ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเกินกว่าจะร้าย [จบ]

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 เรื่องไม่เป็นเรื่อง (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 64


    2

    เรื่องไม่เป็นเรื่อง

     

     

     

    ช่วงปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่ จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากมายหรอก เพราะผมเคยชินกับอะไรแบบนี้ไปซะแล้ว แม้จะเป็นครั้งแรกที่ต้องย้ายจากบ้านหลังเก่ามาอยู่บ้านหลังใหม่ก็ตาม ถึงยังไงก็มีประสบการณ์จากตอนเรียนมาเยอะแล้ว วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่ พากันไปที่ร้านอาหารหมด ที่บ้านเลยเหลือแค่ผมกับไอ้เจที่นอนเล่นเกมกันอยู่ แต่รู้สึกเหมือนไลน์มันจะมีข้อความเด้งเข้ามารัวเลย

    “ใครทักไลน์มานัก มึงไม่ได้บอกเหรอว่าเล่นเกมอยู่”

    “น้องทับทิม” ผมถึงกับชะงัก พลางเบือนหน้าไปมองทางไอ้เจ แต่หมอนี่กลับไม่ได้ใส่ใจผมเลย แถมยังกดออกจากเกมหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

    “เล่นเกมอยู่”

    “เออนา ไว้ค่อยเล่นใหม่” มันว่าก่อนจะลุกออกไปข้างนอก แล้วผมก็ต้องมานั่งหงุดหงิดต่อ

    หลายวันมานี้ยัยหมูหายไปเลย ปกติจะทักไลน์มากวนใจผมตลอด ตั้งแต่ย้ายบ้านก็ไม่เคยทักมาหาอีกเลย แถมยังไม่มาวอแวให้รู้สึกรำคาญ แต่ผมกลับหงุดหงิดแทนซะงั้น

    Rrrr

    เซ็งและหงุดหงิดในหลาย ๆ อย่างจนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและแน่นอนว่าอวสานเกมที่กำลังเล่นอยู่ตั้งแต่ที่ไอ้เจลุกไปคุยกับยัยหมูแล้วครับ ผมเลยเปลี่ยนมากดรับสายแทน

    “ฮัลโหล”

    (หลินโทรมากวนไหม)

    “ไม่กวน มีอะไรหรือเปล่า”

    (จะไปดูหนังกันน่ะ เลยจะโทรมาชวนเจิ้นด้วย)

    “ไปสิ แต่มารับด้วยนะ”

    (อืม งั้นเดี๋ยวหลินไปรับเจิ้นที่บ้านเอง)

    “อืม”

    คุยจบวางสายก่อนจะลุกเดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ เพราะที่ใส่อยู่คือเสื้อกล้าม ก่อนจะเดินลงมาข้างล่างพร้อมคำถามของพี่ชาย

    “ไปไหน”

    “เรื่องของกู!”

    “ฮ่า ๆ หงุดหงิดอีกละ หมาที่ไหนบอกไม่คิดอะไร แค่พี่น้อง” ผมไม่ได้ตอบนอกจากหันไปทำตาขวางใส่มัน “ถามถึงมึงด้วยนะ แต่มึงคงไม่อยากรู้แล้วใช่ปะ”

    “ถามว่าอะไร”

    “นึกว่าจะแน่!”

    “ไอ้...”

    ปี้น ๆ

    เสียงแตรรถดังขัดจังหวะขึ้นมา หลินมาเร็วกว่าที่คิดแฮะ บ้านก็ไม่ได้อยู่แถวนี้สักหน่อย

    “ตกลงไปไหน”

    “ดูหนังกับเพื่อน ไว้จะกลับมาถามใหม่”

    “เออ! ฮ่า ๆ” หัวเราะลั่นบ้านเชียวครับ อารมณ์เสียเพิ่มไปอีก แต่พอออกมาเจอหลินก็ต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

    “เดี๋ยวเราขับเอง”

    “อืม” หลินเดินลงจากรถก่อนจะอ้อมไปฝั่งข้างคนขับ ผมเลยขึ้นไปนั่งแทน

    “ไปดูที่ไหนเหรอ”

    “ห้างใกล้บ้านเจิ้นนี่แหละ” หลินยิ้มให้ผมพร้อมคำตอบ ผมเลยพยักหน้ารับก่อนจะขับรถมุ่งหน้าไปยังห้างที่ว่าทันที ใช้เวลาแค่ไม่นานเพราะไม่ไกลจากบ้านผมสักเท่าไหร่ แค่ต้องกลับรถเพราะห้างอยู่อีกฝั่ง

    มาถึงก็หาที่จอดก่อนจะพากันเดินลงจากรถเข้าไปข้างใน ตรงไปชั้นโรงหนังทันที

    “คนอื่น ๆ ยังไม่มาเหรอ”

    “สงสัยจะเหลือแค่เราสองคนแล้วแหละ คนอื่น ๆ เพิ่งทักบอกว่ามาไม่ได้กันหมดเลย เอายังไงดี” สีหน้าหลินดูกังวลเชียว จะบอกว่าลูกไม้ตื้น ๆ ก็ได้ แต่ก็มากันแล้ว ผมไม่อยากทำให้หลินเสียหน้าไปมากกว่านี้เลยตกลงที่จะดูหนังต่อแทน

    “ช่างเถอะ อยากดูเรื่องไหนไปซื้อตั๋วหนังมาละกัน เรายังไงก็ได้”

    “งั้นเจิ้นไปนั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวหลินไปซื้อตั๋วหนังก่อน” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปนั่งรอ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อฆ่าเวลา จนมีผู้หญิงเดินเข้ามาทัก

    “พี่คะ” ผมไม่ได้ตอบกลับนอกจากเงยหน้าขึ้นไปมองเท่านั้น “หนูขอไลน์หรือเฟซพี่หน่อยได้ไหมคะ”

    น้องเขาก็น่ารักดีครับ แถมกล้าอีกต่างหาก คนโสดอย่างผมก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว พอเห็นว่าหลินหันมามองก็ยิ้มให้น้องเขาก่อนจะรับโทรศัพท์มากดไลน์ไอดีเพื่อแอดให้

    “เอ่อ... แล้วพี่ผู้หญิงคนเมื่อกี้ล่ะคะ” ถามระหว่างที่ผมกำลังนั่งพิมพ์อยู่

    “เพื่อนพี่น่ะ” ตอบกลับยิ้ม ๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนน้องเขาไป

    “ขอบคุณนะคะ”

    “ครับ” เขินจนหน้าแดงเชียวครับ หลังจากนั้นผมก็นั่งเล่นโทรศัพท์ต่อจนหลินเดินกลับมาพร้อมตั๋วหนังและของกินเล่น

    “เสน่ห์แรงอีกตามเคย” แซวผม แต่สีหน้าไม่ได้รู้สึกยินดีเลยจริง ๆ

    “ปกติของคนหล่อน่ะ” ผมก็เออออไปด้วยครับ

     

    เป็นการดูหนังที่โคตรน่าเบื่อ เพราะใจไม่ได้อยากดู แถมยังเป็นหนังรักที่โคตรจะโรแมนติกของต่างประเทศอีกต่างหาก แนวเพื่อนสนิท ซึ่งมันสื่อความหมายในตอนนี้ได้เป็นอย่างดีเลย

    “หนังสนุกเนอะ ตอนแรกหลินลุ้นแทบแย่ คิดว่าจะไม่สมหวังกันซะอีก”

    “อืม” ตอบตามมารยาทอีกตามเคยครับ “หลินกลับเลยก็ได้นะ พอดีเรามีธุระต่อน่ะ”

    “ให้หลินไปส่งก่อนไหม”

    “ไม่เป็นอะไร ขอตัวก่อนนะ”

    “อืม วันนี้ขอบคุณนะที่ดูหนังเป็นเพื่อนหลิน นึกว่าจะมาเสียเที่ยวซะแล้ว”

    “สบายมาก กลับดี ๆ นะ” ผมยิ้มให้หลินก่อนจะเดินออกมา หยิบโทรศัพท์กดโทรหาพี่ชายทันที

    ตู๊ด ๆ

    ถ้าขึ้นรอสายจะด่าให้ครับ แต่เสียใจที่ไม่ขึ้น

    (ขัดจังหวะจังว่ะ มีไร)

    “มารับหน่อย ห้างแถวบ้าน”

    (ตอนไปมึงไปได้ ทำไมตอนกลับไม่มีปัญญา มึงนั่งวินมาสิ)

    “พี่เจครับ”

    (เออ! กูยอม ออกมารอตรงป้ายรถเมล์ละกัน)

    “เออ”

    พอตกลงก็ไม่ต้องพูดดีแล้วครับ ก่อนจะเดินออกไปรอที่ป้ายรถเมล์ รออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงไอ้เจก็ขับรถมาจอด ผมเลยรีบลุกเดินไปหา รับหมวกกันน็อคมาใส่ก่อนจะนั่งซ้อนท้ายและพากันออกมาจากตรงนั้น

    นั่งรถกันไปเรื่อย ๆ จนเห็นป้ายร้านกาแฟในซอยเลยสะกิดให้ไอ้เจเลี้ยวรถเข้าไป คนขับงงแต่ก็ยอมเลี้ยวตามจนเจอร้านกาแฟเล็ก ๆ สไตล์น่ารักเชียว เลยบอกให้มันจอด

    “มีอะไร”

    “นั่งร้านนี้ก่อน หาไอเดียหน่อย” ผมว่าก่อนจะลงจากรถ ไอ้เจเลยขับไปหาที่จอด

    “รับอะไรดีครับ” เจ้าของร้านยังหนุ่มอยู่เลยครับ ผมเลยหันไปทางไอ้เจเป็นเชิงตั้งคำถามถึงเมนูเครื่องดื่ม

    “เหมือนเดิม” มันบอกก่อนจะเดินไปนั่งรอตรงโต๊ะว่างใกล้ ๆ กับร้าน

    “เอสเพรสโซ่เย็นสองแก้วครับ” สั่งเสร็จจ่ายเงินก่อนจะเดินไปนั่งรอ สายตามองสำรวจไปรอบ ๆ ด้วย

    สไตล์ร้านน่ารัก ร้านไม่ได้ใหญ่มาก มีโต๊ะให้นั่งแค่สองโต๊ะเองครับ โต๊ะหนึ่งจะมีเก้าอี้วางอยู่สองตัวเท่านั้น ถัดออกไปเป็นร้านอาหารและบ้านคน แต่ใกล้ ๆ ร้านจะมีพื้นที่ว่างให้จอดรถได้อยู่บ้าง มองไปเรื่อย ๆ จนสะดุดตาเข้ากับป้ายหนึ่งเข้า เลยหันกลับมามองหน้าพี่ชายแทน

    “มึงเห็นเหมือนกูไหม”

    “อืม ชอบเหรอ?”

    “ก็ท้าทายดีนะ” ตอบกลับมันยิ้ม ๆ จนเจ้าของร้านเดินถือแก้วน้ำมาส่งให้ ผมเลยถามขึ้นทันที “ทำไมถึงติดป้ายให้เซ้งร้านล่ะครับ”

    “อ๋อ ผมจะกลับไปอยู่บ้านแฟนที่ต่างจังหวัดครับ เดิมทีก็นึกเสียดาย แต่ไม่อยากอยู่ห่างกันแล้วครับ”

    “พอจะว่างนั่งคุยรายละเอียดให้พวกผมฟังหน่อยได้ไหมครับ” ไอ้เจถามขึ้น

    “สนใจเหรอครับ?” ยิ้มแทนคำตอบ เจ้าของร้านเลยหยิบเก้าอี้จากอีกฝั่งมานั่ง “ไม่คิดว่าคุณสองคนจะสนใจนะครับ”

    “ผมกับน้องชายกำลังคิดจะทำร้านกาแฟกันอยู่ครับ อีกอย่างร้านนี้ก็อยู่ไม่ไกลไปจากบ้านสักเท่าไหร่” ผมแค่นั่งฟังปล่อยให้ไอ้เจเป็นคนคุยกับเจ้าของร้าน

    “ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี มีคนมาสอบถามหลายคนแล้ว แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธกันทั้งนั้น ถ้าสิ้นเดือนนี้ยังไม่มีคนมาเซ้งต่อจริง ๆ ผมคงต้องตัดใจปิดกิจการแทนครับ”

    “น่าเสียดายนะครับ ร้านนี้ตกแต่งสไตล์น่ารักอยู่แล้ว ติดตรงที่อยู่ในซอยเล็กไปหน่อย” ผมออกความคิดเห็น

    “ใช่ครับ แรก ๆ ก็พออยู่ได้ แต่พอมาช่วงหลัง ๆ บวกกับพิษเศรษฐกิจ เลยพอประคองไปได้วัน ๆ เองครับ แต่ถ้าพวกคุณสองคนสนใจจริง ๆ ผมยินดีลดให้เป็นพิเศษนะครับ”

    “ถ้ายังไงผมขอเบอร์ติดต่อไว้ก่อนนะครับ ส่วนคำตอบผมให้พรุ่งนี้” ไอ้เจพูดก่อนจะยื่นโทรศัพท์ส่งไปให้เจ้าของร้าน “ผมขอถ่ายรูปรอบ ๆ ไว้หน่อยนะครับ”

    “เชิญตามสบายเลยครับ” เจ้าของร้านคุยดี เอาจริง ๆ เขาก็ไม่อยากขายหรอก แต่มันจำเป็น พอไอ้เจถ่ายรูปเสร็จก็ชวนผมกลับบ้าน

    “เดี๋ยวกูโทรบอกแม่ก่อนละกัน” ผมพยักหน้าให้ไอ้เจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

    ระหว่างนั่งรอก็เปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย แต่กลับมีไลน์เด้งเข้ามาจนต้องหยิบออกมาดู นั่งนึกอยู่นานจนคิดออกว่าให้ไลน์ผู้หญิงคนหนึ่งไป เธอทักมา แต่ผมไม่ได้ตอบกลับ ปล่อยผ่านไปแทน เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ แค่อยากให้หลินเห็นเท่านั้นคงไม่ได้เจออีกแล้วแหละ เลยปล่อยผ่านดีกว่า ไว้ค่อยบล็อกทีหลัง

    “แม่ว่ายังไงบ้าง”

    “กลับมาคุยกันที่บ้านอีกที" ไอ้เจตอบก่อนจะเดินมานั่งข้างผม

    “อืม”

    “วันนี้มึงไปดูหนังกับน้องหลินเหรอ?” ปลายนิ้วที่กำลังจะกดเข้าเกมต้องชะงักทันที ก่อนจะปรายตาไปมองหน้าไอ้เจแทน “กูเห็นน้องลงสตอรี่ไอจี”

    “ส่องเก่งนะมึง”

    “กูจำชุดที่มึงใส่ไปได้สัส”

    “อือ ลูกไม้ตื้น ๆ น่ะ กูเลยตามน้ำไปด้วย”

    “ฮ่า ๆ น้องหลินก็น่ารักนะ” ชงอีกแล้วครับ

    “ไม่ต้องจับคู่ให้กู ถ้าอยากคบ กูคบไปนานแล้ว”

    “อ๋อ กูนึกว่ามึงกำลังรอให้น้องทับทิมโตกว่านี้ซะอีก” ยกขาจะถีบ จนไอ้เจขยับไปนั่งห่างจากผมมากกว่าเดิม “ผู้หญิงดี ๆ ทำไมถึงหลงรักคนเหี้ย ๆ อย่างมึง”

    “นี่น้องเองเจ น้องมึงน่ะ”

    “เออ! เพราะน้องไงกูถึงด่าได้น่ะ” ผมไม่ได้ตอบกลับอะไรอีกนอกจากยักไหล่แล้วก็ยิ้มออกมา นั่งเล่นเกมดีกว่าครับ

     

    พ่อกับแม่กลับมาถึงบ้านแล้ว วันนี้กลับเร็วกว่าปกติครับ ที่ร้านก็มีผู้จัดการคอยช่วยดูแลอีกแรง ที่กลับเร็วคงเพราะจะคุยเรื่องที่ผมกับไอ้เจจะเซ้งร้านกาแฟต่อนั่นแหละ

    “พ่อเห็นรูปร้านที่เจส่งมาคร่าว ๆ แล้วนะ แน่ใจกันแล้วใช่ไหม?” ที่พ่อถามแบบนี้เพราะร้านมันอยู่ในซอย ไม่ได้ติดถนนใหญ่ ถึงจะมีพื้นที่ให้จอดรถอยู่ด้วยก็ตาม แต่ก็ดูไม่ค่อยน่าสนใจมากเท่าไหร่

    “ครับ” ผมเป็นคนตอบ

    “ก็ตามนั้นแหละครับ ลูกชายคนเล็กของพ่อมีหน้าตาไว้ทำมาหากินได้อยู่นะครับ” ไอ้นี่ แซวไม่ดูตัวเองเลย

    “มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ” ผมสวนกลับไปทันที จนแม่ต้องส่ายหน้าให้กับพวกผม ท่านคงเอือมระอาแล้วแหละ แต่ก็ไม่ยอมชินสักที

    “แล้วมีเงินเก็บกันคนละเท่าไหร่ ถ้าขาดเหลือยังไงพ่อจะช่วยออกให้” ถึงพวกผมจะเหมือนคนว่างงาน แต่ในความเป็นจริงเงินเก็บก็มีนะครับ สะสมมาจากช่วงเรียนที่ทำงานพิเศษกันนั่นแหละ

    “ของผมมีอยู่สามแสนกว่าครับ” ไอ้เจตอบก่อนจะหันมามองทางผม ถ้าบอกความจริงออกไปมันต้องด่าผมแน่นอนเพราะก่อนหน้านี้เคยโกหกเรื่องยอดเงินไปนิดหน่อย

    “เกือบสามแสนได้แล้วครับ”

    “ไหนมึงบอกกูว่าสองแสน!” นั่นไง สวนมาทันทีเลย

    “แล้วทำไมกูต้องบอกความจริงด้วย”

    “ไอ้นี่นิ!”

    “พอแล้ว เถียงกันทุกวันไม่เบื่อบ้างเหรอ?” แม่ถามยิ้ม ๆ “แล้วนี่คุยเรื่องราคามาบ้างหรือยัง”

    “คุยแล้วครับ แต่ของผมกับไอ้เจิ้นรวมกันยังขาดอีกพอสมควร เพราะจะซื้อที่ว่างใกล้ ๆ ไว้ทำลานจอดรถด้วยครับ แต่เจ้าของเป็นอีกคน ถ้าสนใจพี่เขาจะไปคุยให้อีกทีเพราะรู้จักกันอยู่ครับ”

    “ถ้างั้นเงินเก็บส่วนของเจิ้นยกไว้ลงทุนและซื้อของตกแต่งร้านเพิ่มละกัน เพราะสไตล์ที่พ่อเห็น พวกลูกสองคนคงไม่ชอบสักเท่าไหร่ ส่วนของเจก็ยกมาทั้งหมด ที่ขาดไปพ่อกับแม่จะช่วยเอง” ป๋าที่สุดก็พ่อผมนี่แหละครับ ถ้าคิดจริงจัง พวกท่านสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว อีกอย่างที่ในกรุงเทพฯ ถึงจะเป็นบริเวณไม่สวยยังไง ราคาก็ไม่ใช่ถูก ๆ อยู่แล้วครับ

    หลังจากตกลงเรื่องธุรกิจเล็ก ๆ ของผมกับไอ้เจเสร็จ พ่อกับแม่ก็พากันขึ้นห้องไปพักผ่อน ผมกับพี่ชายเลยนั่งคุยกันข้างล่างต่อ

    “เจิ้น”

    “หือ?”

    “ช่วงนี้อย่าเล่นเยอะนะ สิ่งไหนที่ควรทำก็ทำก่อน” น้ำเสียงจริงจังเชียวครับ ผมรู้ที่ไอ้เจคอยด่าเพราะอยากให้ผมเป็นผู้เป็นคน ตั้งแต่เล็กจนโตผมก็มีมันนี่แหละที่ทั้งด่า ทั้งสอน ทั้งห่วงมาตลอด เป็นพี่ชายที่แสนดีอยากช่วยแบ่งเบาภาระแม่และเป็นบ่อเงินบ่อทองให้ผมขอเงินใช้ด้วยครับ

    “รู้แล้วนา”

    “เหรอ?”

    “งั้นกูไปนอนก่อนนะ” ไอ้เจพยักหน้าให้ ผมเลยลุกเดินกลับขึ้นมาบนห้อง วางโทรศัพท์ อาบน้ำเข้านอนดีกว่าครับ เจิ้นจะเป็นเด็กดีสักระยะก็แล้วกัน

     

    ๐๐๐๐๐

     

    สองเดือนต่อมา...

    ตอนนี้ธุรกิจใหม่ของผมกับพี่ชายเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วครับ หลังจากตกลงซื้อขายกันได้ในราคาที่สูงพอสมควรเพราะมีที่ดินเปล่าเข้ามาด้วย ตอนแรกเจ้าของเดิมจะไม่ยอมขายนั่นแหละ แต่เพราะมันมีเนื้อที่แค่ไม่มาก ถ้ายังดื้อดึงจะเอาไว้ อนาคตอาจจะขายไม่ได้อีกเลย แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้าของร้านกาแฟเดิมที่คุยให้จนเขายอมขาย

    ช่วงนี้ร้านปิดปรับปรุงอยู่ เพราะสไตล์เดิมไม่ค่อยเข้ากับหน้าตาพวกผมสักเท่าไหร่ เลยอยากตกแต่งใหม่และเพิ่มเติมบางอย่างเข้าไปด้วย แต่แอบมีติดขัดบ้างเป็นบางอย่าง พวกผมตกแต่งร้านกันเองครับ ไม่ได้จ้างเพราะอยากให้เป็นสไตล์ของผมกับพี่ชายมากกว่า เป็นสองเดือนที่ร้านใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง อาทิตย์หน้าก็จะกลับมาเปิดแล้ว

    เฮ้อ!

    เหนื่อยโคตร ๆ กลับมาถึงบ้านก็แทบสลบเลยครับ

    “ขึ้นไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปซื้อของเข้าร้านกัน”

    “อือ ๆ” ผมตอบก่อนจะลุกเดินกลับขึ้นห้อง ชาร์จแบตโทรศัพท์ อาบน้ำ เตรียมตัวเข้านอน...

    ช่วงนี้ชีวิตผมวนลูปจนแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ก็สนุกดีครับ เพราะถึงยังไงก็มีสีสันเหมือนเดิม แค่ขาดบางสิ่งบางอย่างไปก็เท่านั้นเอง

    ปกติเวลานี้ผมต้องเข้านอนแล้ว แต่วันนี้กลับอยากเดินออกไปนอกระเบียงหลังห้อง แต่กลับต้องชะงักเพราะไอ้เจยืนคุยโทรศัพท์อยู่ก่อนแล้ว

    “ออกมารอน้องทับทิมเหรอ”

    “สัส!”

    “ฮ่า ๆ คราวนี้น้องคงปีนไม่ได้แล้วแหละ เพราะสูงกว่าเดิม แถมยังไม่มีตัวช่วยอีก” ผมได้แต่มองหน้าและทำตาขวางใส่มันก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้อง ปิดไฟเข้านอนดีกว่าครับ

    แต่ก็นอนไม่หลับ จนต้องหยิบโทรศัพท์มาเล่นแล้วก็เผลอกดเข้าไปส่อง... มีอัปเดตทุกวัน แต่ทำไมเหมือนรู้สึกว่างเปล่า

    และไม่รู้อะไรดลใจให้ผมต้องกดอัปเดตสเตตัสของตัวเองเป็นรูปถ่ายระเบียงห้องนอนในยามค่ำคืน กดโพสต์แล้วด้วย ลบไม่ทัน และแน่นอนว่าทั้งไลก์และคอมเมนต์มาเร็วมาก ปกติผมแทบไม่เล่นเฟซเลย

    เสียงแจ้งเตือนรัวจนต้องกดห้ามรบกวน เก็บโทรศัพท์แล้วก็เข้านอนแทน...

    บางทีก็ควรช่างแม่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องไปบ้าง? เพราะอะไรที่ยังไม่ถึงเวลา ต่อให้อยากได้มากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมีช่วงเวลาที่เผลอละเลยไปอยู่ดี...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×