ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter1 - You and I
CHANGE
Mark Tuan เด็กหนุ่มผู้เกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ Los Angeles หรือที่รู้จักกันในชื่อ L.A. ประเทศสหรัฐอเมริกา มาร์คจึงมีสัญชาติเป็นอเมริกันโดยกำเนิด แต่ทว่าจริงๆแล้วนั้น มาร์คกลับมีเชื้อชาติเป็นคนใต้หวันร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เค้ามีความสามารถทางด้านภาษาเป็นอย่างดี
หลังจากที่ผมจบเกรด12 จากArcadia High School โรงเรียนไฮท์สคูลชื่อดังในรัฐCalifornia ผมก็หันมาช่วยธุรกิจของครอบครัวอย่างจริงจัง เนื่องจากทางบ้านของผมประกอบอาชีพอสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศ การเดินทางเพื่อเจรจาติดต่อทางธุรกิจจึงตกเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย ประเทศที่ผมเคยไปก็พวกบราซิล ปารากวัย และในตอนนี้ชีวิตผมก็ลงหลักปักฐานอยู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้เป็นที่เรียบร้อย
ผมอยู่ในเมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยความเจริญอย่างต่อเนื่องนี้มานานเกือบสามปี นั่นก็พอจะทำให้การใช้ภาษาท้องถิ่นของผมจัดอยู่ในขั้นดีราวกับเป็นคนในชาติเลยก็ว่าได้ จะต่างก็คงจะเป็นหน้าตาที่ดูยังไงก็ไม่เกาหลีเอาซะเลย ผมเข้าทำงานในบริษัทของครอบครัวที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานนัก และเลือกที่จะอยู่ในตำแหน่งพนักงานธรรมดาที่มีเวลาเข้า-ออกเหมือนคนทั่วไป แน่นอนว่าพนักงานในบริษัทนี้ไม่มีใครรรู้ เหตุผลก็เพราะผมไม่ชอบการประจบสอพลอ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นถ้าผมอยู่ในตำแหน่งผู้บริหาร
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมีเพื่อนร่วมงานที่สนิทเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ อิมแจบอม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สัญชาติเกาหลีร้อยเปอร์เซ็นต์ แจบอมหรือที่ผมเรียกว่า JB. เป็นมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่ทนต่อพฤติกรรมอันเงียบขรึมกับใบหน้าอันไร้ความรู้สึกของผมได้ แต่นั่นก็แค่ช่วงแรกๆ เพราะถ้ารู้จักผมดีอย่างJBจะรู้ว่าผมนั้น ขี้อายและก็ขี้เหงามากๆด้วย
"เฮ้มาร์ค !! พักกลางวันแล้ว ไปหาไรกินกัน เร็วเข้า" เสียงดังจากโต๊ะทำงานข้างๆ ปลุกผมขึ้นจากความวุ่นวายในการจัดการกับกองเอกสารที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ
"ไปดิ รอแปปนึง จัดเอกสารก่อน" ใช้เวลาไม่นานนัก ผมและเจบีก็มาลงเอยกันที่ร้านอาหารfast foodชื่อดัง ที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัท ปกติแล้วเวลาพักเที่ยงอันน้อยนิดอาจจะไม่เหมาะกับร้านอาหารที่ต้องต่อคิวนานแบบนี้ซักเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะอย่างน้อยมันก็สะดวกในการเดินทาง
เวลาผ่านไปเกือบ15นาที ก็ถึงคิวผมกับเจบี แต่.. ยังไม่ทันได้สั่ง โทรศัพท์ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดังขึ้นถูกจังหวะ
"ฮัลโหล.. จินยองอ่า คือ... เอ่อ... ก็ได้ๆ แค่นี้ก่อนนะ" หลังจากวางสายไอ้เพื่อนรักก็หันมามองหน้าผมพลางทำตาปริบๆ เฮอะ! แทบไม่ต้องเดาว่ามันจะพูดอะไร
"อีกแล้วสินะ" ผมชิงพูดก่อนอย่างรู้ทัน แน่นอนว่า จินยองอะไรนั่นก็คือแฟนมันที่ต้องทำตัวติดกันตลอดเมื่อมีเวลาเลยให้ตายสิ แต่ช่างเถอะ.. ผมชินซะแล้ว
"น่านะ... เดี๋ยวคราวหน้าชั้นเลี้ยงบุฟเฟ่เลยอ่ะ แต่ตอนนี้..ไปก่อนนะจ้ะ เมียจ๋าา *-*" ไม่พูดอย่างเดียว มันเข้ามาจุ๊บผมอย่างจังที่ข้างแก้ม ทั้งยังทิ้งท้ายด้วยสรรพนามอันหน้าสะพรึง
"เมียบ้าอะไรวะ ฮึ๋ย! ขนลุกว่ะ จะไปไหนก็รีบไปเลยไป" ยังไม่ทันพูดจบมันก็เปิดตูดแน่บหายไปอย่างกับควัน
เฮ้อ !! ผมถอนหายใจเฮือกยาวก่อนจะสั่งอาหารเมนูเดิมๆ มานั่งที่โต๊ะเดิมๆ อย่าง..เหงาๆ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมนั่งอยู่ท่าเดิมแทบจะไม่ได้ขยับ เสียงเตือนจากนาฬิกาเรือนหรูในข้อมือดังขึ้นย้ำๆเป็นการบอกว่า ถึงเวลางานของมนุษย์เงินเดือนอย่างผม
"ให้ตายเถอะ สมองฟุ้งซ่านชะมัด" ผมสบถกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้คู่ใจเดินออกจากร้านอย่างไม่ทันได้สังเกตุแม้กระทั่งคนที่เพิ่งจะเดินชนไหล่อย่างแรงเมื่อสักครู่นี้
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมีเพื่อนร่วมงานที่สนิทเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ อิมแจบอม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สัญชาติเกาหลีร้อยเปอร์เซ็นต์ แจบอมหรือที่ผมเรียกว่า JB. เป็นมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่ทนต่อพฤติกรรมอันเงียบขรึมกับใบหน้าอันไร้ความรู้สึกของผมได้ แต่นั่นก็แค่ช่วงแรกๆ เพราะถ้ารู้จักผมดีอย่างJBจะรู้ว่าผมนั้น ขี้อายและก็ขี้เหงามากๆด้วย
"เฮ้มาร์ค !! พักกลางวันแล้ว ไปหาไรกินกัน เร็วเข้า" เสียงดังจากโต๊ะทำงานข้างๆ ปลุกผมขึ้นจากความวุ่นวายในการจัดการกับกองเอกสารที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ
"ไปดิ รอแปปนึง จัดเอกสารก่อน" ใช้เวลาไม่นานนัก ผมและเจบีก็มาลงเอยกันที่ร้านอาหารfast foodชื่อดัง ที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัท ปกติแล้วเวลาพักเที่ยงอันน้อยนิดอาจจะไม่เหมาะกับร้านอาหารที่ต้องต่อคิวนานแบบนี้ซักเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะอย่างน้อยมันก็สะดวกในการเดินทาง
เวลาผ่านไปเกือบ15นาที ก็ถึงคิวผมกับเจบี แต่.. ยังไม่ทันได้สั่ง โทรศัพท์ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดังขึ้นถูกจังหวะ
"ฮัลโหล.. จินยองอ่า คือ... เอ่อ... ก็ได้ๆ แค่นี้ก่อนนะ" หลังจากวางสายไอ้เพื่อนรักก็หันมามองหน้าผมพลางทำตาปริบๆ เฮอะ! แทบไม่ต้องเดาว่ามันจะพูดอะไร
"อีกแล้วสินะ" ผมชิงพูดก่อนอย่างรู้ทัน แน่นอนว่า จินยองอะไรนั่นก็คือแฟนมันที่ต้องทำตัวติดกันตลอดเมื่อมีเวลาเลยให้ตายสิ แต่ช่างเถอะ.. ผมชินซะแล้ว
"น่านะ... เดี๋ยวคราวหน้าชั้นเลี้ยงบุฟเฟ่เลยอ่ะ แต่ตอนนี้..ไปก่อนนะจ้ะ เมียจ๋าา *-*" ไม่พูดอย่างเดียว มันเข้ามาจุ๊บผมอย่างจังที่ข้างแก้ม ทั้งยังทิ้งท้ายด้วยสรรพนามอันหน้าสะพรึง
"เมียบ้าอะไรวะ ฮึ๋ย! ขนลุกว่ะ จะไปไหนก็รีบไปเลยไป" ยังไม่ทันพูดจบมันก็เปิดตูดแน่บหายไปอย่างกับควัน
เฮ้อ !! ผมถอนหายใจเฮือกยาวก่อนจะสั่งอาหารเมนูเดิมๆ มานั่งที่โต๊ะเดิมๆ อย่าง..เหงาๆ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมนั่งอยู่ท่าเดิมแทบจะไม่ได้ขยับ เสียงเตือนจากนาฬิกาเรือนหรูในข้อมือดังขึ้นย้ำๆเป็นการบอกว่า ถึงเวลางานของมนุษย์เงินเดือนอย่างผม
"ให้ตายเถอะ สมองฟุ้งซ่านชะมัด" ผมสบถกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้คู่ใจเดินออกจากร้านอย่างไม่ทันได้สังเกตุแม้กระทั่งคนที่เพิ่งจะเดินชนไหล่อย่างแรงเมื่อสักครู่นี้
..................................................
Jackson Past
อีกด้าน ในรั้วโรงเรียนศิลปะระดับมัธยมชื่อดังใจกลางกรุงโซล School of Performing Arts Seoul หรือที่ทั่วไปรู้จักกันในนาม SOPA วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียน บรรดาพ่อแม่ที่มาส่งลูกเข้าเรียนทำให้จำนวนรถหรูอัดแน่นอยู่ทั่วบริเวณ สีเหลืองอร่ามจากเครื่องแบบนักเรียนกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่สถานศึกษา
Jackson Wang เด็กหนุ่มจากประเทศฮ่องกง เป็นอีกคนหนึ่งที่รู้สึกตื่นเต้นอยู่น้อยกับสถานที่ใหม่ๆ ผู้คนแปลกหน้า และบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย แม้ว่าโรงเรียนศิลปะนี้จะมีจำนวนนักเรียนที่มีเชื้อชาติเป็นคนเกาหลีแทบจะ100เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มจากต่างชาติอย่างแจ็คสันหมดความมั่นใจในการเข้าไปทักทายแต่อย่างใด
"Hello อาน ยอง ฮา เซ โย๊ !!" ผมกล่าวคำทักทายกับคนแปลกหน้าทุกคนที่เดินผ่าน แต่ไหงกลับกลายเป็นว่าผมดูประหลาดไปซะงั้น อาจจะเป็นเพราะผมเป็นชาวต่างชาติและอีกอย่างก็ย้ายมากลางคันซะด้วย หลังจากผมจบเกรด10 จาก American Interantional School โรงเรียนนานาชาติในประเทศฮ่องกง ผมก็ย้ายตามครอบครัวซึ่งเป็นฑูตมาประจำที่ประเทศเกาหลี เป็นเวลา3เดือนในการเตรียมตัวเข้าเรียนที่นี่ ผมต้องเรียนภาษาเกาหลีอย่างหนัก ถึงแม้ว่าผมจะสื่อสารได้บ้างแล้ว แต่ก็อย่างที่เห็น.... ภาษาเกาหลีของผมทำคนเกาหลีงงซะงั้น เจ๋งเป็นบ้า !
"โย่ว.. แจ็คสันฮยอง!!" เสียงแหบของเด็กผู้ชายเพิ่งแตกหนุ่มดังมาจากข้างหลัง พอผมหันหลังไปตามเสียงก็เจอกับเด็กหนุ่มน่าตาน่ารัก ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือมีสีผมกระจุกหน้าสีชมพู แบมแบมเป็นเหยื่อรายแรก ไม่สิ ! เป็นเพื่อนคนแรกที่ผมไปตีซี้จนสำเร็จ นั่นก็อาจจะเป็นเพราะหมอนั่นเป็นชาวต่างชาติเหมือนกันกับผม แถมยังง่อยภาษาเกาหลีเหมือนกันอีกด้วย ภาษาที่ใช้ก็ปนกันละครับทีนี้ทั้งเกาหลี อังกฤษ จีน แม้กระทั่งภาษาไทย ใครจะเชื่อว่าผมคุยกับเด็กนั่นรู้เรื่องแฮะ
"ไงเจ้าเด็กน้อย ได้เพื่อนเพิ่มกี่คนล่ะ" หลังจากที่ผมสอนวิชาการหาเพื่อนให้ เด็กนี่ก็หายไปสักพักก่อนจะมาปรากฏตัวด้วยสีหน้าเบื่อโลก
"ไม่ได้สักคน ! แถมยังถูกมองเป็นตัวประหลาดอีก ฮยองสอนผมหาเพื่อนหรือไล่เพื่อนเนี่ย" เออ นั่นก็....ไม่ได้ต่างจากตรูเท่าไหร่หรอก - -'
"ใครว่า.. นั่นเป็นเพราะความหล่อเกินไปของเราสองคนต่างหากเล่า เจ้าโง่ ! ว่าแต่พักกลางวันนี่ออกไปหาไรกินข้างนอกกันเถอะ บอกตามตรงอาหารเกาหลีนี่ฉันไม่ถนัดว่ะ" ถึงผมจะอยู่เกาหลีได้3เดือนก็เถอะ แต่อาหารเกาหลีกับผมนี่คงต้องปรับตัวกันอีกเยอะ ไอ้เด็กแบมแบมนี่ก็คงไม่ต่างกัน ..... ผมเดินกอดคอเด็กน้อยหัวสีชมพูประหนึ่งว่าสนิทกันมานาน ใช้เวลาไม่ถึง5นาทีก็มาถึงร้านอาหารFast food ที่อยู่ติดโรงเรียน จากที่คาดการด้วยสายตา จำนวนคนที่ต่อคิวและจำนวนโต๊ะในร้านดูจะไม่สมดุลกันสุดๆ ผมจึงให้ไอ้เด็กนั่นยืนต่อแถวซื้ออาหาร ส่วนผมเป็นคนเดินมาหาโต๊ะนั่ง (แมนฟุดๆ)
"บ้าจริง กินหมดแล้วก็ลุกๆไปสิเจ๊" ผมสบถกับตัวเองเบาๆ ก็ขนาดเดินเข้ามาจนจะสุดร้านแล้วก็ยังไม่เห็นโต๊ะว่างสักโต๊ะ ผมเดินกวาดสายตาไปทั่วร้านเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายคนหนึ่งทำท่าทางเหมือนจะลุก ได้การล่ะ! เล็งไว้ก่อนเลย ลุกปั๊บเสียบปุ๊บ... เป็นอย่างที่คิด ชายหนุ่มที่มีท่าทางรีบร้อนเดินก้มหน้าก้มตาออกมา ผมจึงรีบสาวเท้าเข้าไปเพื่อจะแทนที่นั่งอย่างไว แต่... ผลัก !!!!! ชนกันเข้าอย่างจัง
"เฮ้ๆๆ เดินดีๆหน่อยเส่ ไม่เห็นคนหล่อยืนอยู่รึไง" ผมอุทานปนด่าเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าหมอนั่นจะฟังรู้เรื่องรึป่าว เพราะชายคนนั้นก็เดินจากไปโดยไม่มีแม้แต่คำขอโทษ
"ฟังไม่รู้เรื่องสินะ ฮึ" ผมหัวเราะในลำคอก่อนที่จะตรงไปนั่งแทนที่คนไร้มารยาทเมื่อสักครู่ แต่สายตาผมก็ไปสะดุดเข้ากับวัตถุที่วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นสมาทโฟนยี่ห้อดังของประเทศเกาหลี ดูจะเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดซะด้วยสิ ฮึฮึ -,.- ป่าวซะหน่อย... ผมรีบวิ่งตามคนที่คาดว่าจะเป็นของเต็มความเร็ว แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น
"เอ้า.. แจ็คสันฮยอง จะออกมาช่วยถือใช่มั้ย ดีเลยๆ มาๆ อาหารที่สั่งได้พอดี" ความคิดที่จะตามออกไปคืนหมดไป เมื่อไอ้เด็กหัวชมพูที่ยืนจ่ายเงินอยู่หน้าเค้าท์เตอร์เรียกผมให้ไปช่วยถือของ
"เออๆ รู้แล้วน่า.. เป็นน้องก็ต้องถือให้พี่สิว่ะ นายนี่ไม่ได้เรื่องเลย" ผมตะโกนตอบแบมแบม ก่อนจะหยิบมือถือที่เจอเมื่อสักครู่ใส่กระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำเงาของตัวเอง
ตอนที่ 1 มาเสริฟอย่างรวดเร็ว เป็นการเล่าเรื่องราว บวกกับแนะนำตัวละครไปในตัว
ตอนหน้าแจ็คสันและมาร์คจะเจอกันในหรือไม่? ในสถานการณ์แบบไหน ต้องติดตาม
CHANGE
ตอนหน้าแจ็คสันและมาร์คจะเจอกันในหรือไม่? ในสถานการณ์แบบไหน ต้องติดตาม
CHANGE
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น