อ “วันนี้กูไม่เข้าร้านนะ”
“ไปไหน”
“เรื่องของกูครับ!” กำลังจะอ้าปากด่า แต่ไอ้เจกลับพูดขึ้นมาต่อซะก่อน “อย่านะ เวลากูถามมึงก็ตอบแบบนี้ตลอด”
“เออ! จะไปไหนก็ไป รำคาญ” ไอ้เจหัวเราะลั่นก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน
วันนี้พ่อไม่ได้เอารถไปทำงาน ท่านนั่งแท็กซี่ออกไป ไอ้เจเลยขับคันของพ่อออกไปข้างนอกกับแม่ ส่วนที่บ้านเหลือผมแค่คนเดียว นั่งว่างไม่ได้เพราะต้องลุกไปเปิดร้าน จะบอกว่าเปิดแล้วแต่อารมณ์ก็ได้นะ แต่เวลาที่ตั้งเอาไว้จริง ๆ คือ 9.00 - 20.00 น. เผื่อเวลาตั้งร้านและเก็บร้านไว้นิดหน่อยครับ
ทุกคนออกไปจากบ้านหมดแล้ว เหลือแค่ผมคนเดียวเลยต้องลุกตามออกไปด้วย ปกติที่บ้านก็แทบไม่มีใครอยู่แล้ว ใช้เวลาแค่ไม่นานก็มาถึงร้านเพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่
เปิดเพลงเบา ๆ ยืนตั้งร้านแบบชิว ๆ ความรู้สึกเหมือนมีลูกค้าเดินมาเลยพูดออกไปโดยไม่ได้มองหน้า
“ร้านยังไม่เปิดนะครับ”
“มาช่วยตั้งร้านค่ะ” เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของน้ำเสียงเมื่อกี้ด้วย
“หลิน”
“อืม ช่วงนี้เจิ้นไม่ค่อยไปเจอเพื่อนเลยนะ”
“เหนื่อยเลยขี้เกียจไป” ตอบความจริงส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนโกหกไปนิดหน่อยครับ “นั่งก่อนสิ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวหลินช่วยตั้งร้านดีกว่า”
“ตามใจ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่หลินมาช่วยตั้งร้าน ผมเลยไม่อยากขัดมาก เพราะถึงยังไงก็เพื่อนกัน แม้ว่าเธอจะรู้สึกกับผมเกินเพื่อนไปบ้างก็ตาม
ได้เวลาเปิดร้าน ลูกค้าคนแรกของวันนี้ก็คงเป็นหลินอีกตามเคย เธอชอบสั่งนมเย็นแบบไม่หวานมาก เป็นเมนูที่เดิมที่เห็นหน้าก็จำได้แล้ว ไม่ใช่แค่หลินหรอกที่ผมจำได้ แต่ลูกค้าประจำคนอื่น ๆ ก็ด้วย
“วันนี้ไม่มีขนมนะ”
“ไม่เป็นอะไร” ปกติที่ร้านจะมีขนมด้วย ไอ้เจกับแม่จะช่วยกันทำ แต่วันนี้ทั้งคู่ไม่ว่างกัน เลยมีแค่น้ำเท่านั้น
Rrrr
เดินกลับเข้ามาข้างในพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ เบอร์ปลายสายคือไอ้เจ ตามติดชีวิตผมอีกแล้วครับ
(อะแฮ่ม ๆ แต่เช้าเลยนะมึง)
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหมายถึงใคร?
“ส่องเก่ง”
(มะ... ก็เออ!)
เหมือนไอ้เจจะพูดอะไร แต่กลับเลือกจะเปลี่ยนเรื่องไปซะก่อน
“โทรมาแค่นี้”
(เออ โทรมาแซวเฉย ๆ วันนี้คงไม่ได้เข้าไปช่วย)
“บางวันกูก็อยู่ร้านคนเดียวนะ”
(แหม! พูดเหมือนกูไม่เคยอยู่ร้านคนเดียวไปได้)
“แค่นี้แหละ ลูกค้าเข้าร้าน”
(อืม ๆ)
จริง ๆ ยังครับ แต่ขี้เกียจคุยกับมันเลยหาข้ออ้างแทน ก่อนจะกดเข้าไปส่องในไอจี เห็นหลินอัปสตอรี่แถมยังแท็กผมอีกต่างหาก
ทำไมถึงดื้อดึงแบบนี้ ผมมั่นใจว่าตัวเองชัดเจนในทุกความรู้สึกแล้วนะ หรือโสดนานไป สงสัยต้องหาคนควงใหม่อีกแล้วมั้ง แต่ช่วงนี้ไม่อยากทำตัวเกเรอีก ขี้เกียจฟังไอ้เจบ่น ขนาดทำตัวดียังไม่วายบ่นใส่เลยครับ
ความคิดเห็น