คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 หมูย่องเบา (100%)
1
หมูย่องเบา
ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่รู้สึกว่ายังยิ้มได้มันคือตอนไหนกัน? เพราะบางครั้งผมก็แทบลืมไปแล้วว่าตัวตนจริง ๆ ของผมเป็นคนยังไง หรือต้องให้ใครบางคนมาฉุดรั้งถึงจะ...
ตุบ!
“โอ๊ย!”
อยากจะบ้าตาย เสียงยัยเด็กบ้าที่ชอบปีนระเบียงหลังห้องนอนของผมดังขึ้นมาอีกแล้ว ลูกสาวของเพื่อนแม่ ซนยิ่งกว่าลิง หัดปีนห้องผู้ชายตั้งแต่ตัวเท่าลูกหมา
“พี่เจิ้น!” ร้องโอดครวญอีกแล้วครับ “ฮือออ ช่วยหนูด้วย”
ผมคงทำได้แค่เบะปากพลางพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินออกไปดูที่ระเบียงหลังห้องนอน ถึงจะบอกว่าไม่ให้ปีนก็ไม่ยอมฟัง ตราบใดที่กิ่งของต้นมะม่วงยังคงล้ำเส้นอาณาเขตมาแบบนี้ ผมก็อยากจะโค่นทิ้งอยู่หรอกครับ แต่ติดตรงที่ว่าต้นมันอยู่ฝั่งบ้านยัยหมู ส่วนกิ่งก้านมาทางห้องนอนผมพอดี คิดออกใช่ไหมเนี่ย เพราะห้องนอนผมกับพื้นไม่ได้สูงอะไรขนาดนั้น
แต่ช่างเถอะ! ผมขี้เกียจจะอธิบาย รู้แค่ว่ามันทำให้ยัยหมูมาถึงห้องผมได้ก็แล้วกัน
“พี่เจิ้นขา!”
“ขาซ้ายหรือขาขวาดีคะน้องหมู”
“ฮึย! ช่วยยกหน่อย หนูลุกไม่ขึ้น” กวักมือเรียกผมยกใหญ่เชียวครับ อยากจะหันหลังหนีเหมือนกันนั่นแหละ แต่กลัวยัยหมูแหกปากแล้วแม่ขึ้นมาด่าผมอย่างทุกครั้ง “พี่เจิ้น!”
“เออ! รู้แล้ว ๆ” ฉุดกระชากยัยหมูให้ลุกขึ้นมา พอยืนขึ้นได้ก็ระบายยิ้มแฉ่งเชียวครับ จนผมต้องยื่นปลายนิ้วไปผลักหน้าผากน้องเบา ๆ จนแทบหงายหลัง “นี่ก็เวอร์ไป ออกแรงผลักไปนิดเดียว”
“ชิ! หนูขอเข้าห้องนะคะ” ปากพูด แต่ขาก้าวไปแล้วครับ
“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดปีนเข้าห้องผู้ชาย”
“หนูก็ปีนมาตั้งแต่อายุ 12 แล้ว ตอนนี้ 16 ก็ว่าจะปีนสัก 18 น่ะค่ะ”
“คงอยู่ให้ปีนถึงหรอก” พูดออกมาลอย ๆ
“คะ?” โชคดีที่ไม่ได้ยินครับ ไม่งั้นต้องวุ่นวายตอบอีกนานแน่นอน
“เปล่า แล้วมานี่มีอะไร”
“ก็มาหาปกติ พี่ไม่เห็นออกจากห้องเลย” เด็กดีมีมารยาท ขยันเข้าห้องผู้ชายและเดินไปนั่งพื้นครับ ส่วนผมเดินกลับไปนั่งที่เตียงหยิบโทรศัพท์มานั่งเล่น
“จะออกทำไม ร้อน”
“พี่เจิ้น”
“หือ?” ครางแผ่วเบา แต่ตามองหน้าจอโทรศัพท์ จนเสียงคนเรียกชื่อผมเงียบไป “มีอะไร”
“ก็...”
แกร๊ก แอ๊ด
“ไอ้เจิ้น แม่ให้มาถามว่ามึงเก็บของเสร็จหรือยัง พรุ่งนี้จะเดินทางแล้ว”
“ไอ้เจ!”
“เชี่ย! น้องทับทิมก็อยู่ด้วยเหรอ” หมอนี่คือพี่ชายของผม แต่พวกเราสนิทกันมากไปหน่อย เลยคุยกันเหมือนเพื่อนมากกว่า ห่างกันแค่ปีเดียวเองครับ หัวปีกับท้ายปี
“แฮร่ ๆ สวัสดีค่ะพี่เจ” ยังมีหน้ามายิ้มแล้วก็ยกมือไหว้อีกนะ “แล้วเก็บกระเป๋าจะไปเที่ยวไหนกันเหรอคะ”
“ก็...”
“เชิญมึงออกไปก่อนครับ” รีบลุกจากเตียงพลางพูดไล่ให้พี่ชายออกไปจากห้อง ก่อนจะปิดประตูใส่หน้า
“ถึงยังไงน้องก็ต้องรู้ รีบ ๆ บอกไปเถอะ” ยังไม่วายตะโกนมาอีก พอหันกลับมาก็เจอสายตามีคำถามของยัยหมูมองอยู่
“เอ่อ คือ...” เกิดติดอ่างซะงั้น ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี
“หนูนึกขึ้นได้ว่าแม่ให้ไปซื้อของหน้าปากซอย งั้นหนูไปก่อนนะคะ” ฉีกยิ้มกว้างมองหน้าผม แต่ตาแดง ๆ จะเดินออกไปทางด้านหลัง ถ้าให้ปีนกลับออกไป มีหวังตกลงไปไม่เจ็บหนักก็ปางตายแหละครับ
“เดี๋ยว! ออกทางประตู”
“อือ ๆ” ไม่มองหน้าผมเลยครับ “ฮือออ” ไงล่ะ เดินชนประตูอีกจนได้ ผมมองตามพลางส่ายหน้าเอือม ๆ แทน
เฮ้อ!
ได้แต่ถอนหายใจแล้วมองตาม จนประตูถูกผลักเข้ามา เป็นพี่ชายผมเอง
“มึงทำอะไรน้องวะ กูถามก็พยักหน้าอย่างเดียว” สีหน้าแตกตื่นเชียวครับ
“กูที่ไหนล่ะ มึงนั่นแหละ” เงยหน้าขึ้นไปมองสบตาไอ้เจด้วย
“ทำไมมึงไม่บอกน้องไป”
“แล้วจะให้บอกว่ายังไง ไม่อยู่แล้วนะ จะย้ายบ้านแล้ว แบบนี้เหรอวะ? เดี๋ยวก็ร้องไห้ใส่กูอีกหรอก ถึงยังไงบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ขายทิ้งสักหน่อย”
“กูถามจริงเถอะเจิ้น น้องปีนมาหาทุกวัน ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ?” พี่ผมมันคิดก่อนถามไหม? ยัยหมูทับทิมเป็นแค่เด็ก เพิ่งจะอายุ 16 ปี ห่างไกลสเปกผมมาก อีกอย่างก็เห็นจนชิน เลยไม่ได้รู้สึกพิเศษไปจากคำว่าน้องสาว (มั้ง)
“ต้องให้กูรู้สึกขนาดไหนวะ”
“แบบพิเศษไง”
“ไม่อะ ทับทิมก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษไปจากนั้นเลย”
“น้องสาว?” ไอ้เจเหมือนไม่เชื่อ แต่ผมกลับรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ “โอเค สงสัยน้องคงยังเด็กไปสำหรับมึง งั้นอย่าลืมเก็บของด้วยนะ”
“เออ!”
เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะหลังจากที่ยัยหมูรู้ว่าผมจะไม่อยู่ก็เงียบหายไปเลยทีเดียว ปกติจะมากวนใจหรือไม่ก็ทักไลน์มาหา แต่นี่เงียบเลย… จนผมหิ้วกระเป๋าใบสุดท้ายลงมาที่รถ
“ขาดเหลืออะไรอีกไหม กว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกก็คงนานเลย” แม่ถามขึ้น
“ครบแล้วแม่ ขาดก็แต่ใครบางคนแถวนี้ละมั้ง ปากไม่ตรงกับใจ” ผมรู้ ไอ้เจมันกำลังประชด เลยหันไปทำตาขวางใส่ พ่อกับแม่เลยหันมายิ้มให้
“แม่ก็ไปเชื่อมัน”
“เจิ้น!” แม่เรียกชื่อผมเสียงดุ ๆ “จะไปหาน้องก่อนไหม”
“แม่ก็เป็นไปตามไอ้เจอีกคน”
“แน่ใจแล้วนะ” พ่อก็ใช่ย่อย จนผมต้องพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาแทนก่อนจะเดินไปขึ้นรถเพื่อตัดปัญหา ด้านนอกเลยพูดอะไรกันก็ไม่รู้ก่อนจะยิ้มให้ แล้วพากันเดินมาขึ้นรถ...
ผมก็ไม่คิดหรอกว่าวันนี้จะมาถึง วันที่ต้องย้ายบ้าน แต่ทุกคนทำเหมือนห่างไกล แค่นนทบุรีกับกรุงเทพฯ เองครับ เผลอ ๆ แค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง ไปมาหาสู่กันยังได้เลย ก็แค่ไม่มีคนมาปีนระเบียงห้องนอนผมแล้ว
‘พี่เจิ้น พวงกุญแจหมูน้อยสีชมพู หนูซื้อมาฝาก เผื่อวันไหนพี่คิดถึง ห้ามทิ้งพวงกุญแจหนูนะ’
ผมก็เผลอพกติดตัวมาซะงั้น ใจจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจหรอก มันแค่ถูกบังคับให้ต้องพกตลอดไง
เฮ้อ!
“คิดถึงน้องทับทิมเหรอ?”
“...” ด่าครับ ด่าแบบไม่ออกเสียง เดี๋ยวแม่ด่า...
๐๐๐๐๐
บ้านหลังใหม่ ใจกลางเมืองกรุง ซื้อไว้นานแล้วครับ แต่เพิ่งตกแต่งเสร็จและมีโอกาสได้ย้ายเข้ามาอยู่เพราะร้านอาหารของพ่อเริ่มเป็นที่รู้จัก ท่านเองก็ไม่อยากขับรถเทียวไปเทียวมาบ่อย ๆ มันอันตราย พ่อผมเป็นทั้งเจ้าของร้านและเชฟ เหมารวมหมด จะบอกว่าทั้งบ้านทำอาหารอร่อยหมดเลยก็ได้ แต่เรื่องขนมต้องยกให้แม่กับไอ้เจเลยครับ พี่ชายผมจบด้านนี้มาโดยตรงเลย ส่วนผมขอบาย เพราะไม่ค่อยชอบของหวานสักเท่าไหร่ กินได้แค่คำสองคำเท่านั้นเอง
พ่อกับแม่มีอาชีพหลักไปแล้ว ผมกับพี่ชายก็คิดกันว่าจะเปิดร้านกาแฟ เรียนจบมาก็ไม่เคยได้ทำงานตรงสายเพราะอาชีพหลักของที่บ้านเน้นไปทางของกินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้แย่นะ พ่อกับแม่ก็ไม่ได้บังคับด้วย แถมยังจะช่วยลงทุนอีก... เรื่องนี้เอาไว้ก่อน มาเข้าเรื่องที่ย้ายบ้านอีกรอบ
ตอนนี้ผมเข้ามาอยู่ในห้องใหม่ ที่กว้างกว่าห้องเดิมเล็กน้อย มีห้องน้ำในตัวและที่สำคัญ มีระเบียงหลังห้องอีกแล้ว แต่มีพื้นที่ของข้างบ้านที่ห่างออกไปเยอะพอสมควร
“เจิ้น!”
“มารยาทมีไหม?”
“ฮ่า ๆ ก็มึงไม่ล็อกประตู”
“มีอะไร?” หันกลับไปถาม ไอ้เจก็เอาแต่ยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาสำรวจห้องนอนของผม มองตรงไปทางระเบียงแล้วยิ้ม
“คงไม่มีใครมาปีนห้องมึงอย่างน้องทับทิมอีกนะ” แซวเก่งอีกแล้ว
“ไอ้เจ!”
“กูพี่มึงนะเจิ้น”
“จะออกไปได้ยัง หรือต้องให้ถีบไล่”
“ฮ่า ๆ แค่นี้ทำเป็นเก๊ก” หัวเราะลั่นห้องก่อนจะรีบเดินออกไป ผมเลยเดินไปล็อกประตูห้องทันที ก่อนจะเดินกลับมาจัดของต่อ
มันก็ปกติ ไม่ได้แปลกใหม่อะไร อีกอย่างก็ไม่ได้เจอยัยนั่นทุกวันสักหน่อย แค่ตอนนี้รื่นหูกว่าเดิมไม่ต้องมีใครมาคอยก่อกวนให้รกสมองและทำให้รำคาญจิตใจอีก กว่าจะจัดของเสร็จก็เย็นแล้ว อาบน้ำเสร็จเดินออกจากห้องเพื่อลงไปข้างล่าง ได้กลิ่นอาหารมื้อเย็นลอยมาแตะจมูกจนท้องร้องจ๊อก ๆ แล้วเนี่ย
“กูคิดว่ามึงหลับซะอีก” ไอ้เจหันมาถาม ตอนนี้มันกำลังช่วยแม่ทำกับข้าวอยู่ ส่วนพ่อคงอยู่ที่ร้านอาหารของท่านนั่นแหละ
“จัดห้องเพิ่งเสร็จ มึงไม่จัดหรือไง”
“อะแฮ่ม! พี่น้องคู่นี้พูดจาน่ารักใส่กันอีกแล้วนะ” เสียงกระแอมของแม่ดังขึ้นมา แต่ในน้ำเสียงแซวกลับแฝงไปด้วยความดุ ซึ่งท่านยังไม่ชินสักที
“แม่ควรชินได้แล้วครับ พวกผมก็คุยกันแบบนี้ประจำ สนิทกันดีครับ” ผมตอบก่อนจะเดินไปนั่ง “ทำไมวันนี้มีต้มจืดหมูสับด้วยล่ะครับ ปกติแม่ไม่ค่อยทำ”
“เผื่อเจิ้นอยากกิน” แม่ตอบกลับมายิ้ม ๆ
“ผมเนี่ยน่ะนะ” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองไปด้วย
“เดี๋ยวกูขยายความให้ครับ แม่กลัวมึงคิดถึงน้องทับทิม เพราะปกติน้องชอบกินต้มจืดหมูสับที่แม่ทำ มาที่บ้านทีไรก็ถามหาแต่ต้มจืดหมูสับ โอเคไหมครับ” ฉีกยิ้มกว้างเชียวครับ หมั่นไส้จนอยากลุกไปถีบ
“แม่!”
“อะ ๆ รีบมากิน ไม่ต้องรอพ่อเขาหรอก กลับดึกเหมือนเดิมจ้า” แม่รีบตัดบทก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลง ไอ้เจเลยตักข้าวใส่จานส่งมาให้ ก่อนจะเดินไปนั่งที่ของตัวเอง
อาหารมื้อนี้เลยจบที่แยกย้ายกัน สองทุ่มผมกลับเข้าห้อง กำลังจะนอนแต่โทรศัพท์กลับมีสายโทรเข้ามาซะก่อน
Rrrr
พอเห็นเบอร์ปลายสายก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาแทน เพราะไม่อยากกดรับสายสักเท่าไหร่ แต่ก็จำใจต้องรับอยู่ดี ไม่งั้นมันจิกผมไม่เลิกแน่นอน
“เออ”
(ฮ่า ๆ สาบานว่านี่คือการทักทาย)
“กูไม่ได้อยากรับสายมึง มีอะไร”
(ย้ายบ้านมากรุงเทพฯ แล้วนี่หว่า ฉลองกันหน่อยไหม)
“ข่าวไวนะมึง”
(พี่มึงลงเฟซไอ้สัส แท็กมึงด้วย ทำไมพวกกูจะไม่รู้ ตกลงจะมาไหม ร้านประจำ)
“มะ…”
(โอเค พวกกูรอนะ แค่นี้แหละ)
อยากจะด่าแม่งให้หงายหลัง แต่ติดตรงที่มันกดวางสายไปแล้ว ไหน ๆ ก็เบื่อ งั้นออกไปเจอเพื่อนสักหน่อยละกัน ป่านนี้แม่คงนอนแล้วมั้ง เลยลุกไปเปลี่ยนชุดก่อนจะหยิบกุญแจรถและหมวกกันน็อคเดินออกจากห้อง ผมขับบิ๊กไบค์ครับ เอามาจอดไว้ที่นี่หลายวันแล้ว คันนี้ผมจะใช้สลับกับไอ้เจ ส่วนรถใหญ่ถ้าอยากใช้ก็รถเมล์เลยครับ เพราะมีแค่ของพ่อคันเดียว ซึ่งพ่อจะขับไปทำงาน
“ไปไหน” ถึงกับสะดุ้งเพราะเสียงของพี่ชาย มันนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟา
“หาเพื่อน ทำไมไม่เปิดไฟวะ”
“กูลงมาเอาน้ำ แล้วก็คุยโทรศัพท์เพลินไปหน่อย”
“เออ กูกลับดึกนะ”
“เออ ๆ เช้ากูก็ไม่ว่าหรอก เผื่อมึง…” ชี้นิ้วด่ามันแทนก่อนจะเดินออกจากบ้านตรงไปที่รถ คลุมเอาไว้อย่างดีครับ
วันนี้ได้ใช้งานสักที เปิดประตูรั้วขับรถออกไปก่อนจะจอดแล้วเดินกลับไปปิดอีกรอบ ถ้าเปิดไว้เดี๋ยวโดนบ่น พอเสร็จก็ขับไปหาเพื่อนที่ร้านเหล้าประจำกลุ่ม ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผมพอสมควร ผมใช้เวลาขับรถเกือบชั่วโมงก็มาถึงร้าน มาจนกลายเป็นลูกค้าวีไอพีเลยมีที่จอดรถประจำของกลุ่ม แต่เปล่าหรอกครับ เจ้าของร้านเป็นพี่ชายของเพื่อนผมและเพื่อนไอ้เจด้วย เลยสนิทกับพนักงาน
ตรวจบัตรเสร็จเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปข้างใน มองหากลุ่มเพื่อนทันทีจนเจอ มีคนโบกไม้โบกมือให้ผมเลยเดินเข้าไปหาพวกมัน วันนี้มากันครบเลยครับ
“กูคิดว่าจะไม่ได้เจอมึงซะแล้ว”
“กูยังไม่ตาย ได้เจออยู่นั่นแหละ” ตอบกลับไอ้เป้ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างมัน ไอ้เป้คือคนที่โทรหาผมก่อนหน้านี้ ในกลุ่มผมจะสนิทกับมันมากที่สุด มันนี่แหละน้องชายเจ้าของร้าน
“สบายดีนะเจิ้น” คำถามที่สองมาจากหลิน เพื่อนผู้หญิงในกลุ่ม
“สบายดี” ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม หลินเลยชงเหล้ายื่นมาให้ผม ปกติเธอจะทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว “ขอบใจนะ”
“แล้วนี่มึงย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ถาวรเลยไหมวะ” ไอ้ท็อปเพื่อนคนที่สามในกลุ่มตั้งคำถามขึ้นมา
“ก็คงงั้นแหละมั้ง”
ปกติผมเป็นพวกคอแข็งอยู่แล้ว ไม่ค่อยเมาง่ายสักเท่าไหร่ ถ้าไม่สุดจริง ๆ ดื่มไปได้สักระยะก็อยากเข้าห้องน้ำเลยลุกเดินออกมา เข้าห้องน้ำเรียบร้อย เดินออกมาถึงกับชะงักเพราะเจอแฟนเก่าเข้าซะงั้น
“อ้าวเจิ้น ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” น้ำคือเพื่อนรุ่นเดียวกันตอนเรียนแล้วก็แฟนเก่า เมื่อก่อนเคยอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่พอเลิกกับผมก็แตกเพราะเธอดันไปคบกับคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้า จะว่าเธอนอกใจก่อนก็ได้ อยากทำให้ผมหึงหรือใจจริง ๆ อยากคบซ้อนก็ไม่รู้สิ “สบายดีไหม”
น้ำยิ้มให้ แต่ผมเลือกจะมองผ่านก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา แต่เธอกลับยื่นแขนมาคว้าข้อมือของผมเอาไว้
“เจิ้น” กลายเป็นคนฮอตซะงั้น แต่ครั้งนี้ต้องขอบคุณหลินที่เรียกชื่อผมเอาไว้ครับ “พอดีเราเห็นออกมานานแล้วน่ะ เลยอาสาออกมาตาม เพื่อน ๆ จะถ่ายรูปกัน”
“อืม” ผมตอบกลับหลินก่อนจะสะบัดข้อมือออกเพื่อเดินกลับเข้าไปข้างใน หลินยังไม่ได้เดินตามมา สงสัยคุยอยู่กับน้ำเพราะเมื่อก่อนสองคนนี้สนิทกันพอสมควร
เดินกลับมาที่โต๊ะ เพื่อน ๆ กำลังถ่ายรูปกันอยู่พอดี ผมเลยเข้าไปร่วมเฟรมด้วยจนหลินเดินกลับมา ไอ้เป้เลยลากมายืนข้าง ๆ ผมเพื่อจะถ่ายรูปด้วยกัน ถ่ายกันเยอะมาก จนผมขี้เกียจเลยเดินกลับไปนั่งที่เดิม
“บางทีมึงเล่นเฟซบ้างก็ได้นะ” เสียงกระแนะกระแหนจากไอ้เป้ดังขึ้นมา ผมเลยกลอกตามองหน้ามันก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดูรูปที่พวกมันแท็ก รูปถ่ายไม่ได้ทำให้ผมสนใจเท่ากับคนล่าสุดที่เข้ามากดไลก์เลยจริง ๆ และปลายนิ้วก็ดันกดเข้าไปส่องเฟซยัยนั่นเข้าจนได้
โพสต์ล่าสุดคือระเบียงห้องนอนที่คุ้นตาพร้อมกับข้อความ ‘โชคดีนะคะ’ พอเห็นแบบนี้ก็พลอยหงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น
“กูกลับก่อนนะ” ตอนนี้หมดอารมณ์จะดื่มแล้วครับ
“เฮ้ย! จะรีบไปไหนวะ ไอ้เจิ้น!” เรียกก็ไม่หันแล้วครับ รีบเดินออกมาจากร้านทันที ส่วนค่าใช้จ่ายเอาไว้เคลียร์ตามหลังอีกที เพราะทำแบบนี้กันประจำ
ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม? แค่ไม่ชอบอะไรที่คาราคาซังแบบนี้สักเท่าไหร่ มันดูน่ารำคาญ!
ความคิดเห็น