ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเกินกว่าจะร้าย [จบ]

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7 ไม่ใช่ไม่รู้สึก (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 64


     

    7

    ไม่ใช่ไม่รู้สึก

     

     

     

    ตื่นเต้น คงงั้นแหละ ตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อลุกอาบน้ำแต่งตัว ส่วนกระเป๋าก่อนนอนเมื่อคืนจัดเรียบร้อยแล้ว เสร็จภารกิจทุกอย่างเกือบตีห้า ผมไม่รีบครับ กะเวลาเอาไว้แล้ว ถึงหัวหินคงไม่ร้อนมากหรอก

    ก่อนออกจากบ้านโทรบอกทับทิมเรียบร้อย รายนั้นเสียงใสเชียว เก็บของสะพายกระเป๋าเป้เดินลงจากห้อง กำลังจะเดินออกจากบ้านถึงกับสะดุ้งเพราะเสียงที่ดังขึ้นมา

    “จะรีบไปไหนน่ะเจิ้น”

    “แม่ ตกใจหมดเลยครับ” หันไปมองหน้าท่านยิ้ม ๆ แม่เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับกล่องใส่อาหารเล็ก ๆ

    “ช่วงนี้ไม่ได้คุยกันเลยนะ ลูกกลับจากทะเลคงต้องคุยกันหน่อยแล้วแหละ”

    “ครับ” ฉีกยิ้มกว้างให้แม่ทันที ท่านถึงกับส่ายหน้าไปมาเลยทีเดียว

    “แม่ทำแซนด์วิชเอาไว้ให้ด้วยนะ ให้น้องกินระหว่างทางก็ได้”

    “ขอบคุณครับ”

    “แม่เชื่อใจเจิ้นได้ใช่ไหม” มือที่กำลังยื่นไปรับกล่องแซนด์วิชถึงกับชะงักเลยทีเดียวก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองหน้าสบตาแม่แทน

    “ครับ”

    “ขับรถดี ๆ ไม่ต้องรีบ”

    “ครับ” ยิ้มให้แม่ก่อนจะเดินออกจากบ้าน จัดของเรียบร้อยก็ขับไปที่หอของทับทิมทันที

    ยังไม่เช้าเลย รถคงไม่ติดสักเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินทางน้อยกว่าปกติ ผมก็เป็นคนมีสติในการขับรถอยู่นะครับ มาถึงหน้าหอทับทิมเกือบหกโมงเช้าแล้ว เจ้าตัวลงมานั่งรอเรียบร้อย พอเห็นผมจอดรถก็ลุกเดินมาหาทันที

    “ไม่ลืมอะไรนะ”

    “ไม่ค่ะ” คลี่ยิ้มให้ผมพร้อมคำตอบ

    “ขยับมานี่ก่อน” ลงจากรถพร้อมคำสั่ง ทับทิมทำตามที่บอก ผมเลยหยิบเสื้อการ์ดออกมาจากกระเป๋าและอุปกรณ์ที่จะให้เจ้าตัวใส่ ปลอดภัยเอาไว้ก่อนครับ

    “เอามาจากไหนคะ”

    “ซื้อมาสิครับ”

    “ไปซื้อตอนไหนเหรอคะ” คำถามนี้เล่นเอาผมเงียบไปเลย ไม่รู้ต้องตอบว่ายังไง พอเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาก็เห็นทับทิมยืนยิ้มให้อยู่ ตาแทบปิดเชียวครับ

    “ช่วงนี้คุยกับไอ้เจบ่อยสินะ”

    “หนูก็คุยปกติ” เฉไฉไม่กล้ามองหน้าผมต่อเลยครับ

    “เหรอครับ?”

    “ไปกันได้แล้วค่ะ” รีบพูดเชียวครับ ไอ้เจนี่รายงานเก่งจริง ๆ กลับถึงบ้านต้องจัดการหน่อยแล้วแหละ...

    เป็นการเดินทางที่ดีเลยครับ ส่วนกระเป๋าใบของทับทิมเธอบอกจะสะพายไปเองเพราะไม่หนักมาก ส่วนของอื่น ๆ ก็จัดเอาไว้ด้านหน้าของผม

    ผมไม่ได้ขับรถเร็วมาก ไปกันแบบเรื่อย ๆ มีแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ จะให้ทับทิมกินมื้อเช้าก่อนด้วย เติมน้ำมันเสร็จขับรถไปนั่งรอใกล้ ๆ ห้องน้ำ หยิบกล่องแซนด์วิชที่แม่ทำมาให้ลงไปด้วย จนทับทิมเดินออกมา

    “กินแซนด์วิชก่อนละกัน แม่ทำมาให้ครับ”

    “ขอบคุณค่ะ” ยิ้มให้ผมก่อนจะเดินมานั่งข้าง ๆ “กินไหมคะ”

    “พี่ยังไม่หิวครับ นั่งกินอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำก่อน”

    “ค่ะ” ผมลุกเดินเข้าเซเว่นเพื่อจะซื้อน้ำดื่มให้ทับทิมและขนมอีกเล็กน้อย แต่เดินทางคงไม่สะดวกกินสักเท่าไหร่ ซื้อเสร็จจ่ายเงินเดินกลับไปหาทับทิม

    “อิ่มแล้วเหรอ”

    “ค่ะ”

    “ดื่มน้ำก่อน” ยื่นขวดน้ำดื่มไปให้ก่อนจะรับกล่องแซนด์วิชกลับมาเก็บ จัดของให้เป็นระเบียบและพากันออกเดินทางต่อ

     

    ๐๐๐๐๐

     

    เกือบหลายชั่วโมงในการเดินทางกว่าจะมาถึงรีสอร์ตของหลิน มาจนจำได้แล้วว่าต้องจอดรถบริเวณไหน พอมาถึงก็เห็นรถตู้และบิ๊กไบค์อีกสองคันจอดอยู่แล้ว

    ลงจากรถจัดของเสร็จสะพายกระเป๋า แต่คนข้าง ๆ กลับวุ่นอยู่กับการรวบผมนี่แหละ

    “ขยับมา เดี๋ยวพี่ผูกให้”

    “อ๋อ… ค่ะ” ทับทิมเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมก่อนจะยื่นยางรัดผมมาให้ แต่กลับพบปัญหาเพราะการเดินทางไกลทำให้ผมของน้องพันกันยุ่งเหยิงเชียว

    “เจ็บหรือเปล่า”

    “นิดหน่อยค่ะ” ผมก็พยายามทำให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นแหละครับ จนรวบผมให้น้องเสร็จ กำลังจะพาเดินเข้าไปข้างใน แต่กลับต้องหยุดเพราะเสียงจากด้านหลังแทน

    “วะ ว้าว เพื่อนเจิ้นกูพาสาวที่ไหนมาด้วยเนี่ย” พอหันไปมองก็เห็นไอ้เป้กับไอ้ท็อปยืนอยู่

    “สวัสดีค่ะ” ทับทิมเองก็รีบยกมือไหว้พวกมันทันที

    “เมื่อกี้พวกกูเห็นนะ อย่างมึงมีโมเมนต์ผูกผมให้สาวด้วยเหรอวะ” ไอ้ท็อปเเซวขึ้นมาอีกคน

    “ไม่เสือกสิครับ” ผมตอบกลับยิ้ม ๆ แต่แววตานี่เกินทนแล้ว พร้อมกระทืบพวกมันมาก

    “ฮ่า ๆ ไม่แหย่มึงแล้วก็ได้ ว่าแต่น้องเขาชื่ออะไรวะ คนนี้น่ารักว่ะ” ไอ้เป้ตั้งคำถามพลางเบนสายตาไปมองทางทับทิมยิ้ม ๆ แบบนี้ไงที่โคตรไม่ชอบเลย ไม่รู้จะผอมไปทำไม

    “ทับทิมค่ะ” นี่ก็ตอบกลับไปอีก บ้าจี้ชะมัด

    “พี่ชื่อเป้นะครับ ส่วนข้าง ๆ ไอ้ท็อป”

    “ค่ะ” ตอนนี้ผมจะกลายร่างได้แล้ว

    “เข้าไปข้างในกันได้แล้ว” ผมพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะจับมือทับทิมให้เดินตามไปข้างใน ไอ้เป้กับไอ้ท็อปรีบเดินตามเข้ามาติด ๆ และต้องหยุดเดินเมื่อถึงกลุ่มเพื่อนที่นั่งรวมกันอยู่ตรงลานหน้าบ้านพัก

    “เจิ้น” หลินหันมาเรียกชื่อผมก่อนคนแรก แต่พอปรายตามาเห็นทับทิม เธอถึงกับหุบยิ้มเล็กน้อย “มีคนมาด้วยเหรอ เจิ้นไม่ได้บอก หลินเลยไม่ได้จัดห้องให้น่ะ”

    “ไม่เป็นไร นอนห้องเดียวกัน” คนข้าง ๆ ถึงกับหันขวับมามองหน้าผมเลยทีเดียว สีหน้าแบบมีคำถามมาก ๆ แต่พอสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของผมที่กระชับมือตัวเองอยู่ ทับทิมถึงกับเงียบแล้วระบายยิ้มออกมาแทน รู้งานดีมากครับ

    “อืม” หลินพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

    “ไอ้เจิ้น มึงพาน้องทับทิมไปเก็บของแล้วพักผ่อนก่อนก็ได้ เที่ยง ๆ ค่อยออกมาช่วยกันจัดของสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ หลินกุญแจห้องไอ้เจิ้นล่ะ” เสียงไอ้เป้ดังแทรกความเงียบขึ้นมา หลินเลยเดินมายื่นกุญแจให้ผม

    “หลังเดิมนะ” ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ จับมือทับทิมให้เดินตามออกมาจนถึงห้องพัก อยู่ไม่ไกลจากหลังแรกเท่าไหร่

    “นอนด้วยกันเหรอคะ” พอพ้นจากสายตาคนอื่น ทับทิมก็ตั้งคำถามขึ้นมา

    “กลัว? หรือว่า...”

    “เปล่าสักหน่อย หนูก็แค่...” พูดไม่จบประโยคแล้วก็เงียบไป “ช่างเถอะค่ะ”

    “จะพูดอะไร”

    “ลืมแล้วค่ะ” ยิ้มกลบเกลื่อน แต่ในความรู้สึกผมกลับไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่อยากเซ้าซี้อีกเลยไขกุญแจเข้าไปแทน โชคดีที่เป็นเตียงคู่แบบแยกได้

    “จะนอนฝั่งไหนครับ”

    “ริมก็ได้ค่ะ” บังกะโลหลังนี้ใหญ่อยู่ครับ สำหรับสองคนเลยไม่อึดอัดมาก มีห้องน้ำในตัวอยู่ด้านนอกด้วย

    “หิวหรือเปล่า”

    “ยังเลยค่ะ หนูขอนอนก่อนได้ไหมคะ” ผมพยักหน้าให้ก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงของตัวเอง

    “อย่าออกไปเดินเล่นคนเดียวนะ ถ้าจะไปก็บอกพี่ก่อน”

    “ค่ะ”

    “พี่ออกไปหาเพื่อนนะ” ทับทิมยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ จัดของเสร็จผมเลยเดินออกมาจากห้องเพื่อไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ

    มาถึงพวกมันก็ตั้งวงกันอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไอ้เป้กับไอ้ท็อปคงออกไปซื้อกับแกล้มกันมา

    “อ้าวไอ้เจิ้น มา ๆ นั่งข้างกูนี่” ไอ้เป้หันมาเห็นผมคนแรก เลยกวักมือเรียกให้ไปนั่งข้างมัน “น้องทับทิมไม่ออกมาด้วยเหรอ”

    “นอนอยู่”

    “อ๋อ...” ยิ้มเชียว ผมรู้ว่าในใจมันมีจุดประสงค์

    “ดื่มไหม” เสียงไอ้เต้ เพื่อนอีกคนในกลุ่มถามขึ้น มันนั่งใกล้เครื่องดื่มพอดี

    “ยังก่อน” หัววันจนเกินไปครับ แถมยังไม่ได้กินข้าวอีก แค่นั่งมองเพื่อนก็อิ่มได้แล้ว ถือว่าฆ่าเวลาระหว่างรอให้ทับทิมตื่นก็แล้วกัน

     

    เป็นช่วงสาย ๆ ที่หัวราน้ำกันมาก พอมองดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบบ่ายแล้ว แม้แต่ข้าวเช้ายังไม่ได้กิน ส่วนใครอีกคนป่านนี้จะตื่นหรือยังก็ไม่รู้ ผมเลยหยิบข้าวกล่องที่เพื่อนออกไปซื้อมาก่อนหน้านี้เดินกลับไปที่บังกะโล พอมาถึงก็เห็นทับทิมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ อาบน้ำแล้วด้วย

    “พี่เจิ้น” เรียกชื่อผมน้ำเสียงดีใจเชียว

    “กินข้าวก่อน” ทับทิมยิ้มให้ผมก่อนจะยื่นมือมารับกล่องข้าวไปถือเอาไว้ แต่ท่าทางหงอยเชียว “ไม่สนุกเหรอ”

    “เปล่าค่ะ แค่...”

    “เรื่องอื่น ๆ ช่างไปก่อนเถอะนะ วันนี้มาเที่ยวแล้ว ก็ควรคิดถึงแค่เรื่องตอนนี้ กลับไปจะได้มีแรงตั้งใจเรียน”

    “หนูไม่ได้เกเรขนาดนั้นสักหน่อย” เบะปากใส่ผมด้วยครับ ท่าทางแบบนี้โอเคขึ้นมานิดหน่อย เหมือนกลับมาเป็นคนเดิม

    “รีบกิน”

    “ค่ะ”

    ทับทิมกินข้าวจนอิ่ม ผมลุกเอากล่องไปทิ้งก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องเพื่อจะอาบน้ำ ส่วนทับทิมตอนนี้นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่แล้ว ไม่รู้คุยกับใครนักหนา

    “หนูขอออกไปเดินเล่นได้ไหมคะ”

    “แค่บริเวณนี้นะ”

    “ค่ะ” ผมยิ้มพลางพยักหน้าให้ด้วย ทับทิมเลยเดินออกไปจากห้อง ส่วนผมเดินออกไปอาบน้ำ

    ผมใช้เวลากับส่วนนี้เกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินออกมาแต่งตัว ใส่แค่กางเกงอยู่เพราะสระผมด้วยเลยอยากเช็ดให้แห้งก่อน

    ก๊อก ก๊อก

    เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องหรือทับทิมจะลืมหยิบกุญแจออกไป อยากแกล้งเลยไม่ได้ใส่เสื้อก่อนจะลุกไปเปิดให้ แต่กลับต้องตกใจแทน

    “หลิน”

    “อืม อาบน้ำเพิ่งเสร็จเหรอ” หลินถามผมยิ้ม ๆ

    “อืม”

    “ขอเข้าไปได้ไหม” มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมคงห้ามไม่ได้แล้วมั้ง เลยเลี่ยงให้เข้ามา แต่ก็ไม่ได้ปิดประตู มันจะได้ไม่น่าเกลียดมาก

    “มีอะไรหรือเปล่า”

    “ก็มีแหละ ให้หลินช่วยเช็ดผมไหม” หลินว่าก่อนจะยื่นมือมาช่วย แต่ผมกลับเบี่ยงตัวหลบ

    “ไม่เป็นไร” ตอบกลับก่อนจะวางผ้าลงแล้วหยิบเสื้อมาใส่แทน เกิดใครมาเห็นแล้วเข้าใจผิดจะยุ่ง “มีอะไรไหม เราจะออกไปหาทับทิมแล้ว”

    “น้องทับทิมน่ารักดีเนอะ คุยด้วยแล้วสบายใจมาก” ผมไม่รู้ว่าหลินต้องการอะไร แต่ที่พูดแบบนี้ออกมา เหมือนต้องการสื่ออะไรสักอย่าง

    “เคยคุยด้วยแล้วเหรอ”

    “อืม ก็น้องเขาเดินออกไปเมื่อกี้ไง เลยเรียกไปนั่งที่กลุ่ม จะได้สนิทกับเพื่อนเราคนอื่น ๆ ด้วย” ไปเดินเล่นแถวไหนเนี่ย ถึงปล่อยให้เพื่อนผมลากไปรวมในกลุ่มได้

    “งั้นพวกเราออกไปข้างนอกกันดีกว่า” ผมว่าก่อนจะเดินไปทางประตู แต่ก็ไม่ทันได้ก้าวขาพ้นประตูกลับถูกหลินเดินตามเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังซะก่อน

    “หลินดีใจมากเลยนะที่เจิ้นยอมมา คิดว่าปีนี้จะถูกปฏิเสธซะอีก และดีใจมากด้วยที่รู้ว่าเจิ้นกับน้องทับทิมเป็นแค่พี่น้องกัน”

    “พี่น้อง?” ตอนนี้เรื่องถูกหลินกอดคงไม่ตกใจเท่ากับคำว่าพี่น้องที่ได้ยินหรอกครับ “ใครพูด”

    “เป้ถามน่ะ น้องเลยบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเจิ้น เป็นแค่พี่น้องกัน” ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากยืนขบกรามเข้าหากันจนแน่น ถึงทับทิมจะพูดถูก แต่ก็รู้สึกโมโหอยู่ดี “หลินน่ะ... เจิ้น จะรีบไปไหนเหรอ เจิ้น”

    ผมไม่ได้ฟังคำพูดของหลินอีกก่อนจะสะบัดตัวอย่างแรงแล้วเดินหนีออกจากห้องเพื่อจะไปหาทับทิม มาถึงก็เห็นนั่งหัวเราะดี๊ด๊ากับเพื่อนผมใหญ่เลย ท่าทางน่าสนุกเชียวครับ โคตรโมโหเลย

    หมับ!

    ความโกรธทำให้สติของผมขาดได้ ผมรู้ข้อนี้ดี แต่ก็ยังยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้จริง ๆ

    “พี่เจิ้น” ตกใจที่เห็นหน้าผมและนิ่วหน้าออกมาทันทีที่ถูกผมกระชากให้ลุกเดินตามมาติด ๆ เสียงเรียกของเพื่อนก็ห้ามไม่ได้

    ผมลากทับทิมกลับมาที่ห้องก่อนจะปิดประตูและล็อกกลอน น้องดูตกใจไม่ใช่น้อย แต่ผมกลับยิ่งโกรธ

    “พะ พี่เจิ้น เป็นอะไรไปคะ หรือหนูทำอะไรผิด” น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยถามออกมา

    “พี่น้อง?”

    “คะ?”

    “คิดแบบนี้แล้วจริง ๆ ใช่ไหม”

    “พี่พูดอะไร หนูไม่เข้าใจ” ผมรู้ว่าทับทิมเข้าใจ แต่เธอพยายามเฉไฉไปทางอื่น ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากจ้องหน้าทับทิมอยู่อย่างนั้น

    “ตอนนี้เราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ขอโทษที่ทำตัวแบบก่อนหน้านี้ใส่” ผมว่าก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้ทับทิม กำลังจะเดินออกจากห้อง แต่กลับต้องชะงักเพราะคำพูดของน้อง

    “หนูบอกกับพี่เจว่าจะตัดใจจากพี่แล้ว หนูจะเป็นน้องสาวที่ดีให้ได้ แต่พี่เจกลับบอกให้รอดูก่อน... แต่พี่กลับคอยตอกย้ำคำว่าน้องสาวอยู่ตลอดเวลา” ผมค่อย ๆ หมุนตัวหันกลับไปมองหน้าสบตาทับทิม แววตาของน้องแดงก่ำเชียวครับ “พี่หลินชอบพี่... ไม่ใช่สิ เธอรักพี่มากนะ ฮึก! หนูก็เลย...”

    “นี่มันใจของพี่ ความรู้สึกของพี่ เราไม่ต้องมายุ่ง! จะรักหรือไม่รักใคร มันเป็นสิทธิ์ของพี่ ไม่ต้องมาเจ้ากี้เจ้าการหรือจับคู่ให้อย่างตอนนี้ คิดว่ารอเป็นอยู่คนเดียวเหรอ คนที่มันไม่พูดหรือแสดงออกอะไรให้ชัดเจน ไม่ใช่มันไม่รู้สึกหรอกนะ ทำถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจอีก ความรู้สึกที่เคยมีคงไม่ใช่เรื่องจริง” ผมพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ทับทิมจะพูดจบ ยอมรับว่าโกรธมาก ถึงผมจะมีส่วนผิดที่ทำให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ก็ตาม

    “พี่อย่ามารู้ดีกว่าใจของหนูนะ!” ทับทิมขึ้นเสียงเถียงผมกลับมาทันที

    “แล้วทับทิมรู้ดีกว่าใจของพี่งั้นเหรอ?” ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเราสองคนอีกครั้ง แถมคนตรงหน้ายังเอาแต่ร้องไห้ออกมาอีก ถึงจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้มากแค่ไหนก็ตาม ร้องจนผมทนมองต่อไม่ได้ต้องเดินหนีออกมาแทน

    “พะ พี่เจิ้น”

    ปัง!

    อยู่ต่อก็มีแต่จะทะเลาะกันหนักไปกว่าเดิมอีก เลยเลือกจะเดินออกมา ก่อนจะไปหามุมเงียบ ๆ นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนไอ้เป้เดินถือเบียร์กระป๋องเข้ามาหา

    “กูอยากอยู่คนเดียว”

    “พอดีกูอยากมานั่งเสือกครับ” ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากเบือนหน้าไปมองทางอื่น จนไอ้เป้ยื่นเบียร์มาตรงหน้า “ดื่มสักหน่อยไหม” 

    ไม่พูดอะไร แต่ก็รับเบียร์มากระดกแทน

    “มึงว่ากูเป็นไง”

    “คำถามมึงกว้างไป”

    “สามปีที่ผ่านมา”

    “มั่ว!” มันตอบทันที แทบไม่คิดเลยครับ “มองกูแบบนี้ทำไม ก็มึงถาม กูแค่ตอบตรง ๆ ก็มึงเล่นควงไม่ซ้ำหน้าเลยนี่หว่า”

    “หึ!” ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากเหยียดยิ้มตรงมุมปาก เหมือนกำลังสมเพชตัวเองไปด้วย

    “มึงรู้ใช่ไหมว่าหลินคิดยังไง”

    “อืม ตอนนั้นกูถึงเลือกน้ำไง กูไม่อยากทำลายมิตรภาพดี ๆ สำหรับกู หลินเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง” ไอ้เป้เหมือนเพื่อนที่สนิทมากคนหนึ่ง ปรึกษาได้พอ ๆ กับพี่ชายผมนั่นแหละ แค่มันไม่กล้าด่าผมเยอะแบบไอ้เจ

    “สิ่งที่หลินทำให้มึง มันไม่ได้ทำให้มึงรู้สึกกับเธอบ้างเลยเหรอ” ผมหันไปมองสีหน้าจริงจังของไอ้เป้ทันที

    นั่นสินะ! หลินพยายามขนาดนี้ แต่ทำไมผมถึงยังรู้สึกแค่เพื่อน ก็เพราะใจจริง ๆ ของผมมันมีเจ้าของไปตั้งนานแล้วไง

    “มึงว่าสามปีที่ผ่านมากูพยายามทำตัวมั่วไปเพื่ออะไร มันอาจจะเป็นวิธีที่บ้าหรือไม่ก็ไร้สาระ แต่สำหรับกูมันคือการผลักใครอีกคนให้ออกไปจากความรู้สึกตอนนั้น... แต่ยิ่งห่างก็เหมือนยิ่งโหยหา”

    “ถ้าสำคัญขนาดนั้น ทำไมถึงยังปล่อยไปวะ" สำคัญจนผมไม่อยากทำให้เจ็บปวดเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมีช่วงเวลาหนึ่งที่ยังกลัวใจของตัวเองจะทำพลาดอยู่ดี

    “กูรู้จักนิสัยของตัวเองดีกว่าใคร ถึงจะสำคัญมากแค่ไหน มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่ละเลยไปบ้างอยู่ดี จนกว่าจะรู้ว่าใจจริง ๆ ของกูต้องการมากแค่ไหน เพราะโอกาสมันไม่ได้มีอยู่ตลอดและกูก็ไม่คิดที่จะทำพลาดด้วย”

    “ผู้หญิงย่อมต้องการความชัดเจน ตอนที่น้องบอกว่าเป็นแค่พี่น้องกับมึง แววตากลับดูสั่นไหวมาก น้องก็คงรักมึงไม่ต่างไปจากที่มึงรู้สึกในตอนนี้หรอกนะ แต่ถ้ามึงยังกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงอยู่แบบนี้ แล้วมึงจะรู้ได้ยังไงว่าความรักจริง ๆ มันดีมากแค่ไหน” ไอ้เป้ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นพี่ชายอยู่ตรงหน้า แต่ดีหน่อยที่มันไม่ด่าผมไปด้วย “แต่ก่อนที่มึงจะชัดเจนกับน้อง มึงต้องเคลียร์กับหลินให้เข้าใจก่อน อย่าปล่อยให้หลินต้องหลอกตัวเองอยู่แบบนี้เลยว่ะ กูสงสารหลิน”

    “อืม ขอบใจมึงมากนะ”

    “เออ! ว่าแต่ก่อนหน้านี้มึงไม่ได้ทะเลาะกับน้องใช่ปะ” ถามเหมือนรู้ใจผมเลยครับ

    “กูจัดชุดใหญ่ไปเรียบร้อย”

    “ไอ้สัส!” ด่าผมเสร็จก็รีบวิ่งออกไปเลยครับ

    เฮ้อ!

    Rrrr

    ได้ยินเสียงโทรศัพท์ หยิบออกมาดูก็แทบไม่อยากกดรับสายแล้ว ไอ้เจต้องโทรมาด่าผมอีกแน่ ๆ เลย เพราะมันกับทับทิมคุยกันตลอด

    “โหล”

    (เป็นยังไงบ้างน้องชาย)

    “ฮะ!”

    (ตกใจอะไรของมึง)

    “เปล่า กูแค่แปลกใจ”

    (พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง หรือมึงทำอะไรผิดมา เมื่อกี้โทรหาทับทิมก็ไม่เห็นบอกอะไรกูเลย)

    ก็ว่าอยู่ทำไมไอ้เจถึงไม่ด่า ถ้ามันรู้ว่าผมจัดชุดใหญ่ใส่ทับทิมไป มีหวังหูชาแน่นอน

    “โทรบ่อยไปนะ”

    (แล้วจะทำไมครับ มึงมีสิทธิ์อะไรมาห้ามกู เป็นแค่พี่ชายไม่ใช่เหรอ)

    “เหอะ!”

    นี่ก็ย้ำขึ้นมาอีกคน น่ารำคาญจริง ๆ

    “กูไม่อยากคุยกับมึงแล้ว แค่นี้แหละ”

    (เฮ้ย ๆ กูมี...)

    มีอะไรก็ช่างของมันก่อนเถอะครับ ยิ่งคุยก็ยิ่งอารมณ์เสีย ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เดินกลับไปที่บังกะโล แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าแล้วหมุนตัวเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนแทน

    ไหน ๆ ก็ทำตัวเยอะมาจนถึงตอนนี้แล้ว จะเยอะอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง อยากเคลียร์กับหลินให้จบ ๆ ไปก่อน ส่วนทับทิมไว้ค่อยง้อทีหลัง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×