คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 11 ความรู้สึกที่ค่อย ๆ ชินชา (100%)
11
ความรู้สึกที่ค่อย ๆ ชินชา
[ทับทิม]
ฮึย! หมั่นไส้พี่เจิ้น เหมือนถูกเขาแกล้งอยู่เลย ไม่ยอมให้กลับ ไม่ยอมไปส่งที่หอ หรือจะรู้ว่าฉันนัดกั้งไปดูหนัง ทำไมถึงร้ายแบบนี้เนี่ย แค่ไปดูหนังกับเพื่อนเอง
นั่งเซ็งอยู่ที่บ้านคนเดียว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นและดูรูปที่พี่เจแท็กเมื่อคืน อมยิ้มตลอดเลย ถึงจะเป็นรูปที่แอบถ่ายก็ตาม แต่สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของฉันกับพี่เจิ้นแสดงออกเป็นธรรมชาติมาก มีคนเข้ามาคอมเมนต์เยอะเลย ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนของพวกพี่เขา ส่วนทางฝั่งฉันแค่กดไลก์เท่านั้น คงไม่กล้าคอมเมนต์กัน
Rrrr
กำลังจะกดซูมใบหน้าของพี่เจิ้นดูสักหน่อย แต่ต้องชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมา ปลายสายคือแม่ ฉันเลยรีบกดรับสายทันที
“สวัสดีค่ะ”
(เป็นยังไงบ้าง วันนี้ลูกสาวแม่ลืมโทรมาหาหรือเปล่านะ)
น้ำเสียงสดใสของแม่เอ่ยถามเหมือนกำลังแซวฉันดังขึ้นมา ปกติทุกเช้าจะต้องโทรหาแม่แล้ว แต่วันนี้ยังไม่ได้โทรเลย
“หนูกำลังจะโทรพอดีเลยค่ะ”
(จ้า ๆ แล้วนี่หนูอยู่ไหน กลับหอหรือยัง)
“อยู่บ้านป้าแจนค่ะ พี่เจิ้นไม่ยอมไปส่ง”
(หืม? น้ำเสียงสดใสเชียว)
“แม่คะ แบบนี้จะดีจริง ๆ ใช่ไหมคะ”
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างฉันกับแม่ ที่ถามแบบนั้นออกไปเพราะฉันกำลังกลัว แม้ส่วนลึกจะรู้ดีว่าพี่เจิ้นไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน แต่ก็ยังแอบกลัวไม่หาย
(หนูอย่าเอาความผิดพลาดในชีวิตของแม่มาตัดสินความสุขของตัวเองเด็ดขาดนะ วันนั้นที่ป้าแจนมาขอให้หนูอยู่ต่อ หนูเป็นคนเลือกที่จะอยู่เองไม่ใช่เหรอ เพราะไม่อยากให้พี่เจิ้นหายไป ตอนนี้หนูยังเด็ก ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ)
“หนูจะจำไว้ค่ะ”
(แม่ไม่ได้ปิดกั้นหรอกนะ ฉะนั้น...)
“นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่หนูรับไม่ได้ หนูขอโทษนะคะ”
ฉันรีบพูดแทรกขึ้นมา เพราะรู้ดีว่าแม่จะพูดอะไร แม่เลยเงียบไป ถึงจะไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ แต่สิ่งที่พ่อทำเอาไว้กับแม่ มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบมากและก็รับไม่ได้ด้วย ตอนนี้ฉันคงยิ้มและมองท่านด้วยความรู้สึกแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว...
(แม่ก็มีส่วนผิดที่ดันทุรัง ความไว้ใจถ้าเราให้ถูกคน ผลตอบแทนย่อมดีเสมอ แต่ถ้าไม่ถูกคน... ก็เสียเปล่า)
“ค่ะ”
(ทุกความสัมพันธ์ ไม่มีวันไหนที่ไม่จบลงหรอกนะ มันก็อยู่ที่เรามากกว่าว่าจะรักษาความสัมพันธ์นี้ให้ดีที่สุดได้มากแค่ไหน)
“อย่างน้อย ๆ ตอนนี้หนูก็ไม่ได้ไล่ตามโดยเสียเปล่านะคะ คิก ๆ”
(แหม! พูดถึงพี่เจิ้นไม่ได้เลย หนูมักจะกลับมาอารมณ์ดีเสมอสินะ แล้วแบบนี้จะไปกลัวทำไม)
“หนูก็แค่...” ฉันไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่ากลัวจะถูกแย่งคนสำคัญไปอีก “แค่คิดว่าจะรักษาให้ดีที่สุดน่ะค่ะ”
(ดีมาก ถ้างั้นแม่ไม่กวนแล้วนะ จะไปดูยายสักหน่อย)
“ค่ะ”
วางสายจากแม่ นั่งเล่นโทรศัพท์ต่อ เบื่อมากเพราะต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว จากนั่งกลายเป็นนอนบนโซฟาแทน นอนยังไงไม่รู้ถึงได้เผลอหลับไป สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะสัมผัสจากปลายนิ้วที่เขี่ยจมูกฉันเล่นไปมา พอลืมตาก็เห็นพี่เจิ้นยืนอยู่
“กลับมาแล้วเหรอคะ”
“ถึงขนาดนอนหลับรอเลยเหรอ” คนพูดเอ่ยออกมายิ้ม ๆ ก่อนจะถอยหลังไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามฉันแทน จนต้องลุกขึ้นนั่งเพราะเกรงใจเขา
“หนูเบื่อนี่ เมื่อไหร่จะไปส่งที่หอคะ หนูต้องกลับไปซักผ้า ทำความสะอาดห้อง แถมชุดเปลี่ยนก็หมดแล้วด้วย”
“ข้ออ้างเยอะ” ดูพูดเข้า แถมยังตีมึนเก่งอีกต่างหาก
“ข้ออ้างอะไร หนูพูดจริง” ยืนยันหนักแน่น แต่พี่เจิ้นกลับยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่เชื่อ “หนู...”
“หิวหรือเปล่า เที่ยงแล้ว เดี๋ยวพี่ไปทำอะไรให้กิน” อีกแล้ว ชอบเอาเรื่องกินมาล่อลวงอยู่เรื่อยแล้ว แค่ได้ยินท้องก็ร้องจ๊อก ๆ แล้วอะ น่าอายจริง ๆ เลย “คงไม่ต้องรอฟังคำตอบแล้วมั้ง”
“แค่หิวนิดหน่อยเอง” ลูบหน้าท้องของตัวเองแก้เก้อไปด้วย พี่เจิ้นเลยยิ้มออกมาก่อนจะลุกเดินเข้าไปในครัว ฉันเลยลุกตามเข้าไปด้วย “จะทำอะไรให้กินเหรอคะ”
“ต้มจืดหมูสับ แล้วก็...” ไม่พูดต่อ แต่กลับหยิบผักคะน้าออกมา
“อันนั้นไม่กิน เอาใส่กลับไปที่เดิมเลยค่ะ หนูกินแค่ต้มจืดหมูสับก็ได้ ไม่เรื่องมากหรอกค่ะ” ยื่นปลายนิ้วไปผลักมือพี่เจิ้นให้เก็บผักเอาไว้ที่เดิม ไม่อยากให้เขาหยิบคะน้าออกมา จนใบหน้าของพวกเราใกล้กันมาก ยิ่งใกล้เข้าไปอีกเมื่อพี่เจิ้นหันหน้ากลับมามองพร้อมคำตอบ
“พี่จะหยิบกะหล่ำปลี” รีบถอยห่างแทบไม่ทัน ก่อนจะเดินไปยืนอยู่มุมอื่นแทน “ออกไปรอข้างนอกก็ได้นะครับ”
“ไม่ให้หนูช่วยเหรอ”
“ไม่ต้องหรอก” ฉันยิ้มพลางพยักหน้าออกมาแทนคำตอบ เดินมานั่งรอที่โซฟา หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น แต่กลับมีสายของกั้งโทรเข้ามา
Rrrr
ยิ้มแล้วกดรับสายทันที
“ฮัลโหลกั้ง”
(ยังอยู่บ้านพี่เจิ้นเหรอ)
“อืม ขอโทษด้วยนะ”
(ขอโทษทำไม วันนี้ไม่ว่างพอดี แถมหนังเรื่องที่อยากดูก็ยังไม่เข้าเลย)
“ดีเลย...”
(กั้งโทรมาบอกแค่นี้แหละ ไว้เจอกัน)
“โอเค”
วางสายจากกั้ง นั่งยิ้มอารมณ์ดี ไม่ต้องรีบกลับก็ได้มั้ง แต่แกล้งใครบางคนได้ เพราะเขาไม่รู้ ฮ่า ๆ
นั่งเล่นโทรศัพท์จนพี่เจิ้นเดินออกมาพร้อมกับต้มจืดหมูสับและข้าวในจานร้อน ๆ หอมมากเลย วางโทรศัพท์แล้วรีบลุกไปหาเขาทันที
“พี่ไม่กินเหรอคะ”
“ยังไม่หิวครับ”
“ไม่ได้ค่ะ หนูไม่อยากกินคนเดียว พี่นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวหนูไปตักข้าวใส่จานให้” บอกเขาก่อนจะบังคับให้นั่งลง พลางหมุนตัวเดินกลับเข้าครัวเพื่อจะตักข้าวใส่จานกลับมาวางตรงหน้าพี่เจิ้น
“ตักมาทำไมเยอะแยะครับ”
“เยอะอะไรคะ นิดเดียวเอง” ฉันไม่ได้ตักเยอะสักหน่อย พี่เจิ้นมั่วแล้ว “กินเยอะ ๆ นะคะ” ตักต้มจืดหมูสับใส่จานข้าวให้เขาก่อนจะตักให้ตัวเอง
นั่งกินข้าวกับพี่เจิ้นสองคนจนอิ่ม เขาก็กลับไปที่ร้านต่อ ชวนแล้วแหละ แต่ฉันไม่ไป เลยนั่งรออยู่ที่บ้านแทน ลีลาไม่ยอมไปส่งฉันอีกตามเคย
เกือบเย็นกว่าพี่เจิ้นจะได้กลับมารับไปส่งที่หอ ถ้าไม่โทรตามและบอกว่าจะให้กั้งมารับไปส่ง เขาก็คงไม่กลับมารับหรอก แถมยังทำหน้ายักษ์ใส่ฉันอีกต่างหาก
"ยิ้มหน่อยสิคะ" พูดพลางฉีกยิ้มกว้างให้ แต่พี่เจิ้นกลับทำหน้าไม่พอใจใส่ สงสัยที่บอกว่าจะให้กั้งไปส่งละมั้ง
"หึ!"
"สงสัยคำขู่นี้ยังใช้ได้อีกนาน" อมยิ้มน้อย ๆ จนพี่เจิ้นหยิบหมวกกันน็อคมาใส่ให้ ทำแรงมาก คงหมั่นไส้ฉันที่แกล้งเขานั่นแหละ
พอเตรียมตัวเสร็จเขาก็สตาร์ทรถพากลับไปส่งที่หอ ตอนกลับรถเริ่มติดแล้วเลยใช้เวลานานนิดหน่อย ไม่ได้แวะที่ไหนตรงมาหอเลย มาถึงพี่เจิ้นก็จอดรถใกล้ ๆ หอแทน
"ขอบคุณค่ะ จะกลับเลยเหรอคะ"
"ครับ" น้ำเสียงปกติแล้ว สงสัยอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยแล้วมั้ง
"อันที่จริงพี่มัวแต่โอ้เอ้ไม่ยอมมาส่งหนูที่หอสักที กว่าจะมาได้ก็เย็นแล้ว เพราะไม่อยากให้หนูไปดูหนังกับกั้งใช่ไหมคะ" ขอแกล้งแหย่เขาอีกสักหน่อยดีกว่าเพราะไม่อยากห่างกันเลยจริง ๆ
"ใช่" ชอบในคำตอบที่ชัดเจนของพี่เจิ้นมาก ๆ เพราะมันทำให้ฉันอมยิ้มได้ตลอดเวลา
"ชิ!" เบะปากใส่เขา พลางเสมองไปทางอื่น กลัวเขาเห็นว่าอมยิ้มอยู่ด้วย
"ขึ้นห้องได้แล้ว อย่าให้รู้นะว่าแอบออกไปอีกน่ะ" ขู่น่ากลัวจริง ๆ เลย
"ถึงออกไปพี่ก็ไม่เห็นหรอก อีกอย่างโรงหนังเขาไม่ได้ฉายวันนี้วันเดียวสักหน่อย หนูค่อยไปวันอื่นก็ได้ค่ะ แบร่ ๆ" แลบลิ้นแกล้งแหย่เขา พลางก้าวถอยหลังออกห่างไปด้วย
"ทับทิม!"
"บ๊ายบายค่ะ" โบกมือลาเขายิ้ม ๆ "ขับรถกลับดี ๆ นะคะ"
สะพายกระเป๋า ถือหมวกกันน็อคเดินกลับขึ้นห้อง อารมณ์ดีและมีความสุขมาก ๆ ฉันก็หวังอยากให้ความสุขแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ และมีอยู่ตลอดไป
๐๐๐๐๐
วันนี้ไม่พลาด นัดกับกั้งแล้วด้วย แต่จะเจอกันที่ห้างกึ่งกลางระหว่างหอพวกเราสองคนแทน ซึ่งฉันเป็นคนเลือกเอง
ฉันมาถึงก่อนเพราะออกมาก่อนเวลา กลัวกั้งจะรอนาน กั้งขับรถมาเอง รถคล้าย ๆ ของพี่เจิ้นแหละ เคยเห็นกั้งขับตอนอยู่แถวบ้าน
“ไม่ได้เจอกันนาน ยัยหมูหายไปไหนแล้วเนี่ย”
“ตลก เดี๋ยวเหอะ!” กั้งหัวเราะยิ้ม ๆ ไม่ได้เจอเพื่อนตั้งนาน พอเจอก็อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย “ไปซื้อตั๋วหนังกันก่อนไหม”
“ได้สิ จะได้เผื่อเวลาถูก”
“เผื่อทำไม?” หันไปมองหน้ากั้งด้วย แต่คนข้าง ๆ กลับเบือนหน้าไปมองทางอื่น “กั้ง”
“เราไม่อยากให้ทิมกลับหอมืด ๆ ไง แต่ถ้าทิมยอมให้เราไปส่ง ก็...”
“ฮึย! ไม่ต้องหรอก มันเสียเวลา มีรถเมล์จากที่นี่ไปถึงปากซอยเข้าหอทิมเลย” บอกปฏิเสธกั้งรัว ๆ ก่อนจะดันตัวให้เดินขึ้นไปชั้นโรงหนัง กั้งเป็นคนไปซื้อตั๋ว ฉันเลยไปหาที่นั่งรออยู่ใกล้ ๆ แทน
Rrrr
นั่งรอกั้งไปซื้อตั๋วหนังพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมา ฉันส่งไลน์ไปบอกพี่เจิ้นแล้ว ไม่อยากโทรไปให้เขาบ่นใส่หูอีก สงสัยเพิ่งจะเห็นข้อความแหละมั้งถึงได้โทรมา นั่งอมยิ้มก่อนจะกดรับสายเขา
“สะ…”
(ทำไมถึงไม่โทรมาบอก)
นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำเลย พี่เจิ้นก็บ่นใส่ซะแล้ว
“ถ้าหนูโทรไป ก็จะเหมือนตอนนี้ยังไงล่ะคะ หนูเลยส่งไลน์ไปดีกว่า”
(เหอะ! ต้องไปให้ได้เลยสินะ)
“หนูไม่ได้ไปกับคนอื่นสักหน่อย กั้งเป็นเพื่อนสนิท หนูมีเพื่อนผู้ชายไม่ได้เลยเหรอคะ”
เจอคำถามนี้ไปพี่เจิ้นถึงกับเงียบเลยทีเดียว ได้ยินเพียงเสียงผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ออกมาเท่านั้น เริ่มใจไม่ได้แล้วสิ จนกั้งเดินกลับมา แต่พอเห็นว่าฉันคุยโทรศัพท์ก็นั่งลงข้าง ๆ แทน
“พี่เจิ้นคะ”
(ดูแลตัวเองด้วยนะ)
“คะ? ไม่โกรธหนูเหรอ”
(พี่ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนะ อีกอย่างพี่ก็มีวิธีของตัวเองเหมือนกัน)
“วิธีอะไรเหรอคะ”
(วิธีที่หนูไม่ควรจะยุ่งไง แค่นี้แหละ)
“พะ…”
วางสายไปแล้ว แต่ทำไมหัวใจของฉันถึงเต้นแรงแบบนี้ หรือเพราะได้ยินเขาเรียกฉันว่าหนูกันนะ ปกติไม่เคยเรียกหรือไม่ก็ชอบเรียกว่าเด็กอ้วน
“ทับทิม… ทิม ทับทิม!”
“ฮะ! มะ มีอะไรเหรอ” ถึงกับสะดุ้งเพราะเสียงเรียกชื่อจากกั้ง พอหันไปมองก็เห็นกั้งนั่งยิ้มอยู่ “เรียกชื่อซะเสียงดังเชียว”
“เรียกนานแล้วเหอะ เป็นอะไร?”
“ก็…” ใครจะกล้าบอกว่าเขินที่พี่เจิ้นเรียกหนูจนลืมทุกอย่างรอบข้างไปหมดเลย “ไม่มีอะไรหรอก แล้วได้ตั๋วหนังรอบไหนมา”
“อีกครึ่งชั่วโมงน่ะ ไปรอเลยไหม”
“อืม ไปสิ” บอกกั้งยิ้ม ๆ ก่อนจะพากันเดินเข้าไปข้างใน เขินหนักมาก…
"พี่เจิ้นหวงทับทิมมากเลยนะ" ระหว่างทางเดินขึ้นไป กั้งชวนคุยเรื่องอื่นต่อ
"รู้ได้ไง เคยคุยกับเขาแค่ไม่กี่คำเองไม่ใช่เหรอ" หันไปมองกั้งพลางขมวดคิ้วสงสัยไปด้วย
"ใครบอกล่ะ"
"หืม?" เหมือนกั้งจะเผลอหลุดปากออกมา แต่พอถูกจับได้ก็เฉไฉไม่ยอมมองหน้าฉันต่อ
"เอ่อ..."
"ถ้าไม่พูด มีโกรธนะ" ก้าวขาออกจากบันไดเลื่อนก่อนจะเดินไปหยุดรออยู่หน้าห้องที่เราต้องเข้าไปดูหนัง กั้งก็ไม่ยอมตอบสักที จนต้องใช้สายตาข่มขู่
"ก็เขาโทรมาหา ถามกั้งยาวมาก แต่กั้งตอบตามตรงหมดเลย แอบเผาทิมไปนิดหน่อยเอง" คนหลุดปากพูด ยอมสารภาพออกมาแล้ว ก็ว่าอยู่ทำไมเมื่อกี้พี่เจิ้นพูดจาแปลก ๆ
"กั้ง!"
"ขนาดได้ยินแค่เสียง กั้งยังรู้เลยว่าเขาหวงทับทิมมากแค่ไหน ถ้าคุยกันแบบเห็นหน้า มีหวังกั้งถูกกินหัวแน่ ๆ"
"นี่ก็พูดไป" แต่จริง ๆ คือเขินกับคำพูดของกั้งไปด้วยแล้ว พอหันไปมองก็เห็นคนข้าง ๆ ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาให้ด้วย ยืนบิดเป็นเลขแปดเพื่อรอดูหนังแทนแล้วเนี่ย
ความรู้สึกที่ได้สัมผัสกับหน้าจอยักษ์ ๆ อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เข้าโรงหนังมานานหลายปี ก็จะแปลกไปหน่อย เมื่อก่อนตอนยังเป็นนักเรียนมัธยมทุกวันหยุดจะนัดกันไปดูหนัง ความรู้สึกตอนนั้นมันดีมาก ๆ เลยนะ จนครอบครัวของฉันมีการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย แม้แต่เพื่อนสนิทที่เคยหวังดีต่อกันก็เปลี่ยนไปด้วย
ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออาจจะเปลี่ยนไปตั้งแต่แรกแล้วก็ได้นะ เดียร์อาจจะรับรู้ทุกอย่างมาโดยตลอด ในขณะที่ฉันเหมือนไม่รู้อะไรเลย นึกขำตัวเองชะมัดเลย สุดท้ายก็กลายเป็นฉันที่ต้องเสียไป เหมือนต้องคืนความรู้สึกอบอุ่นมากมายให้กับเดียร์ ความรู้สึกที่ฉันเคยได้รับมาก่อน…
“ทิม… ทับทิม”
“มีอะไรเหรอ” เสียงกระซิบเรียกชื่อฉันซ้ำ ๆ จากกั้งดังขึ้นมาจนต้องหันไปมอง แม้ข้างในโรงหนังจะมืดมากก็ตาม แต่ก็ยังมองเห็นกันอยู่ดี
“เหม่อบ่อยไปแล้วนะ ไหนบอกอยากดูเรื่องนี้ไง”
“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ตอนนี้หนังที่ฉายอยู่ไม่ใช่จุดสนใจอีกแล้ว แม้พวกเราจะคุยกันเหมือนกระซิบใกล้ ๆ ก็ตาม
“อดีตเป็นสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้หรอกนะ ทิมไม่ได้ตัวคนเดียว แต่ยังเหลือเพื่อนหล่อ ๆ อย่างกั้งทั้งคน”
“ชิ” ถึงกับเบะปากในความหลงตัวเองของกั้งเลยทีเดียว “ขอบคุณนะ”
“สบายมาก ดูหนังต่อเถอะ” พยักหน้ารัว ๆ ให้กับกั้งก่อนจะตั้งใจดูหนังต่อจนจบ ทุกคนดูประทับใจกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ เพราะเดินออกจากโรงหนังก็คุยกันแต่เรื่องนี้แหละ คงมีแค่ฉันมั้งที่ดูช่วงแรก ๆ ไม่เข้าใจเลย มัวแต่เหม่ออยู่ไง เพิ่งมาตั้งใจดูช่วงหลังแล้ว
"ไปหาอะไรกินก่อนกลับไหม นี่ก็บ่ายแล้ว"
"ไปสิ ชาบูดีไหม? ทิมอยากกิน" กั้งพยักหน้าให้ก่อนจะพากันไปร้านชาบู มีที่ว่างพอดี เลยไม่ต้องรอคิวกัน
"กินเสร็จแล้ว กลับเลยไหม" กั้งถามขึ้น
"ทิมยังไม่ได้ซักผ้าเลย แล้วก็จะกลับไปเตรียมของด้วย"
"ไปไหนเหรอ"
"เข้าค่ายน่ะ" กั้งพยักหน้าให้ก่อนจะนั่งกินชาบูกันต่อ เวลาได้มาเที่ยวกับเพื่อนมันทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ ที่ผ่านมา แม้ในใจจะไม่อยากคิดถึงบางเรื่องราวก็ตาม
"เติมน้ำไหม เดี๋ยวกั้งไปเติมให้"
"ทิมไปด้วยดีกว่า อยากเลือกน้ำด้วยน่ะ" กั้งยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้ พวกเราเลยลุกเดินไปเติมน้ำดื่มกัน ยื่นแก้วไปตรงหน้ากำลังจะกดน้ำเก๊กฮวยแต่กลับต้องชะงักเพราะมีแก้วหนึ่งยื่นเข้าไปซะก่อน
"น้ำเก๊กฮวยเหมือนกันเหรอ เดี๋ยวลุงกดให้" เสียงคุ้นหูจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง พอได้สบตากันหัวใจก็เต้นรัวเลยทีเดียว "ทับทิม"
มือที่ถือแก้วน้ำอยู่แทบจะหลุดร่วงลงไปทันที โชคดีที่กั้งยื่นมือมาจับแก้วของฉันเอาไว้ซะก่อน
"เดี๋ยวกั้งกดให้ ทิมไปรอที่โต๊ะก็ได้" กั้งพูดออกมา ฉันเลยพยักหน้าให้ก่อนจะรีบเดินหนี
"ทับทิม" แค่ได้ยินเสียงเรียก ขอบตาก็ร้อนผ่าวแล้ว
"พ่อคะ" และยิ่งเจ็บเข้าไปอีกเมื่อได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นมา ฉันพยายามไม่ร้องไห้เพราะคนเยอะ พยายามก้าวขาออกไปแต่กลับทำไม่ได้ ทำไมมันแย่แบบนี้ ขาฉันแข็งหมดแล้ว
หมับ!
นิ่งอยู่นาน เดินต่อไม่ไหว ตอนแรกคิดว่ากั้งยื่นมือมาคว้าข้อมือของฉันเอาไว้ แต่เปล่าเลย คนตรงหน้าคือพี่เจิ้น เขามองหน้าสบตาฉันพลางส่ายหัวไปมาให้แทนคำพูด
"นะ หนู..."
"กลับที่นั่งกัน" คำพูดและรอยยิ้มของพี่เจิ้น ทำให้เสียงหัวใจของฉันค่อย ๆ กลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง แม้ความรู้สึกจะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม
"นั่งข้างทิมเลยพี่ ผมจองไว้ให้แล้ว" เสียงกั้งดังขึ้นมา ฉันเลยหันไปมอง ก็ว่าอยู่ทำไมข้าง ๆ ถึงว่างอยู่ตั้งนานเพราะแบบนี้นี่เอง "กั้งโทรบอกเองแหละ" ข้อสงสัยถูกไขจนกระจ่างทันที
"ไม่อยากกินแล้ว"
"พี่เพิ่งได้นั่งเองนะ" เสียงพี่เจิ้นดังขึ้นมา ฉันเลยหันไปมองทางเขาที่เอาแต่จ้องมาทางฉันอยู่ก่อนแล้ว "พี่รู้ว่ามันไม่โอเค ถ้าจุดนี้เรายังผ่านไปไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะเข้มแข็ง"
บึนปากอยากร้องไห้ ฉันไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นหรอก พอเจอเข้าจัง ๆ แล้วแย่มาก มันดิ่งเลยทีเดียว
"ก็ได้ค่ะ"
"เดี๋ยวซื้อเค้กให้กิน" พี่เจิ้นชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย แต่พอได้ยินแบบนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้เขาแล้วหันไปมองทางกั้ง
"ขอบคุณนะ"
"สบายมาก"
...ถ้ากั้งไม่โทรบอกพี่เจิ้น ถ้าตรงนี้ไม่มีพี่เจิ้นด้วยอีกคน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ไหม มันเหมือนความรู้สึกที่ค่อย ๆ ชินชาไปเรื่อย ๆ แม้บางครั้งจะยังรู้สึกไม่ดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้อยู่ดี
ฉันจะต้องเข้มแข็งอย่างที่พี่เจิ้นพูดออกมาให้ได้... บอกกับตัวเองแบบนี้ก็จริง แต่ก็ยังไม่ค่อยไหวอยู่ดี เฮ้อ!
ความคิดเห็น