คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 ก็ยังเหมือนเดิม (100%)
5
ก็ยังเหมือนเดิม
ช่วงนี้ไอ้เจออกจากบ้านทุกวันเลยครับ และแน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยงานที่ร้านเลย ถามก็บอกว่าเรื่องของกู จนตอนนี้ผมไม่อยากถามแล้ว เกลียดความกวนตีนของมัน ซึ่งเหมือนกระจกเงาสะท้อนเข้าหาตัวเอง
“ถ้าวันนี้มึงยังไม่อยู่ช่วยงานกูอีก กูจะปิดกิจการแล้ว”
“ฮะ!”
“ตกใจเชี่ยไร จันทร์ถึงศุกร์ มึงไม่อยู่ร้านเลย” ไอ้เจถึงกับหัวเราะลั่นเลยทีเดียว ช่วงนี้มันปล่อยให้ผมทำงานคนเดียวส่วนตัวเองกลับไม่อยู่ซะงั้น
“โอเค ๆ วันนี้กูว่างแล้ว”
“หึ!”
“เลิกทำตาขวางใส่กูก่อน ไปเปิดร้านกันดีกว่า” ไอ้เจยิ้มก่อนจะลากผมไปที่รถเพื่อจะพากันไปที่ร้านกาแฟ
มาถึงผมนั่งเล่นโทรศัพท์ ให้มันตั้งร้านไปคนเดียว เพราะก่อนหน้านี้มันอู้งานไปหลายวัน กำลังจะกดเข้าเกมแต่กลับต้องขมวดคิ้วเพราะเสียงแจ้งเตือนไลน์ที่เด้งเข้ามา ซึ่งไม่ใช่เครื่องของผมไง
ติ้ง!
เรียวคิ้วเริ่มขมวดกันเป็นปมทันที และยิ่งขมวดเข้าไปอีกเมื่อเห็นข้อความที่เด้งเข้ามา
วันนี้พี่เจจะมารับหนูกี่โมงคะ
รับหนู? รับไปไหน หยิบโทรศัพท์ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาไอ้เจที่ยืนตั้งร้านอยู่ข้างใน
ตุบ!
“ไอ้เจิ้น! โทรศัพท์กู”
“มึงตั้งใจวางไว้ข้าง ๆ กูไม่ใช่เหรอ?” ปกติมันหวงจะตาย แต่วันนี้เหมือนอยากกวนประสาทผมละมั้ง เลยวางเอาไว้ใกล้ ๆ จนได้เห็นอะไรบางอย่าง “ทับทิมอยู่กรุงเทพฯ เหรอ?”
“อือ” ตอบผมแล้วยิ้ม
“ไหนบอกกลับพิจิตร” ผมถามกลับอีกครั้ง น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจ แสดงออกเยอะไปหน่อยจนไอ้เจยิ้มกว้างกว่าเดิมเหมือนพอใจกับท่าทางของผมมาก
“กลับแล้วไง แต่ใกล้เปิดเทอมแล้ว เลยกลับมา” มันอธิบายต่อ
“ยังไง?”
“แม่บอกรอดู ก็นี่แหละ” ตอบพลางก้มหน้าไปจัดของต่อ
“ทำไมไม่มีใครบอก”
“ก็มึงไม่ถาม” เงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง ดูมันจะพอใจกับท่าทางของผมในตอนนี้มากเลยทีเดียว
“มึงรู้?”
“เออ! ไปที่หอมาแล้วด้วย” สรุปที่หายไปก่อนหน้านี้คงไปหอทับทิมมาสินะ ส่วนวันแรกที่ออกไปกับแม่ คงไปรับทับทิมมาแน่ ๆ “ไอ้ลูกหมาเอ๊ย!”
“สัส!”
“เดี๋ยวกูไม่ให้ที่อยู่หอน้องนะ” ปั่นเก่งต้องยกให้มันเลยครับ
“พี่เจครับ”
“ฮ่า ๆ วันนี้น้องจะไปซื้อหนังสือ มึงพาไปละกัน แถเก่งอยู่แล้วนี่ กูช่วยขนาดนี้แล้ว ถ้ายังโง่ปล่อยไปอีกก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“เออ! กูยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่ปิดบังกันเลยนะ”
“คิดกับแม่เลย เพราะแม่บอกขอดูพฤติกรรมมึงก่อน แต่เสือกเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าถึงยังไงน้องก็ต้องได้อยู่ที่นี่ต่อ” ขำใหญ่เลยครับ สรุปผมถูกแม่กับไอ้เจรวมหัวกันปิดบังสินะ เผลอ ๆ พ่ออาจจะรู้ด้วยก็ได้มั้ง
“เหอะ!”
“ไม่เล่นแล้วนะเจิ้น มึงมีเวลาแค่ 4 ปี” น้ำเสียงจริงจังเชียวครับ ผมต้องขอบคุณมันมากกว่าที่คอยปั่นประสาทและจิกกัดผมได้ทุกวี่ทุกวัน
“ให้ 4 วันพอ” อันนี้ตอบแบบกวนประสาทมันไปงั้น ๆ แหละ
“เหรอเจิ้น 3 ปีที่ผ่านมามันช่วยให้อะไรยากขึ้นเยอะ มึงทำตัวเอง” กลอกตามองบนใส่มันแทนครับ “กวนตีน!”
“พูดเยอะแล้วมึง เอาที่อยู่หอน้องมาได้แล้ว”
“ครับ ๆ” กวนประสาทไม่เลิก กว่าจะยอมส่งที่อยู่ให้ก็มัวแต่โอ้เอ้อยู่นั่นแหละ
“ขอบคุณ ตั้งใจทำงานนะครับพี่ชาย” ยักคิ้วให้มันก่อนจะเดินมาที่รถ มีรถคันเดียวแบ่งกันใช้ จากสถานที่ที่ไอ้เจให้มากับบ้านผมอยู่กันคนละฝั่งเลยครับ คงใช้เวลาเป็นชั่วโมงแน่นอน
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าผมอยากไปซะอย่าง ไม่รู้ไอ้เจจะตอบไลน์ไปหรือยัง ยิ่งกวนประสาทผมเก่งอยู่ด้วย ระหว่างทางไปหอทับทิมผมก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกและประหลาดใจตัวเองไปในตัว
โอเค! ผมยอมแพ้แล้วก็ได้ครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าทางนั้นจะยังไง เพราะระยะเวลาที่ห่างกัน ผมก็ไม่ได้ทำตัวน่ารักไปซะทุกวันผมก็ไม่ได้มั่วมากนะ แค่ทั่วถึงเท่านั้นเอง
ก๊อก ก๊อก
ใจเต้นตึกตักเชียว ผมมีความรู้สึกแบบนี้ด้วยเหรอ มันนานแค่ไหนแล้วนะ
แกร๊ก แอ๊ด
ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวน่ารักเชียวครับ แต่เพราะผมสูงกว่ามาก ทับทิมเลยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง พอสบตากัน น้องถึงกับหน้าเหวอพลางกะพริบตาถี่ ๆ
“พะ พี่เจิ้น” น้ำเสียงตกใจเชียวครับ แต่จะว่าไปทำไมยัยหมูถึงผอมแบบนี้เนี่ย เห็นแล้วหงุดหงิดฉิบหายเลย ฮึย!
“ทำไม? อยากให้เป็นพี่เจเหรอ” พอตั้งสติได้ก็รีบถามกวน ๆ ออกไปทันที
“เปล่าค่ะ แค่แปลกใจว่าทำไมถึงว่าง ปกติไม่เห็นว่างเลย” พูดพลางเสมองไปทางอื่นด้วย ไม่ยอมสบตาผมตรง ๆ อย่างเมื่อกี้
“บล็อกพี่ไม่ใช่เหรอ? แล้วรู้ได้ยังไง” ถามกลับยิ้ม ๆ รู้สึกพอใจกับคำพูดประโยคเมื่อกี้ของทับทิมมาก
“หนูก็พูดไปเรื่อย เผื่อจริง แล้วพี่มาทำอะไรคะ” บอกปฏิเสธผมเสียงแข็งเชียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง
“มาพาไปซื้อหนังสือ พี่เจไม่ว่าง” แถไปงั้นแหละ อยากมาเองมากกว่าครับ
“อ๋อ...”
“เหมือนไม่อยากให้พาไป” กวนอีกแล้วครับ ทับทิมถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาแทน เหมือนหน่ายกับผม ตอนแรกคิดว่าจะดีใจที่ได้เจอกัน แต่ทำไมยัยหมูตอนนี้ถึงเปลี่ยนไป แถมยังเปลี่ยนไปทุกอย่างด้วยครับ...
“พี่เจิ้นว่างเหรอคะ ถ้าไม่ว่างเดี๋ยวหนูไปเองก็ได้ค่ะ”
“ถ้าไม่ว่างจะมายืนอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ”
“ก็เผื่อพี่ไม่ว่าง แต่ถูกพี่เจบังคับมา” เถียงเก่งกว่าแต่ก่อนอีกครับ คนที่บอกว่าจะจีบผมหายไปไหนซะแล้ว คนนี้ดูเข้าถึงยากมาก!
“ว่าง! แล้วก็ว่างมากด้วย จะไปได้หรือยัง” อารมณ์เสีย! ทับทิมก็กวนได้ตลอดจริง ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าสะพายและถุงผ้าเดินออกมา “จะไปชุดนี้เหรอ?”
ที่ถามเพราะรถที่ผมขับมามันไม่สะดวกสำหรับชุดกระโปรงที่เธอใส่อยู่สักเท่าไหร่
“ชุดนี้ทำไมเหรอคะ”
“ก็ไม่ทำไม แค่จะบอกว่ามันลำบาก”
“ก็ปกตินะคะ”
“ตามใจ” อยากแกล้งครับ เลยไม่ได้บอกว่าขับบิ๊กไบค์มารับ จนพากันเดินออกมาจากหอ ทับทิมอยู่ชั้นสาม น้องไม่ยอมใช้ลิฟต์ เลือกจะเดินลงบันไดแทน ผมก็ต้องเดินตามอีก
“คันไหนคะ” มองไปทางรถใหญ่
“ข้างหน้า”
“คะ?” หน้าเหวอเลยครับ ก่อนจะก้มมองชุดกระโปรงที่ตัวเองใส่อยู่ “ทำไมไม่บอกว่ารถอะไรล่ะคะ”
“ไม่ได้ถามนี่”
“พี่เจิ้น!” ทำหน้าโมโหเชียว “เดี๋ยวหนูนั่งรถเมล์ไปเองก็ได้ค่ะ” ไม่พูดเปล่า เดินหนีผมออกไปด้วยครับ จนผมต้องเดินตามไปคว้าข้อมือเอาไว้แทน
“ไปแท็กซี่ละกัน”
“แล้วรถพี่ล่ะคะ”
“จอดไว้ที่นี่แหละ”
“แต่...” ผมไม่ได้สนใจเสียงของทับทิมอีกก่อนจะรีบลากน้องออกมา กว่าจะเดินไปถึงป้ายรถเมล์ต้องใช้เวลานิดหน่อยเพราะหอน้องอยู่หลังมหาวิทยาลัย ระบบรักษาความปลอดภัยก็ดีมากด้วย เดินจับมือไปเรื่อย ๆ จนทับทิมกระตุกให้หยุดเดิน
“อะไร”
“หนูเดินเองได้ค่ะ”
“เดี๋ยวนี้ทำเป็นหวงตัว ทีเมื่อก่อนยังปีนระเบียงห้องนอนพี่แทบทุกวัน”
“พูดเบา ๆ สิคะ” ตั้งใจจะแกล้งครับ คนก็พากันหันมามองเชียว “ตอนนี้หนูโตแล้ว”
“ก็ยังเหมือนเดิม” มองแล้วอมยิ้มไปด้วย ทับทิมถึงกับเขินไม่กล้ามองหน้าผมตรง ๆ เลยครับ “จะไปต่อได้หรือยัง”
“ก็เดินไปสิคะ” พอเขินก็เถียงไม่เก่งอีกเลย ยอมให้ผมจับมือง่ายดายเชียว จนมาถึงป้ายรถเมล์ ยืนรอแค่ไม่นานแท็กซี่ก็มา ก่อนจะพากันขึ้นรถและบอกสถานที่ที่จะไป ห้างกับหอของทับทิมอยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไหร่
นั่งแท็กซี่คันเดียวกัน แต่ความรู้สึกโคตรห่างไกล นี่ถ้าสิงประตูรถได้ทับทิมคงทำไปแล้วครับ ผมก็คอยปรายตามองอยู่ตลอดส่วนคนข้าง ๆ ไม่กล้ามองมาทางผมเลย ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา
มาถึงห้าง เหมือนไม่ได้มาด้วยกันอีกนั่นแหละ ตอนแรกจะจ่ายค่ารถแท็กซี่เอง แต่ผมรั้งไว้ซะก่อนเลยเดินลงจากรถไปแทน แถมยังไม่รออีก จนผมต้องรีบสาวเท้าก้าวยาว ๆ เพื่อจะเดินให้ทันแล้วคว้าข้อมือเอาไว้
“พี่เจิ้น”
“จะรีบเดินไปไล่ควายเหรอครับ”
“ชิ” เบะปากให้ผมด้วยนะ “เดินไปสิคะ ปล่อยมือด้วยค่ะ”
แล้วไง ใครสน จับมือนั่นแหละครับ พาเดินขึ้นไปที่ชั้นร้านหนังสือก่อนเลย
“อยากได้หนังสืออะไร”
“ขอเข้าไปดูก่อนนะคะ” กระตุกข้อมือไปด้วยเหมือนส่งสัญญาณให้ปล่อย ผมเลยยอมปล่อยก่อนจะเดินตามเข้าไปแทน
ผมไม่รู้ว่าทับทิมจะซื้อหนังสืออะไร พอมาถึงน้องก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดู มองหน้าจอสลับกับชั้นหนังสือตรงหน้า จนเรียวคิ้วของผมขมวดกันเป็นปมเชียว สงสัยแต่ยังไม่อยากถาม มองอยู่อย่างนั้นจนเจ้าตัวหยิบหนังสือเกี่ยวกับอาหารมาถือเอาไว้
“เรียนคหกรรมเหรอ?” ลองเดาดูครับ
“ค่ะ เผื่อได้กลับไปเปิดร้านที่บ้านยาย” คำตอบพลอยทำให้ผมเงียบไปเลย ยิ่งใกล้ เหมือนยิ่งห่างออกไปทุกที “ถ้าเบื่อ พี่เจิ้นไปหาอะไรกินรอก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร รีบ ๆ เลือกไปเถอะ”
“ค่ะ”
“ทำไมต้องดูโทรศัพท์ตลอด” สงสัยครับ ไม่อยากยืนมองอย่างเดียวเลยถามออกมาด้วย
“ดูรายชื่อหนังสือที่พี่เจส่งมาให้ค่ะ จะได้ซื้อไปไม่ผิดเล่ม” ตอบผมแล้วยิ้มออกมาด้วย ทั้ง ๆ ที่อยู่ต่อหน้าผมแล้วนิ่งมาก พอเป็นชื่อของพี่ชายผมแล้วยิ้มหน้าบานเชียว จนต้องกลอกตาแล้วเบะปากใส่ “หน้าเป็นอะไรคะ”
ประโยคนี้กวนประสาทผมอีกแล้ว ขัดใจและหงุดหงิดมากเลยทีเดียว
“เป็นคนหล่อ! ไปซื้อกาแฟก่อนนะ ห้ามไปไหนเด็ดขาด!” ออกคำสั่งเสียงแข็งก่อนจะรีบเดินออกมา ไม่ได้จะไปซื้อกาแฟหรอก จะโทรไปด่าไอ้เจแทน
ตู๊ด ๆ
ปล่อยให้รอสายนานอีกแล้ว เหมือนมันอยากแกล้งผมอีกคน
“ไอ้เจ!”
พอกดรับ ผมก็เปล่งเสียงหล่อ ๆ ออกไปทันที โคตรหงุดหงิดเลย
(อะไรของมึงอีกเนี่ย)
น้ำเสียงถามเหมือนกำลังหัวเราะผมอยู่เลยครับ
“ห้ามคุยกับทับทิม”
(หวงทำไม เป็นอะไรกันครับเจิ้น)
“คุยกับมึงไม่เห็นสนใจกูเลย”
จริง ๆ ก็ไม่สนใจตั้งแต่นั่งแท็กซี่ออกมาจากหอแล้วครับ เหมือนผมเป็นคนแปลกหน้า
(เป็นเด็กเหรอมึง 28 แล้วนะ ไม่ใช่ 8 ขวบ ทีเมื่อก่อนไม่เห็นสนใจน้อง)
“ตอนนี้กูสนใจแล้วไง เลิกคุย!”
ผมเจิ้นเองครับ คนจริง และพูดจริงมากด้วย
(ฮ่า ๆ เออ! มึงแม่ง!)
เหมือนมันสะใจมากอะที่ทำให้ผมพูดประโยคเมื่อกี้ออกมาได้
“คืนนี้ไม่กลับบ้านนะ”
(หืม?)
“ตามนั้น...”
(เฮ้ย! ไอ้เจิ้นดะ...)
ไม่อยากฟังแล้วครับ อยากกวนตีนผมก่อนดีนัก ส่วนเรื่องไม่กลับบ้าน ยังไม่แน่ใจครับ ขอดูก่อนว่าแถได้ไหม?
เก็บโทรศัพท์ กำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้านหนังสือ แต่กลับต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อจากด้านหลัง
“เจิ้น” น้ำเสียงดีใจเชียวครับ พอหันไปมองก็เห็นหลินยืนอยู่ มากับเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มที่เธอสนิทด้วย “บังเอิญจังเลยนะ มาคนเดียวเหรอ”
“ปะ...”
“พี่เจิ้นคะ หนู...” นี่ก็ดันเดินออกมาซะงั้น แต่พอเห็นว่าผมไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวก็นิ่งไป ก่อนจะพูดออกมาต่อ “ขอโทษค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่า” หันไปมองหน้าทับทิมพร้อมคำถาม
“หนูจะออกไปกดเงินเพิ่มน่ะค่ะ พี่ช่วยไปรอข้างในให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอก ขาดเท่าไหร่ เดี๋ยวพี่ออกให้เอง” ป๋าอีกแล้วครับ แต่จริง ๆ คืออยากเลี่ยงออกไปมากกว่า “ขอตัวก่อนนะ” หันไปบอกกับหลิน เธอเลยยิ้มเจือน ๆ พลางพยักหน้าให้ผมไปด้วย “ขาดอีกเท่าไหร่”
เดินกลับเข้ามาในร้านพร้อมคำถาม
“อ๋อ... หนูจำได้ว่าซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าด้วย”
“ฮะ!” ยิ้มแล้วก็ยักไหล่ให้ผมแทน ก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน ผมยิ้มตามพลางส่ายหน้าไปมา ยัยหมูร้ายครับ!
“เรียบร้อยแล้วค่ะ กลับกันดีกว่าเนอะ” ผมไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากมองหน้าเธอนิ่ง ๆ เท่านั้น “มองอะไรคะ”
“หวงพี่?”
“อะไรคะ? แล้วไหนกาแฟที่จะออกไปซื้อล่ะคะ" ยังมาทำเฉไฉอีกครับ แถมยังเปลี่ยนเรื่องอีก
“แถไปเรื่อย... เรื่องเมื่อกี้ไง เขาเรียกว่าหวง! หรือหึงดี” เจอประโยคนี้ของผมไปถึงกับเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาทันที “อย่างไหนดีครับ”
“อย่ามามั่ว! จะหวงทำไมล่ะคะ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” แหม! โดนไปอีกหนึ่งดอก แต่กลับเป็นเรื่องจริงซะงั้น “กลับกันเลยไหมคะ? แต่ถ้าพี่มีนัดต่อ…”
“พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าว่าง”
“ก็คิดว่าพี่มีนัดต่อ...” บ่นพึมพำอยู่คนเดียว แต่ผมก็ได้ยินเพราะอยู่ใกล้
“ส่งหนังสือมา เดี๋ยวพี่ถือให้”
“หนูถือเองก็ได้ค่ะ”
“ส่งมา!” ต้องให้ขึ้นเสียงขู่อยู่เรื่อยเลย “ไปหาอะไรกินก่อนละกัน พี่หิว”
“ค่ะ” เดินนำออกมา ทับทิมเดินตาม แต่เดินช้ามากจนผมต้องเดินรอ ลงมาชั้นล่างเพื่อหาอะไรกินกัน แต่กลับต้องชะงักเพราะสายตาที่เหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า คุ้นเคยจนไม่อยากให้ทับทิมเจอในตอนนี้
ตุบ!
หมุนตัวกลับมาจนคนเดินตามหลังชนเข้ากับลำตัวของผมเต็ม ๆ
“หยุดก็ไม่บอก หนูเจ็บนะคะ” เงยหน้าขึ้นมามองผมพลางนิ่วหน้าไปด้วย
“พี่อยากกินข้างนอกมากกว่า”
“คะ?”
“กลับกันเลยละกัน ไปกินแถวหอเราดีกว่า จะได้เดินดูไปด้วย”
“แต่พี่เจพาสำรวจแล้วนะคะ”
“แต่พี่ยัง!” ชอบพูดให้อารมณ์เสียอยู่เรื่อยเลยครับ ผมไม่อยากเถียงอีกเลยจับมือทับทิมพาเดินออกจากห้างมาทันทีตอนแรกก็ไม่ยอม แต่คล้อยหลังแป๊บเดียวกลับยอมเดินตามอย่างว่าง่ายเชียว
นั่งแท็กซี่มาถึงหอ ทับทิมใจลอยมาก ขนาดผมจับมือเดินไปร้านข้าวแกงยังไม่รู้ตัวเลย จนเข้ามานั่งในร้าน
“หมู...” เงียบเชียวครับ “ทับทิม!”
“คะ?”
“เหม่ออะไร? ถึงร้านข้าวแล้ว”
“หนูยังไม่หิวเลยค่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องกิน” ผมบอกก่อนจะลุกไปสั่งแบบเป็นกับข้าวสามอย่างและข้าวเปล่าสองจาน สั่งต้มจืดหมูสับ พริกแกงหมูชิ้นและคะน้าหมูกรอบ รอแค่ไม่นานของที่สั่งก็ยกมาเสิร์ฟ “กินเยอะ ๆ เดี๋ยวผอม”
“หนูไม่ได้อ้วนแล้วเหอะ” ปั้นหน้าใส่ผมด้วยครับ มันเขี้ยวว่ะ! อยากจะหยิกแก้มเล่นจริง ๆ
“เหรอ?” มองหน้าน้องยิ้ม ๆ ก่อนจะตักคะน้าหมูกรอบใส่จานให้ แต่ทับทิมกลับเขี่ยผักออกซะงั้น “ไม่กินคะน้าเหรอ”
“ช่วงนี้คะน้าขมค่ะ” แถเก่งมากครับ
“แต่คะน้ามีประโยชน์นะ กินให้หมดด้วยครับ” เงยหน้าขึ้นมามองสบตาผม ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “กินครับ”
“พี่เจิ้น...” เรียกผมเสียงอ่อนเชียว “หนูกินกะหล่ำปลีได้นะคะ หนู...”
“คะน้าก็ต้องกินครับ”
“แต่ว่า...”
“เดี๋ยวซื้อเค้กให้กินแก้ขมปาก” ต้องต่อรอง เดี๋ยวเด็กร้องไห้ใส่เพราะไม่อยากกินคะน้า
“ห้ามโกหกนะคะ” ยิ้มหน้าบานออกมาเชียว ชอบกินเค้กจริง ๆ ด้วยสินะ พอตกลงก็ยอมกินคะน้า แต่... “วันนี้หนูยอมไม่กินเค้กก็ได้นะคะ”
อยากจะหัวเราะให้ดังลั่นร้าน แต่ติดตรงที่คนเยอะ เลยทำได้แค่แสดงสีหน้านิ่ง ๆ ออกมาแทน
“ไม่ได้ครับ!” ขู่ด้วยนิดหน่อย ถึงกับเบะปากใส่ผมเลยทีเดียว แถมยังทำหน้าเหมือนกล้ำกลืนฝืนทนกิน แต่ละคำยากลำบากมาก
ผมนั่งมองทับทิมกินข้าวไปพร้อมกับรอยยิ้ม มีความสุขที่ได้แกล้ง จนน้องรวบช้อน
“หนูอิ่มแล้วค่ะ”
“หืม?” แปลกใจเลยครับ ข้าวเหลือเยอะพอสมควร
“พี่เจิ้นคะ” เรียกชื่อผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองสบตาไปด้วย ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากปรายตามองตอบกลับไปเท่านั้น “ไม่มีอะไรค่ะ”
“แน่ใจ?”
“ค่ะ พี่รีบกินได้แล้ว หนูอยากไปซื้อขนมตุนไว้สักหน่อย” ถามว่าเชื่อไหม ก็ไม่ครับ แต่ไม่อยากเซ้าซี้มากเลยรีบกินข้าวต่อแทน จนอิ่มลุกไปจ่ายเงิน พาไปหาขนมที่เซเว่นกินต่อ
ดูแลดีขนาดนี้ แต่ทำไมยังเมิน เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ แถมยังเดินใจลอยเกือบชนคนอื่นเข้าอีก
“มองทางบ้างสิ”
“ขอโทษค่ะ” หน้าหงอยเชียวครับ “ซื้อแค่นี้พอแล้วค่ะ” พูดจบก็เดินไปต่อคิวเพื่อจะจ่ายเงิน ครั้งนี้ผมไม่ได้จ่ายให้เพราะเจ้าตัวไม่ยอมเลยเดินออกมารอข้างนอกแทน พอทับทิมเดินออกมาก็พากันกลับหอน้อง
“เดี๋ยว!” ใจลอยจะปิดประตูใส่หน้าผมด้วยนะ นี่ถ้าไม่พูดขึ้นมาสงสัยคงได้แค่ยืนอยู่หน้าห้อง “ไม่คิดจะเชิญพี่เข้าไปหน่อยเหรอ”
“อ๋อ... เข้ามาก่อนสิคะ” ท่าทางแปลก ๆ จนไม่อยากละสายตาไปเลยทีเดียว “นั่งพื้นได้ไหมคะ”
“อืม”
เงียบและเงียบมาก ๆ เลยด้วย นั่งเหม่อเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจมากเลยทีเดียว กำลังจะปริปากถาม แต่ทับทิมกลับเรียกชื่อผมขึ้นมาซะก่อน
“พี่เจิ้นคะ” มองหน้าแล้วยิ้ม ผมถึงกับขมวดคิ้วเลยทีเดียว “ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณ?” ตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามเต็มหัวไปหมด แล้วทับทิมขอบคุณผมเรื่องไหนกัน
“ที่ห้าง... หนูเห็นพ่อด้วยนะคะ” คราวนี้เป็นผมที่ต้องเงียบไปแทน ทับทิมมองหน้าผมแล้วยิ้ม แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มอยู่ “ฮึก…”
“อย่าร้อง” กำลังจะลุกไปนั่งข้าง ๆ แต่กลับต้องชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ เลยหยิบออกมาดู เบอร์ปลายสายคือหลิน
“ไม่ร้องแล้วค่ะ พี่รับโทรศัพท์เถอะ” ทับทิมบอกผมยิ้ม ๆ ก่อนจะปาดน้ำตาทิ้งไปด้วย
“ฮัลโหล”
(เจิ้น วันเกิดหลินปีนี้ไปทะเลกันนะ เจิ้นว่างไปด้วยหรือเปล่า ไปแค่พวกเราในกลุ่มน่ะ)
ผมปฏิเสธมาสามปีแล้ว เพราะรู้ดีว่าช่วงหลัง ๆ หลินเริ่มมีจุดประสงค์ ปีนี้ก็อยากปฏิเสธเหมือนกัน แต่พอเงยหน้าขึ้นไปมองทับทิมก็เผลอตอบตกลงไปซะงั้น
“ได้สิ”
(ห้ามเบี้ยวนะเจิ้น เดินทางวันศุกร์ช่วงเช้านะ เดี๋ยวหลินไปรับที่บ้าน)
“เดี๋ยวเราไปเอง ส่งสถานที่มาละกัน”
(อ๋อ โอเค ขอบคุณนะ)
“ครับ”
กดวางสายจากหลิน วางโทรศัพท์ลงใกล้ ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาทับทิม
“เปิดเทอมเมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าค่ะ”
“อยากไปเที่ยวไหม”
“เที่ยว? เที่ยวไหนเหรอคะ” ทำหน้าสงสัยพร้อมคำถาม
“ทะเล”
“พี่เจิ้นจะพาไปเหรอคะ” สีหน้าดีใจเชียว เพราะมันเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทับทิมอยากไป แต่ยังไม่มีโอกาส ที่ผมรู้เพราะเผลอไปหยิบกระดาษโพสอิทเจอข้อความนั้นพอดี
“อืม ไปวันศุกร์นี้นะ” ยิ้มให้ผมก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ สีหน้าดีกว่าเมื่อกี้เยอะมากเลยทีเดียว
ความคิดเห็น