คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 14 ความลับไม่เคยมีในโลก (100%)
14
ความลับไม่เคยมีในโลก
หลังจากวันนั้นก็ผ่านไปเกือบห้าวันแล้วครับ ยัยเด็กนั่นหายไปเลย ไม่รู้ว่าหายจริงไหม? ส่วนยัยหมูก็หายเหมือนกันเพราะไปเข้าค่ายกลับพรุ่งนี้แล้ว ช่วงนี้เลยมีงานทำทุกวัน แต่พอดีวันนี้ร้านปิดเลยว่างนั่งเล่นเกมกับไอ้เจที่บ้าน แม่ก็อยู่ด้วย ช่วงนี้ที่ร้านพ่อไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ แม่เลยอยู่บ้าน
เล่นเกมจนเบื่อก็เดินกลับขึ้นมาบนห้อง จะอาบน้ำแล้วก็ชาร์จแบตโทรศัพท์ แต่ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมเลื่อนดูรูปทับทิมที่แอบถ่ายเอาไว้ ท่าทางจะหนักแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ดูไป อมยิ้มไป แต่ก็ต้องสะดุดเพราะรูปกินเค้กนี่แหละ แค่เห็นก็อารมณ์เสียแล้วครับ อาบน้ำดีกว่า
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาข้างล่างอีกครั้ง ในหัวเกิดอยากทำเค้กขึ้นมา แต่ทำไม่เป็น ไอ้เจเรียนด้านนี้มา มันคงมีความรู้บ้างแหละ ลงมาก็เห็นทั้งแม่และไอ้เจนั่งอยู่ แต่เดินตรงไปหาพี่ชายก่อนเลย
“อันนี้ทำยังไง” ยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้มันดูด้วย เป็นรูปเค้กที่วางอยู่ตรงหน้าทับทิม โทรศัพท์ก็ยังไม่ได้ชาร์จครับ
“ผีเข้าเหรอ? ปกติไม่เคยอยากลองทำขนมเค้ก” ไอ้เจถามยิ้ม ๆ ก่อนจะปรายตามามองหน้าผมต่อ
“ให้สอนครับ ไม่ได้ให้เสือก!”
“กูพี่มึงนะ พูดดี ๆ ก่อน เดี๋ยวสอน” ยังมีหน้ามากวนตีนผมอีกครับ ส่วนแม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาแทน
“พี่เจครับ สอนน้องเจิ้นทำขนมเค้กหน่อยสิครับ จะทำให้หมูกิน” ต้องบอกจุดประสงค์ไปด้วยครับ เดี๋ยวมันไม่สอนอีก
“ฮ่า ๆ มึงหวงก็บอก ร้านที่น้องไปซื้อเค้กคนขายหล่อ”
“ไอ้เจ! นี่มึงเคยไปเหรอ”
“เออ! เคยพาน้องไปซื้ออยู่” กัดฟันเลยครับ ไม่เห็นมันบอกอะไรผมสักคำ
“เจ” เสียงแม่เรียกไอ้เจดังขึ้นมา
“ครับแม่”
“อาหารสุนัขยี่ห้อไหนอร่อย” ประโยคนี้ไม่ใช่แล้วครับ เหมือนกำลังแขวะมาทางผมมากกว่า
“ขยี้เกิ๊น!” พอรู้ตัวก็หันไปมองหน้าแม่ยิ้ม ๆ ด้วย
“หึ! เมื่อก่อนทำเก๊ก ทีนี้ตามน้องต้อย ๆ เชียวนะ” เรื่องจริงผมก็ไม่อยากปฏิเสธสักเท่าไหร่
“เรียกหมาเจิ้นได้เลยแม่”
“ไอ้เจ!” ไอ้นี่ก็ทุกดอกเลยจริง ๆ สอดได้ทุกประโยค
“จริง ๆ มันก็สนใจน้องแหละ แต่ตอนนั้นน้องยังเด็ก แถมยังทำสัญญาลูกผู้ชายกับพ่อเอาไว้อีก เลยทำเป็นเก๊กใส่น้องตลอด” รู้ความลับอะไรของผมไม่ได้เลยจริง ๆ มันเล่าหมดไม่มีเหลือ
“หืม? สัญญาลูกผู้ชาย” แสดงว่าแม่ยังไม่รู้ พ่อเก็บความลับอยู่สินะ แต่พี่ชายผมไม่เลย “งั้นแม่ก็คงหายห่วงได้แล้วสินะ” แม่พูดพลางคลี่ยิ้มบางออกมาด้วย
“แม่ไม่อยากรู้เหรอครับ ผมอยากรู้นะ แต่มันไม่ยอมบอก”
“ถ้าลองพ่อขอ มีเหรอเจิ้นจะกล้าขัด สู้ ๆ นะลูกชาย” อยากจะร้องไห้ “เจก็ระวังไว้บ้างนะ ตอนนี้แค่ยังไม่ถึงตาของลูกหรอก แต่แม่รู้สึกเหมือนหนูออย...”
“แม่ครับ”
“ออยคือใครเหรอแม่” ไอ้เจขัดแม่ซะก่อน ท่านเลยเงียบไป แต่ผมอยากรู้ไง เลยตั้งคำถามขึ้นมาแทน
“ไม่เสือกดิเจิ้น อยากให้สอนทำขนมเค้กไม่ใช่เหรอ ลุกดิ ต้องไปซื้อวัตถุดิบก่อน” หันไปมองหน้าแม่พลางยักคิ้วให้ท่านด้วย ผมไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นหรอก แต่ความอยากรู้ของผมก็ทำให้ไอ้เจรีบรับปากอย่างไวก่อนจะลากผมออกจากบ้าน
ไอ้เจพาผมมาซื้อวัตถุดิบสำหรับทำขนมเค้กที่แม็คโคร ส่วนอุปกรณ์มีอยู่แล้วครับ ของแม่นั่นแหละ เพราะท่านชอบทำขนม ผมมีหน้าที่แค่เข็นรถตามหลังพี่ชายเท่านั้น ส่วนมันเป็นคนหยิบของ
"อันนี้จริงจังแค่ไหน"
"มาก!"
"ไอ้เจิ้นคนคลั่งรัก" ยังมีหน้ามาแซวผมยิ้ม ๆ อีกนะ รอถึงตามันก่อนเถอะ ผมจะแซวให้หนักกว่านี้อีก
"รอมึงคลั่งรักแบบกูก่อนเถอะ แล้วจะรู้สึก"
"ก็คงอีกนาน" ดูมันจะมั่นใจในตัวเองมากเป็นพิเศษแฮะ
"แหม! ออยที่แม่พูดกับคนที่ร้านวันนั้นคือคนคนเดียวกันสินะ" มือที่กำลังจะหยิบถุงแป้งถึงกับชะงักไปทันที แต่ก็ไม่ยอมหันกลับมามอง "ตกลงยังไง"
"เลิกกันแล้ว"
"ฮะ!" เสียงผมตกใจเองแหละ "พูดจริง?"
"เออ!"
"แต่ทำไมมึงดูไม่ค่อยทุกข์ใจเลยวะ?" ไอ้เจหยุดมือที่จะหยิบของทุกอย่างลงก่อนจะหันมามองหน้าผมแทน แววตาของมันจริงจังเชียวครับ
"ไม่รักแล้ว มึงจะให้กูทุกข์ไปทำไม แล้วผู้หญิงก็เลือกที่จะไปก่อนเอง กูก็ไม่รู้จะรั้งไว้ทำไม เลิกกันให้จบ ๆ ไปไม่ดีกว่าเหรอ" น้ำเสียงจริงจังเชียว ผมเลยยิ้มออกมาแทนก่อนจะเดินเข้าไปกอดคอพี่ชายเอาไว้
"งั้นวันนี้ไม่เรียนทำเค้กแล้ว เดี๋ยวพามึงไปดื่มย้อมใจก่อน"
"กูไม่ได้อยากดื่ม"
"แต่กูเบื่อ! ช่วงนี้ทับทิมไม่อยู่ จะไปไหม?" ไอ้เจถึงกับยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา ถึงไม่ทำเค้ก แต่วัตถุดิบก็ต้องซื้อไปไว้ก่อนอยู่ดี
กลับมาถึงบ้านก็เอาของไปเก็บในครัวก่อนจะแยกย้าย สองทุ่มมีนัดกันออกจากบ้านไปเที่ยว ระหว่างวันเลยหยิบโทรศัพท์มาชาร์จ ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ชาร์จครับ หลังจากนั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัยและรอเวลา...
พอถึงสองทุ่ม ตามเวลานัด พร้อมกับสายตาดุ ๆ ของแม่ ถึงท่านจะปล่อย แต่ก็ไม่อยากให้เสียงานด้วย
“เที่ยวได้นะ แต่อย่าสร้างเรื่อง พรุ่งนี้ต้องเปิดร้านกันด้วย”
“ครับแม่” ผมกับไอ้เจตอบแม่พร้อมกันก่อนจะพากันออกจากบ้าน ขับรถกันไปเอง
วันนี้ไม่ได้ไปร้านพี่ไอ้เป้หรอก ไปหาร้านอื่นนั่งชิว ๆ กันแทน พร้อมกับเช็คอิน ไอ้เจเป็นคนแท็กมาหาผม
“มาแก้เบื่อนะ อย่าแรด!” พูดอย่างกับผมเป็นผู้หญิงไปได้ เลยยักไหล่ให้มันแทน
“ขอโทษที พอดีกูหล่อ” พี่ชายถึงกับทำหน้าเซ็งใส่ผมเลยทีเดียว
สั่งเครื่องดื่มเสร็จ นั่งฟังเพลง ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้คุยกันสักเท่าไหร่ จนมีผู้หญิงเดินเข้ามาทัก เจ้าเก่าที่ไม่ค่อยอยากเจอสักเท่าไหร่
“บังเอิญจังเลยนะเจิ้น” คนที่เข้ามาทักผมคือน้ำ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้เหมือนกัน
“กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” หนีเฉยเลยครับ จนน้ำเดินอ้อมไปนั่งที่ไอ้เจ
“สบายดีไหม”
“อืม” ไหน ๆ ก็เข้ามาทักแล้ว อีกอย่างก็ไม่ได้เกลียดถึงขนาดคุยกันไม่ได้ ถึงยังไงก็เคยเป็นทั้งเพื่อนและแฟนเก่า
“ดูเจิ้นไม่ค่อยอยากคุยกับน้ำเลยนะ” น้ำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดตลก สีหน้าของเธอดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ
“เปล่าหรอก แค่ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรน่ะ”
“ยังโกรธน้ำอยู่ไหม?” ถามพลางยื่นมือข้างหนึ่งของเธอมากุมมือของผมเอาไว้ด้วย “น้ำ...”
“เรื่องของเรามันจบไปตั้งนานแล้วน้ำ ส่วนเรื่องโกรธหรือไม่ บอกตามตรงว่าไม่อยู่ในหัวเลย และอีกอย่างไม่ว่าจะเข้ามาทักเราด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เราขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะ อดีตก็คืออดีต ไม่มีคำว่าสานต่อ เชิญกลับโต๊ะไปได้แล้ว” ผมไม่รู้หรอกว่าน้ำอยากพูดอะไร แต่ขอพูดแทรกเพื่อตัดบทก่อนละกัน
“เจิ้น!”
“เชิญ! หรือต้องให้ด่ามากกว่านี้ก่อน” เรื่องปากหมาไว้ใจผมได้เลย สีหน้าของน้ำเปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะเดินกระทืบเท้าออกไป
เฮ้อ! เป็นคนหล่อมันเหนื่อยแบบนี้นี่เอง ได้แต่ผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ออกมา หยิบแก้วเหล้าขึ้นมากระดกพร้อมกับสายตาที่เหลือบไปเห็นใครบางคน คุ้นเหมือนแฟนเก่าของไอ้เจเลยครับ มากับผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางกะหนุงกะหนิงกันเชียวจนไอ้เจเดินกลับมาที่โต๊ะ
“เห็นเหมือนกูไหมเนี่ย”
“อืม”
“กูก็ว่าตัวเองเลือกร้านดีแล้วนะ ทำไมบังเอิญเยอะจังเลยวะ” ไอ้เจไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากยักไหล่ให้ผมก่อนจะหยิบแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
บรรยากาศกร่อยไปแล้วครับ สี่ทุ่มผมเลยชวนมันกลับ ไม่เมากันเพราะดื่มไม่เยอะ เดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนจะถูกตามมาหาเรื่องเลย พอหันไปมองก็เห็นผู้ชายที่ควงมากับแฟนเก่าไอ้เจยืนอยู่กับเพื่อนอีกสองคน
“วันก่อนออยไปหามึงสินะ” ไอ้เจเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแทน เพราะก่อนหน้านี้มันเดินไปก่อน พี่ชายที่แสนดีอีกแล้วครับ
“ใช่”
“อย่ายุ่งกับเมียกูอีก” ผมเป็นเพียงผู้ฟังก่อนจะปรายตาไปมองพี่ชายตัวเองแทน ไอ้เจไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากเหยียดยิ้มตรงมุมปากออกมา “กูพูดมึงไม่เข้าใจเหรอ”
“ขอโทษทีนะ แต่มึงควรกลับไปคุยกับคนของตัวเองให้เข้าใจก่อน กูก็อยู่ดี ๆ ไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายอะไรแล้วด้วยซ้ำ”
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” ท่าทางมันจะโมโหเข้าแล้วครับ แต่กลับถูกเพื่อนที่มาด้วยกันล็อกแขนเอาไว้ซะก่อน “พวกมึงปล่อยกูสิว่ะ”
“ไหนมึงบอกแค่ออกมาคุยไง” เพื่อนที่ล็อกแขนข้างขวาถามขึ้น
“ก็มันกวนตีนกูก่อนนี่หว่า”
“กลับเถอะ” ไอ้เจดูไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ ก่อนจะหันมาบอกผม แล้วก็พากันเดินกลับออกมา
“มึงคิดจะหนีเหรอ” เสียงโวยวายของมันยังดังไล่หลังอยู่ แต่พวกผมไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ ลานจอดรถคนไม่ค่อยมีด้วยครับ
“เจ ระวัง!” เสียงเหมือนผู้หญิงตะโกนดังขึ้นมา ผมกับไอ้เจเลยหยุดเดินก่อนจะมองหน้ากันแล้วรีบหันกลับไปมอง ภาพตรงหน้าคือผู้ชายคนที่เข้ามาหาเรื่องไอ้เจกำลังวิ่งเข้ามาหา ในระยะประชิดผมก็รีบผลักมันออกไปทันที
จึก!
ให้ตายเถอะ เจ็บฉิบหายเลย!
“เจิ้น!”
วี๊ด ๆ
เสียงเป่านกหวีดดังขึ้นมารัวมาก แต่วินาทีนั้นผมยืนไม่อยู่แล้วครับ ล้มลงไปนั่งกองกับพื้นเรียบร้อยแล้ว ไอ้เจเลยรีบเข้ามาช่วยพยุง
“วันซวยอะไรของกูวะเนี่ย อ่า... เจ็บ”
“มึงแม่ง!”
เสียงดังวุ่นวายกันมาก ได้ยินแต่คนถามว่าเป็นอะไรมากไหม ก่อนจะถูกยกแล้วหิ้วปีกไปไหนก็ไม่รู้ ทั้งจุก ทั้งเจ็บ มันชาไปหมด เปลือกตาก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือไอ้เจเรียกชื่อนั่นแหละ แล้วก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
๐๐๐๐๐
อ่า... เจ็บแปลบที่เอวข้างซ้ายมาก ๆ เปลือกตาค่อย ๆ กะพริบถี่จนลืมตา แต่ก็ต้องปิดเปลือกตาอีกครั้งเมื่อสัมผัสกับแสงสีขาวในห้องสี่เหลี่ยม
“เจิ้น” น้ำเสียงตกใจปนดีใจดังขึ้นมา ผมเลยค่อย ๆ เบือนหน้าไปมอง คนแรกที่เห็นคือแม่ ท่านกำลังจับมือผมอยู่ด้วย
“มะ แม่... เจ ไอ้เจล่ะครับ” ผมก็ยังจำได้อยู่ดีว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องกัน
“เจออกไปซื้อกาแฟกับพ่อน่ะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก” ผมยิ้มพลางพยักหน้าให้แม่ไปด้วย “ดื่มน้ำสักหน่อยนะลูก”
แม่ลุกไปรินน้ำใส่แก้วให้ผมก่อนจะจับหลอดจ่อมาที่ปาก ดื่มไปแค่นิดหน่อยก็พอก่อนจะนอนอยู่นิ่ง ๆ เพราะยังปรับตัวไม่ค่อยถูก
“กี่โมงแล้วครับ”
“จะเที่ยงแล้วลูก แม่เป็นห่วงแทบแย่ เจิ้นก็ไม่ยอมฟื้นสักที”
“เที่ยง? ผมหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอครับ” หันไปมองหน้าแม่ด้วย ท่านเลยพยักหน้าให้
“ใช่”
“แม่ ทับทิม...”
“น้องโทรมาแล้ว แต่แม่ยังไม่ได้บอกอะไร กลับจากเข้าค่ายเหนื่อย ๆ อยากให้พักผ่อนก่อน” วันนี้ยัยหมูกลับจากเข้าค่ายพอดี ตอนแรกผมก็รับปากแล้วแหละว่าช่วงเย็นจะไปหาที่หอแล้วพาไปหาอะไรกิน แต่สภาพอย่างนี้คงพาไปไม่ได้แล้ว
“ขอบคุณครับ” คุยอยู่กับแม่สองคนจนไอ้เจกับพ่อกลับเข้ามา พอเห็นผมตื่นก็ดีใจใหญ่เลย
“ไอ้เจิ้น กูนึกว่ามึงจะไม่ตื่นซะแล้ว” ตกลงมันดีใจจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย
“เฮ้ย ๆ อย่าเข้ามา เจ็บแผล”
“โทษที กูลืม” ไอ้เจรั้งมือที่กำลังจะกอดผมกลับไป “แม่กับพ่อกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมอยู่ดูแลไอ้เจิ้นเอง ยังไม่ได้นอนกันทั้งคืนเลย”
“เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวเย็น ๆ แม่หิ้วปิ่นโตมาด้วยละกันนะ”
“ครับ”
“ดูแลน้องดี ๆ ละ”
“ครับพ่อ” พ่อกับแม่พากันกลับออกไปแล้ว ไอ้เจเลยนั่งลงบนเก้าอี้แทน “คราวหลังไม่ต้องทำแบบนี้แล้วนะ กูหนังเหนียว”
“มันไปเอง” ผมตอบยิ้ม ๆ ถึงจะปากหมาใส่กันตลอด แต่ก็มีพี่ชายอย่างมันนี่แหละที่คอยช่วยเหลือตลอด ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นก็สุดวิสัยจริง ๆ “หน้ามึงไปโดนอะไรมา ไหนแม่บอกว่าไม่เป็นอะไรไง”
“ตอนแรกก็ไม่หรอก แต่พอมึงสลบไป กูก็ลุกไปกระทืบไอ้เหี้ยนั่นทันที จ่ายค่าปรับไปนิดหน่อยพร้อมกับเสียงบ่นของพ่อ แต่ก็คุ้มนะ” ยังมีหน้ามายักคิ้วให้ผมอีก เชื่อมันเลยจริง ๆ
“แล้วมันเป็นไงบ้าง”
“ก็ถูกข้อหาพยายามฆ่าไปนั่นแหละ เพราะมันตั้งใจ แต่ก็นะ... บ้านมันรวย กูคงไม่ต้องพูดต่อหรอกใช่ไหม”
“มึงจะไม่มีปัญหาทีหลังอีกนะ”
“กูก็คงไม่ซวยซ้ำ ๆ หรอก ปกติก็แทบไม่ไปไหนอยู่แล้ว ถ้ามึงไม่ลากไปน่ะ”
“ตอแหล!”
“ฮ่า ๆ ไอ้นี่นิ นอนพักต่อได้แล้ว”
“กูเพิ่งตื่น! ว่าจะโทรหาทับทิมสักหน่อย” ไอ้เจพยักหน้าขึ้นมาก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มายื่นให้ผม “ขอบใจ”
“บอกน้องด้วยนะ”
“เอาไว้ออกจากโรงพยาบาลก่อน” พูดออกไปแบบนั้นแหละ แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาบอกทับทิมเหมือนกัน
ตู๊ด ๆ
(สวัสดีค่ะ)
เสียงงัวเงียเชียวครับ สงสัยเพิ่งตื่น
“พี่โทรกวนหรือเปล่า”
(เปล่าค่ะ หนูตื่นแล้ว)
“อ๋อ...”
ไอ้เจนั่งจ้องผมเขม็งเลยครับ จะหาข้ออ้างอะไรดี กลัวบ่ายเบี่ยงแล้วทับทิมจับได้นี่แหละครับ ช่วงนี้อ่อนไหวง่ายไปหน่อย
(มีอะไรหรือเปล่าคะ)
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ลุ้นมาก ๆ ผมกับไอ้เจถึงกับหันขวับไปมองเลยทีเดียว คนที่เดินเข้ามาคือพยาบาล พร้อมกับอาหารและยาของผม
“ชู่ว!” ไอ้เจเลยครับ พยาบาลก็ยิ้มแบบงง ๆ แต่ก็ยอมทำตามที่มันว่าก่อนจะยื่นมือไปรับถาดอาหารและยามาถือเอาไว้เอง
(พี่เจิ้นคะ)
“ครับ”
(ไม่ว่างหรือเปล่าคะ หนูวางสายก่อนก็ได้นะคะ)
“ครับ ไว้พี่โทรหาอีกทีนะครับ”
(ค่ะ)
รีบกดวางสายอย่างรวดเร็วเลยครับ พลางลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รู้สึกโล่งนิดหน่อย
“ทำไมไม่บอกน้องไป”
“กูก็อยากบอกแหละ แต่เพิ่งกลับมาจากเข้าค่ายเหนื่อย ๆ เลยไม่อยากให้นั่งรถมาเอง ไม่ใช่ใกล้ ๆ นะโว้ย”
“เดี๋ยวกูไปรับให้”
“ไม่ต้องเลย ไว้บอกพรุ่งนี้”
“แน่ใจ”
“เออ! เดี๋ยวพรุ่งนี้กูบอกเลย” ขอให้วันนี้ผ่านไปก่อนก็พอแล้วครับ ส่วนพรุ่งนี้ค่อยหาข้ออ้างอีกทีก็แล้วกัน
นั่ง ๆ นอน ๆ จนถึงเย็น แม่กับพ่อก็มาอีกรอบพร้อมกับปิ่นโต แต่ที่หนักยิ่งกว่าปิ่นโตคงเป็นสายตาของใครบางคนนี่แหละครับ ผมกับไอ้เจพากันมองหน้ายิ้ม ๆ เลยทีเดียว ตกใจยิ่งกว่าเรื่องเมื่อคืน ก็ตอนเห็นหน้าทับทิมที่เดินเข้ามาพร้อมพ่อกับแม่นี่แหละครับ
“เอ่อ...” ผมติดอ่างเลยทีเดียว
“ผมหิวพอดีเลย แม่ทำอะไรมาให้กินบ้างครับเนี่ย” ไอ้เจรีบพูดทำลายบรรยากาศเงียบ ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบปิ่นโตที่แม่
ผมไม่ได้มองหน้าใครเลยนอกจากทับทิม น้องก็ไม่ยอมมองหน้าผมตรง ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา ไอ้เจก็รีบกินข้าวหนีก่อนเลย ส่วนทับทิมนั่งคุยกับพ่อแม่ ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องเข้าค่ายมากกว่า ผมนอนเหงาอยู่คนเดียวเลย จนเกือบสองทุ่มพ่อกับแม่ก็พากันกลับ
“ผมกลับด้วยครับ” เสียงไอ้เจดังขึ้นมา
“แล้วน้องจะอยู่กับใคร” พ่อถามขึ้นก่อนจะหันมามองทางผม
“เดี๋ยวหนูอยู่เฝ้าให้เองค่ะ” ผมยิ้มออกมาทันที หลังจากที่ทำหน้าหงอยอยู่นานสองนาน
“แหม! เมื่อกี้ยังเป็นหมาหงอยอยู่เลยนะ” แซวมาเลยครับ ผมไม่ค่อยสะทกสะท้านหรอก เพราะตอนนี้กำลังดีใจอยู่ จนพ่อกับแม่แล้วก็ไอ้เจพากันกลับ
“มานั่งข้างพี่หน่อยสิครับ” ยังทำหน้านิ่งใส่ผมเหมือนเดิม แต่ก็ยอมเดินมานั่งข้าง ๆ ผมอยู่ดี “ขอจับมือด้วยสิครับ”
“หนูโกรธอยู่นะคะ ทำไมถึงไม่บอกอะไรกันเลย” ขนาดโกรธยังทำแก้มป่องใส่ผมเลย ส่วนมือที่ขอจับไปเมื่อกี้ก็ยื่นมาให้จับแล้วด้วย
“ขอโทษครับ พี่แค่ไม่อยากให้เป็นห่วง อีกอย่างเพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ เลยอยากให้พักผ่อนมากกว่า”
“ทำไมต้องคิดแทนหนูด้วยล่ะคะ” ยังไม่เลิกเกรี้ยวกราดใส่ผมเลย
“แล้วนี่รู้ได้ยังไงครับ”
“เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว” ใครจะไปกล้าคุยเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ล่ะครับ “หนูโทรหาป้าแจนค่ะ ท่านเลยบอก จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากโทรหรอก แต่ท่าทางของพี่ไม่น่าไว้ใจ”
“ฟังแค่เสียงก็รู้แล้วเหรอครับ”
“ถ้าใส่ใจ หนูก็รู้หมดแหละ เพราะเป็นพี่ด้วย หนูถึงวางใจไม่ได้ ตอนแรกก็อยากมาเอง แต่ลุงบอกว่าจะขับรถมารับ หนูเลยได้มาที่นี่พร้อมพวกท่านค่ะ” ตอนท้าย ๆ น้ำเสียงเริ่มปกติแล้วครับ ตอนแรกก็คิดว่าแม่จะช่วยปิดจนถึงที่สุด แต่ไหงความลับของผมถึงถูกเปิดเผยอยู่ตลอด เก็บเงียบไม่ได้เลยจริง ๆ
"ครับ"
"แล้วไปมีเรื่องได้ยังไงเหรอคะ" ทำหน้าสงสัยมาก มองหน้าผมตาแป๋วเชียว
"โอ๊ย!" การแสดงต้องเข้าผมแล้วแหละ
"เจ็บแผลเหรอคะ"
"ครับ ปวดหนึบ ๆ เลย" มือซ้ายจับที่บริเวณแผลพลางนิ่วหน้าเจ็บปวดไปด้วย จนทับทิมขยับเข้ามาดูแผลให้
"ทำไมมีเลือดออกมาด้วยล่ะคะ"
"พี่เพิ่งทำแผลใหม่ไปเองนะครับ" ถามพลางก้มมองบริเวณแผลของตัวเองไปด้วย แต่ก็ไม่มีเลือดอย่างที่ทับทิมพูดออกมาเลย
"หลอกหนูเก่ง หนูก็หลอกพี่เป็นเหมือนกันนั่นแหละค่ะ"
"ร้าย..."
"พี่ร้ายกว่าหนูอีก หมั่นไส้!" จ้องผมเขม็งเลยทีเดียว ก่อนจะลุกไปนั่งที่โซฟาแทน แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นไลน์ เพราะมีเสียงแจ้งเตือนดังเข้ามารัวเชียว
"พี่อยู่ตรงนี้นะครับ"
"หนูไม่ว่างค่ะ"
"ไหนบอกจะอยู่เฝ้าพี่ไง"
"หนูก็ไม่ได้ออกไปไหนนี่คะ พี่ก็นอนพักได้แล้วค่ะ หรือจะให้หนูไปขอยานอนหลับจากคุณพยาบาลมาให้ดีคะ" ปรายตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ต่อ กลับจากเข้าค่ายรอบนี้ ร้ายไม่เบาเลยครับ
"คุยกับใครครับ"
"เพื่อนค่ะ เจอกันตอนเข้าค่าย เรียนคณะเดียวกัน แล้วก็ชอบกินขนมเค้กเหมือนหนูด้วย หนูแนะนำร้านพี่เอไป เปิดเทอมว่าจะพาไปซื้ออยู่ค่ะ"
"พี่เอ?" ทวนชื่อหน่อย เพราะผมยังไม่เคยได้ยินทับทิมพูดชื่อนี้เลย
"พี่เจ้าของร้านเค้กค่ะ" เงยหน้าขึ้นมาตอบยิ้ม ๆ ดี๊ด๊าใหญ่เลยครับ
"เกินไปมั้ง" ยักไหล่ให้ผมแทน ท่าทางน่าหมั่นไส้กว่าผมก่อนหน้านี้อีกครับ
"จะคุยกับเพื่อนอีกนานไหมครับ"
"มีอะไรหรือเปล่าคะ" ถามผมนะ แต่ก็ไม่ยอมมองหน้ากัน
"มาเฝ้าพี่ไม่ใช่เหรอ? ควรจะสนใจแค่พี่สิ ไม่ใช่เพื่อนในไลน์" ทับทิมเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยอมเก็บโทรศัพท์แล้วก็ลุกเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงผมพร้อมกับรอยยิ้ม
"ถ้าพี่ไม่แกล้งหนูก่อน หนูก็คงไม่แกล้งพี่หรอกค่ะ"
"ถ้าไม่ติดว่าเจ็บอยู่ หนูเจอดีแน่นอน"
"น่ากลัวมากเลยค่ะ แบร่ ๆ" แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมด้วยนะ
ตอนแรกแค่หมั่นไส้ ตอนนี้มันเขี้ยวแล้วครับ ผมใกล้จะตะบะแตกเต็มทีแล้ว กลัวจะอดทนจนถึงวันนั้นไม่ไหว เพราะความน่ารัก น่าฟัดแก้มของทับทิมนี่แหละ
เมื่อก่อนก็พยายามไม่ใส่ใจแล้วนะ แต่พอมาถึงตอนนี้ ไม่ใส่ใจคงไม่ได้แล้วครับ
ความคิดเห็น