ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเกินกว่าจะร้าย [จบ]

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 แตกแยก ...ชัดเจน (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 64


    3

    แตกแยก ...ชัดเจน

     

     

     

    [ทับทิม]

    หายไปแล้วสินะ...

    ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วสำหรับใครคนหนึ่งที่คอยอยู่ในความทรงจำเสมอมา แต่พอเขาหายออกไป ความรู้สึกก็ค่อย ๆ ชัดเจนและดูเหมือนจะว่างเปล่าไปซะทุกอย่าง

    เฮ้อ!

    เหงาจัง...

    “ปีนต้นมะม่วงอีกแล้ว” เสียงแม่ดังขึ้นมา ทำให้ฉันที่เดินคอตกเข้าบ้านต้องหันไปมองหน้าท่านพร้อมกับรอยยิ้ม “ปีนไปก็ไม่เจอ พี่เขาย้ายไปสองปีแล้ว”

    “หนูแค่อยากทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม แต่ก็แค่ฝันไป...”

    “อะไรกัน ลูกสาวแม่มีความรักที่ชัดเจนขึ้นขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “เปล่าสักหน่อย หนูแค่เหงา ปกติก็ไปกวนเขาประจำ” รีบเถียงแม่ทันที

    “จ้า ๆ เหงา” แต่เหมือนแม่จะไม่เชื่อแฮะ

    เข้าปีที่สองของคำว่าห่างไกล การจากลาทำไมถึงน่ากลัวแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะมาถึงด้วยซ้ำไป... และเป็นอีกปีที่รู้สึกว่าเขาค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที

    “ทำไมช่วงนี้แม่ไม่เห็นหนูจับโทรศัพท์เลย” แม่เดินถือขนมมาวางให้ตรงหน้าพร้อมคำถาม

    “หนูบล็อกเขาไปแล้วค่ะ”

    “หืม?” แม่ถึงกับแปลกใจก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ

    ตั้งแต่พี่เจิ้นย้ายออกไปจากบ้านหลังข้าง ๆ ฉันก็ไม่เคยคุยกับเขาอีกเลย มีแต่คอยส่องความเคลื่อนไหวเท่านั้น จะมีคุยก็แต่กับพี่เจและถามข่าวคราวผ่านเขา เคยส่องแล้ว แต่กลับรู้สึกจี๊ดที่ใจเมื่อเห็นรูปคู่ของเขากับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ซ้ำหน้า คนนิสัยไม่ดี มั่วมากด้วย!

    “มั่ว!”

    “อันนี้หนูว่าแม่หรือหนูว่าใคร”

    “หนูไม่ได้ว่าแม่นะคะ หนูแค่จะบอกว่าพี่เจิ้นมั่วค่ะ” รีบหันไปปฏิเสธกับแม่ทันที “เขา...”

    “โอเค ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว” แม่พูดแทรกขึ้นมา ฉันเลยเงียบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ดี

    “แม่คะ ช่วงนี้พ่องานยุ่งเหรอคะ” ตั้งคำถามพลางเงยหน้าขึ้นไปมองสบตาแม่ แต่ท่านกลับหลบสายตาฉันไปซะงั้น

    “พ่อเปลี่ยนตำแหน่งใหม่น่ะ งานเลยยุ่ง ๆ”

    “อ๋อ ดีจังเลยนะคะ ช่วงวันหยุดพวกเราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้ว”

    “หนูอยากไปไหนเหรอ เดี๋ยวแม่จะคุยกับพ่อให้” ฉันยิ้มก่อนจะขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กับแม่

    “ทะเลค่ะ หนูอยากไปเที่ยวทะเล”

    “ถ้างั้นลูกสาวแม่ก็ต้องตั้งใจเรียนนะรู้ไหม”

    “รับทราบค่ะ” แม่ยิ้มให้ฉันก่อนจะลุกเดินเข้าไปในครัว ฉันเลยลุกเดินกลับขึ้นมาบนห้อง

    ฉันตั้งใจจะคุยกับเพื่อนเรื่องข้อสอบก่อนจะอาบน้ำ แต่คุยยังไงไม่รู้ดันเผลอหลับไปซะงั้น สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะเสียงไลน์ที่เด้งเข้ามารัว ๆ นี่แหละ

    เรียวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นรูปที่เพื่อนในกลุ่มส่งมาให้ เป็นรูปถ่ายที่มีพ่อของฉันร่วมอยู่ด้วย เสียงหัวใจเริ่มเต้นแรงพร้อมกับข้อสงสัยมากมาย แต่เพื่อนกลับปลอบใจว่าอาจจะไม่มีอะไร ฉันเองก็บอกตัวเองแบบนั้นด้วยเหมือนกัน...

     

    ช่วงนี้ฉันคิดไม่ตกเลยจริง ๆ แถมยังไม่กล้าบอกแม่อีกต่างหาก กลัวจะเป็นแค่เรื่องปกติเพราะช่วงนี้พ่องานยุ่งมาก แถมท่านยังต้องไปสัมมนาและพบลูกค้าบ่อย ๆ อีกต่างหาก

    เฮ้อ!

    “ถอนหายใจเป็นคนแก่ไปได้”

    “พ่อ!” อย่างน้อย ๆ ก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าท่าน ก่อนจะลุกขึ้นไปสวมกอดเอาไว้

    “เป็นอะไรไปน่ะเรา กอดพ่อซะแน่นเชียว พ่อไม่หายไปไหนหรอกนะ” พ่อว่าก่อนจะลูบหัวฉันไปด้วย อบอุ่นจนลืมทุกอย่างไปเลยทีเดียว

    “ช่วงนี้หนูไม่ค่อยได้กอดเลย”

    “ขอโทษนะ งานพ่อยุ่งจริง ๆ แล้วนี่แม่ไปไหนเหรอ?” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของพ่อก่อนจะจับมือท่านไปนั่งที่โซฟา

    “อยู่หลังบ้านค่ะ เดี๋ยวหนูไปบอกแม่ก่อนนะคะ”

    “ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวพ่อไปหาแม่เอง”

    “พ่อคะ” ไม่รู้ทำไมถึงอยากรั้งท่านเอาไว้ จนพ่อหันกลับมามองพร้อมกับรอยยิ้ม “หนูใกล้สอบเสร็จแล้ว พวกเราไปเที่ยวทะเลกันนะคะ”

    “ได้สิ” พ่อยิ้มให้พร้อมคำตอบก่อนจะเดินออกไปหาแม่ ฉันเลยยิ้มออกมา

    อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะนั่งเล่นโทรศัพท์และเผลอไปส่องพี่เจิ้นอีกจนได้ บล็อกเขาก็จริง แต่ฉันไม่ได้มีเฟซเดียวสักหน่อย ฮ่า ๆ ก็คนมันอดใจไม่ไหวนี่...

    เหมือนเดิม ช่วงนี้ไม่เห็นมีอะไรอัปเดตเลย เลื่อนไปเรื่อย ๆ ก็เห็นแต่รูปที่เพื่อน ๆ เขาแท็กหาเท่านั้น แต่ฉันกลับไปสะดุดเข้ากับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มของเขา สายตาที่มองพี่เจิ้นดูมีความหมายทุกรูปเลย และมือเจ้ากรรมก็ดันกดเข้าไปส่องเฟซพี่เขาซะงั้น ทั้งสวยและน่ารัก แถมลงรูปแต่ละทียังมีคนกดไลก์ตั้งหลายร้อย

    ตึกตัก ตึกตัก

    ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงแบบนี้ ความรู้สึกมันแปลก ๆ หรือพี่เจิ้นกับพี่ผู้หญิงคนนี้จะ...

    Rrrr

    ฮึย! ถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว กำลังส่องเพลิน ๆ พี่เจโทรมาซะงั้น ฉันเลยรีบกดรับสายเขาแทน

    “สวัสดีค่ะ”

    (เสียงใสเชียวนะเรา ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง)

    “สบายดีค่ะ ใกล้สอบแล้วด้วย แต่หนูก็ขยันอ่านหนังสืออยู่นะคะ”

    (พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย)

    “คิก ๆ เอ่อ... พี่เจคะ”

    (ครับ)

    ถามดีไหมนะ? ไม่กล้าถามอะ

    (มีอะไรหรือเปล่า)

    “เปล่าค่ะ”

    (ไม่กล้าถามแบบนี้ สงสัยจะเกี่ยวกับไอ้เจิ้นอีก)

    (เรียกกูทำไม?)

    ตึกตัก ตึกตัก

    เสียงพี่เจิ้นนี่ หลังจากที่ไม่ได้ยินมานาน พลอยทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าเดิมอีกแล้ว

    (มองอะไร)

    (มึงนั่นแหละมองอะไร กูคุยโทรศัพท์อยู่)

    (แล้วเรียกชื่อกูทำไม)

    (กูแค่เอ่ยถึง ประมาณว่านินทามึงอยู่)

    (เออ! วันนี้กูไม่กลับบ้านนะ)

    (ไปไหนอีก)

    (เรื่องของกูครับ)

    ฉันควรชินกับพวกเขาสองคนสินะ ปกติพี่เจกับพี่เจิ้นก็คุยกันแบบนี้บ่อย ๆ แต่ที่ยังไม่ชินคืออย่างหลังที่เขาบอกว่าจะไม่กลับบ้านนี่แหละ

    (ทับทิม)

    “เอ่อ... หนูขอไปอ่านหนังสือก่อนนะคะ”

    เสียงเหมือนพี่เจกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ฉันดันกดวางสายซะก่อน

    เฮ้อ!

    เพราะเป็นพี่เจิ้นสินะ ฉันเลยเป็นแบบนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม

     

    ติ้ง!

    [รูป]

    มันไม่สบาย นอนใกล้ตายอยู่ข้าง ๆ พี่นี่แหละ 

    อย่าไปเชื่อมันมาก

     

    หืม? แล้วทำไมฉันต้องยิ้มออกมาด้วยเนี่ย คนนิสัยไม่ดี ยิ้มแล้วก็พิมพ์ตอบกลับพี่เจไป

     

    สมน้ำหน้า!

    ขอให้เป็นสุขไว ๆ นะคะ

     

    กดส่งไปแล้วด้วย เพิ่งมาคิดได้อีกทีตอนมีสติ๊กเกอร์ไฟลุกส่งกลับมานี่แหละ ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่พี่เจแน่นอน แล้วไง ใครสนใจ? เชอะ!

     

    สอบเสร็จ ปิดเทอม ฉันควรดีใจสินะ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะพ่อผิดนัดอีกแล้ว ท่านไม่สามารถพาฉันกับแม่ไปเที่ยวทะเลได้ มีแต่คำว่างานยุ่ง แถมต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ และที่สำคัญพักหลัง ๆ พ่อแทบไม่กลับมานอนที่บ้านเลย ฉันพยายามถามแม่หลายครั้งแล้วว่าทำไม? แต่คำตอบกลับเหมือนเดิมว่าพ่องานยุ่ง จนฉันไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไปอีก ทุกครั้งที่ถามแม่ก็มักจะทำหน้าเศร้าเสมอ

    “ทับทิม” 

    “หืม?” ถึงกับสะดุ้งเพราะเสียงเรียกจากเพื่อนสนิทในกลุ่ม วันนี้เบื่อ ๆ เลยขอแม่ออกมาเที่ยว ตอนแรกนัดกันสามคนรวมฉันด้วย แต่เดียร์เกิดไม่ว่างขึ้นมากะทันหัน เลยเหลือแค่ฉันกับกั้งเท่านั้น

    “เหม่ออะไร กั้งเห็นทิมเหม่อตั้งแต่มาถึงแล้ว” กั้งคือเพื่อนสนิทผู้ชายในกลุ่ม นิสัยดีและน่ารักกับเพื่อนเสมอ ชอบซื้อขนมมาฝากฉันอยู่เรื่อยเลย

    “เปล่าหรอก” 

    “แล้วสรุปเดียร์ไปไหน เป็นคนนัดเองแท้ ๆ แต่ดันมาเบี้ยวนัดซะได้” กั้งถาม แล้วฉันจะตอบว่ายังไงดี ในเมื่อไม่รู้เหมือนกัน “นั่นใช่เดียร์หรือเปล่า” 

    เสียงกั้งดังขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเลยหันไปมองตาม ฉันไม่แน่ใจว่าเดียร์มากับใคร แต่ท่าทางของผู้ชายกับผู้หญิงที่เดียร์กอดแขนอยู่อาจจะเป็นคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอก็ได้

    “น่าจะใช่” 

    “ผิดนัดพวกเรา เพราะมากับครอบครัวนี่เอง เข้าไปทักหน่อยดีกว่า” กั้งจับมือฉันเดินตรงไปทางเดียร์ แต่กลับมีจังหวะหนึ่งที่คุณพ่อของเดียร์หันมาทางพวกเราแบบผ่าน ๆ พอดี และนั่นกลับทำให้ขาทั้งสองข้างของฉันไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเลยทีเดียว ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันหลังให้กับภาพตรงหน้าแทน

    “ทิมอยากกลับบ้านแล้ว” พูดเสียงสั่น ๆ ออกมา

    “มีอะไรหรือเปล่า” กั้งถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

    “ทิมขอตัวก่อนนะ” พูดจบก็รีบเดินกึ่งวิ่งออกมา เสียงกั้งตะโกนเรียกไล่หลังมาติด ๆ แต่ฉันไม่ได้สนใจ วิ่งออกมาจนถึงป้ายรถเมล์ โชคคงเข้าข้างเพราะรถเมล์สายที่ฉันจะขึ้นกลับบ้านเข้ามาจอดพอดี เลยรีบวิ่งขึ้นรถทันที

    น้ำตาไหล… ใช่! ฉันกำลังร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมามากมายเพราะบนรถเมล์มีคนเยอะ ได้แต่เก็บงำความรู้สึกแล้วรีบปาดน้ำตาทิ้งไป เหมือนทิ้งหัวใจไว้ที่ห้างแล้วกลับบ้านมาตัวเปล่า เดินเข้าบ้านมาเห็นแม่ยืนอยู่ก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดท่านทันที

    “เป็นอะไรน่ะเรา” ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้แม่กำลังเจอกับปัญหาอะไร ไม่รู้ว่ามันหนักหนามากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่แม่ทำหน้าเศร้า มันกำลังตอกย้ำถึงเรื่องราวที่ฉันเจอมาก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดีเลย

    พ่อ… กำลังทำให้ฉันรู้สึกว่าท่านมีอีกครอบครัวหนึ่ง แถมลูกสาวของท่านอีกคน ผู้หญิงคนนั้นยังเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของฉันอีกต่างหาก

    “ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรลูกสาวแม่มาเนี่ย หรือว่าพี่เจิ้นทำอะไรให้หนูเสียใจอีก” ฉันไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมาเลยด้วยซ้ำ ได้แต่ส่ายหัวเพื่อปฏิเสธออกไป สิ่งที่พี่เจิ้นแสดงออกมา มันยังไม่เจ็บเท่ากับสิ่งที่พ่อทำในตอนนี้เลย

    ฉันยืนกอดแม่ร้องไห้อยู่นานมาก พอหยุดร้องก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากยิ้มให้ท่าน แม่ดูแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร จนถึงเวลาอาหารเย็น ฉันแทบจะกินอะไรไม่ได้เลย ปกติกับข้าวที่แม่ทำอร่อยเสมอ อร่อยจนอดใจไม่ไหว แต่วันนี้ทุกอย่างกลับดูว่างเปล่า มันเจ็บปวดเหลือเกิน

    “อยากลดน้ำหนักก็ไม่บอกแม่ ดูสิ แม่ทำของโปรดหนูทั้งนั้นเลย” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองสบตากับแม่ ท่านเอาแต่ยิ้ม ในขณะที่ใจของฉันกำลังร้องไห้ แม่คงเจ็บปวดกว่าฉันหลายร้อยเท่า ท่านจะรู้แล้วหรือยังนะ

    “พี่เจิ้นจะได้เลิกว่าหนูเป็นหมูสักที” ฉันตอบกลับแม่ติดตลก แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ฝืน แต่กลับทำให้แม่ยิ้มตอบออกมา

    “อะไรที่เป็นพี่เจิ้น มักทำให้หนูยิ้มออกมาได้ตลอดสินะ ไม่ว่าตอนนี้หนูจะเศร้ามากแค่ไหนก็ตาม” 

    “หนูเปล่าเศร้านะคะ” รีบปฏิเสธเพราะไม่อยากให้แม่คิดมาก

    “แม่เลี้ยงหนูมานะ ทำไมจะไม่รู้ว่าช่วงไหนหนูมีความสุขหรือกำลังเศร้าอยู่” น้ำตาจะไหลอีกแล้ว แต่กลับต้องฝืนยิ้มออกมาแทน และกินข้าวต่อจนอิ่ม

    วันนี้ฉันแอบเกเรปีนต้นมะม่วงมานั่งเล่นอยู่ตรงระเบียงห้องของพี่เจิ้นอีกแล้ว พร้อมกระดาษโพสอิทและปากกาในมือ นั่งเขียนข้อความต่าง ๆ สอดเข้าไปในห้องนอนของเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ที่เขาย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้

    ถ้าพี่เจิ้นยังอยู่ อย่างน้อย ๆ เขาอาจจะทำให้ฉันยิ้มได้ แม้ในใจตอนนี้จะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะเขาไม่อยู่แล้ว ฉันเองก็เลิกยึดติดกับเขาไม่ได้ ความรู้สึกที่มีมันค่อย ๆ ชัดเจน แม้จะรู้ดีว่าพี่เจิ้นอาจคิดกับฉันแค่น้องสาวคนหนึ่งก็ตาม มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เราไม่อยากให้หายไปก็เท่านั้นเอง

    ฉันขอเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกดี ๆ นี้เอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ตัวเองเข้มแข็งมากพอจะเดินออกมาจากความรู้สึกนี้...

     

    ช่วงนี้ฉันเหมือนคนไม่มีหัวใจเลย ทำอะไรก็ซุ่มซ่ามไปซะทุกอย่าง อีกแค่ปีเดียวก็เรียนจบมอหกแล้ว ถึงตอนนั้นฉันคงโตเป็นผู้ใหญ่มากพอ พยายามสลัดทุกอย่างทิ้งไป แม้ว่าช่วงหลัง ๆ จะเห็นหน้าพ่ออยู่ที่บ้านบ้างก็ตาม แต่มันกลับไม่สนิทใจอย่างเดิมอีกแล้ว ฉันไม่กล้าที่จะกอดหรือแม้แต่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกของฉันมันจมดิ่งไปนานแล้วจริง ๆ ดิ่งจนรู้สึกแย่ บางครั้งยังแอบร้องไห้กับตัวเองเลย

    "ทับทิม วันหยุดนี้พ่อว่างนะ" วันนี้พ่ออยู่บ้าน เป็นอาหารมื้อแรกในรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่พ่อได้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารกับฉันและแม่

    "หนูขอโทษค่ะ หนูนัดเพื่อนทำรายงานเอาไว้แล้ว" ฉันตอบกลับพ่อยิ้ม ๆ พยายามฝืน แม้ข้างในจะแอบมีน้ำตาก็ตาม

    "ช่วงนี้หนูเป็นอะไรหรือเปล่า พ่อเห็นหนูไม่ค่อยร่าเริงเลย"

    "เปล่าค่ะ หนูแค่กำลังคิดว่าจะเรียนต่อที่ไหนดี"

    "อีกแค่ปีเดียวแล้วสินะ" พ่อพูดขึ้นมาเสียงแผ่วเบา พร้อมกับเสียงรวบช้อนของแม่ที่ดังตามมาติด ๆ

    "แม่อิ่มแล้ว งั้นแม่ขอตัวก่อนนะ" ฉันไม่รู้ว่าท่านเป็นอะไร พอแม่ลุกออกไปพ่อก็หันมามองหน้าฉัน เหมือนท่านอยากพูดอะไรแต่เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาซะก่อน พ่อเลยลุกออกไปรับโทรศัพท์แทน ฉันเองก็หมดอารมณ์ที่จะกินข้าวต่อแล้วเหมือนกัน เลยลุกเดินออกมาแบบเสียมารยาทบ้าง

    ปิดประตูห้องนอนพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม... นอนร้องไห้อีกจนได้ ช่วงนี้ฉันอ่อนแอเหลือเกิน

    Rrrr

    ถึงกับสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์ รีบหยิบมาดูแต่กลับขมวดคิ้วออกมาแทน เพราะเบอร์ปลายสายคือคนที่ฉันไม่อยากกดรับเลย

    "ฮัลโหล"

    ฉันต้องทำใจแข็งมากแค่ไหนกันนะ กว่าจะเปล่งเสียงนี้ออกมาได้ มันทรมานมากเลยทีเดียว

    (เป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงไม่ค่อยดีเลย)

    "เจ็บคอนิดหน่อยน่ะ เดียร์มีอะไรหรือเปล่า"

    (เป็นห่วงน่ะ ช่วงนี้ทับทิมดูแปลกไปหรือเดียร์ทำอะไรให้ไม่สบายใจไหม)

    "ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากเลย"

    (อืม ถ้ามีอะไรก็คุยกับเดียร์ได้นะ)

    "ขอบใจนะ"

    ความรู้สึกคือเจ็บปวดมาก น้ำตาไหลออกมามากมายเลยทีเดียว ฉันฝืนคุยต่อไม่ไหวแล้ว เลยเลือกจะกดวางสายและปิดเครื่องไปแทน

    สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้คือนอนร้องไห้สินะ... 

     

    ความสุขของฉันกับช่วงเวลาหนึ่งภายในครอบครัว กำลังจะหายไป... วันนี้ฉันตัดสินใจที่จะตามหาความจริงเรื่องที่สงสัยมานาน ไม่รู้หรอกว่ามันจะเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่อย่างน้อย ๆ ฉันต้องได้รู้ความจริง พ่อบอกว่ามีงานด่วน ท่านไม่กลับบ้าน แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะมีงานด่วนจริง ๆ เลยขอร้องให้กั้งพาไปที่บ้านของเดียร์แทน เพราะกั้งรู้ที่อยู่บ้านของเดียร์ดีกว่าฉัน

    "มีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงอยากมาบ้านเดียร์"

    "ไม่มีอะไรหรอก"

    "เข้าไปไหม เดี๋ยวกั้งโทรหาเดียร์ให้"

    "ไม่ต้องหรอก รอดูตรงนี้ก็พอ" กั้งทำหน้างง แต่ก็ยอมทำตาม พวกเราเลยนั่งดูกันเงียบ ๆ จนฉันเห็นรถคันหนึ่งแล่นออกมาจากบ้านของเดียร์ เป็นรถคันที่คุ้นเคย หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา มือที่จับโทรศัพท์ถ่ายวิดีโออยู่ก็สั่นเทาเหลือเกิน "กลับเถอะ"

    "มาแค่นี้เหรอ"

    "แค่นี้ก็พอแล้ว" หันไปยิ้มให้กั้งพร้อมคำตอบ กั้งเองก็พยักหน้าให้ก่อนจะพาฉันกลับบ้าน ตลอดทางฉันเอาแต่นั่งเงียบ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างนั้นเนิ่นนาน จนถึงบ้าน

    "กั้งไม่รู้ว่าทิมกำลังเจอกับปัญหาอะไรอยู่ แต่กั้งยังอยู่ข้างทิมเสมอนะ"

    "ขอบใจนะกั้ง" ฉันยิ้มให้กั้งก่อนจะเดินลงจากรถกลับเข้าไปในบ้าน เห็นแม่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟา ใบหน้าของท่านเศร้ามาก เศร้าจนฉันเจ็บปวด

    "กลับมาแล้วเหรอ เที่ยวสนุกไหม"

    "ค่ะ" ตอบแม่ยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างท่าน มือข้างหนึ่งยื่นไปกุมมือของแม่เอาไว้ ท่านดูแปลกใจเล็กน้อย "แม่คะ ที่พ่อไม่ยอมกลับบ้านไม่ใช่ติดงาน แต่เพราะพ่อมีอีกครอบครัวหนึ่งอยู่หรือเปล่าคะ"

    คำถามของฉันทำให้แม่เบิกตากว้างออกมาทันที ท่านดูตกใจมาก แถมยังเลือกจะเบือนหน้าไปมองทางอื่นอีกต่างหาก

    "หนูรู้เรื่องนี้มาสักระยะแล้ว แค่ยังไม่แน่ใจ จนวันนี้หนูมั่นใจว่าตัวเองรับได้แล้วจริง ๆ เลยไปหาคำตอบกับข้อสงสัยนี้มา แม่บอกความจริงหนูได้ไหมคะ" แม่ค่อย ๆ หันกลับมามองหน้าฉันพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แค่นี้ก็คงชัดเจนมากพอแล้วว่าข้อสงสัยของฉันเป็นเรื่องจริง

    "แม่ขอโทษ แม่พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว พยายามประคับประคองทุกอย่างเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม เพราะแก้วที่ร้าวไปแล้ว เราไม่สามารถทำให้เหมือนแก้วใหม่ได้แน่นอน" แม่เข้มแข็งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลย เหมือนท่านทำใจกับเรื่องนี้เอาไว้นานมากแล้ว

    "ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ"

    "ตั้งแต่เริ่มต้นด้วยซ้ำ แม่คิดว่ามันอาจจะไม่มีอะไรอีกแล้ว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เลย ก็อย่างที่ลูกเข้าใจนั่นแหละ แม่เลือกคนผิดเองและแม่ก็จะไม่โทษใครด้วย อย่างน้อย ๆ เขาก็มีส่วนที่ดีอยู่บ้าง ถ้าสิ่งไหนที่ไม่ใช่ เราควรจะคืนเขาไป ตอนแรกแม่ตั้งใจว่าจะบอกตอนหนูเรียนจบมอหก เพราะจะย้ายกลับไปอยู่บ้านคุณยายที่พิจิตรกัน แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว"

    "ขอบคุณนะคะ"

    "จริง ๆ มะรืนนี้แม่กับพ่อนัดไปหย่ากันแล้วนะ" แม่พยายามฝืนยิ้มออกมา ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงท่านอยากร้องไห้แทบแย่

    "หนูยังอยู่กับแม่นะคะ"

    "แม่รู้... แม่กำลังทำให้หนูไม่มีความสุขหรือเปล่า" ฉันส่ายหัวแทนคำตอบก่อนจะขยับเข้าไปสวมกอดท่านเอาไว้ ตอนนี้สบายใจขึ้นเยอะแล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็ช่างมันเถอะ

    ในเมื่อแม่เลือกแล้ว ฉันก็ยอมรับการตัดสินใจของท่านและพร้อมจะอยู่ข้าง ๆ แม่เสมอ...

     

    ๐๐๐๐๐

     

    สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนภาพความฝัน ครอบครัวที่เคยสมบูรณ์แบบของฉันในวันนี้กลับไม่มีอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่แม่กับพ่อหย่าขาดกัน ฉันก็ไม่เห็นหน้าพ่ออีกเลย ท่านยังมีโทรมาหาบ้าง แต่ฉันเลือกจะไม่รับสาย จนพักหลัง ๆ พ่อคงถอดใจไม่โทรมาอีก...

    ส่วนเพื่อนสนิทอีกคนของฉัน ซึ่งตอนนี้แทบกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ฉันคงเหลือแค่กั้งคนเดียวที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ถามอะไรนอกจากให้กำลังใจอยู่เสมอ ฉันมั่นใจว่าตัวเองโตขึ้นแล้ว แม้จะแอบร้องไห้ในบางเวลาก็ตาม

    "จะย้ายไปอยู่พิจิตรจริง ๆ เหรอ"

    "อืม ไม่อยากให้แม่ไปคนเดียว"

    "เฮ้อ แล้วต่อไปกั้งจะซื้อขนมเลี้ยงใคร" กั้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เชียว เรียกรอยยิ้มของฉันได้เป็นอย่างดีเลย

    "ซื้อส่งไปให้ละกัน"

    "เกินไป"

    "คิก ๆ" หัวเราะชอบใจออกมาทันที แต่กลับต้องชะงักเพราะมีคนเดินมาชนไหล่ของฉัน พอหันไปมองก็เห็นเดียร์ยืนอยู่

    "เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ทำไมถึงชอบหาเรื่องทับทิมนัก" กั้งพูดขึ้นมา แต่เดียร์กลับไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองฉันตาขวาง เอาจริง ๆ เดียร์แอบชอบกั้งมานานแล้ว พอเห็นว่ากั้งสนิทกับฉันก็ไม่ค่อยพอใจ แถมกั้งยังเลือกที่จะยืนอยู่ข้าง ๆ ฉันอีก

    "ฉันจะไม่มีวันยอมให้เธอมีความสุขและจะแย่งทุกอย่างที่อยู่ข้าง ๆ เธอมาให้หมด" ประโยคนี้เดียร์ขยับเข้ามากระซิบกับฉันแค่สองคนเท่านั้นก่อนจะเดินออกไป ฉันทำได้แค่กัดฟันและกำหมัดเข้าหากันจนแน่นเท่านั้น 

    "มีอะไรหรือเปล่า"

    "เปล่าหรอก กลับกันเถอะ" วันนี้สอบวิชาสุดท้ายแล้ว พร้อมกับความทรงจำที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ กว่าฉันจะผ่านช่วงเวลาก่อนหน้านี้มาได้ก็แทบแย่ แต่ก็ต้องขอบคุณแม่และกั้งนั่นแหละ อย่างน้อย ๆ ทั้งคู่ก็คอยทำให้ฉันยิ้มออกมาได้

    อ๋อ... ฉันเกือบลืมพี่เจไปอีกคน แม้พักหลัง ๆ ฉันจะทำตัวห่างออกมาเพราะไม่อยากรบกวนเขาก็ตาม ส่วนพี่เจิ้น รายนั้นแทบหายไปจากชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ความรู้สึกยิ่งหนี เหมือนเขายิ่งวนเวียนอยู่รอบตัว ถึงจะบล็อก แต่ก็แอบไปส่องอยู่ตลอด ส่องจนมีแต่เรื่องราวเดิม ๆ เพราะเขาแทบไม่ได้อัปเดตอะไรหน้าเฟซบุ๊กเลยด้วยซ้ำ นอกจากเพื่อนหรือพี่เจแท็กเท่านั้น

    เฮ้อ!

    กลับมาถึงบ้าน แต่กลับรู้สึกแปลกใจเพราะเห็นป้าแจนนั่งอยู่ด้วย ฉันไม่ได้เจอกับท่านนานมากแล้วจริง ๆ

    "สวัสดีค่ะ"

    "ไม่ได้เจอกันนาน หลานสาวป้าโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย แถมยังน่ารักกว่าแต่ก่อนเยอะเลย" รู้สึกเขินแปลก ๆ แต่คำชมของป้าแจนเหมือนมีความนัยแอบแฝงว่าฉันไม่หมูแล้วนะ

    "จะบอกว่าไม่หมูก็ได้นะ"

    "แม่คะ" เรียกชื่อท่านเสียงแผ่วเบาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ

    "สอบเสร็จแล้วใช่ไหม"

    "ค่ะ เหลือแค่ฟังผลสอบและเอาใบเกรดน่ะค่ะ" แม่ยิ้มให้ฉัน อีกไม่นานก็ต้องไปจากบ้านหลังนี้แล้วสินะ เพราะแม่ตัดสินใจที่จะขายทิ้งด้วย "งั้นหนูขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ"

    "จ้า" ยิ้มให้แม่กับป้าแจนก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนห้อง วางกระเป๋าลงแล้วหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ

    ฉันใช้เวลาอาบน้ำแค่ไม่นาน พอแต่งตัวเสร็จ ก็หยิบกระดาษโพสอิทและปากกา ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปใต้ต้นมะม่วงเพราะตั้งใจจะปีนไปตรงระเบียงหลังห้องของพี่เจิ้นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้ฉันคงไม่มีโอกาสได้ปีนไปอีกแล้วและอาจจะไม่ได้เจอกันตลอดไปเลยก็ได้ ไม่มีอะไรแน่นอนและตลอดไปเลยจริง ๆ

    ตุบ!

    นึกขำตัวเองทุกครั้งที่แอบปีนมาตรงระเบียงหลังห้องนอนของพี่เจิ้น ฉันก็ทำไปได้ ตั้งแต่วัยใส จนตอนนี้กลายเป็นวัยรุ่น แต่ต่อไปคงปีนไม่ไหวแล้วแหละ

    'ถ้าพี่อยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน...'

    ความรู้สึกแรกที่ได้เขียน เหมือนหยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ฉันก็เลิกรู้สึกกับพี่เจิ้นไม่ได้อยู่ดี ถึงเขาจะไม่สนใจฉันเลยก็ตาม

    'อีกเดี๋ยวก็คงไม่ได้เจอกันแล้วสินะ...'

    นึกขำตัวเอง ต้องมานั่งเขียนข้อความสอดเข้าไปใต้ประตู คราวนี้ไม่ได้ลงวันที่เหมือนก่อนหน้า แค่ไม่อยากคิดถึงช่วงเวลาที่ต้องจากลากันจริง ๆ

    'หนูจะไม่อยู่ที่นี่แล้วนะ คงคิดถึงพี่แย่เลย ไม่รู้จะไปปีนระเบียงห้องใครเล่นอีก ถึงจะมีให้ปีน… ก็คงไม่เหมือนกับห้องของพี่'

    ยิ้มทั้งน้ำตา เงียบไปนานเลยกว่าจะตัดสินใจเขียนข้อความสุดท้ายลงไปในกระดาษโพสอิทว่า...

    'ลาก่อน...'

    หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนหมุนตัวเดินไปทางระเบียงเพื่อจะปีนกลับลงไปเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่ความรู้สึกกลับเปลี่ยนไปนิดหน่อยตรงที่ได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูออกมาพร้อมกับอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง กลิ่นหอม ๆ ที่แตะจมูกมันคุ้นเคยเหลือเกิน แต่ก็คงสู้เสียงกรีดร้องเพราะตกใจของฉันไม่ได้หรอกมั้ง

    "พะ พี่เจิ้นเหรอคะ?" คำถามที่เรียกเสียงหัวใจของฉันให้เต้นแรงไปพร้อมกับอ้อมกอดของเขา ตอนนี้ฉันแทบลืมหายใจเลยทีเดียว

    โอกาสสุดท้ายที่จะได้เจอเขาของฉันยังไม่หมดไปสินะ... 3 ปีที่ไม่ได้เจอหน้ากันจัง ๆ แบบนี้ มันไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกกับเขาน้อยลงเลยจริง ๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×